คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 Rule 4: เมื่อฟื้นคืนพลังจะต้องดีขึ้นกว่าเดิม
เนื่องจากเลือดที่ข้าเสียไปสามารถอาบถนนได้ทั้งสาย ทำให้วันลาพักร้อนของข้าเปลี่ยนจากสามวันเป็นหนึ่งสัปดาห์ ได้ยินมาว่าเคเรสพยายามยื่นเรื่องให้ข้าได้พักครบหนึ่งเดือน แต่พระสังฆราชเหมือนจะมีงานที่อยากมอบหมายให้ข้าทำ จึงไม่สำเร็จ เฮ้อ! เคเรส เจ้าช่างเป็นคนดีจริงๆ!
ข้าใช้มือข้างหนึ่งเทนมเปรี้ยวใส่ในกะละมังแป้งเปียก อีกข้างก็จับฝักดาบเทพครีอุสกวนแป้งให้เข้ากัน ใช่ว่าข้าอยากจะเล่าหรอกนะ แต่ว่าฝักดาบเทพครีอุสนี่มันสารพัดประโยชน์จริงๆ เพราะว่าส่วนประกอบเกือบทั้งหมดคือทองเหลือง ไม่ว่าจะเอามาใช้กวนแป้งพอกตัวหรือกวนเหล้าแอปเปิ้ลก็ไม่มีทางขึ้นสนิม พอใช้เสร็จฝักดาบจะไม่เปื้อนมาก แถมเวลาใช้ผ้าเช็ดยังขึ้นเงากว่าเดิมอีก!
อืม ท่าทางแป้งพอกจะเข้ากันเป็นเนื้อเดียวจนใช้ทาตัวได้แล้ว เมื่อวานต่อสู้กันตั้งนาน แถมตอนหลังข้ายังบาดเจ็บจนหมดสติ สุดท้ายเมื่อคืนเลยไม่ได้พอกตัว วันนี้พอข้าตื่นนอนตอนเช้าแล้วส่องกระจก โอย...ข้าอยากจะเป็นลม สีผิวของข้าเปลี่ยนจากสีนมเปรี้ยวกลายเป็นสีน้ำผึ้งไปแล้ว!
สวรรค์! ข้าว่าต่อให้พอกตัวอีกสัปดาห์หนึ่งก็ยังกู่ไม่กลับ
“ครี...ครีอุส! เจ้าทำอะไรน่ะ” อยู่ๆ เคเรสก็ผลักประตูเข้ามาแล้วมองข้าตาค้าง
ข้าเพิ่งกวนแป้งเสร็จและกำลังจะเริ่มต้นทาตัว...ใช้มือควักแป้งพอกขึ้นมาแล้วก็เพิ่งคิดได้
ให้ตาย! ข้าลืมลงกลอนประตูนี่นา แล้วเจ้าเคเรสก็ดันลืมเคาะประตูซะด้วย!
ยังดีๆ ข้าแค่กำลังจะลงมือพอกตัว แต่ยังไม่ทันได้พอก ไม่อย่างนั้นเคเรสต้องเห็นข้าเป็นอมนุษย์ที่กำลังจะแปลงร่างแน่นอน ไม่แน่เขาอาจจะลากตัวข้าไปหาเทพอัศวินเทอร์มิสเพื่อนรักของข้า แล้วทรมานให้ข้าสารภาพว่าเป็นอมนุษย์ที่ซาตานส่งมา
“เมื่อวานเจ้าเสียเลือดเยอะขนาดนั้นเจ้าจะลุกขึ้นมาทำไม ยังไม่รีบพักผ่อนอีก!”
เคเรสรีบพุ่งเข้ามาผลักข้าให้กลับลงไปบนที่นอน จากนั้นก็จัดผ้าห่มให้...
ข้าเหลือกตาขึ้นอย่างเหลืออด นี่ๆ! แป้งพอกยังอยู่บนมือข้าอยู่เลยนะ!
“ครีอุส เจ้าถือแป้งเปียกเอาไว้ทำไม” พอเคเรสจัดผ้าห่มให้ข้าเสร็จก็มองมือที่มีก้อนแป้งเปียกเหนียวๆ ซึ่งยื่นออกมานอกผ้าห่มอย่างไม่เข้าใจ
เคเรสใช้ความคิดกับแป้งพอก (ถึงจะดูเหมือนกำลังอึ้งอยู่ก็เถอะ) สักพักก็หันมายิ้มกับข้า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าหิวใช่ไหม”
...เจ้าคิดออกมาได้ยังไงเนี่ย ไอ้ที่อยู่บนมือข้ามันเหมือนของกินตรงไหน
“กินของพวกนี้เดี๋ยวจะปวดท้องได้นะ”
เคเรสดึงแป้งเปียกในมือข้ากลับไปใส่ในกะละมังอย่างไม่เห็นด้วย สุดท้ายก็ยกกะละมังเดินออกไปนอกห้องแล้วหันกลับมาพูดกับข้าว่า “ข้าจะไปห้องครัวหาอะไรมาให้เจ้ากินนะ”
นี่ๆ! เจ้าจะไปหาของกินให้ข้าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เจ้าจะเอาแป้งพอกตัวของข้าไปไหน
ในกะละมังนั้นน่ะคือเงินเบี้ยเลี้ยงห้าวันของข้าเลยนะ ข้ากะทำไว้ใช้ทาตัวทั้งสัปดาห์!
เคเรสเพิ่งจะเดินถึงประตูแล้วเปิดออก ทันใดนั้นคนที่อยู่ข้างนอกก็ทำให้เขาตกใจจนปล่อยกะละมังที่อยู่ในมือตกพื้น
เบี้ยเลี้ยงห้าวันของข้า! ข้ารีบกระโดดเด้งตัวขึ้นจากเตียง แต่ก็ช่วยเหลือเบี้ยเลี้ยงของข้าไว้ไม่ทัน...
พึ่บ!
ทว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกยื่นมือมาคว้าเบี้ยเลี้ยงของข้าไว้ได้อย่างทันท่วงที ร่างของเขาเหมือนถูกปกคลุมด้วยเมฆดำ ไม่เพียงแต่ผมดำ ตาดำ ชุดดำ แม้แต่บรรยากาศรอบๆ ตัวเขาก็ดูจะมืดลงไปด้วย คนคนนี้ใครเห็นใครก็กลัว ถ้าเจอผี ผียังชิงวิ่งหนีไปก่อน เขาก็คือเทพอัศวินเทอร์มิส
“หัวหน้าเทพอัศวินเทอร์มิส ไม่ทราบว่าท่านมาทำอะไรที่นี่” เทพอัศวินเคเรสถามระแวดระวัง
ข้าเกือบลืมเล่าให้ฟังไปเลยว่าถึงเทพอัศวินเทอร์มิสจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่ไม่ใช่เพื่อนของข้า หากก็มีแต่ในใจของเราสองคนเท่านั้นที่รู้ จากภายนอกเราสองคนคือน้ำกับไฟที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
เหมือนว่าระหว่างฝ่ายเฮมิชกับกลุ่มโคลด์บลัดจะมีแค่ข้ากับเขาเท่านั้นที่สนิทกันเป็นพิเศษ ส่วนคนอื่นๆ พอเจอหน้ากันก็รู้สึกเหม็นหน้าทันที การอบรมของตำหนักเทพอัศวินได้ผลเกินคาดจริงๆ
ใบหน้าเคร่งขรึมของเทอร์มิสไร้อารมณ์ เขาพูดด้วยเสียงทุ้มหนักที่ทำให้คนได้ยินอยากจะหัวใจวายตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ท่าทางของเขายังนิ่งเฉยเหมือนเดิม “ข้ามามอบหมายหน้าที่จากพระสังฆราช”
ไม่รู้เจ้าเคเรสเอาชนะรัศมีกดดันของเทพอัศวินเทอร์มิสได้ยังไง เขาหันมาหัวเราะขื่นๆ ให้ข้า “ครีอุส...”
ข้ารู้สึกหน้ามืดนิดหน่อยเพราะเมื่อกี้นี้กระโดดเด้งตัวเร็วเกินไป ข้าค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งบนเตียงอย่างสง่างามแล้วพูดว่า “เทพอัศวินเคเรส ในเมื่อเป็นรับสั่งของพระสังฆราช ข้าก็จะรับฟังอย่างตั้งใจ”
“แต่เจ้าบาดเจ็บอยู่ จะต้องพักผ่อนให้มากๆ” เคเรสดูเป็นกังวล
“เทพอัศวินเคเรสได้โปรดอย่าเป็นกังวล ข้ามีเทพเจ้าแห่งแสงสว่างคุ้มครองอยู่”
ถ้าเจ้าบังคับให้ข้าต้องพูดอะไรแบบนี้อีกล่ะก็ ข้าจะเป็นลมให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้ล่ะ!
“งั้น...ก็ได้” เคเรสเดินออกจากห้องข้าอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็งับบานประตูไว้
เทอร์มิสหันไปลงกลอนอย่างรอบคอบ จะได้ไม่มีใครลืมเคาะประตูแล้วพุ่งพรวดเข้ามาอีก
“พระสังฆราชให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เขาต้องการให้เจ้าสืบความเป็นมาของอัศวินแห่งความตายตนนี้ภายในหนึ่งสัปดาห์” เทอร์มิสทรุดนั่งพลางวางกะละมังแป้งพอกตัวลง แล้วก็พูดถึงประเด็นสำคัญโดยที่ไม่ต้องเกริ่นอะไรอีก
ข้ารู้อยู่แล้วว่าไอ้แก่นั่นไม่ยอมให้ข้าหยุดอยู่เฉยๆ ตั้งหนึ่งสัปดาห์หรอก
“ข้าไม่ใคร่จะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ปล่อยให้เป็นไปตามพระประสงค์ขององค์มหาเทพ” ข้าเหลือทนแล้วนะ ให้ข้าไปหลบๆ ซ่อนๆ ตามสืบเรื่องนี้ก็เท่ากับโยนเผือกร้อนใส่มือข้านี่
“ไม่รู้” เทอร์มิสตอบสั้นๆ
“ถึงจะเป็นอัศวินแห่งความตาย ทว่าพระสังฆราชก็มิควรใส่ใจมากถึงเพียงนี้ แล้วเพราะเหตุผลกลใดจึงต้องให้ข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเองเล่า”
ข้าหัวจะระเบิด ตาแก่นั่นชอบเอาเปรียบพวกอัศวิน ที่ผ่านมาขนาดข้ายังพักฟื้นได้ไม่ดีเท่าเดิมก็ส่งออกไปทำงานแล้ว แต่คราวนี้ข้าเสียเลือดจนเอาไปล้างถนนได้ทั้งเส้น ถ้าไม่ได้พักผ่อนสักสามวันเป็นอย่างน้อย ข้าต้องไม่มีทางกลับไปหายดีเหมือนเดิมแน่นอน ในเมื่อเรื่องมันเร่งด่วนขนาดนั้นทำไมไม่ให้เทพอัศวินคนอื่นออกไปสืบแทนล่ะ
“พระสังฆราชไม่ได้ต้องการผลการสืบสวน ขอเพียงเจ้าสืบได้ความแล้วมาบอกข้าก็พอ” ระหว่างที่เทพอัศวินเทอร์มิสพูดอยู่ ข้าสังเกตเห็นว่าดวงตาของเขาเหี้ยมเกรียมแบบที่น่าจะใช้กับนักโทษมากกว่าใช้กับข้า
อ้อ...ให้เทพอัศวินครีอุสไปแอบสืบเรื่องราว จากนั้นก็ให้เทพอัศวินเทอร์มิสจัดการกับคนผิดเงียบๆ ท่าทางเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาซะแล้ว
ข้าพูดแบบนี้พวกเจ้าอาจจะไม่เข้าใจว่าข้ากับเทอร์มิสกำลังงุบงิบอะไรกันอยู่ ข้าจะอธิบายอย่างละเอียดก็แล้วกัน
ก่อนอื่นต้องพูดถึงกำเนิดของอัศวินแห่งความตายก่อน การที่อัศวินแห่งความตายสักตนจะกำเนิดขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องเตรียม ‘ของสำคัญ’ สองสิ่งเพื่อเป็น ‘วัตถุดิบ’ ให้อัศวินแห่งความตายมีพลังแข็งแกร่ง
ของจำเป็นสิ่งแรก : นักเวทสะกดวิญญาณชั้นสูง
ถึงจะหาได้ไม่ยาก แต่ก็หาได้ไม่ง่ายเช่นกัน อาชีพนักเวทสะกดวิญญาณไม่ใช่อาชีพที่เป็นที่นิยมเท่าไหร่ บวกกับเป็นอาชีพที่คนส่วนใหญ่รังเกียจ ดังนั้นการจะหาพวกนักเวทสะกดวิญญาณเลยต้องไปหาตามยอดเขาสูงๆ ถิ่นทุรกันดารที่คนไม่เข้าไป หรือไม่ก็ต้องไปหาตามสุสานอะไรจำพวกนั้น
ของจำเป็นสิ่งที่สอง : ร่างไร้วิญญาณใหม่ๆ ที่ตายตาไม่หลับด้วยความแค้นสุมอยู่ในอก
การจะหาร่างไร้วิญญาณแบบนี้ได้นั้นยากกว่าการหานักเวทสะกดวิญญาณซะอีก
หรือพวกเจ้าจะบอกว่าการหาร่างที่ยังไม่ละความแค้นไม่เห็นจะยากอะไร
แต่ข้าจะบอกให้ฟัง การจะปลุกให้ฟื้นคืนชีพเป็นอัศวินแห่งความตายได้นั้น ลำพังความแค้นเล็กๆ น้อยๆ ประเภทแค้นใจที่ก่อนตายไม่ได้กินอิ่มน่ะใช้ไม่ได้หรอกนะ มันจะต้องเป็นความอาฆาตแค้นซึ่งมากพอที่จะทำให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งได้!
และสิ่งเดียวที่จะทำให้อัศวินแห่งความตายแรกเกิดแข็งแกร่งขึ้นมาได้ก็คือ ‘ความแค้นที่ไม่สามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วง’
ยิ่งทำไม่สำเร็จก็ยิ่งเกิดความแค้น ความโกรธเกลียดเป็นเหมือนอาหารชนิดหนึ่งซึ่งทำให้อัศวินแห่งความตายที่ยังเป็นทารกเติบโตขึ้น รอจนกว่าความโกรธเกลียดของมันมากจนถึงขีดสุด มันก็จะกลายเป็น ‘ประมุขแห่งความตาย’ เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างจะเลวร้ายมากขึ้น
เพราะถึงอัศวินแห่งความตายจะแกร่งกล้าขนาดไหน มันก็ยังคงเป็นเพียงอมนุษย์ตนหนึ่ง แต่ประมุขแห่งความตายมีพลังอำนาจวิเศษพอๆ กับนักเวทสะกดวิญญาณ ไม่เพียงสามารถเรียกกองทัพอมนุษย์ออกมาได้ ยังสามารถร่ายมนตร์เพิ่มพลังให้กับกองทัพได้อีกด้วย
สรุปก็คือจะต้องไม่ให้ประมุขแห่งความตายถือกำเนิดได้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นโศกนาฏกรรมที่น่าสยดสยองจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เล่าเรื่องกำเนิดอัศวินแห่งความตายจบแล้วก็มาเล่าวิธีการกำจัดอัศวินแห่งความตายกันต่อ ที่ง่ายที่สุดคือใช้อาวุธไล่ต้อนให้มันจนมุม จากนั้นก็ใช้ไฟเผาให้สิ้นซาก
วิธีที่สอง สืบให้รู้ว่าอัศวินแห่งความตายตนนี้มีความปรารถนาและความอาฆาตอะไร จากนั้นก็ช่วยแก้แค้นให้มันสมหวัง เสร็จแล้วมันก็จะลอยขึ้นฟ้าไปเอง
ถึงวิธีที่สองจะฟังดูเข้ากับหลักความยุติธรรมและคุณธรรมมากกว่า แต่วิธีใช้กำลังง่ายกว่าเยอะ จึงเป็นวิธีที่ใครๆ ต่างทำกัน
“เหตุใดพระสังฆราชจึงใคร่รู้ในอัศวินตนนี้นัก”
ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ถึงตาแก่คนนี้จะไม่ถึงกับไม่รู้ดีชั่ว แต่การที่เขาดำรงตำแหน่งสูงๆ อย่างพระสังฆราชมานานน่าจะทำให้ความรู้สึกแบบนั้นลดน้อยลงไปจนน่าจะไม่เหลือแล้ว กล่าวคือเป็นเพียงตาแก่ที่เย็นชาคนหนึ่ง นี่คราวนี้ถึงกับให้ข้าสืบหาต้นตอความแค้นของอัศวินแห่งความตายตนนี้เพื่อทวงความเป็นธรรมให้ สงสัยกระทั่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่างก็ยังทรงตื่นเต้นไปด้วย!
เทอร์มิสมองข้าแปลกๆ ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ได้ยินว่าประโยคเดียวที่อัศวินแห่งความตายตนนั้นพูดก็คือ เขาจะกลับมาหาเจ้าไม่ใช่หรือ”
ข้าพยักหน้า ใช่แล้ว! เขาบอกว่าจะกลับมาหาข้า...ให้ตาย! ข้าเข้าใจแล้ว!
ตามปกติ คนที่อัศวินแห่งความตายจะเข้าไปยุ่งด้วยคือคนที่มันอาฆาตแค้น
“ข้าถูกสงสัยงั้นเหรอ” ข้าตกใจจนลืมคำพูดสรรเสริญเยินยอเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง
เทพอัศวินเทอร์มิสพยักหน้าเคร่งเครียด
ข้าเหงื่อแตกพลั่ก พยายามแก้ข้อกล่าวหา “ข้าไม่ได้ฆ่าเขานะ! ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ!”
เทอร์มิสพยักหน้า และทิ้งประโยคสุดท้ายไว้
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาความจริงเพื่อล้างมลทินให้ตัวเอง จะทำอะไรก็รีบเข้า ตอนนี้ทุกคนเริ่มสงสัยกันแล้ว”
ถ้าข้าตายไปตอนนี้ ข้าจะต้องกลายเป็นอัศวินแห่งความตายล้านเปอร์เซ็นต์
เพราะตอนนี้ความแค้นเคืองของข้าฝังลึกพอๆ กับท้องมหาสมุทร!
ทีแรกอยู่ๆ ก็ถูกอัศวินแห่งความตายฟันจนเลือดไหลนองพื้น ต่อมากะว่าจะได้พักผ่อนสักสัปดาห์ แต่สุดท้ายต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ไปกับการสืบคดี แถมผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ยังเป็นข้าอีก!
ความคิดที่จะนอนพอกตัวพักผ่อนสักสามวันแล้วค่อยตื่นไปพักร้อนต่อ พอมาเจอเรื่องที่ข้าต้องข้อหาเป็นฆาตกร ข้าเลยไม่มีอารมณ์จะลงไปนอนต่อแล้ว!
เทอร์มิสออกจากห้องไปแล้ว ส่วนข้ายังยืนงงอยู่ที่เดิม มีเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ภายในหนึ่งสัปดาห์ข้าจะต้องสืบเรื่องยากๆ นี้ให้ได้ความจริงออกมา แถมคดีนี้ยังเกี่ยวข้องกับอัศวินแห่งความตายอีก ใครจะไปรู้ได้ว่าอัศวินแห่งความตายตนนั้นตายมานานขนาดไหนแล้ว!
ข้าต้องรีบสืบคดีให้รู้ความจริง...ไม่อย่างนั้นถ้าข้าตายไปเพราะเรื่องนี้ ข้าได้กลายเป็นอัศวินแห่งความตายแล้วตามไปแก้แค้นไอ้อัศวินแห่งความตายตนนั้นแน่!
ข้าเปิดผ้าคลุมแล้วหยิบดาบเทพครีอุสที่ถูกห่อไว้ออกมา...ใครจะไปรู้ว่าอัศวินแห่งความตายจะกลับมาหาข้าอีกเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นข้าเอาดาบเทพครีอุสติดตัวไปด้วยดีกว่า
ทีแรกจะขี่ม้าออกไป แต่คิดๆ ดูแล้วตอนนี้อาการบาดเจ็บภายในของข้ายังไม่ดีขึ้น แค่อยู่เฉยๆ ก็รู้สึกเวียนหัวจนตาลาย ถ้าต้องควบม้าปุเลงๆ อีกอาจจะตกลงมาจากหลังม้าคอหักตายได้
เดินดีกว่า แต่ก็กลัวว่าข้าจะไปเป็นลมอยู่ข้างทาง
ดังนั้นเพื่อไม่ให้วุ่นวาย ข้าเลยดึงหมวกผ้าคลุมลงต่ำให้ปิดหน้า ชาวบ้านจะได้จำไม่ได้ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีคนหันมาค้อนใส่ข้าประมาณว่า ‘เจ้าเป็นเต่าหดหัวหรือไง’ เป็นพักๆ
ตอนนี้คนที่ความดันเลือดต่ำสุดๆ อย่างข้าขี้เกียจจะไปสนใจคนอื่น จึงเอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดองแล้วเดินหน้าต่อไป ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ภาพตรงหน้าก็ยิ่งวุ่นวายน้อยลง จากร้านรวงงดงามเบียดเสียดตลอดเส้นทางก็กลายเป็นย่านเมืองเก่าซึ่งคนสัญจรน้อยลงทุกทีๆ
“โอ้โห! ผ้าคลุมสวยนี่! คุณชาย หาทางไปหาแม่หมอไม่ถูกใช่ไหม” ขี้เมาที่เกลือกกลิ้งอยู่ข้างทางถามพร้อมเสียงหัวเราะ
ข้าเดินผ่านพวกขี้เมากลุ่มนั้นไป พยายามรักษาฝีเท้าเฉื่อยชา ข้าเดินเข้าไปในตรอกที่แม้แต่ขี้เมาข้างถนนยังไม่คิดจะเดิน ไปยังกระท่อมผุๆ พังๆ ที่ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ จากนั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองกระท่อมหลังนั้น
ปัง!
ข้าถีบประตูพังราบแล้วพุ่งเข้าไปข้างในก่อนจะตวาดเสียงดัง “เจ้าผีดิบ! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าทำให้ข้าเดือดร้อนแล้วรู้ไหม!”
ในกระท่อมหลังนั้นมีแต่โต๊ะเก้าอี้ที่พังไม่เป็นชิ้นกองระเนระนาด แถมยังมีใยแมงมุมหนาๆ เกาะอยู่เต็มไปหมด ถ้าคิดที่จะเข้ามาก็ต้องเตรียมใจกับการแปลงร่างเป็นแมลงวันตัวใหญ่ที่ถูกใยแมงมุมพันไว้ก่อนด้วย
เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่คนเลย ขนาดหมาป่าสักตัวยังไม่คิดจะมาอยู่ที่นี่
แต่ข้ารู้ว่าของพวกนี้เป็นภาพลวงตาที่นักเวทสะกดวิญญาณสร้างขึ้นเพื่อหลบหลีกพวกชาวบ้านที่รังเกียจตน
“เจ้าผีดิบ! จะไม่ออกมาใช่ไหม!” ข้าค่อยๆ ยื่นมือออกมาจากผ้าคลุม จากนั้นมือสีขาวที่สวยงาม...ให้ตาย! มันกลายเป็นมือสีน้ำผึ้งไปแล้ว!
ฮือๆๆ ข้ากลายเป็นเทพอัศวินครีอุสสีน้ำผึ้งไปแล้ว!
ช่างมัน หาเจ้าผีดิบให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้าไม่ได้เอ่ยปากท่องคาถาเลยสักนิด แต่ก็มีแสงสว่างจากพลังวิเศษค่อยๆ สว่างขึ้นบนมือของข้า จนในที่สุดแสงสว่างสีขาวก็ส่องไปทั่วกระท่อมผุๆ หลังนี้
ใช่ว่าข้าอยากจะโม้นะ แต่การเสกแสงสว่างโดยไม่ต้องท่องคาถาน่ะ ขนาดนักบวชชั้นสูงหรือพระสังฆราชชุดแดงพวกนั้นก็มีไม่กี่คนหรอกที่ทำได้อย่างข้า
อาจารย์ของข้ามักจะกล่าวอย่างประหลาดใจเสมอๆ ว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าช่างมีพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งองค์มหาเทพจริงๆ’
‘จริงหรือขอรับ’ ตอนนั้นข้ารู้สึกดีใจมากๆ เพราะข้ากำลังรู้สึกแย่กับวิชาดาบห่วยๆ ของตัวเอง
‘อืม ถ้าเจ้าไปอยู่ที่อารามเทพแห่งแสงสว่างแต่แรก ต่อไปเจ้าจะต้องได้เป็นพระสังฆราชผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งอารามเทพแห่งแสงสว่างอย่างแน่นอน!’
ข้ากะพริบตาใสซื่อ จินตนาการถึงภาพของอำนาจและความรุ่งโรจน์ของการเป็นพระสังฆราช...
‘แต่ในเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ในตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็จะเป็นได้แค่เพียงเทพอัศวินครีอุสผู้อ่อนแอเท่านั้น’
มิน่าล่ะ ผู้หญิงถึงกลัวจะเลือกสามีผิด ผู้ชายกลัวที่จะเลือกทางเดินชีวิตพลาด แค่เลือกสายอาชีพผิดเพียงนิดเดียวก็สามารถเปลี่ยนจากคนที่แข็งแกร่งที่สุดกลายเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดได้ ข้าไม่น่าเลือกผิดเลย เด็กๆ ก็โง่แบบนี้แหละ เพราะรู้สึกว่าการสวมชุดเกราะอัศวินกับการถือดาบมันช่างหล่อเกินห้ามใจแท้ๆ
ตอนนี้ถึงรู้ซึ้งแล้วว่านักบวชเป็นอาชีพที่ดีกว่า!
ในเมื่อไม่ต้องจับดาบก็ไม่ต้องเสียเงินซ่อมดาบ ถึงนักบวชจะต้องเสียเงินซื้อไม้คทา แต่สำหรับคนที่มีพลังวิเศษอย่างข้า แค่ถือกิ่งไม้ก็ใช้ได้เหมือนกัน!
อีกอย่างนักบวชไม่ต้องสวมชุดเกราะ จึงไม่ต้องเสียเงินซื้อชุดเกราะ แล้วก็ไม่ต้องเอาชุดเกราะไปซ่อมเวลาถูกศัตรูฟันจนบุบบู้บี้ด้วย
ถึงจะบอกว่านักบวชต้องเสียเงินซื้อเสื้อคลุมนักบวช แต่จะขอพูดอีกครั้ง สำหรับคนที่มีพลังวิเศษอย่างข้า แค่เอาผ้าม่านมาพันตัวผืนเดียวก็เหมือนกับการใส่ชุดนักบวชนั่นแหละ!
สวรรค์ประทานพรสวรรค์ของนักบวชให้ข้ามากขนาดนี้ ข้ายังจะเลือกเป็นอัศวินอีก แถมข้าจะกลับใจเปลี่ยนสายอาชีพก็ไม่ได้ด้วย สิ่งที่ทำได้คือเป็นเทพอัศวินครีอุสไปจนกว่าจะเกษียณหรือตายกันไปข้าง...ขนาดข้ายังอยากจะด่าตัวเองเลย ให้ตาย!
ไม่น่าเลย...
“ครีอุสๆ!” เสียงร้องแหลมๆ ขัดความคิดแค้นเคืองของข้า
ข้าหันขวับทันที เงาสีดำเงาหนึ่งวิ่งผลุบๆ โผล่ๆ ไปทั่วห้อง แถมยังร้องเรียกข้าเสียงแหลม พอเห็นเข้าข้าก็โล่งใจและเก็บแสงที่เสกขึ้น
“โอ๊ยๆๆ! เจ็บจังเลย!” เงาสีดำทรุดนั่งตรงมุมห้องพร้อมกับร้องโอดโอยไม่หยุด
กระท่อมทั้งหลังเปลี่ยนไปในทันที แสงที่ข้าเสกกวาดทุกอย่างที่นักเวทสะกดวิญญาณสร้างขึ้น ม่านใยแมงมุมหนาๆ หายไปหมดจนเหลือแต่ห้องเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้าน เพียงแต่ว่า...
สีชมพู สีชมพู มองไปทางไหนก็มีแต่สีชมพู!
บ้าไปแล้ว! ความจริงไม่ต้องใช้คาถาพรางตาปกปิดว่ามีนักเวทสะกดวิญญาณอยู่ที่นี่ก็ได้
เพราะใครจะไปคิดว่าจะมีนักเวทสะกดวิญญาณอาศัยอยู่ในกระท่อมที่มีผนังสีชมพู โต๊ะเก้าอี้สีชมพู ที่นอนสีชมพู ขนาดข้าวของเครื่องใช้ก็ยังเป็นสีชมพูหมดทุกอย่าง!
กระท่อมที่มีแต่ใยแมงมุมเมื่อกี้ยังเหมือนที่อยู่ของนักเวทสะกดวิญญาณมากกว่าตอนนี้ซะอีก!
“ครีอุส...” เงาสีดำนั้นเคลื่อนมาดึงเสื้อคลุมข้าอย่างขลาดๆ
ข้าก้มหน้ามอง...ใช่แล้ว ต้องก้มหน้า เพราะนักเวทผู้นี้สูงแค่เอวของข้าเท่านั้น ข้ามองเจ้านักเวทสะกดวิญญาณเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
พอโดนข้าจ้อง เจ้าเงาสีดำก็ลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นแล้วร้องไห้
“เจ้าจะร้องทำไมหา! เจ้าเป็นนักเวทสะกดวิญญาณนะ!” ข้ามองเงาสีดำอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ตะคอกว่า “คนที่น่าจะร้องไห้คือข้าต่างหาก ข้าถูกฟันจนเลือดไหลเต็มไปหมด แล้วยังถูกคนอื่นสงสัยว่าข้าทำเรื่องที่ผิดคุณธรรมจนเป็นเหตุให้อัศวินแห่งความตายหมายหัวข้าอีก”
“ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะทำก็ได้...” เงาสีดำพูดเสียงเบา
“เจ้า-ว่า-อะ-ไร-นะ”
ข้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ค่อยๆ จับมันยกขึ้นมา
ในกระท่อมที่มีผนังเป็นสีชมพู พื้นเป็นสีชมพู เตียงที่อยู่ข้างๆ ก็เป็นสีชมพู อัศวินรูปงามผิวสีน้ำผึ้งคนหนึ่งนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ บนตักของเขามีเด็กผู้หญิงงดงามบอบบางน่ารักนั่งอยู่หนึ่งคน เหนือดวงตาสุกใสคือเส้นผมสีทองประกาย เหมือนกับตุ๊กตาไม่มีผิด
แต่ถ้าดูให้ดีๆ จะเห็นว่าผิวของเด็กหญิงคนนี้มีสีชมพูจนคนที่มองเริ่มรู้สึกแปลกๆ และขนลุกลามไปถึงกลางหลัง
“ผีดิบ เจ้าหมายความว่าเจ้าไม่รู้ที่มาที่ไปของร่างนั้นใช่ไหม” คิ้วของข้าขมวดเข้าหากัน
“อย่ามาเรียกข้าว่าผีดิบนะ ข้าชื่อพิ้งกี้ต่างหาก!” ในมือเด็กหญิงสีชมพูถืออมยิ้มอันใหญ่ หน้าตาบูดเบี้ยวไม่สบอารมณ์ แต่พอถูกข้าจ้อง หล่อนก็ยอมอธิบาย “ข้าก็ทำเหมือนเมื่อก่อน ไปที่ลานลงทัณฑ์ซื้อศพกลับมาแค่นั้น อีกอย่างคราวที่แล้วเจ้าบอกว่าอยากจะได้อมนุษย์ชั้นสูง ข้าก็เลยยอมลงทุนซื้อศพที่สมประกอบมาให้...ข้าไม่รู้ว่าศพนั้นมีความอาฆาตแค้นมากจนกลายเป็นอัศวินแห่งความตายได้นี่”
พิ้งกี้เอียงคอทำหน้าตาน่าเอ็นดูพูดกับข้าต่อ “แถมคนที่เขาแค้นก็คือเจ้าเสียด้วย”
“แต่ข้าไม่รู้จักเจ้านั่นเลยนะ!” ข้าหงุดหงิดขึ้นมาทันที ข้าไม่เคยเจอเขาสักหน่อย แล้วทำไมจะต้องมาแค้นข้าด้วย
ไม่รู้ว่าพิ้งกี้จะเชื่อข้าไหม เพราะหล่อนเอาแต่ก้มหน้าเลียอมยิ้มของตัวเอง
ข้าเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าบอกว่าไปซื้อมาจากลานลงทัณฑ์ หมายความว่าเขาเป็นนักโทษงั้นเหรอ”
“ไม่น่าจะใช่นะ” พิ้งกี้เงยหน้าขึ้น ถึงใบหน้าเล็กๆ จะยังดูน่ารัก แต่แววตากลับสุขุมขึ้น...ไม่มีใครรู้ว่านักเวทสะกดวิญญาณที่ชอบทำตัวเหมือนเด็กคนนี้เป็นยัยแม่มดแก่อายุเท่าไหร่กันแน่
“ไม่น่าจะใช่เหรอ” ข้าลูบจมูก ถามอย่างสงสัย “ต้องเป็นนักโทษสิถึงจะถูกส่งไปที่ลานลงทัณฑ์”
พิ้งกี้ส่งยิ้มดูถูกให้ข้า “มองเผินๆ ก็คงอย่างนั้น แต่ข้าจะบอกให้ฟัง จากประสบการณ์ที่ข้าซื้อศพมานับไม่ถ้วน มีคนมากมายที่ไม่รู้จะจัดการกับศพยังไง แต่แค่จ่ายเงินเพียงนิดเดียวก็จะมีคนช่วยเอาไปทิ้งไว้ที่ลานลงทัณฑ์ให้”
“จริงเหรอ แล้วเจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ใช่นักโทษ” ข้าขมวดคิ้ว ข่าวนี้ควรจะบอกให้เทพอัศวินเทอร์มิสไปตรวจสอบดูดีไหม
“โง่!” พิ้งกี้ดูจะชอบเห็นข้าตามหล่อนไม่ทัน “นักโทษส่วนใหญ่จะถูกแขวนคอ และแม้ทุกศพจะมีรอยแผลบนลำคอ แต่ข้าซื้อศพมาหลายปีจนคุ้นเคยพอจะดูออกว่ารอยไหนเป็นรอยที่เกิดขึ้นหลังจากตายแล้ว ถ้ากระดูกต้นคอไม่หักแสดงว่าศพนั้นไม่ได้ถูกแขวนคอตาย”
“ถ้างั้นอัศวินแห่งความตายตายได้ยังไง”
ข้าตัดสินใจพักเรื่องที่ลานลงทัณฑ์ไว้ก่อน ตอนนี้การล้างมลทินให้ตัวเองสำคัญกว่าเยอะ
พิ้งกี้เอียงคอครุ่นคิดด้วยท่าทางน่ารัก แล้วก็เลือกคำตอบที่ดีที่สุด “ถูกทารุณจนตาย เขามีบาดแผลทั่วตัว น่าจะถูกทรมานอยู่นานจนสุดท้ายทนไม่ไหวถึงตาย”
ถูกทรมานจนตายงั้นเหรอ ข้าเริ่มงงไปหมดแล้ว
“แต่ว่าครีอุส...” อยู่ๆ พิ้งกี้ก็มองข้าด้วยสายตาวาดหวัง “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าชอบเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย คราวหน้าเรามาแลกเปลี่ยนวิธีทรมานคนกัน เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยทรมานใครจนกลายเป็นอัศวินแห่งความตายมาก่อน”
พอได้ยินอย่างนั้นข้าก็หงุดหงิดจนจับตัวพิ้งกี้มาเขย่า “แลกเปลี่ยนบ้าอะไร! ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่รู้จักเขา!”
พิ้งกี้ถูกเขย่าหัวสั่นหัวคลอนจนลูกตากลมๆ ใสๆ ของหล่อนกลอกไปมาอย่างรุนแรง คล้ายกับว่ามันจะถลนออกมา ข้าจึงรีบใช้มือตบลูกตาของหล่อนกลับเข้าไปในเบ้า ข้าไม่อยากเห็นภาพลูกตาเด้งออกมาหรอกนะ
“รู้แล้วน่า ข้าก็ไม่รู้จักไอ้พวกที่ถูกทรมานนั่นเหมือนกัน” พิ้งกี้ยิ้มทะเล้นใส่ข้า
ข้าด่าในใจ ไอ้คนสมควรตาย...ไม่สิ! หล่อนตายไปแล้วนี่นา ไอ้นักเวทไร้สำนึก! ไม่ยอมเชื่อว่าข้าไม่ได้ทรมานอัศวินแห่งความตายตนนั้นจนตาย
“เจ้าไปซื้อศพมาจากลานลงทัณฑ์ไหน”
“นอกกำแพงเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
“ลานที่ไกลที่สุด...” ท่าทางความลำบากของข้าจะยังไม่สิ้นสุด
ถึงสิ่งที่ข้าอยากจะทำจริงๆ คือล้มตัวลงบนเตียงสีชมพูที่อยู่ข้างๆ กอดหมอนข้างสีชมพู แล้วหลับไปสักสามวันสามคืน แต่ข้าก็ต้องลุกขึ้นอย่างยอมรับชะตากรรม
ตอนนี้ความต้องการกับสิ่งที่ต้องทำมันสวนทางกัน ข้าสมควรเดินทางไปยังลานลงทัณฑ์ที่มีแต่ศพเหม็นๆ แล้วก็ถามผู้ดูแลลานลงทัณฑ์โสโครกนั่นว่าเจ้าศพเน่าๆ ร่างนั้นมาจากไหนกันแน่
คิดแล้วก็มองเห็นอนาคตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของตัวเองในทันที
ข้าผลักเจ้าตุ๊กตาผีดิบสีชมพูลงจากตัก จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินออกประตูไปช้าๆ
“ครีอุส”
พอได้ยินเสียงข้าก็หันกลับไปมอง พิ้งกี้ยืนพิงขอบประตูพลางเลียอมยิ้มสีชมพูของตัวเอง ดวงตาสวยสุกใสของหล่อนกะพริบปริบๆ
“ยังจำที่ข้าคุยกับเจ้าคราวที่แล้วได้ใช่ไหม ถ้าเจ้าต้องการ ข้ารับเจ้าเป็นลูกศิษย์ได้เสมอ แม้แต่ตำหนักเทพอัศวินหรือแม้กระทั่งอาจารย์ของเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพอัศวินครีอุสที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังสู้ลูกศิษย์ของข้าไม่ได้”
ข้าชะงัก ไม่ค่อยแน่ใจว่าหล่อนกำลังคิดจะครอบงำข้าหรือเปล่า
ถึงเจ้าผีดิบนี่จะเป็นนักเวทสะกดวิญญาณที่แปลกประหลาดสุดๆ แต่ความจริงแล้วหล่อนเป็นคนที่รักษาคำพูดอยู่เหมือนกัน
ข้าส่งยิ้มอ่อนแรงไปให้แล้วโบกมืออำลา นักเวทตัวน้อยไม่พูดอะไร โบกอมยิ้มในมือเป็นการอำลาข้าเช่นกัน
ความคิดเห็น