ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HORAWATE.(โหรเวทย์)

    ลำดับตอนที่ #2 : I

    • อัปเดตล่าสุด 30 ส.ค. 48


                                                                                     I

        

        ครืน ครืน ครืน



    เสียงคำรามร้องของฟ้ามาพร้อมกับก้อนเมฆดำทะมึน ที่ตอนนี้กำลังขยายตัวปกคลุมไปทั่วฟ้าจนทำให้ผืนดินเบื้องล่างแทบจะมืดราวกลางคืน เมื่อแสงตะวันถูกเมฆบดบัง และต้นไม้ที่ไหวเอนอย่างรุนแรงนั้นเหมือนจะเป็นการเตือนว่าพายุลูกใหญ่ที่แสนจะน่ากลัวกำลังใกล้เข้ามาทุกที ไม่น่าแปลกที่จะเห็นคนเป็นร้อยรีบวิ่งเข้าหลุมหลบภัย ที่ซึ่งพวกเขาคิดว่าน่าจะช่วยกันพวกเขาจากความคลุ้มคลั่งของธรรมชาติได้



        “เขาว่ากันว่า … หลังพายุท้องฟ้าจะสดใส …”



    เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังมาจากบนเนินที่อยู่ขึ้นไปเหนือหมู่บ้านที่กำลังประสบกับภัยธรรมชาติเล็กน้อย ตอนนี้หากใครสักคนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการหาที่ปลอดภัยเงยหน้าขึ้นมองมาบนเนินนี้สักนิด ก็จะเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งในชุดที่น้ำเงินแก่จัดอย่างรางๆ



        “…ถ้าหากว่าพายุนั้นมันเกิดจากธรรมชาตินะครับหัวหน้า”



    เสียงของบุรุษอีกคนพูดขึ้นเชิงค้าน ทำให้เจ้าของประโยคแรกหันหลังกลับมามอง



        “มากันพร้อมแล้วหรือ?”



    คำถามสั้นๆพ้นจากริมฝีปากบางเฉียบของเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดสีน้ำเงินเข้มที่มีรูปแบบคล้ายกับชุดของทหาร สายตาของเขาจับจ้องไปที่กลุ่มชายหนุ่มห้าคนที่แต่งกายคล้ายกับเขา



        “ขาดบิลล์กับโรซาลีนครับ ทั้งสองคนอยู่ห่างไปจากนี่ราว 100 ไมล์ กำลังจัดการกับไฟป่าโดยการสร้างพายุอยู่ครับ”



        “อืม ไฟป่านี่คงจัดการยากใช่เล่นนะ หึ น่าตลกซะจริง ในขณะที่สองคนนั่นกำลังวุ่นอยู่กับการสร้างพายุ ทางนี้ก็ต้องมาวุ่นเหมือนกัน … ต่างกันตรงที่ต้องมาจัดการพายุก็เท่านั้น เจ้าอิลล์นี่มันร้ายใช่เล่น สามารถทำให้วุ่นวายกันได้ถึงขนาดนี้สมแล้วที่เป็นถึงระดับหัวหน้าในพวกชั่วนั่น!”



    น้ำเสียงท้ายประโยคของชายหนุ่มทำเอาเหล่ากลุ่มผู้ใต้บัญชารู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง ชายหนุ่มหันกลับไปมองข้างหน้าช้าๆก่อนจะสบถออกมาด้วยความตกใจ



        “มะ มีอะไรหรือครับหัวหน้า?”



    หนึ่งในชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหลังเอ่ยถามด้วยความตกใจ



        “บ้าที่สุด มาดูนี่สิ”



    ชายหนุ่มสบถอีกครั้งก่อนจะเรียกให้ผู้ใต้บัญชาทั้งห้าคนมาดูสิ่งที่ปรกฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา และมันก็ทำให้พวกเขาตะลึง ตรงหน้าของพวกเขาเป็นภาพของพายุหมุนขนาดใหญ่ถึงสามลูก กำลังมุ่งตรงมาทางเมืองแห่งนี้ด้วยความเร็วที่ไม่ต่างจากเครื่องบินสักนิด



        “นะ นี่มัน ไม่ใช่พายุธรรมดานี่ครับ มัน…”



        “ใช่ นี่มันเฮอร์ริเคน แถมยังเป็น 3 ลูกซะด้วย ไอ้พวกบ้านั่นมันทำได้แสบกว่าที่เราคาดกันไว้อีก ขืนปล่อยไว้ล่ะก็ เมืองนี้ได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้แน่นอน”



    ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล งานนี้มันยากกว่าที่พวกเขาคาดกันไว้มาก



        “แต่ผมว่า อิลล์คนเดียวคงไม่สามารถสร้างได้ถึงขนาดนี้หรอกครับ ไหนจะไฟป่าที่พวกบิลล์กำลังจัดการอยู่อีก นี่มันต้องใช้พลังเวทย์อย่างมหาศาลเลยทีเดียว”



    คำพูดนี้ได้สร้างรอยยิ้มเครียดขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้า ในตอนนี้ดูเหมือนอะไรๆจะอยู่นอกเหนือการคาดหมายไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไฟป่า เฮอร์ริเคนสามลูกซ้อน หรือแม้แต่คนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ พวกเขาคาดผิดไปจริงๆ



        “ไม่คิดว่ามันจะลงมือกันเร็วถึงขนาดนี้ เราไม่ทันคิดกันก่อนว่าพวกนั้นเริ่มเอาจริงกันแล้ว … มาคัส!”



        “ครับ!”



        “ติดต่อไปที่ศูนย์ ขอกำลังเสริมด่วน อ่อ ส่งไปที่บิลล์กับโรซาลีนด้วย ฉันสังหรณ์ใจว่ามันจะต้องมีอะไรที่ร้ายแรงกว่าไฟป่าธรรมดาแน่ๆ”



        “ครับ”



        “ส่วนพวกนายที่เหลือตามฉันมา เราต้องไปสกัดเฮอร์ริเคนถ่วงเวลาไว้ก่อน คิดว่าไหวไหม?”



        “ไหวครับ!”



        “ดี มาคัส อีกนานเท่าไหร่กว่ากำลังเสริมจะมาถึง?”



        “ซัก … 2 นาทีครับ”



        “2 นาที คงพอไหว บอกพวกนั้นเอาเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารกับถุงดูดกลืนมาด้วย ฉันมีวิธีจัดการกับปัญหานี่แล้ว อ่อ นายรอไปพร้อมกับพวกนั้นล่ะ ฉันจะล่วงหน้าไปก่อน”



        “ครับ”



    ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าหันเป็นพยักหน้าเป็นสัญญาณกับชายหนุ่มอีกสี่คน ก่อนที่จะทะยานออกไปในอากาศราวกับนก!



    พริบตา พวกเขาก็มาลอยตัวเผชิญหน้ากับเฮอร์ริเคนทั้งสามลูก ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าทำสัญญาณมือโดยการยกมือซ้ายขึ้น



        “ฉันทิ้งมือลงเมื่อไหร่พวกนายปล่อยบาเรียกั้นทันทีตกลงนะ 1…2…3”



    สิ้นเสียงและมือที่ตกลงของชายหนุ่มก็มีแสงสีขาวสว่างวาบคลุมไปทั่วเฮอร์ริเคนทั้งสามลูก และดูเหมือนว่าแสงสว่างนั้นจะทำให้การเคลื่อนที่ของพายุหมุนนั้นหยุดลงชั่วขณะ



        “2 นาที … ยากกว่าที่คิดแฮะ”



    เหงื่อเม็ดเล็กๆแต่จำนวนมากผุดขึ้นเต็มใบหน้าของชายทั้งห้าคน แรงปะทะระหว่างม่านบาเรียที่กระจายออกมาจากฝ่ามือของทั้งห้ากับเฮอร์ริเคน ส่งผลให้ถุงมือของทั้งหมดฉีกขาดและหนังมือกำลังเป็นส่วนที่จะตามมาในไม่ช้า



        “อีก 30 วิฯ อื้อ อีกนิดเดียวทนหน่อย!”



    ช่างเป็น 30 วินาทีที่ทรมานเหลือเกิน การนับถอยหลังจึงพอช่วยบรรเทาความทรมานนี้ลงได้



        …9…8…7…6…5…4…3…2…1…



        “หัวหน้าครับ!”



    เสียงของมาคัสที่ดังมาจากข้างหลังส่งผลให้ใจของชายหนุ่มชื้นขึ้นมา



        “มาแล้วหรือ เอาเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารมานี่ ตั้งพิกัดส่งไปในถุงดูดกลืนซะ พวกนายกำลังเสริมช่วยกันส่งพลังเวทย์ไปที่เครื่องด้วย เฮอร์ริเคนสามลูกนี้แค่พลังเวทย์นิดๆหน่อยๆเอาไม่อยู่หรอก”



    คำสั่งเด็ดขาดของเขาเด็ดขาดและยากที่ใครจะขัดได้



        “จะได้ผลหรือครับหัวหน้า?”



    เสียงของมาคัสถามด้วยความกังวล



        “หึ ไม่ลองไม่รู้หรอก อย่ามัวพูดมากหันเครื่องเข้าหาพายุ พวกนาย 4 คนวางมือจากบาเรียแล้วถอยออกมาอยู่หลังเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารนี่ซะ เราจะเริ่มปฏิบัติการณ์การดูดกัน แกแพ้แล้ว…อิลล์ หึหึ”







        “พายุโดนจัดการแล้ว…อย่างนั้นหรืออิลล์?”



    เสียงเนิบช้าของบุคคลผู้ซุกตัวอยู่บนเก้าอี้บุนวมหนานุ่มซึ่งตั้งอยู่ตรงกับเตาผิงที่แดงฉานไปด้วยเปลวเพลิงที่กำลังไหม้ลามเลียท่อนฟืน เสียงนั้นดังเพียงพอได้ยินกันสองคนนั้นถามคนอีกคนที่ยืนเยื้องไปข้างหลังของเขา



        “คะ ครับ โดนจัดการเรียบทั้งสามลูก”



    เสียงตอบกลับของอิลล์บอกถึงความรู้สึกกลัวอย่างปิดไม่มิด แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความโกรธของท่านผู้นี้ แต่สิ่งที่เขาได้ยินจากการเล่าต่อๆกันมาของผู้ที่เคยประสบ มันก็ทำให้เขาไม่อยากเจอไปตลอดชีวิต



        “โฮ่! มีคนที่สามารถจัดการกับพายุของฉันได้ด้วยอย่างนั้นหรือ? คนๆนั้นเป็นใครกัน นายรู้จักไหม?”



    น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความรู้สึกทึ่งของอีกฝ่ายทำให้อิลล์รู้สึกแปลกใจ เพราะเขาคิดว่าอาจต้องโดนลงโทษอย่างรุนแรงโทษฐานที่ทำงานผิดพลาดอย่างร้ายกาจ



        “ว่าไง…อิลล์ นายจะช่วยบอกข้อมูลคร่าวๆของคนๆนั้นให้ฉันคนนี้รู้หน่อยไม่ได้เชียวหรือ?”



    เหมือนว่าจะเป็นคำร้องขออันแสนสุภาพ แต่ทว่าหากใครได้มายืนอยู่ ณ จุดเดียวกับอิลล์แล้ว ประโยคนั้นมันเป็นประโยคที่สุดแสนจะน่ากลัว … น่ากลัวอย่างอธิบายไม่ได้



        “ผมมิบังอาจครับ! หากแต่แค่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่ท่านให้ความสนใจเกี่ยวกับเขาคนนั้น”



        “หยุดพูดมากเสียที รีบบอกมาได้แล้ว ว่า…เขาเป็นใคร? แล้วสังกัดพวกไหน?”



    โทสะที่แฝงอยู่ภายในประโยคเรียบๆนั้นอิลล์สัมผัสได้ดี และนั่นทำให้เขาก็รู้สึกกลัวบุคคลตรงหน้ายิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ



    อิลล์กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ก่อนจะเริ่มทบทวนความทรงจำของเขาเกี่ยวกับ’คนๆนั้น’ สักพักข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเขาก็เริ่มไหลมาอย่างไม่หยุดเหมือนยามก๊อกน้ำถูกเปิดจนเต็มที่ ดวงตาของอิลล์ปิดสนิท



        “สังกัดฝ่ายโหรเวทย์ เป็นหัวหน้าหน่วยทหารลับของH.S. มีชื่อตามใบทะเบียนบุคลากรโหรเวทย์ว่า นายมาศ ลี ถือสัญชาติอังกฤษ แต่มีเชื้อชาติเอเชียอยู่ครึ่งหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏว่าคือเชื้อชาติใด อายุปัจจุบัน 23 ปี ที่อยู่ไม่ปรากฏ สถานะภาพโสด…”



    ดวงตาของอิลล์เบิกกว้างอย่างรวดเร็วภายในดวงตาเต็มไปด้วยความตระหนก เพราะว่าเขา … อิลล์คนนี้ไม่เคยมีข้อมูลเกี่ยวกับใครน้อยขนาดนี้มาก่อน และที่น่าแปลกใจ อิลล์คิดว่าเขาค่อนข้างจะคุ้นเคยกับศัตรูคนนี้ แต่พอนึกดูเขากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย



        “เงียบทำไม…อย่าบอกนะว่านายมีข้อมูลแค่นี้?”



    น้ำเสียงของอีกฝ่ายเองก็ดูจะแปลกใจไม่แพ้กัน จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร ในเมื่ออิลล์นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความทรงจำเป็นเลิศ สมองของเขาสามารถเก็บความรู้ได้พอๆกับหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาจจะเก็บได้มากกว่าด้วยซ้ำ เพียงแค่อิลล์หลับตา ข้อมูลต่างๆที่เขาต้องการก็จะสามารถรู้ได้ในทันที ความสามารถนี้ของอิลล์เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายรวมไปถึงสมาพันธ์เวทมนต์สากล เขาเคยเข้าทำงานในสำนักงานใหญ่ของสมาพันธ์เวทมนต์สากลช่วงหนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 3 เดือน …เขาถูกเชิญให้ออก เหตุผลคือทัศนคติของเขาไม่ตรงกับทางสมาพันธ์ อิลล์คิดว่ามันเป็นเหตุผลที่ฟังไม่เข้าท่าสักนิด เขาพยายามหาเหตุผลที่แท้จริงแต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม สุดท้ายเขาตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับองค์กรๆหนึ่ง เขาใช้ความสามารถในการไต่เต้าและความแค้นเป็นแรงผลักดันจนในที่สุดเขาก็ได้เป็นหนึ่งใน เหล่า X Master ผู้น่าเกรงขาม…



        “เป็นความผิดในความไร้ความสามารถของผมเองครับ ผมไม่คิดว่าจะ…”



        “ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกอิลล์ แต่ดูเหมือนว่า คนๆนั้น ไม่สิ… มาศ ลี จะลึกลับเกินไปต่างหาก ข้อมูลต่างๆของนายก็ได้มาจากหนังสือและสื่อต่างๆ มันอาจไม่ชัดเจนนักหรอก แต่ว่า…ที่มันน่าเจ็บใจกว่านั้นก็คือ นาย…อิลล์ ที่ร่วมมือกันกับฉันคนนี้ ยังแพ้ให้กับเด็กอายุเพียง 23 ปี แม้ว่าหมอนั่นจะเป็นถึงหัวหน้าหน่วยทหารลับอะไรนั่นก็เถอะ แต่ตอนนี้ ฉันชักจะอยากเห็นหน้าของหมอนั่นซะแล้วสิอิลล์ นายพอจะหารูปให้ฉันได้ไหม?”



        “รูป? อย่างนั้นหรือครับ?”



        “ก็รูปน่ะสิ มีหรือเปล่าล่ะ?”



        “ถ้าเป็นรูปผมไม่มีหรอกครับ แต่ถ้าจะให้อธิบายน่ะได้ครับ”



    ชายบนเก้าอี้เงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มตัว แสงจากเตาผิงที่ดูเหมือนจะโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่องให้เห็นร่างบอบบางที่มีผมสีทองเป็นประกายยาวสลวยจนถึงกลางสะเอว อิลล์จ้องมองด้านหลังของ’ท่านผู้นั้น’ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก



        “นี่อิลล์ … นายรู้ไหมว่าฉันเกลียดคำว่าอะไรมากที่สุด … คำว่า ‘ไม่ได้’ ยังไงล่ะ แต่ว่า…ในเมื่อฉันอยากได้อะไรแล้วก็ต้องได้ นายเข้าใจใช่ไหม?”



    ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกจากปากของชายที่ชื่ออิลล์ ความเงียบที่คืบคลานเข้ามาภายในห้องได้พ่วงเอาบรรยากาศที่อวลไปด้วยแรงกดดันชวนอึดอัด … และความกลัวที่จู่โจมเข้าใส่อิลล์อย่างรวดเร็ว!



        “ฉัน … อยากได้รูปของคนที่ชื่อมาศ แต่ในเมื่อนายหาให้ฉันไม่ได้ … ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก”



    เพียงแค่ประโยคนั้นประโยคเดียว บรรยากาศภายในห้องก็ดีขึ้นทันตาเห็น อะไรๆที่ดูมืดมิดเมื่อครู่ก็ดูจะสว่างขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ … สำหรับอิลล์



        “เอ่อ งั้นเอาเป็นว่าผมจะรีบหารูปมาให้เลยนะครับท่านเฟียส”



        “ไม่ มันชักช้าเกินไป ฉันไม่ชอบ … อีกอย่าง ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น”



        “วิธี … วิธีอะไรหรือครับ? ถ้าหากผมสามารถช่วยได้ผมจะช่วยอย่างเต็มที่เลยครับ”



        “วิธีก็คือ…ฉันจะสอบถามรูปร่างหน้าตาของมาศ ลี จากจิตใต้สำนึกของนาย…เป็นไงอิลล์ ไม่ยากเลยใช่ไหม? เพียงแค่นายยืนเฉยๆ ไม่เจ็บ…ไม่ทรมาน แล้วฉันจะมอบความสุขที่นายไม่เคยสัมผัส ความฝันที่แสนหวาน ทุกสิ่งที่นายฝันจะเป็นของนาย…ถ้านายร่วมมือกับฉันเป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่… นั่นนายกำลังจะไปไหนน่ะอิลล์!”



    บุคคลในเงามืดพูดขึ้นราวกับมีตาหลัง เสียงนั้นทำให้ฝีเท้าของอิลล์ชะงักแล้วเกิดก้าวขาไม่ออกขึ้นมา … ไม่มีทางไหนที่เขาจะ ‘หนี’ ไปจากที่นี่ได้แล้ว ตอนนี้สมองของอิลล์ไม่สามารถที่จะคิดอะไรออกแม้แต่น้อย การหันกลับไปเผชิญกับ’ท่านผู้นั้น’ ดูจะเป็นทางออกเดียว …



    อิลล์ค่อยๆหันตัวกลับไป แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้น เขาจึงได้แต่เพียงยืนตัวลีบหน้าก้มงุดมองมือของตัวเองที่ผสานไว้ตรงเป้ากางเกง ในตอนนี้อย่าว่าแต่เงยหน้าขึ้นสบตากับบุคคลตรงหน้าเลย แม้แต่หายใจแรงๆเขายังไม่กล้า บรรยากาศภายในห้องเริ่มจะแย่ลงเรื่อยๆ ความเงียบได้นำเอาความรู้สึกกดดันอันหนักหน่วงมาอีกครั้ง … แต่ดูท่าจะแย่กว่าครั้งแรก เพราะในครั้งนี้อิลล์สามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อิลล์รู้สึกว่าเวลานั้นช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า แค่ 1 นาที เขาก็รู้สึกว่าเหมือนนานเป็นปี





    เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้าเรื่อยไปจนถึงลำคอของอิลล์ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่อุ้งมือทั้งสองข้างของตนเอง เขารู้สึกอยากจะเดินหนีไปจากห้องนี้เป็นกำลัง แต่ก็เหมือนมีพลังบางอย่างพันธนาการขาและตัวของเขาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวได้



        “นาย…คิดจะหนีฉันงั้นหรืออิลล์?”



    เสียงของบุคคลหน้าเตาผิงเรียบสนิท ไม่บอกว่ารู้สึกอย่างไรกับการกระทำของอิลล์



        “ฉันถามทำไมไม่ตอบ?”



    คราวนี้เสียงของเขากระชากและสูงขึ้น บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธ แต่อิลล์ก็ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะพูดไม่ออกหรือว่าไม่รู้ว่ากลัวที่จะตอบกันแน่ เขาจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรทั้งสิ้น



    อิลล์รู้สึกได้ดีว่ากำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ความกลัวทำให้เขาไม่กล้าที่จะเงยหน้า แต่จู่ๆอิลล์ก็สะท้านไปทั้งตัวเมื่อใบหน้าของเขาเงยขึ้นเอง เขาสาบานได้ว่าเขาไม่ได้เงยขึ้น!



    เมื่อเงยหน้าขึ้นอิลล์ก็ได้รู้ว่าเขายืนห่างกับอีกฝ่ายไม่ถึงเมตร อิลล์พยายามที่จะมองใบหน้าของบุคคลตรงหน้า แต่เพราะเขายืนหันหน้าให้เตาผิง จึงทำให้แสงจากเตาส่องเข้าตาจนพร่า ถึงกระนั้นอิลล์ก็สามารถรู้ได้ว่าบุคคลตรงหน้าเป็นชายหนุ่มร่างบอบบางเหมือนหญิงสาว และสูงแค่ไหล่ของตัวอิลล์เท่านั้น



        “ทำไมกันอิลล์ แค่ฉันขอความร่วมมือแค่นี้นายก็ให้ไม่ได้?”



    เสียงของชายหนุ่มออกแนวตัดพ้อ จนอิลล์รู้สึกผิด แต่อิลล์ก็บอกกับตัวเองว่ามันช่วยไม่ได้ เพราะการตรวจจิตใต้สำนึกที่ชายหนุ่มต้องการจะทำกับเขานั้น มันเหมือนกับการฆ่าคนๆหนึ่งให้ตาย! ถึงจะไม่ใช่ตายจริงๆก็เหมือนตาย อิลล์เคยเห็นคนที่โดนตรวจจิตใต้สำนึก คนๆนั้นมีร่างกายเหมือนบุคคลทั่วไปแต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ!



        “ผม…ผมกลัวครับ ผมกลัวว่าผมอาจจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้ความร่วมมือนะครับ แต่ผมไม่ไหวจริงๆ”



        “อ้อ อย่างนั้นเองหรือ ถ้าอย่างนั้นฉันเข้าใจ…”



    ได้ยินว่าชายหนุ่มเข้าใจ อิลล์ก็ยิ้มออก แต่เพียงชั่วครู่เท่า เพราะประโยคถัดไปของชายหนุ่ม…



        “เข้าใจว่านายไม่ไว้ใจฉัน! นายดูถูกฉันมากเลยนะอิลล์ นายคิดหรือว่าฉันจะปล่อยให้คลังความรู้อย่างนายต้องสูญเสียวิญญาณไป? นายดูถูกฉัน … ได้ ฉันจะสนองให้ เอาให้แบบนายไม่เหลือแม้แต่ชีวิตเลยก็แล้วกัน”



    ขาดคำ ไม่ทันที่อิลล์จะได้ขยับตัวหนี ฝ่ามือของชายหนุ่มกับจับเข้าตรงกลางกระหม่อมของอิลล์ อิลล์พยายามสะบัดตัวหนี แต่ฝ่ามือนั้นก็แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ สักพัก อิลล์ก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขาลอยละล่อง … ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านสิ่งใดๆ…



        “ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นไงล่ะอิลล์ ความรู้สึกก่อนตาย ทีนี้ฉันก็ขอเข้าไปดูหน้าของ มาศ ลีแล้วนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”



    ชายหนุ่มผมทองหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะปิดตาสนิทและเริ่ม’สำรวจ’จิตใจของอิลล์



    ชายหนุ่มยอมรับว่ารู้สึกทึ่ง ที่อิลล์สามารถเก็บข้อมูลของหลายสิ่งหลายอย่างไว้ได้มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เขาค่อนข้างลำบากเหมือนกันกว่าที่เขาจะสามารถถามได้



        “คนไหนคือ มาศ ลี?”



    จบคำถาม ภาพของคนๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา จากจุดเล็กๆที่เหมือนมองจากที่ไกลๆ แล้วก็ดูจะเข้าใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งใกล้เท่าไหร่ชายหนุ่มก็ยิ่งตื่นเต้น จนในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใกล้จนอยู่ในระยะเห็นด้านหลังอย่างชัดเจน คนที่เขาได้เห็นนั้นเป็นชายร่างสูงใหญ่ อยู่ในชุดเสื้อยืดกระชับตัว กับกางเกงวอร์มแบบทหาร ทรงผมของเขาที่เห็นจากด้านหลังตัดสั้นแบบทหาร ชายหนุ่มผมสีทองเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อชายในจิตใต้สำนึกของอิลล์เริ่มหันมามองข้างหลังทีละน้อยๆ



    ตุบ!



    เสียงร่างของอิลล์กระแทกลงบนพื้น ในขณะที่ชายหนุ่มผมทองยืนนิ่งไม่ไหวติง



        “มะ…ไม่น่าเชื่อ!?”



    เสียงของเขาแหบและดูเหมือนจะแปลกใจกับอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก



        “อะไรไม่น่าเชื่ออย่างงั้นหรือเฟียส?”



    เสียงนุ่มของใครบางคนดังมาจากบานประตูของห้อง ชายหนุ่มผมทอง หรือว่า เฟียส หันขวับไปมองต้นเสียง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก



        “นึกว่าใครที่ไหน นายนั่นเอง ทำไมไม่เคาะประตูก่อน?”



        “เคาะแล้ว แต่นายดูท่าจะไม่ได้ยิน แล้วนั่นใครกัน ไปนอนแผ่อยู่ตรงนั้น”



    ชายตรงประตูชี้ไปที่ร่างไร้วิญญาณของอิลล์ซึ่งนอนแผ่อยู่อย่างที่เขาว่าตรงปลายเท้าของเฟียส



        “อิลล์น่ะ แต่ตายแล้วล่ะ”



    เฟียสพูดหน้าตาเฉย พลางหลุบตาลงมองศพของอิลล์ที่นอนเหยียดอยู่บนพื้นห้อง ดวงตาของศพเหลือกจนเห็นแต่ตาขาว ผมที่เคยสีน้ำตาลกลับกลายเป็นสีขาวเช่นกันกับฟองฟูที่ไหลย้อยออกมาจาปาก



        “อิลล์? ที่ความจำดีๆน่ะเหรอ?”



        “อืม คนนั้นล่ะ”



    เฟียสตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินไปที่เก้าอี้บุนวมหน้าเตาผิงแล้วก้มลงหยิบเสื้อคลุมขนมิ้งสีขาวสะอาดขึ้นมาห่มกระชับตัว ปล่อยให้ชายผู้มาใหม่เข้าสำรวจศพของอิลล์



        “ตายทุ เรศชะมัดเลยว่ะ”



    ชายผู้มาใหม่วิจารณ์



        “มันก็จริงอย่างที่นายว่า แต่ว่านะไอโอรอส นายเสียมารยาทมากเลยนะที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องนี้โดยที่ฉันยังไม่ได้อนุญาต”



        “ก็ นายไม่ชวนซักที อีกอย่างนะ มันแปลกมากที่นายฆ่าคนที่เป็นลูกน้อง แถมเป็นลูกน้องคนสนิทซะด้วยสิ อ้อ อีกอย่าง นายจงใจฆ่าเลยนี่เฟียส แค่ตรวจจิตใต้สำนึกไม่น่าจะถึงกับตายนี่นา”



    ชายที่ชื่อไอโอรอสตั้งข้อสังเกต  ก่อนจะหันไปหาเฟียสที่ตอนนี้เข้ามายืนด้านข้างของเขา



        “ก็มันอยากกวนโมโหฉันก่อนนี่ ช่วยไม่ได้”



        “แต่ฉันได้ข่าวว่าหมอนี่มันเก่งมากไม่ใช่หรือ? นายไม่รู้สึกเสียดายหรือไง?”



    คำถามของไอโอรอสทำให้เฟียสยิ้มออกมาอย่างมีเลสนัย



        “ไม่เลย … เพราะฉันเจอคนที่น่าสนใจกว่าหมอนี่อยู่แล้ว … น่าสนใจมากซะด้วย หึหึ”



        “ใครกัน ที่ทำให้นายเป็นไปได้ถึงขนาดนี้?”



    เฟียสหันหลังให้ศพแล้วพึมพำอะไรสองสามคำ สักพักก็มีเปลวไฟสีฟ้าลุกขึ้นท่วมศพของอิลล์ และก็กลายเป็นเถ้าถ่าน



        “มาศ ลี”



        “เมื่อกี๊นายเรียกใครรึเปล่าเฟียส?”



        “เปล่าเรียก แต่บอกชื่อของคนที่ฉันสนใจต่างหาก”



        “เอ๋ มาศ ลี งั้นเหรอ หึ ถ้าถึงขนาดทำให้นายสนใจได้ก็คงไม่ใช่ธรรมดาแล้วล่ะ ก็ดีนะ องค์กรของเราจะได้ยิ่งใหญ่กว่านี้ อ่อ พวกสมาพันธ์มันเรียกเราว่าอะไรแล้วนะ … อ่า ‘แมดบลัด’ ฉันชอบชื่อนี้นะ นายล่ะเฟียส?”



        “หึ ก็เพราะดีนี่ ‘แมดบลัด’ พวกนี้ช่างตั้งชื่อนะ!”





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×