ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend of Sun Knight พลิกตำนานเทพอัศวิน 1

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 Rule 3 : หากจะต้องตาย ก็ต้องตายอย่างสง่างาม

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 52


    /> /> />

    ข้าวิ่งไปตามถนนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ข้าไม่ต้องใช้ท่าทางของเทพอัศวินอีกแล้ว กลิ่นอายแห่งความมืดลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมากมายเท่านี้มาก่อนเลยในกำแพงเมือง

    (หรือนักเวทสะกดวิญญาณจะยอมหาอมนุษย์ชั้นสูงมาให้ตามที่ข้าขอแล้ว ไม่จริงมั้ง! ท่านอาจารย์เคยบอกกับข้าว่าตำหนักเทพอัศวินจ่ายเงินน้อยเกินไป นักเวทสะกดวิญญาณก็เลยหามาแต่อมนุษย์ที่ไม่สมประกอบมาให้ข้าเหยียบเล่นๆ)

    ข้างหน้าเป็นบ้านหลังหนึ่ง...ข้าเหยียบไปบนกำแพงแล้วกระโดดขึ้นหลังคา พอเห็นแล้วว่าเทพอัศวินรวมตัวกันอยู่ที่ไหนก็ตัดสินใจกระโดดลงไปพร้อมกับตะโกนว่า เจ้าอมนุษย์ผู้ฝ่าฝืนกฎแห่งความตาย อาศัยอยู่แต่ในความโสมม ด้วยอานุภาพแห่งดวงตะวัน เทพอัศวินครีอุสแห่งวิหารเทพแห่งแสงสว่างจะจัดการเหล่าร้ายให้หมดสิ้น เพื่อแสงสว่างของโลกใบนี้!”

    ครีอุส! ในที่สุดเจ้าก็มา!” เทพอัศวินเคเรสหันมามองพร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่

    ข้างๆ เขายังมีเทพอัศวินเทมเพส เทพอัศวินไทรอน และเทพอัศวินไอซอทอยู่ พวกเขาต่างนำหน่วยอัศวินของตนมาด้วย จากที่ข้าเห็นน่าจะมีประมาณยี่สิบคน และเท่าที่ข้าจำได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เหล่าเทพอัศวินพากันออกมาเยอะขนาดนี้

    แต่ข้าก็พอเข้าใจถึงประโยชน์ในการมาครั้งนี้ เพราะอัศวินแห่งความตายหาดูได้ง่ายๆ ซะที่ไหน...เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน! อัศวินแห่งความตายงั้นเหรอ!

    การสะกดวิญญาณอัศวินแห่งความตายไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อโอกาสที่จะพบอัศวินแห่งความตายสักตนน้อยแสนน้อย ดังนั้นนักเวทสะกดวิญญาณจึงยินดีที่จะเรียกอมนุษย์มามากกว่า เพราะมันเสียพลังงานและเวลาน้อยกว่ากันเยอะ ถ้าอย่างนั้นอัศวินแห่งความตายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

    หรือว่ามันหลงทางมา

    ซวยแล้ว!

    คงเป็นเพราะข้าตกใจมากไปหน่อย กล้ามเนื้อที่เท้าข้างซ้ายของข้าจึงเสียการควบคุมจนทำให้เสียการทรงตัว ไพล่ไปเตะโดนน่องขาขวาเข้า เข่าขวาจึงทำมุมเฉียงผิดปกติ ไม่สามารถก้าวขาขวาไปข้างหน้าเพื่อยันตัวไว้ได้...ฟังดูแล้วอาจจะงง สรุปง่ายๆ ก็คือ...

    ข้าเข่าอ่อนจนล้มพับ

    แถมยังล้มพับกลางอากาศอีกด้วย

    โชคดีที่อาจารย์ของข้าใช้วิธี การฝึกสอนที่สมเหตุสมผล และ การฝึกฝนที่ไม่สมเหตุสมผล การเรียนการสอนอย่างเข้มงวดทั้งสองทำให้ข้าสามารถล้มได้อย่างสง่างามยิ่งกว่าเทพเจ้าแห่งแสงสว่างล้มซะอีก...แต่ถ้าพูดกันจริงๆ เทพเจ้าแห่งแสงสว่างล้มไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีทางพิสูจน์ได้

    เอวของข้าบิดไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างก็วาดไปข้างหน้าเหมือนกับนักบัลเลต์ หมุนตัวกลางอากาศที่ระดับความสูงเจ็ดร้อยยี่สิบแปดฟุต สุดท้ายพลิกตัวกลับที่ระดับความสูงหนึ่งร้อยสิบฟุตแล้วลงจอด! สุดท้ายของสุดท้ายคือวาดแขนทั้งสองข้างจากหน้าอกกางออกดุจปีกผีเสื้อ จากนั้นค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกกลับมาเป็นเทพอัศวินครีอุสผู้สง่างามเหมือนเดิม

    แปะๆๆ! ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นลุกขึ้นมาปรบมือให้ข้า อัศวินบางคนถึงกับตบดาบของตัวเองกับโล่แล้วตะโกนว่า สุดยอดๆ! เอาอีกๆ!”

    เอาอีกบ้านบรรพบุรุษเจ้าสิ! ทำไมอัศวินแห่งความตายถึงไม่จัดการส่งเจ้านี่ไปเข้าเฝ้าเทพเจ้าแห่งแสงสว่างให้ทรงสั่งสอนสักทีนะ

    เอาไปเลยสิบคะแนน!” เคเรสเป็นคนดีจริงๆ เขาให้ข้าเต็มสิบคะแนนเลย

    เฮอะ! ห้าคะแนนพอ ตอนที่ลงมาขายังไม่มั่นคง ไอ้ไทรอนบ้า! สงสัยยังจะแค้นที่ข้าไปทำลายแผนการของเขา

    แปดคะแนน ตอนที่เจ้าล้มต่อหน้าพระราชินีคราวนั้นสวยกว่านี้ เทมเพส...ก็ได้ คิดซะว่าเจ้าเป็นคนยุติธรรมแล้วกัน

    ข้ายอมรับว่าเพื่อไม่ให้ขายหน้าต่อหน้าพระราชินีคราวนั้น ข้าได้ใช้วิธีตกจากบันไดสามร้อยยี่สิบสามขั้นอย่างสง่างามของยอดมนุษย์ที่อาจารย์ของข้าใช้เอาชีวิตรอดมากว่าสิบปีและไม่กลายเป็นคนเสียสติไปซะก่อน (แต่ถึงข้าจะเป็นบ้าเพราะตกบันไดไปจริงๆ ข้าก็ไม่ยอมรับหรอก เพราะฉะนั้นถือซะว่าข้าไม่ได้เป็นบ้าแล้วกัน)

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าก็เกลียดบันไดของอารามเทพแห่งแสงสว่างมากกว่าเทพอัศวินไทรอนซะอีก

    หึ! จะสร้างบันไดทำไมให้มันสูงนักหนา!

    ถ้าที่อารามเทพแห่งแสงสว่างไม่มีนักบวชซึ่งสามารถใช้วิธีร้อยแปดพันเก้ารักษาอาการบาดเจ็บให้ข้าได้ภายในหนึ่งนาทีล่ะก็ ป่านนี้ข้าคงเป็นเทพอัศวินครีอุสที่ตายเพราะตกบันไดเป็นคนแรกไปแล้ว

    จำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยเล่าให้พวกเจ้าฟังว่าท่านอาจารย์มักจะพูดอยู่เสมอว่า แม้เทพอัศวินจะหกล้ม ก็ต้องหกล้มอย่างสง่างาม ใช่ไหม

    ตอนที่ข้าโตพอที่จะออกไปฝึกปฏิบัติหน้าที่ที่อารามเทพแห่งแสงสว่างมอบหมายให้ อาจารย์ของข้าย้ำแล้วย้ำอีกว่า ลูกเอ๋ย ในที่สุดเจ้าก็ต้องออกไปทำหน้าที่แล้ว ข้ารู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก มีบางสิ่งบางอย่างที่ข้าจะต้องให้เจ้าได้รู้ ข้าถึงจะสบายใจ

    ข้าจะระวังตัวขอรับท่านอาจารย์ ข้าซึ้งมากที่ในที่สุดอาจารย์ก็รู้สึกเป็นห่วงข้า!

    ใช่แล้วลูกเอ๋ย เจ้าจะต้องระวังตัวไว้ให้ดี! จำไว้ว่าไม่ว่าจะที่ไหน เมื่อไหร่ เทพอัศวินครีอุสจะต้องรักษาความสง่างามไว้ให้ได้

    ท่านอาจารย์ ข้าจะปฏิบัติหน้าที่ให้เรียบร้อยอย่างสง่างามขอรับ ข้าพยักหน้าเพื่อให้ท่านอาจารย์มั่นใจ

    (ช่วงนั้นข้าผ่านการฝึกล้มมาหลายเดือนแล้ว เฉลี่ยสามวันครั้ง เพราะหลังจากการฝึกทุกครั้งข้าจะบาดเจ็บสาหัสจนต้องให้นักบวชใช้วิธีการรักษาขั้นสูงรักษาให้ข้าถึงจะหาย)

    ท่านอาจารย์ส่ายหน้า ลูกเอ๋ย การปฏิบัติหน้าที่อย่างสง่างามเป็นแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น

    ถ้าเช่นนั้นต้องทำอย่างไรล่ะขอรับ

    ลูกเอ๋ย เจ้าจงจำไว้ว่าหากภารกิจของเจ้าล้มเหลว ในช่วงเวลาที่ใกล้สิ้นลม เจ้าจะต้อง...’

    อ้อนวอนต่อองค์มหาเทพใช่ไหมขอรับ

    ไม่ใช่ เจ้าจะต้องคิดให้ดีว่าจะตายในท่าไหน ท่าทางนั้นจะต้องดูสงบและสวยงาม หรือไม่ก็ต้องดูองอาจสมศักดิ์ศรี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเจ้าจะต้องตายโดยการที่ถูกศัตรูแทงดาบทะลุหัวใจ หรือเชือดคอตัวเองตายเท่านั้นจึงจะสามารถสิ้นลมด้วยท่วงท่าอันงดงามได้! หากเทพอัศวินครีอุสจะต้องตาย ก็ต้องตายอย่างสง่างาม!’

    ‘...’

    เพราะฉะนั้นถ้าข้าตายด้วยการล้มหกคะเมนไม่เป็นท่า อาจารย์ของข้าอาจจะโกรธจนให้นักเวทสะกดวิญญาณเรียกวิญญาณข้าให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นอัศวินแห่งความตาย จากนั้นใช้ลำแสงแห่งองค์มหาเทพทำให้ข้าต้องตายอย่างสง่างามอีกครั้งก็เป็นได้

    ครีอุส อัศวินแห่งความตายตนนี้แข็งแกร่งมาก เจ้าอย่าประมาทเชียวนะ เทพอัศวินเคเรสพูดจบ เขากับเทพอัศวินเทมเพสและเทพอัศวินไทรอนก็พากันถอยหลัง ทิ้งให้ข้าเผชิญหน้ากับอัศวินแห่งความตายเพียงคนเดียว

    ในเวลานั้นเองที่มีเทพอัศวินอุทานเพราะความไม่สบายใจว่า ให้หัวหน้าเทพอัศวินครีอุสเจอกับอัศวินแห่งความตายแค่คนเดียวจะไหวเหรอ

    วางใจเถอะ เพื่อนที่รักของข้าไม่มีทางแพ้ให้กับอมนุษย์หรอก เทพอัศวินไทรอนกล่าวอย่างจงรักภักดี

    ใช่แล้ว เวลาเทพอัศวินครีอุสเจอกับอมนุษย์จะมีพลังมากขึ้นอีกหลายเท่า พวกเจ้าอย่าเข้าไปแย่งอมนุษย์ของเขาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะโกรธมาก เคเรสคนดีอธิบายให้อัศวินคนอื่นๆ ฟัง แล้วยังส่งรอยยิ้มที่บอกกับข้าว่า เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ปล่อยให้คนอื่นเข้าไปยุ่งกับศึกของเจ้าหรอก

    แต่เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน! อมนุษย์ที่ข้าจัดการก่อนหน้านี้เป็นตนที่วิหารเทพออกเงินแล้วให้นักเวทสะกดวิญญาณหามาให้ข้าระบายอารมณ์เพื่อที่ข้าจะได้ไม่เป็นโรคซึมเศร้านะ!

    ตอนนี้ดาบที่อัศวินแห่งความตายถืออยู่เปล่งประกายไฟสีดำออกมา มันแสยะยิ้มแล้วคำรามด้วยเสียงที่ไม่ใช่เสียงของมนุษย์...

    ดีมาก! คราวนี้ข้าอาจจะต้องคิดหาท่าตายที่สง่างามเหมาะสมกับการถูกอัศวินแห่งความตายสังหารสักหน่อย ข้าจะเลือกสาเหตุการตายที่ข้าชอบที่สุดแล้วกลับขึ้นไปเข้าเฝ้าเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง...

    ข้าเพิ่งจะเริ่มคิดหาวิธีตายที่เหมาะสมอยู่ อัศวินแห่งความตายก็ตวัดดาบประกายไฟสีดำเข้าใส่ข้าซะแล้ว...ล้อเล่นใช่ไหม! ถ้าข้ายังคิดท่าที่จะตายกับสาเหตุการตายอย่างสง่างามไม่ได้แล้วข้าจะตายได้ยังไง!

    ท่านอาจารย์มักจะกล่าวบ่อยๆ ว่า ไม่มีพรสวรรค์ก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน ลูกเอ๋ย เจ้าต้องฝึกการล้มอีกสักเดือนหนึ่งแล้วเจ้าจะสามารถล้มได้อย่างสง่างามแน่นอน!’

    ถ้าข้าไม่ได้ตายอย่างสง่างาม ท่านอาจารย์จะต้องให้ข้าฟื้นคืนชีพครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ข้าตายอีกเป็นเดือนจนกว่าข้าจะตายได้อย่างสง่างาม จากนั้นถึงจะยอมให้ข้าตายจริงแน่ๆ...

    ดังนั้นถ้าข้ายังคิดไม่ออกว่าจะตายยังไงให้สง่างาม หรือยังไม่ได้สั่งเสียเทพอัศวินเทอร์มิสเพื่อนรักของข้าให้จัดการสับข้าเป็นชิ้นๆ หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว เพื่อท่านอาจารย์จะได้ไม่สามารถเรียกให้ข้าฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก ข้าก็ยังตายไม่ได้เด็ดขาด!

    ฮ่า!”

    ข้ากู่ร้องพร้อมกับชักดาบออกมาเสียงดัง ชิ้ง ประจันกับดาบประกายไฟสีดำของอัศวินแห่งความตาย

    สมแล้วที่เป็นเทพอัศวินครีอุส ท่าทางอาจหาญยิ่งนัก ต้องเอาชนะอัศวินแห่งความตายได้อย่างแน่นอน เทพอัศวินที่อยู่ด้านข้างพากันสรรเสริญ

    ครีอุส! ทำไมเจ้าถึงไม่นำดาบเทพครีอุสมาด้วย!” เคเรสตะโกนด้วยความตกใจ

    ให้ตาย! ดาบเทพครีอุสเป็นวัตถุโบราณคู่บ้านคู่เมืองนะ! ถึงอานุภาพของมันจะหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ใครจะรู้ มันอาจหักเป็นสองท่อนในสักวันหนึ่งก็ได้

    ซึ่งจะหักก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่ามาหักในมือของข้าแล้วกัน ไม่อย่างนั้นเงินบำนาญของข้าทั้งชีวิตก็ไม่พอชดใช้!

    อีกอย่างตอนแรกข้าคิดว่าแค่มาจัดการอมนุษย์กระจอกๆ เพื่อที่จะได้ระบายความเครียดก็เท่านั้น จะให้ข้าใช้ของโบราณที่กลัวสูญหายหรือหักออกเป็นชิ้นๆ เข้าสักวันได้ยังไง

    อะไรนะ พวกเจ้าบอกว่าข้ากังวลเกินเหตุงั้นเหรอ

    ได้! ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลัวดาบจะหัก

    รู้ไหม ไม่ว่าจะเป็นดาบเทพครีอุส ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์อันศักดิ์สิทธิ์ หรือดาบเสี้ยวจันทรา สรุปคือเมื่อเป็นอาวุธที่ใช้ฟาดฟัน พอผ่านไปสักระยะคมดาบก็จะหายไป ต้องเอาไปให้คนลับมีดลับดาบให้

    ค่าใช้จ่ายในการลับคมดาบอย่างมากก็แค่หนึ่งเหรียญเงิน แต่ถ้าหากเป็นของคู่บ้านคู่เมืองอย่างดาบเทพครีอุส คนลับมีดธรรมดาๆ ไม่มีใครกล้าแตะต้องมันหรอก ข้าจึงต้องไปหานักลับมีดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง เขาถึงจะยอมลับให้ และค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อยกว่าหนึ่งเหรียญทอง!

    เงินหนึ่งเหรียญทองสามารถซื้อดาบธรรมดาได้เล่มหนึ่งเชียวนะ!

    อีกอย่างดาบยิ่งลับเนื้อเหล็กก็จะยิ่งบางลง ในเมื่อต้องเสียเงินหนึ่งเหรียญทองเพื่อทำให้เนื้อดาบบางลงเช่นนี้ เวลาออกไปเจอศัตรู...ข้ายอมใช้ฟันกัดแทนที่จะชักดาบออกมาดีกว่า!

    ดังนั้นเพื่อให้เทพอัศวินครีอุสสิ้นลมอย่างสง่างาม ข้าจึงต้องกัดฟันจ่ายเงินหนึ่งเหรียญทองเพื่อซื้อดาบธรรมดามาใช้แทนดาบเทพครีอุส เพราะการใช้ฟันกัดศัตรูดูจะลำบากมากเกินไปหน่อย!

    ถึงในสมองของข้าจะกำลังคิดจนหัวหมุน แต่จริงๆ แล้วข้ากำลังปะทะกับอัศวินแห่งความตายอยู่ เสียงดาบกระทบกันดังไม่หยุด แต่ละเสียงดังบาดหัวใจข้าเป็นริ้วๆ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่เพียงอานุภาพของดาบทั้งสองเล่มจะแตกต่างกันมากแล้ว ดูเหมือนทุกครั้งที่กระทบกัน ปลายดาบของข้าจะเป็นรอยบิ่น พอเป็นรอยมากๆ เข้า ข้าก็ต้องเสียเงินเอาไปซ่อมอีก

    ถ้าดาบของอัศวินแห่งความตายไม่มีประกายไฟสีดำน่ากลัวนั่นเปล่งออกมา ข้าคงจะยอมเอาตัวเข้าไปรับแทนแล้ว เพราะที่อารามเทพแห่งแสงสว่างมีนักบวชมากมายที่สามารถรักษาข้าให้หายได้ในพริบตาเดียว แถมยังไม่ต้องเสียเงินเลยสักเหรียญ!

    แต่ยังไงข้าก็รู้สึกแปลกใจอยู่ดี เพราะเท่าที่ข้ารู้ อัศวินแห่งความตายที่ถูกเรียกมาไม่น่าจะมีพลังเพียงแค่เท่านี้

    หรือว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้น...เฮ้อ อย่าหลอกตัวเองเลย!

    เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าประลองกับเทอร์มิส แค่ไม่กี่กระบวนท่าข้าก็ลงไปหมอบแล้ว ถ้าบอกว่าข้าแข็งแกร่งขึ้น กระทั่งอัศวินแห่งความตายปัญญานิ่มก็ยังอยากจะยอมเชื่อเลย!

    หรือว่าอมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าข้าไม่ใช่อัศวินแห่งความตาย แต่เป็น อัศวินที่ตายไปแล้ว ซึ่งนักเวทสะกดวิญญาณเรียกให้มันฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

    ข้าลองประเมินอัศวินแห่งความตายตนนี้ดู โอ้! สภาพของมันดูแย่เอามากๆ ฝีมือการใช้ดาบของมันก็แย่ ใช่ว่าข้าอยากจะโม้หรอกนะ แต่มันแย่ซะจนทำให้ข้าพอมีเวลาคิดเพ้อเจ้อไปได้ตั้งหลายเรื่อง แถมตอนนี้ข้ายังเป็นต่ออีกด้วย ฝีมือดาบของมันใช้ไม่ได้จริงๆ

    (อะไรนะ ล้อเล่นหรือเปล่า พวกเจ้าบอกว่าถ้าฝีมือของมันแย่ ของข้าก็ยอดแย่อย่างนั้นเหรอ! ข้ายอมรับว่าฝีมือของข้าไม่ได้ดีเลิศอะไร แต่ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าฝีมือการใช้ดาบของข้าถึงขนาดยอดแย่!)

    และด้วยเหตุผลนี้ อมนุษย์ตนนี้จึงไม่น่าใช่อัศวินแห่งความตาย แต่เป็น อัศวินที่ตายไปแล้ว มากกว่า

    ช่างเถอะ! ไม่ว่ามันจะเป็นอัศวินแห่งความตายหรืออัศวินที่ตายไปแล้ว ข้ารู้แค่ว่าจะต้องจัดการตัดหัวตัดหางมันจนมันไม่สามารถใช้ดาบได้ตลอดไป ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องเสียเงินซื้อดาบเล่มใหม่ แล้วอัดอั้นจนตรอมใจตายอย่างไม่สง่างามแน่

    ถึงแม้ฝีมือการใช้ดาบของข้าจะไม่ดีนัก แต่ข้าสามารถใช้พลังเทพศักดิ์สิทธิ์ของเทพอัศวินได้ดีมากเลยนะ! โจมตีแค่ครั้งเดียวมันก็จะได้ไปพักผ่อนอย่างสงบสุข แต่ที่ข้าเอาแต่สู้กับเจ้าอมนุษย์ตัวนี้ไม่เลิกเป็นเพราะ...

    ท่านอาจารย์มักจะกล่าวอยู่เสมอว่า ลูกเอ๋ย ถึงแม้เจ้าจะเผชิญหน้ากับอมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าจะต้องสู้กับมันก่อนสักยก สุดท้ายค่อยใช้พลังเทพศักดิ์สิทธิ์ส่งให้มันไปพักผ่อนอย่างสงบ

    แล้วทำไมถึงไม่ใช้พลังตั้งแต่ตอนแรกล่ะขอรับ ข้าในวัยเยาว์สงสัยอย่างมาก

    ลูกเอ๋ย เจ้าลองคิดดู เวลาที่สัตว์ประหลาดเจอชาวบ้าน มันจะใช้เวลาประมาณสิบนาทีในการฆ่าคนเพื่อแสดงอำนาจ จากนั้นชาวบ้านก็จะใช้เวลาอีกสิบนาทีในการกรีดร้อง และอีกสิบนาทีวิ่งพล่านไปทั่วจนกว่าเทพอัศวินจะมาช่วย ถ้าเจ้ามาแล้วใช้เวลาเพียงสามวินาทีในการสังหารมัน จากนั้นก็เดินกลับวิหารเทพ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเวลาสามสิบนาทีของชาวบ้านต้องสูญเปล่าหรอกหรือ

    ‘...ถ้าเช่นนั้นข้าควรจะใช้เวลาต่อสู้กับมันนานเท่าไหร่ถึงจะไม่ทำให้เวลาสามสิบนาทีของชาวบ้านสูญเปล่าล่ะขอรับ

    ลูกเอ๋ย ท่านอาจารย์ถอนใจยืดยาวก่อนมองออกไปข้างนอก การต่อสู้ก็เหมือนกับโคลงบทหนึ่ง ส่วนเจ้าคือผู้อ่านโคลงนั้น การต่อสู้ต้องมีการรุกรับให้คล้องจองกันไป บางครั้งจำเป็นต้องเรียกเสียงฮือฮาจากคนที่มุงดูอยู่รอบด้าน ทางที่ดีเจ้าควรจะจัดการอย่างสง่างามจนมันลงไปหมอบ หรือถ้าหากเจ้าคนชั่วผู้นั้นเป็นชนชั้นสูง มันก็จะด่าทอให้เจ้าได้อับอาย เมื่อนั้นเจ้าจึงปล่อยพลังจักรวาลน้อยของเจ้า...’

    ‘...จักรวาลน้อยหรือขอรับ

    ใช่แล้ว...พลังลมปราณภายในบวกกับศาสตร์แห่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่างรวมกัน เจ้าปล่อยพลังนั้นจนกว่ามันจะยอมจำนน สุดท้ายจึงส่งมันไปพักผ่อนอย่างสงบสุข นี่คือการต่อสู้ที่งดงามหาสิ่งใดเทียมมิได้

    ...แค่ฟังก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าก็เบื่อหน่ายหน้าที่ที่จะต้องออกไปต่อสู้ ขั้นตอนมากมายพวกนั้นมันแย่พอๆ กับการตกบันไดสามร้อยกว่าขั้น เพราะฉะนั้นนอกจากอมนุษย์ที่ข้าให้นักเวทสะกดวิญญาณหามาให้ระบายความเครียดแล้ว ที่เหลือข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเทพอัศวินเทอร์มิส เจ้านั่นมีวิธีจัดการกับพวกศัตรูได้อย่างเฉียบขาด

    ขณะเดียวกันการต่อสู้ของเทพอัศวินเทอร์มิสก็ไม่มีอะไรให้ชาวบ้านดู เพราะมันน่าเบื่อมาก

    ครีอุส! ระวัง!” อยู่ๆ คนที่มุงดูก็ร้องขึ้น

    หา

    ข้าชะงักเพราะเสียงเรียก จากนั้นความรู้สึกเจ็บแปลบก็พุ่งขึ้นที่ด้านหลัง ยังไม่ทันจะหันไปมอง เคเรสก็พุ่งเข้ามาปล่อยพลังใส่ อัศวินที่ตายไปแล้ว จากนั้นก็รีบเข้ามาสำรวจบาดแผลที่หลังของข้า ข้าได้ยินเสียงเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความตกใจ

    ไม่น่าจะสาหัสมากนะ ข้ารีบหันไปดูจนคอแทบจะหลุด แต่ก็มองไม่เห็นแผล

    สิ่งที่ข้ามองเห็นก็คือไทรอนเดินเข้ามาเสกโล่ปราการไทรอนของเขา ถึงข้าจะไม่ชอบไทรอนเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าข้าชอบที่จะอยู่ด้านหลังโล่ของเขามาก โดยเฉพาะเวลาเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง

    เทพอัศวินไอซอทชักดาบที่เหมือนกับแท่งน้ำแข็งของตนขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วแน่น จากสีหน้าของไอซอททำให้ข้าได้รู้ว่าเจ้าอมนุษย์ตนนี้แข็งแกร่งอย่างร้ายกาจ ถึงกับทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

    ครีอุส เจ้าไม่เจ็บเลยเหรอ เคเรสถามหน้าตาตื่น

    ข้าส่ายหน้า แค่นี้จะไปเจ็บอะไร! ข้าน่ะผ่านการฝึกล้มอย่างสง่างามมานะ ข้าเป็นเทพอัศวินครีอุสที่แม้จะตกบันไดถึงสามร้อยกว่าขั้นก็ยังสามารถรักษารอยยิ้มสว่างไสวไว้ได้!

    ไม่เจ็บจริงๆ เหรอ เสียงของเคเรสฟังดูเหลือเชื่อ

    ข้าพยายามจะไม่เหลือกตาเพราะความรำคาญ ไอ้บ้าเคเรส ทำไมจะต้องบังคับให้ข้าพูดด้วยนะ ด้วยแสงอาทิตย์อันอบอุ่นของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างที่อาบไล้ข้า ทำให้ความเจ็บปวดจากบาดแผลเล็กน้อยนี้หายไปในพริบตา

    เคเรสพึมพำกับตัวเอง ครีอุสนี่สุดยอดจริงๆ แผลขนาดนี้ยังเรียกว่าเล็กน้อยได้อีก...”

    ข้าเลิกสนใจเคเรสดีกว่า ตอนนี้ข้ารู้สึกสนใจเจ้าหนุ่มอมนุษย์นี่เป็นพิเศษ ท่าทางของมันแปลกๆ ตอนแรกที่เห็นก็เหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่พอเพ่งดูถึงรู้ว่ามันไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน!

    เพราะไม่มีมนุษย์ดีๆ คนไหนที่ สีซีด

    เจ้าหนุ่มมีผมสีน้ำตาลซีดๆ ผิวก็ขาวซีดๆ เกราะอัศวินสีเงินซีดๆ ทำให้ทั้งเนื้อทั้งตัวดูเป็นสีเทา เหมือนกับว่าไม่เคยขยับมาเป็นร้อยปีจนมีฝุ่นเกาะหนาเขรอะ

    ถึงจะพูดอย่างนี้ แต่มันอาจเป็นแค่พวกขี้เกียจอาบน้ำมาหลายปีก็ได้ แต่ยังไงข้าก็ยืนยันว่าเจ้าหนุ่มนี่ไม่ใช่มนุษย์!

    เพราะมันไม่มีตาดำ ในลูกตามีแค่ฝ้าหมอกสีเทามัวๆ ครอบคลุมอยู่!

    ให้ตาย! อะไรๆ ก็สีซีดไปหมด

    แต่ดาบในมือของมันเป็นอย่างเดียวที่มีสีปกติ เป็นดาบเรียบง่ายไร้การตกแต่ง ปลายดาบส่องประกายวาววับซึ่งไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีเลยสักนิดเดียว

    โชคดีที่ดาบที่อยู่ในมือของเทพอัศวินไอซอทก็ร้ายไม่ใช่เล่น ถึงดูจากภายนอกจะเหมือนแท่งน้ำแข็งยาวๆ แต่อานุภาพของมันไม่สามารถเอาไปเทียบกับแท่งน้ำแข็งได้แน่นอน!

    ฝีมือดาบของอัศวินแห่งน้ำแข็งก็ดีกว่าข้าหลายขุม ข้าคิดว่าต่อให้เขาใช้แท่งน้ำแข็งแทนดาบจริงๆ ไม่แน่อาจจะต่อสู้ได้ดีกว่าข้าด้วยซ้ำ...

    เฮอะ!

    ไอซอทจัดอยู่ในส่วนกองหลัง หมายความว่าเขาสามารถยืนถือดาบอยู่เฉยๆ ได้ทั้งวัน รอจนกว่าฝ่ายตรงข้ามเริ่มไม่ไหว อาวุธทั้งหลายหลุดเป็นชิ้นๆ เมื่อนั้นไอซอทถึงจะเข้าโจมตีจัดการฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก

    เพราะฉะนั้นวิธีการต่อสู้ของไอซอทเลยไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่มีใครอยากมุงดูการต่อสู้แบบนั้น

    คราวนี้ก็เหมือนกัน ดูเหมือนเจ้าหนุ่มสีซีดจะมีความอดทนต่ำ ยังไม่ทันไรมันก็คว้าดาบพุ่งใส่ไอซอท ความเร็วของมันรวดเร็วจนน่าตกใจ ครึ่งวินาทีแรกเพิ่งจะลุกขึ้น ครึ่งวินาทีหลังก็มาอยู่ตรงหน้าไอซอทแล้ว ซึ่งไม่น่าจะเรียกว่าการเคลื่อนไหว ควรจะเรียกว่าการหายตัวจากที่หนึ่งแล้วไปปรากฏตัวตรงหน้าไอซอทถึงจะถูก!

    มันรวดเร็วถึงขนาดสามารถผ่านเข้ามาด้านในของโล่ของเทพอัศวินไทรอนแล้วเข้ามาฟันข้าอีกหนึ่งครั้ง จนข้าเกือบคิดว่าไทรอนประกาศเป็นศัตรูกับข้าโดยการปล่อยให้ศัตรูเข้ามาทำร้ายข้าได้ซะอีก

    โชคดีที่เทพอัศวินไอซอทตาไว ถึงเจ้าหนุ่มผมสีน้ำตาลจะรวดเร็วแค่ไหน แต่เขาก็สามารถใช้แท่งน้ำแข็ง...ดาบเทพไอซอทเข้าขวางไว้ได้ทัน

    ทว่าครั้งนี้เทพอัศวินไอซอทไม่สามารถจัดการศัตรูได้อย่างว่องไวเหมือนปกติ ทั้งสองฟาดฟันดาบใส่กันไม่หยุด รวดเร็วจนน่าตกใจ แต่ถ้ามองดีๆ จะรู้ว่าไอซอทกำลังเสียเปรียบ

    ข้าเริ่มสังเกตบรรยากาศรอบๆ ตัว...โอ้! ภาพที่เพื่อนของตัวเองกำลังสู้กับศัตรูทำให้เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง เทพอัศวินผู้แข็งแกร่งและมีพลังมหาศาล ลักษณะท่าทางของเจ้าหนุ่มผมสีน้ำตาล กลิ่นของความตายที่อบอวลอยู่ในอากาศ...เจ้าหนุ่มนั่นใช่อัศวินแห่งความตายจริงๆ นั่นแหละ

    โอ้ๆ! ท่าทางข้าจะเจอสาเหตุของการที่ไอซอทเป็นฝ่ายเสียเปรียบเข้าให้แล้ว

    ครีอุส เจ้าจะไปทำแผลก่อนไหม เคเรสที่ยืนอยู่หลังข้าถามอย่างเป็นห่วง

    ข้าไม่เป็นอะไร ข้ากำลังดูสนุกอยู่เลย! ภาพไอซอทต่อสู้กับศัตรูหาดูได้ง่ายๆ ซะที่ไหน เรื่องทำแผลเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลังก็ได้

    สนุกจริงๆ แต่ดูเหมือนไอซอทจะเหนื่อยมาก ในเมื่อเขากำลังช่วยข้าขัดขวางศัตรู ข้าว่าข้าช่วยให้เขาเบาแรงหน่อยดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าไอซอทแพ้ขึ้นมาข้าคงต้องลงสนามเองแล้วคราวนี้ เพราะไทรอนเป็นเทพอัศวินแห่งการคุ้มครอง ส่วนเคเรสคือเทพอัศวินที่โจมตีในระยะไกล

    มีความเป็นไปได้ถึงแปดต่อสิบที่ข้าคงเลือดท่วมภายในกระบวนท่าเดียว และพอถึงกระบวนท่าที่สามหัวข้าคงลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น

    ไอซอท! ข้าจะช่วยเจ้าเอง!” ข้าตะโกนเสียงดัง แต่ไม่ต้องห่วงว่าไอซอทจะเสียสมาธิ เพราะเขาคือคนที่มีสมาธิมั่นคงที่สุดในบรรดาเทพอัศวินทั้งสิบสององค์

    ด้วยความที่ข้าคือเทพอัศวินครีอุสผู้เกลียดชังอมนุษย์เป็นที่สุด ดังนั้นคาถาที่ข้าเรียนตั้งแต่เด็กๆ ส่วนใหญ่จะใช้ในการโจมตีพวกอมนุษย์ สมมติว่าข้าใช้ คำอำนวยพรอันศักดิ์สิทธิ์ของมหาเทพ ข้าจะสามารถอำนวยพรให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีพลังเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ สามารถช่วยในการต่อสู้กับเหล่าอมนุษย์ได้

    ตอนแรกข้าคิดจะอำนวยพรให้แท่งน้ำแข็งของไอซอทมีพลังเพิ่มขึ้น แต่ก็เจอปัญหาใหญ่เพราะแท่งน้ำแข็งของไอซอทเคลื่อนไหวรวดเร็วจนข้าเล็งเป้าไม่ได้!

    ด้วยพลานุภาพแห่งแสงสว่างของดวงอรุโณทัยแห่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่างที่ทอประกายไปทั่วพื้นโลกา อันขจัดความมืดมนและมารร้าย...(ละข้อความที่เหลือ) กว่าข้าจะร่ายคำสรรเสริญเยินยอเทพเจ้าแห่งแสงสว่างจบ ไอซอทก็ถูกอัศวินแห่งความตายฟันไปหลายแผลแล้ว ในที่สุดข้าก็ท่องคาถามาถึงประโยคสุดท้ายซะที

    คำอำนวยพรจงสัมฤทธิผล ณ บัดนี้!”

    และแล้วร่างของไอซอทก็ถูกโอบล้อมด้วยลำแสงสีทอง เปล่งประกายราวกับหิ่งห้อย แสงสีทองนี้ไม่เพียงส่งให้เขามีพลังโจมตีอมนุษย์เพิ่มขึ้น ยังสามารถทำให้ศัตรูทั่วไปไม่สามารถเห็นได้ชัดว่าเรากำลังจะโจมตียังไงอีกด้วย!

    “ครีอุส ข้าอีกคน”

    พอเคเรสเห็นไอซอทได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง เขายืนองอาจอยู่ข้างๆ ข้า ในมือกำ...ฮ่าๆ! พวกเจ้าต้องคิดว่าเป็นดาบเทพเคเรสแน่ๆ เลยใช่ไหม ผิดแล้ว!

    ธนูเทพเคเรสต่างหาก!

    และเป็นเพราะข้าขี้เกียจจะท่องคาถาใหม่อีกครั้ง ก็เลยเอื้อมมือไปจับที่หัวของลูกธนู ให้คมของมันกรีดฝ่ามือ พอข้าปล่อยมือออก บนลูกธนูก็เต็มไปด้วยเลือดของข้า

    การเป็นตัวแทนพระวจนะของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง เลือดในกายของข้าจึงได้รับคำอำนวยพรแห่งองค์มหาเทพ ซึ่งสำหรับพวกอมนุษย์ เลือดของข้าก็คือยาพิษดีๆ นี่เอง!

    ดูเหมือนเคเรสจะซึ้งมาก “ครีอุส ข้าจะไม่ทำให้เลือดที่เจ้าสละมาต้องเสียเปล่า”

    อีกด้าน พอข้าเพิ่มพลังให้ไอซอทก็ดูเหมือนว่าอัศวินแห่งความตายจะหวาดกลัวลำแสงอันศักดิ์สิทธิ์นี้มากจนทำอะไรไม่ถูก ทำให้ไอซอทที่ตกเป็นรองในตอนแรกพลิกกลับขึ้นมาต่อสู้กับมันได้อย่างทัดเทียม

    และข้างๆ ข้ายังมีเคเรสที่กำลังโก่งคันธนูขึ้นเล็งเหมือนเสือที่กำลังจะตะครุบเหยื่อ สายตาคมกริบของเขาราวกับจะสามารถทะลวงผ่านร่างของศัตรูได้เลยทีเดียว

    ข้าลืมบอกพวกเจ้าไปว่าเวลาที่เทพอัศวินเคเรสโก่งคันธนูขึ้นมาเมื่อไหร่ จากคนดีมากเขาจะกลายเป็นคนน่ากลัวมากในทันที ภายในสิบวินาทีเขาสามารถยิงธนูห้าดอกเข้าเป้าทั้งหมด

    นี่ยังไม่เท่าไหร่ เขาสามารถวิ่งไป กระโดดไป ร้องเพลงไป เหล่สาวไป แล้วยังสามารถทำศัตรูให้กลายเป็นสัตว์ที่ถูกเขาล่าได้ในเวลาเดียวกัน

    สรุปคือข้ายอมสู้กับอัศวินแห่งความตายดีกว่าประลองกับลูกธนูที่เคเรสเป็นคนยิง เพราะถ้าข้าสู้คนแรกไม่ไหวก็ยังพอวิ่งหนีได้ แต่อีกคน...มีใครวิ่งหนีลูกธนูพ้นบ้างล่ะ!

    เสียงลูกธนูแหวกผ่านอากาศจากข้างกายข้าจังหวะพอดีกับที่อัศวินแห่งความตายกำลังเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของไอซอท ลูกธนูที่รวดเร็วและทรงอานุภาพทำให้มันยากจะหลบหลีก ลูกธนูทะลุตรงเข้าที่หน้าอกของมัน ถ้าเป็นตอนก่อนหน้านี้ลูกธนูธรรมดาจะไม่มีผลอะไรกับอัศวินแห่งความตาย แต่ในตอนนี้บนลูกธนูมีเลือดของข้าอยู่ ผลที่ได้จึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

    แผลที่หน้าอกของอัศวินแห่งความตายส่งเสียงฉ่าๆ เหมือนปลาที่ถูกทอดอยู่ในกระทะ จากนั้นหน้าอกก็กลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ทว่าไม่มีเลือดไหลออกมา มีเพียงแต่เนื้อเยื่อสีเทาดำเต้นเป็นคลื่นช้าๆ

    ไอซอทถือโอกาสโจมตีข้อมือของมัน อัศวินแห่งความตายร้องคำราม ไอซอทเกือบจะตัดข้อมือของมันได้อยู่แล้วเชียว

    อัศวินแห่งความตายถอยอีกครั้งด้วยความว่องไว ทำให้ไอซอทไม่สามารถตามได้ทัน แต่ยังมีเคเรสอยู่อีกคน!

    ถึงจะเป็นอัศวินแห่งความตายก็หนีลูกธนูไม่พ้นหรอก!

    ฟิ้ว...ฟิ้ว...ฟิ้ว...

    เสียงลูกธนูแหวกอากาศสามครั้งติดต่อกัน คราวนี้อัศวินแห่งความตายสามารถหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว มันหลบลูกธนูได้สองดอก แต่หนึ่งในนั้นสามารถทะลวงเข้าใส่มันได้ เพียงแต่ว่าลูกธนูดอกนั้นไม่มีเลือดของข้าอยู่ อานุภาพจึงน้อยซะจนอัศวินแห่งความตายขี้เกียจจะดึงมันออกมา

    ก่อนที่เคเรสจะยิงธนูอีกครั้ง ข้าฉีกยิ้มแล้วยกมือจะไปลูบหัวลูกธนู แต่คิดขึ้นมาได้ว่าหากธนูดอกนี้ยิงไม่โดนก็จะเสียเปล่า จึงใช้เลือดที่เหลือในมือปาดที่ซองธนู คราวนี้อานุภาพของลูกธนูจึงเพิ่มขึ้นทั้งหมด

    เคเรสได้ใจ ยิ่งโก่งคันธนูยิงใส่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ แม้มันหลบหลีกได้ แต่ก็มีไม่น้อยที่พุ่งตรงเข้าใส่มันจังๆ และทุกดอกทำให้มันต้องร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด

    “แย่แล้ว! มันกำลังจะหนี!” เคเรสร้องตกใจ ในขณะเดียวกันมือที่โก่งคันธนูก็เร่งความเร็วขึ้นอีก เร็วจนข้ามองเห็นสายธนูเป็นแผ่นพัดบางๆ ตามด้วยเสียงลูกธนูที่พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว สมแล้วที่เคเรสเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธนูในบรรดาเทพอัศวินทั้งสิบสององค์

    ตอนนี้อัศวินแห่งความตายเอาแต่หลบ ไม่สามารถโต้ตอบได้เลยสักนิด แต่มันยิ่งหลบยิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

    “เทพอัศวินครีอุส! แล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า!

    ก่อนที่ร่างสีเทาของอัศวินแห่งความตายจะกลายเป็นจุดเล็กๆ ที่ปลายขอบฟ้า มันก็ทิ้งคำพูดข่มขู่เอาไว้เหมือนกับที่เหล่าร้ายทั้งหลายทำก่อนจะหนีไป...เดี๋ยวก่อน คนที่มันขู่คือเทพอัศวินครีอุส...หมายถึงข้างั้นเหรอ

    เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน จะมาหาข้าทำไม คนที่ทำร้ายเจ้าไม่ใช่ข้าสักหน่อย!

    สุภาษิตบอกว่าตีหมาให้ดูเจ้าของ ข้าแค่ช่วยไอซอทเติมลำแสงแห่งเทพนิดๆ หน่อยๆ กับเอาเลือดทาบนลูกธนูของเคเรสก็เท่านั้น! แต่คนที่โจมตีเจ้าไม่ใช่ข้า! เป็นสองคนนั่นต่างหาก!

    ข้าอยากจะร้องไห้จริงๆ การต่อสู้ครั้งนี้นอกจากข้าจะโดนฟันแล้วยังทำให้อัศวินแห่งความตายจองเวรข้าอีก เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังเอากระดูกมาแขวนคออีก!

    ตอนนี้เองที่เทพอัศวินไอซอทค่อยๆ เก็บดาบ เทพอัศวินไทรอนเก็บโล่ปราการ ใบหน้าของทั้งสองขณะเดินตรงมาเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเห็นข้าก็พากันตกตะลึง

    “ครีอุสเจ้า...ไม่เป็นไรใช่ไหม” ไทรอนทำหน้าเหมือนเห็นผี

    ข้าส่ายหน้า ทำไมทุกคนถึงทำท่าเหมือนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้ากันนะ

    ไอซอทไม่พูดไม่จา ได้แต่ตะลึงมองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ข้าก็เลยมองตามด้วยความสงสัย

    โว้ว! มีเลือดเต็มไปหมด ภาพเลือดสีแดงสดนองเต็มพื้นดูอลังการไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย

    เดี๋ยวก่อน! ทำไมชุดอัศวินสีขาวของข้าถึงกลายเป็นสีแดงอย่างนี้ล่ะ

    “ครีอุส เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ” เสียงของเคเรสเหมือนใกล้จะร้องไห้

    เลือดที่พื้น...เป็นของข้าเหรอนี่

    “เคเรส...” ข้าเรียกเขา แล้วก็ได้รู้ว่าเสียงของข้าฟังดูอ่อนแรงพอๆ กับเสียงของยุง

    “หือ” เคเรสเขยิบเข้ามาใกล้ อาจเป็นเพราะเสียงของข้าเบาจนเขาไม่ได้ยินก็ได้

    “พยุงข้าหน่อย...

    “ครีอุส!

    จากนั้น...ข้าก็หมดสติล้มลง...อย่างสง่างาม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×