ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black flower

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่สอง... ออนน์และมีร่า...มนุษย์

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 54


    บทที่สอง

    ออนน์และมีร่า...มนุษย์

     

    ข้าเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ มิได้ขาด แต่ยิ่งนับวันกลับยิ่งไม่แน่ใจ

    ถึงที่สุดแล้วตนเองได้ก้าวไปข้างหน้า หรือความจริงกำลังก้าวถอยหลังอยู่กันแน่

    -เมแลนท์-

     

    หลังจากที่มีร่ากล่อมเมแลนท์หลับไป ระหว่างที่เดินออกไปก็ยังไม่วางใจหันกลับมามองอีกหลายครั้ง เมื่อแน่ใจว่าเมแลนท์นอนหลับสนิทจึงเปิดประตูกระโจมเดินออกไปในที่สุด เดินไปได้เพียงแค่ก้าวเดียว ทันใดก็ชนเข้ากับเงาร่างดำทะมึน เธอสะดุ้งตกใจ ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เมื่อจดจำผู้มาเยือนได้จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “ออนน์”

    “เมแลนท์เป็นยังไงบ้าง” ออนน์สาวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง รู้สึกปวดใจเมื่อเห็นเรือนผมของมีร่า ซักถามอีกครั้ง “เขากินอาหารหรือเปล่า”

    มีร่าพยักหน้า “ในที่สุดก็ยอมกินแล้ว และไม่ได้อาเจียนออกมาด้วย”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดี” ออนน์ขมวดคิ้ว มองกระโจมแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้นี่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงจริงๆ”

    “เป็นห่วงขนาดนี้เชียว” มีร่าพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ทีตอนแรกล่ะบ่นข้าไม่ยอมหยุด บอกว่าข้าชอบเด็กคนนี้มากเกินไป อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ข้าจะเก็บเด็กกำพร้ามาเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ทุกครั้งไม่ได้ไม่ใช่หรือ คอยพร่ำบ่นจนหูข้าชาไปหมด”

    “นั่นมัน...” ออนน์พูดไม่ออก คิดครึ่งวันก็คงหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ จึงได้แต่เกาศีรษะ “ถึงจะไม่ได้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ แต่ก็ปล่อยให้เขาหิวตายไม่ได้นี่นา!

    “ชอบเด็กคนนี้ก็บอกว่าชอบเถอะ ทำไมถึงไม่ยอมรับล่ะ”

    มีร่ามองค้อน เมื่อเห็นว่าออนน์ออกจะเก้อเขิน เธอจึงไม่บังคับให้เขาตอบอีกต่อไป เพียงแค่หันกลับไปมองกระโจมที่เมแลนท์อยู่ พูดพลางทอดถอนใจ “เด็กคนนี้ไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ เขาไม่มีอะไรเลย แม้แต่พูดจาก็ไม่เป็น แต่กลับไม่ทุกข์ไม่ร้อน เหมือนกับว่าไม่ต้องการอะไรสักอย่าง”

    มีร่าจงใจเหล่มองออนน์แวบหนึ่ง พูดไปตามเนื้อผ้า “เจ้าชอบเมแลนท์ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร นางเป็นคนที่สวยมาก เป็นเด็กผู้หญิงที่น่าพึงใจมากเลยทีเดียว”

    “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร” ออนน์ร้อนรน รีบพูดว่า “เมแลนท์ยังเป็นเด็ก วันนั้นข้าเห็นชัดเจนว่าแม้แต่หน้าอกของนางก็ยังไม่โต...

    “วันนั้นเจ้าเห็นอย่างชัดเจนเลยหรือ ฮึ” มีร่าหรี่ตามองอย่างดุๆ

    ออนน์อ้าปากหวอ รีบหาคำอธิบาย “นาง...ตอนนั้นนางไม่ได้สวมอะไรเลย สายตาข้าไม่ได้ซุกซนจริงๆ นะ อีก...อีกอย่าง ผมยาวของนางก็ปิดบังร่างกายเอาไว้เกือบหมด เจ้าก็รู้ดี ข้า...ข้า...คนที่ข้าชอบก็คือเจ้า! พวกเราต่างก็...ต่างก็...ตั้งนานแล้ว มีร่า เจ้าต้องเชื่อข้านะ”

    ฮิๆๆมีร่าหัวเราะออกมา ซ้ำยังพูดไปหัวเราะไป “เอาล่ะ! ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง”

    “พูดเล่นก็ไม่ได้” ออนน์พูดอย่างลำบากใจ “ข้าไม่ใช่พวกรักเด็ก จะไปชอบเมแลนท์ได้ยังไง น่ากลัวนางจะอายุน้อยกว่าข้าสิบห้าปีเลยเชียวล่ะ”

    มีร่าหัวเราะพลางส่ายหน้า “เมแลนท์ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว หน้าอกของนางแค่ไม่เจริญเติบโตตามธรรมชาติเท่านั้น ดูไปแล้วนางคงจะอายุสิบห้าหรือสิบหกปีเห็นจะได้ เด็กกว่าเจ้าสักสิบปีเท่านั้นแหละ”

    “สิบหก? ถ้าเช่นนั้นก็เป็นผู้ใหญ่แล้วสิ?” ออนน์อ้าปากหวอ ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้หรอก รูปร่างของนางมองดูแล้วเหมือนกับสิบสอง... อุ๊บ! ข้าแค่เหลือบไปเห็นนิดเดียวเท่านั้น”

    มีร่ามองค้อนเขาทีหนึ่ง พูดอย่างไม่พอใจนัก “คงเป็นเพราะเจ้าตัวสูงมากไปจึงไม่ทันสังเกต เมแลนท์ตัวสูงกว่าข้าซะอีก ข้าเคยวัดส่วนสูงให้นาง นางสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเชียวนะ จะเป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบสองไปได้ยังไงกัน”

    “สูงขนาดนั้นเชียว” ออนน์ตกใจถึงกับสะดุ้ง “เด็กผู้หญิงที่ไหนจะตัวสูงขนาดนั้น”

    ในความคิดของเขา เด็กผู้หญิงต้องตัวเล็กๆ ถึงจะถูก

    เมื่อได้ยิน มีร่าลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เธอเคยเห็นร่างเปลือยของเมแลนท์ ถึงแม้จะไม่ถนัดถนี่นัก อีกทั้งยังมีเส้นผมที่ยุ่งเหยิงกองโตปิดบังเอาไว้ ทว่าเด็กคนนั้นเหมือนจะไม่มีหัวนม แต่เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็คงจะปรึกษากับผู้ชายไม่ได้ ให้ตายเธอก็ไม่กล้าพอที่จะปรึกษาปัญหาเรื่องหัวนมอะไรนี่กับผู้ชาย

    “ไม่ว่ายังไงเด็กคนนั้นก็คงไม่ค่อยปกตินัก” มีร่าเอ่ยอย่างทุกข์ใจ “เจ้าก็เห็น ตอนแรกแม้แต่การพูดจานางก็ยังพูดไม่เป็น!

    “บางทีอาจจะถูกทำให้ตกใจมากเกินไป” ออนน์ชี้แจงบ้าง “ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อพบเห็นสิ่งที่น่ากลัวเกินไปก็อาจตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนั้นมันเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชัดๆ ตอนที่ข้าพบเมแลนท์ ร่างของนางชุ่มโชกไปด้วยเลือด น่ากลัวว่านางคงจะเห็นเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เข้า”

    ได้ฟังแล้วมีร่าก็ก้มหน้าลง เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ตื่นตระหนกกับอะไรง่ายๆ ในฐานะเป็นผู้รักษาพยาบาลที่คอยติดตามกองทัพ เธอเคยพบเห็นการนองเลือดมาไม่น้อย แต่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่อาจใช้คำว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาจำกัดความได้ เพราะความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกทำลายจนพังพินาศย่อยยับ แม้แต่สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายก็ถูกทุบทำลายไม่มีชิ้นดี มิหนำซ้ำบ้านเรือนส่วนใหญ่ก็ถูกฝังอยู่ในพื้นดิน

    แม้กองกำลังทหารกว่าสามสิบนายจะทำการขุดค้นมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว แต่ก็ยังขุดพบศพผู้เสียชีวิตจากใต้พื้นดินที่อยู่ลึกลงไปตลอดเวลา ความจริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านแห่งนี้กันแน่

    เกิดภัยธรรมชาติ? หรือว่าเกิดแผ่นดินไหว?

    ในตอนนี้การเกิดแผ่นดินไหวเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด แต่ทุกคนที่ได้เห็นซากปรักหักพังของหมู่บ้านต่างก็รู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปกติ

    บ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นดิน ผู้คนจำนวนมากถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินลึกโดยที่ไม่ได้ติดอยู่ในสิ่งปลูกสร้าง บนพื้นดินก็ราบเรียบผิดปกติ อีกทั้งยังมีรอยลากเป็นทาง เหมือนมีวัตถุขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีลักษณะเป็นเส้นยาวเลื้อยพาดผ่านไปอย่างนั้น

    ทุกคนที่ได้เห็นหมู่บ้านต่างไม่อาจยอมรับคำอธิบายว่าเกิดแผ่นดินไหว แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น

    ที่นี่ไม่ได้อยู่ใกล้น้ำและไม่ได้อยู่ใกล้ภูเขา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดอุทกภัยหรือภูเขาถล่ม ถ้าเช่นนั้นนอกจากแผ่นดินไหวยังมีคำอธิบายอะไรที่ดีกว่าอีก ยังมีอะไรที่สามารถก่อให้เกิดการทำลายล้างเช่นนี้

    มีร่ารู้สึกใจหายวูบ คิดว่าหากภัยธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง กองทหารที่อยู่ที่นี่จะสามารถต้านทานได้หรือไม่ ร่างของเธอสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

    “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ด้วย นอกเสียจากข้าจะตาย ไม่เช่นนั้นใครก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้!

    ออนน์รู้สึกได้ถึงอาการของมีร่า เขาค่อยๆ กุมมือของมีร่าเอาไว้ ฝ่ามือใหญ่หนาเต็มไปด้วยความหยาบกร้าน ทำให้มีร่ารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาโดยพลัน แม้คำพูดของออนน์จะทำให้เธอเขินอายจนต้องก้มหน้าลง

    ต่อจากนั้นมืออีกคู่หนึ่งก็วางลงมาด้วย มือที่เกินมาอีกคู่หนึ่งนี้ทำให้คนทั้งสองชะงักงัน พวกเขาหันไปมองด้านข้าง จากนั้นก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

    ที่แท้ก็เป็นเมแลนท์นี่เอง!

    ไม่รู้ว่าเขามาอยู่ข้างหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วยังเอาสองมือวางไว้บนมือของเขาทั้งสองอีก มิหนำซ้ำยังทำท่าทางจริงจังคล้ายว่านี่เป็นพิธีกรรมที่เคร่งครัด

    มีร่าพลิกฝ่ามือกลับไปกุมมือของเมแลนท์ พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย “เมแลนท์ ทำไมถึงยังไม่นอน”

    เมแลนท์เงยหน้าขึ้นมา พูดอย่างไร้เดียงสา “ได้ยินพวกเจ้าคุยกัน”

    “โอ้...” มีร่าพูดอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษจริงๆ นะ พวกเราไม่ควรมาคุยกันที่หน้ากระโจม ส่งเสียงรบกวนจนเจ้าตื่นขึ้นมาเลย”

    เมแลนท์ส่ายหน้าบอกให้รู้ว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมออนน์กับมีร่าต้องเอามือวางซ้อนกันด้วย”

    พอคำพูดหลุดออกไปออนน์กับมีร่าก็มองตากัน แต่เมื่อสายตาประสานกันก็รีบหันเหสายตาออกจากกัน ในตอนนี้ใบหน้าของคนทั้งสองเริ่มแดงระเรื่อ

    “มีร่า ใบหน้าของเจ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง” เมแลนท์พูด จากนั้นก็พบกับสิ่งแปลกใหม่อีกอย่างจึงร้องอย่างตกใจ “ใบหน้าของออนน์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ทำไมใบหน้าถึงเปลี่ยนเป็นสีแดงล่ะ”

    ยิ่งได้ยินดังนั้นใบหน้าของมีร่าก็ยิ่งแดงก่ำ ออนน์กระแอมกระไอเสียงดัง พูดเสียงลั่น “เจ้านี่จริงๆ เลย! เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าถามให้มากความ! รีบกลับไปนอนไป! เป็นเด็กดี แล้วพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว”

    ไปเที่ยว? ที่จริงเมแลนท์ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่าไปเที่ยว แต่ก็เข้าใจว่าพรุ่งนี้ออนน์จะมาหา เขารีบหันไปถาม “มีร่าก็ไปเที่ยวด้วยใช่ไหม”

    “เอ่อ...” มีร่าลังเลนิดหน่อย ออนน์เป็นหัวหน้าหมู่ เขาจะไปที่ไหนก็ไม่มีใครว่าเอาได้ แต่ตนเป็นเพียงเจ้าหน้าที่กองหนุน คงไม่ดีแน่หากจะหยุดงานโดยพลการ

    ออนน์รีบพูด “ข้าเป็นหัวหน้ากอง ข้าอนุญาตให้เจ้าหยุดงานได้ อย่าถลึงตาใส่ข้าสิ! ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวจะถูกคนอื่นตำหนิ แต่พวกเราสองคนไม่ได้หยุดงานมานานแล้ว อีกทั้งทุกคนก็รู้ว่าเจ้าทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีใครตำหนิเจ้าได้หรอกน่า!

    มีร่ามองค้อนเขาทีหนึ่ง หันกลับมาก็พบว่าเมแลนท์กำลังเพ่งมองมาที่เธอ เธออดที่จะใจอ่อนไม่ได้จึงตอบตกลง “เอาล่ะ! พาเมแลนท์ไปเที่ยวบ้างก็ดี ถึงยังไงนางก็ยังเป็นเด็ก อยู่ในที่แบบนี้ทั้งวันทั้งคืนคงไม่ค่อยดีนัก...

    ในตอนที่มีร่าพูด เธอได้ลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ตนเองเพิ่งจะโต้แย้งกับออนน์ว่าเมแลนท์น่าจะอายุสิบหกปีแล้ว ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แม้จะรู้อายุของเมแลนท์ แต่ความจริงตัวเธอเองก็ปฏิบัติกับเมแลนท์เหมือนเขาเป็นเด็ก ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าเมแลนท์เพิ่งจะเรียนรู้ภาษา การพูดจายังเหมือนกับเด็กเล็กๆ แม้แต่ท่าทางของเขาก็เหมือนกับเด็ก ดังนั้นไม่ว่าความจริงเขาจะอายุเท่าไหร่ มีร่าก็ไม่อาจปฏิบัติกับเมแลนท์เหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ได้

    “ห้ามเข้าใกล้หมู่บ้านอย่างเด็ดขาด” ออนน์กำชับเมแลนท์ “ข้าย้ำกับเจ้าหลายครั้งหลายหน เจ้าจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่งของข้าหรือเปล่า”

    เมแลนท์พยักหน้า เขาไม่อยากเข้าใกล้ที่นั่นแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่ากลิ่นคาวเลือดจะจางลงแล้ว แต่ก็ยังระคายจมูก กลิ่นนี้ทำให้เขานึกถึงเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังระงมและรสชาติคาวเค็มของเลือด เขาไม่ชอบที่จะหวนนึกถึงสิ่งเหล่านั้น ดังนั้นต่อให้ออนน์ไม่พูด ตัวเขาเองก็ไม่เข้าไปใกล้หมู่บ้านอยู่แล้ว

    “ไม่ไกลจากที่นี่มีทะเลสาบแห่งหนึ่ง ไปปิกนิกที่นั่นกันดีไหม”

    ออนน์เริ่มปรึกษามีร่าว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวที่ไหน พูดตามความจริง ละแวกนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเที่ยวเอาเสียเลย เมืองที่คึกคักก็อยู่ไกลเกินไป พวกเขาไปที่ไกลๆ เช่นนั้นไม่ได้

    “จะอันตรายหรือเปล่านะ” มีร่าเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “ละแวกนี้ดูเหมือนจะมีสัตว์ป่า”

    “ไม่น่าจะมีอะไร มีทหารหลายนายเคยไปมาแล้ว ถึงแม้จะมีอันตราย แต่ก็มีข้าอยู่ทั้งคน!” ออนน์ตบหน้าอกรับประกันเสียงดัง “ข้ามีพลังสลายจิตวิญญาณขั้นที่ห้า เป็นถึงเทพศาสตราเชียวนะ!

    “มีพลังสลายจิตวิญญาณขั้นที่ห้า เป็นถึงเทพศาสตราเชียวนะคืออะไร” เมแลนท์รีบซักถาม เพราะเขาแทบจะไม่รู้อะไรเลย ฉะนั้นจึงได้พบกับเรื่องราวแปลกใหม่อยู่ทุกวัน เขารู้สึกสนุกมาก

    ออนน์แย้ง “ไม่ใช่เทพศาสตราเชียวนะ แต่เป็นเทพศาสตรา อ๊ะ! เจ้ายังแยกแยะพวกคำว่าเชียว ไหม ล่ะไม่เป็นใช่ไหม ช่างเถอะ เทพศาสตราก็คือคนที่เก่งกาจ เชี่ยวชาญในการใช้พลังสลายจิตวิญญาณที่สุด ทำให้คู่ต่อสู้ตายได้ด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียว ท่านพี่ออนน์ของเจ้าเป็นเทพศาสตราที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่งเชียวนะ!

    “อย่าไปฟังท่านลุงออนน์ พูดเหลวไหลไร้สาระ เทพศาสตราเป็นเพียงอาชีพอย่างหนึ่งของนักสู้เท่านั้นเอง” มีร่าพูดอย่างไม่พอใจนัก จากนั้นก็ดันหลังเมแลนท์ให้เดินเข้าไปในกระโจมพลางพูดว่า “เอาล่ะ! ดึกมากแล้ว เมแลนท์ เจ้าควรไปนอนได้แล้ว”

    เมแลนท์ไม่เข้าใจสักนิดทั้ง จิตวิญญาณ? เทพศาสตรา? พลังสลายจิตวิญญาณ? นักสู้? อาชีพ? ที่จริงแล้วเขายังอยากจะซักถามอีก แต่ทุกครั้งเวลาที่มีร่าพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ นั่นหมายความว่าห้ามปฏิเสธคำพูดของเธอ ต้องทำตามที่เธอพูดแต่โดยดี

    “พรุ่งนี้ค่อยอธิบายให้เจ้าฟังอีกที” ออนน์กระซิบ มิหนำซ้ำยังยักคิ้วให้เมแลนท์ด้วย

    เมแลนท์หัวเราะ พยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงยอมเดินเข้าไปนอนในกระโจม ตอนที่เขาเข้าไปด้านหลังยังแว่วเสียงมีร่ากล่าวตำหนิออนน์

    “เจ้านี่นะ! ไม่ต้องสาธยายเรื่องของนักสู้ให้เด็กผู้หญิงฟังมากนักก็ได้!

    “กว่าจะได้คุยโวไม่ใช่จะหาโอกาสได้ง่ายๆ ให้ข้าโม้หน่อยจะเป็นไรไป... ได้ๆ อย่าดึงหูข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่เล่าเรื่องน่ากลัวให้เมแลนท์ฟัง โอ๊ย! เจ็บนะ”

    เมแลนท์ฟังเสียงของมีร่าและออนน์ ซุกตัวเข้าไปใต้ผ้านวมอย่างว่าง่าย คิดว่าวันพรุ่งนี้จะได้ออกไปเที่ยว แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่าเที่ยวนัก แต่ว่าออนน์และมีร่าต่างก็จะไปเที่ยวกับเขา แค่นี้ก็พอแล้ว...

    ขณะกำลังเคลิ้มหลับ เมแลนท์ก็ตกเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน ในความฝันมีต้นไม้ ใบไม้ และออนน์กับมีร่า

     

    วันต่อมาเมแลนท์เพิ่งจะตื่นนอนก็ถูกมีร่าเร่งให้รีบล้างหน้าหวีผม ล้างหน้าหวีผมเสร็จแล้วก็ถูกกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ ต่อจากนั้นก็ถูกให้กินขนมปังก้อนหนึ่งเป็นอาหารเช้า

    ขณะที่เมแลนท์กัดขนมปัง มีร่าก็รวบผมของเมแลนท์ เขาสะดุ้งขึ้นมาเกือบจะในทันที เส้นผมสะบัดออกจากมือมีร่ากลับไปยังแผ่นหลังของเมแลนท์อย่างแรง

    เมแลนท์ใช้สองมือปกป้องเส้นผมอย่างแน่นหนา อายจนใบหน้าแดงก่ำ

    มีร่าถือหวีค้าง แข็งทื่อไปทั้งตัว ถึงแม้จะพอรู้เลาๆ ว่าเมแลนท์มีบางอย่างที่แปลกประหลาด อย่างเช่นปัญหาเรื่องหัวนม แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่เส้นผมก็มีบางอย่างผิดปกติเหมือนกัน

    เมื่อครู่พอเธอรวบผมของเมแลนท์ขึ้นก็รู้สึกว่าแปลก ปอยเส้นผมที่ได้ลูบคลำนั้นให้สัมผัสที่ไม่เหมือนเส้นผมของมนุษย์เลย ถึงแม้เธอจะบอกไม่ถูกว่าสัมผัสนั้นเป็นแบบไหน แต่เส้นผมนั้นลื่นมาก และไม่น่าจะมีเส้นผมของมนุษย์ที่ละเอียดเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น...เมื่อครู่เส้นผมเคลื่อนไหวเองหรือเปล่านะ

    “เมแลนท์ เส้นผมของเจ้า...” น้ำเสียงของมีร่าออกจะแปลกพิลึก “มันเคลื่อนไหวเองใช่ไหม”

    เมแลนท์พยักหน้า

    มีร่าถึงกับสะดุ้งเฮือก ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง พยายามทำจิตใจให้สงบอย่างยากเย็นจนสามารถเปิดปากพูดออกมาได้ “เจ้าทำให้มันเคลื่อนไหวหน่อยได้ไหม”

    มีร่าพูดจบก็เห็นว่าเส้นผมของเมแลนท์ปลิวขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอรีบปิดปากเอาไว้ เสียงอุทานจึงไม่ได้เล็ดลอดออกไป

    แท้ที่จริงแล้วเจ้าเป็นใคร... ไม่สิ เมแลนท์ แท้ที่จริงแล้วเจ้าเป็นอะไร

    ในตอนนั้นเองเมแลนท์ก็พูดขึ้นมาว่า “มีร่า จะไปเที่ยว ออนน์จะมาไหม”

    “เอ๋?

    มีร่าจิตใจว้าวุ่นซะจนฟังไม่ชัดเจนว่าเมแลนท์พูดว่าอะไร จึงได้แต่สนองตอบด้วยการมองไปที่เขา ทว่าการมองนี้กลับทำให้จิตใจของมีร่าสงบลงอย่างรวดเร็ว

    ในสายตาของเธอ เมแลนท์เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น การกระทำของเธอบริสุทธิ์ไร้เดียงสากว่าเด็กผู้หญิงทั่วไปซะด้วยซ้ำ เหมือนกับเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นนี้มีอะไรน่ากลัวกันเล่า

    มีร่าเผยยิ้มออกมา พยักหน้าตอบกลับไป “อ้อ อยากไปเที่ยวแล้ว อีกเดี๋ยวออนน์ก็จะมาหาพวกเราแล้วล่ะ”

    เมแลนท์ดีใจมาก คลี่ยิ้มออกมา พยักหน้า

    เมื่อได้เห็นรอยยิ้มนี้มีร่าก็ยิ่งผ่อนคลายลง ยิ่งกว่านั้นยังรู้สึกว่าถึงเส้นผมจะเคลื่อนไหวได้เองก็ไม่เห็นเป็นไร ว่าไปแล้วซีฌงก็มีชนเผ่าต่างๆ มาตั้งถิ่นฐานอยู่มากมาย หากจะมีสักเผ่าที่เส้นผมเคลื่อนไหวได้เองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก

    แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่มีร่าก็ยังกำชับด้วยความรอบคอบ

    “เมแลนท์ เจ้าทำให้เส้นผมไม่ปลิวได้ไหม ถ้าถูกลมพัดก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มันปลิวขึ้นมาเองได้ไหม เส้นผมของทุกคนต่างก็เคลื่อนไหวเองไม่ได้ ถ้าเส้นผมของเจ้าปลิวขึ้นมาเองก็จะถูกคนจับได้ว่าเจ้าไม่เหมือนกับคนอื่น”

    เมแลนท์พยักหน้า ขณะเดียวกันเส้นผมทั้งหมดก็หยุดปลิวไสว ลู่ลงอย่างเรียบร้อย

    เมื่อเห็นเช่นนั้นมีร่าค่อยวางใจ แม้เธอจะยอมรับลักษณะพิเศษของเมแลนท์ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะยอมรับได้ เพื่อไม่ให้คนอื่นต้องหวาดกลัว ทางที่ดีก็อย่าให้ถูกพบเห็นสิ่งพิเศษนี้จะดีกว่า

    “มา ข้าช่วยเจ้าหวีผม” เธอกวักมือเรียกเมแลนท์

    แต่เมแลนท์กลับส่ายหน้า ใช้สองมือปกป้องเส้นผมเอาไว้ หน้าแดงไปทั้งหน้า

    มีร่าชะงัก ในตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเมแลนท์มีบางอย่างไม่ค่อยปกติ ทำให้เธอนึกถึงผู้คนเวลาเขินอาย เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หน้าแดง พูดเสียงเบาขอความกระจ่าง “เมแลนท์ ข้าลูบผมของเจ้าแล้วเจ้ามีความรู้สึกอะไรไหม”

    “มี มันคันๆ รู้สึกแปลกๆ” เมแลนท์ก็ตอบเสียงเบาเลียนแบบเธอ

    “ขะ...ขอโทษนะ” มีร่าพูดออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หวีผมเองเถอะ ผ้าผูกผมผืนนี้เอาไว้ให้เจ้ามัดผม ก็คือใช้สิ่งนี้มัดผมเอาไว้ข้างหลังแล้วผูกเป็นโบสวยๆ” เธอพูดไปพลางหยิบหวีและสาธิตการใช้ผ้าผูกผมให้เมแลนท์ดูมือไม้เป็นระวิง

    เมแลนท์พยักหน้า รับผ้าผูกผมมา จากนั้นก็ส่งผ้าผูกผมให้เส้นผมปอยเล็กๆ เส้นผมปอยนั้นรัดผ้าผูกผมไว้ นำมันไปด้านหลัง จากนั้นเส้นผมทั้งหมดก็ปลิวไปอยู่ด้านหลังอย่างเรียบร้อยและถูกผ้าผูกผมมัดเอาไว้ สุดท้ายผ้าผูกผมยังถูกเส้นผมผูกเป็นโบสวยงาม ตั้งแต่ต้นจนจบเมแลนท์ไม่ได้อาศัยมือทั้งสองเลย การกระทำทั้งหมดเกิดขึ้นโดยเส้นผมของเมแลนท์ทั้งสิ้น

    เป็นวิธีจัดการเส้นผมที่สะดวกดีจริง มีร่ารู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

    เธอถอนหายใจ กำชับอีกครั้ง “เมแลนท์ ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่ว่ายังไงก็ห้ามให้เส้นผมเคลื่อนไหวเองเด็ดขาด เข้าใจไหม”

    เมแลนท์ครุ่นคิด ไต่ถาม “ออนน์ก็ให้เห็นไม่ได้หรือ”

    “ยังก่อน เดี๋ยววันหลังข้าค่อยบอกกับเขา...

    มีร่าพูดไม่ทันจบ ด้านนอกกระโจมก็มีเสียงดังของออนน์แว่วมา “มีร่า พวกเจ้าเสร็จหรือยัง”

    “ตายล่ะ!” มีร่าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้จัดการกับร่างกายของตนเอง เธอรีบพูด “เมแลนท์ เจ้าออกไปคุยเล่นกับออนน์ก่อนไป ข้าต้องหวีผมสักหน่อยถึงจะออกไปได้”

    “ตกลง”

    เมแลนท์ตอบแล้วก็ออกไปจากกระโจม พบว่านอกจากออนน์ ข้างนอกยังมีคนอื่นอีกสองคน

    สองคนนั้นคนหนึ่งตัวสูงคนหนึ่งตัวเตี้ย หน้าตาคล้ายคลึงกัน ทั้งสองหน้าตาสะสวยเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนที่ตัวสูงดูสุขุมเยือกเย็นกว่าคนที่ตัวเตี้ยมาก คงจะเป็นเพราะอายุ คนที่ตัวเตี้ยมองดูแล้วยังเป็นเด็ก ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะเด็กกว่าเมแลนท์ น่าจะอายุสิบหรือสิบสองปี

    ทั้งสองคนน่าจะเป็นผู้ชายนะ?

    ตอนนี้เมแลนท์แยกแยะมนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิงส่วนใหญ่ได้แล้ว แต่เขากลับไม่รู้ว่าตนเองถือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

    ถึงแม้ฝ่ายที่ทำหน้าที่ให้กำเนิดทารกของมนุษย์จะเป็นผู้หญิง ดังนั้นดอกไม้เพศเมียที่ทำหน้าที่ให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปก็น่าจะเป็นผู้หญิง แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้ชายของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับแข็งแรงกว่าผู้หญิง สำหรับดอกไม้ ฝ่ายที่มีรูปร่างแข็งแรงจะต้องเป็นดอกไม้เพศเมีย ด้วยเหตุนี้ผู้ชายจะใช่ดอกไม้เพศเมียหรือเปล่านะ

    เมแลนท์ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ฉะนั้นเมื่อเขาได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเองสวมอยู่เป็นกระโปรง กระโปรงเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง เขาจึงไม่ได้ร้องขอสับเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองถือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะสวมกระโปรงหรือกางเกง แต่เขาชอบกระโปรงมากกว่า เพราะกระโปรงเหมือนกับกลีบดอกไม้มากกว่า

    ในตอนนั้นเองออนน์ยื่นมือไปตบไหล่ของผู้ชายที่อยู่ข้างกายอย่างแรงทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เมแลนท์ ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่คือเทพเทวะเพียงหนึ่งเดียวในกองทหารของข้า วอร์ เซดริก แทนติส อีกคนหนึ่งเป็นน้องชายของเขา วอร์ คาซี แทนติส”

    “ชื่อยาวจังเลย” เมแลนท์ออกจะกลุ้มใจนิดหน่อย เขารู้สึกว่าชื่อแบบออนน์กับมีร่าดีกว่าตั้งเยอะ

    “วอร์ ออนน์ พาลาดีนก็ไม่ได้สั้นกว่าสักหน่อย!” คาซีรีบประท้วงเสียงดัง “แล้วชื่อเต็มของเจ้าชื่อว่าอะไร”

    ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของออนน์กับเซดริกก็เปลี่ยนไป เขาทั้งสองคนต่างก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เมแลนท์พูดไม่ได้ และไม่เคยพูดถึงชื่อเต็มมาก่อน คงจะเป็นเพราะตกใจจนจำไม่ได้

    “ชื่อเต็มคืออะไร” เมแลนท์ไม่เข้าใจ แต่มีร่าเคยบอกไว้หากเขาไม่เข้าใจก็สอบถามได้

    “ชื่อเต็มก็คือชื่อทั้งหมดน่ะสิ!” คาซีพูดไปตามหลักการ “คำแรกเป็นตัวอักษรตัวที่หนึ่งในชื่อแคว้น ตามด้วยชื่อของตัวเองและนามสกุลไงล่ะ!

    “ชื่อแคว้นกับนามสกุลคืออะไร” แม้คาซีจะตอบกลับมา แต่เมแลนท์ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

    คาซีจ้องเขาเขม็ง “ทำไมเจ้าถึงไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ชื่อแคว้นก็คือชื่อบ้านเกิดเมืองนอนที่เจ้าอยู่อาศัย เจ้าก็น่าจะเป็นคนของแคว้นวอร์เบิร์นด้วยใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นชื่อเต็มคำแรกของเจ้าก็คือวอร์ คำต่อมาก็คือเมแลนท์ คำสุดท้ายเป็นนามสกุล นามสกุลก็คือ...นามสกุลนั่นแหละ นามสกุลของพ่อก็คือนามสกุลของเจ้าไงล่ะ!

    “คาซี หุบปาก!” เซดริกตะโกนเสียงเฉียบขาด “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเคยบอกเจ้าไว้ว่ายังไง”

    คาซีชะงัก แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่ชายเคยกำชับเรื่องของเมแลนท์กับเขา เมแลนท์จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ดังนั้นห้ามถามเรื่องในอดีตของเขาเด็ดขาด นึกได้แล้วคาซีก็รีบปิดปากแน่น ถึงแม้ว่าจะสายไปแล้วก็ตาม

    ออนน์ปลอบใจเมแลนท์ด้วยความเป็นห่วง “เมแลนท์ นึกชื่อเต็มไม่ออกก็ไม่เป็นไร อีกหน่อยก็จะค่อยๆ นึกขึ้นมาได้เอง...

    ทันใดนั้นเมแลนท์ก็พูดว่า “ลีฟ เมแลนท์ ทรี” (ใบไม้ เมแลนท์ ต้นไม้)

    “อะไรนะ” ออนน์ชะงัก

    “ชื่อเต็มของข้าคือลีฟ เมแลนท์ ทรี

    นี่เป็นชื่อที่เมแลนท์เพิ่งจะพยายามคิดออกมาได้ บ้านเกิดเมืองนอนที่เขาอาศัย... เขารู้เพียงแค่เขาอาศัยอยู่ร่วมกับชนเผ่าใบไม้ ดังนั้นชื่อตัวแรกก็ควรจะเป็นใบไม้ และนามสกุลของบิดาก็คือนามสกุลของตนเอง ต้นไม้ให้กำเนิดเขามา ต้นไม้เป็นบิดาและมารดาของเขา ต้นไม้ก็เรียกว่าต้นไม้ เขาคิดว่าใช้คำว่าต้นไม้เป็นนามสกุลก็สมเหตุสมผลดีแล้ว

    “ลีฟ? เจ้าคนโกหก!” คาซีลืมคำสั่งของพี่ชายไปอย่างรวดเร็ว เอะอะโวยวาย “มีแคว้นนั้นที่ไหนกัน! บนดินแดนซีฌงมีแคว้นวอร์เบิร์นของพวกเรา แคว้นรีไลฟร็อซทที่อยู่ทางทิศเหนือ แคว้นวู้ดเฟเพอร์ที่อยู่ตรงกลาง และแคว้นลาจแมนที่อยู่ทางทิศตะวันตก ดังนั้นชื่อเต็มของทุกคนจึงต้องเริ่มต้นด้วยวอร์ รีไล วู้ด ลาจ สี่อย่างนี้เท่านั้น”

    “ลีฟ?” เซดริกชะงัก จากนั้นก็ร้องออกมาด้วยความแปลกใจ “เจ้าคงไม่ใช่ชนเผ่าใบไม้หรอกนะ”

    “ข้าเป็นดอกไม้” เมแลนท์คิดแล้วคิดอีก แล้วก็กล่าวเพิ่มเติมไปว่า “ดอกไม้ของชนเผ่าใบไม้”

    “ดอกไม้?” เซดริกฟังแล้วสับสน แต่เขาก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะความจริงแล้วความรู้ของเขาเกี่ยวกับชนเผ่าใบไม้มีน้อยมาก

    บนดินแดนซีฌงมีชนเผ่าใบไม้น้อยมาก อีกทั้งพวกเขายังไม่ติดต่อกับโลกภายนอก อันที่จริงเป็นเรื่องยากมากที่จะได้พบกับชนเผ่านี้ ดังนั้นจึงมีแค่คำเล่าลือที่บอกต่อกันมา เช่นว่าชนเผ่าใบไม้แทบทุกตนต่างก็มีรูปร่างที่งดงาม มีจิตใจที่ดีงามต่างๆ นานา แต่ไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าใบไม้อย่างละเอียดเลยสักคน

    เซดริกมองไปรอบๆ บริเวณจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้อื่น จึงกระซิบเบาๆ “สรุปก็คือเจ้าเป็นสมาชิกของชนเผ่าใบไม้ใช่ไหม”

    เมื่อเห็นเมแลนท์พยักหน้า ท่าทางของเซดริกก็เคร่งขรึมลงทันที

    “เสร็จแล้ว ให้รอซะนานเลย”

    มีร่าเปิดกระโจมเดินออกมาอย่างรีบร้อน แต่แค่ก้าวออกมาก็เห็นว่าสีหน้าของทุกคนออกจะแปลกๆ เธออดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าทุกคนรู้ถึงความผิดปกติของเมแลนท์แล้ว จึงรีบถามออกไป “เกิดอะไรขึ้น”

    ออนน์เกาศีรษะ “ข้าก็ไม่แน่ใจ เมแลนท์เหมือนจะไม่ใช่มนุษย์...

    มีร่าชะงักงัน ดูเหมือนเรื่องราวจะร้ายแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้

    ทันใดนั้นเซดริกก็เอ่ยกับคนทั้งสอง “มีร่า ออนน์ พวกเราไปคุยกันทางนั้นสักหน่อยดีไหม คาซี เจ้าคุยเล่นกับเมแลนท์ไปก่อน ข้าขอเตือนเจ้าไม่ให้พูดเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับชนเผ่าใบไม้ขึ้นมาอีก แล้วก็ห้ามรังแกคนอื่น เข้าใจไหม”

    เมื่อคาซีเห็นสีหน้าของพี่ชายก็รู้ว่าคำเตือนของเขาครั้งนี้เป็นเรื่องที่จริงจังมาก จึงรีบพยักหน้าอย่างแรง เขาถึงกับจูงมือของเมแลนท์เพื่อแสดงถึงความเป็นมิตรเลยทีเดียว

    เซดริกอดรนทนไม่ไหว ดึงออนน์และมีร่าไปอีกด้านหนึ่ง คนทั้งสองต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่มองเซดริกและรอฟังคำอธิบายจากเขา

    เซดริกมองคนทั้งสอง พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง “ออนน์ มีร่า ชนเผ่าใบไม้มีราคาสูงมาก โดยเฉพาะพักก่อนได้ยินมาว่าชนเผ่าใบไม้ได้อพยพไปยังดินแดนอื่นแล้ว ฉะนั้นในตอนนี้จึงไม่มีชนเผ่าใบไม้อาศัยอยู่ในดินแดนซีฌง ถ้าพวกเจ้าเอาเมแลนท์ไปขายที่งานประมูลน่าจะขายได้ราคาสูงอย่างที่ไม่นึกไม่ฝันเลยล่ะ”

    พอเขาพูดจบมีร่าก็ตะโกนเสียงแหลมออกมาเป็นคนแรก “เซดริก! เจ้าพูดอะไรน่ะ ใครกล้าขายเมแลนท์ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!

    ออนน์ถูกคำพูดที่ยาวเหยียดทำให้สับสน จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนลั่นของมีร่าเขาถึงได้สติกลับคืนมา และการตอบสนองของเขาก็ชัดแจ้งยิ่งกว่ามีร่ามาก เขาควงกำปั้น มองเซดริกอย่างดุร้าย แค่อีกฝ่ายกล้าพูดอะไรออกมาอีกคำเดียวเขาคงจะต้องซัดคนเข้าจริงๆ

    “อย่าเพิ่งโกรธ!” เซดริกรีบชูมือขึ้นโบกไปมา เอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ข้าเพียงลองถามดูว่าพวกเจ้าคิดจะทำยังไงเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาอื่น!

    ได้ยินแล้วมีร่ายังคงโมโหจนหายใจไม่ทัน ไม่เชื่อคำแก้ตัวของเซดริกเท่าไหร่นัก แต่ออนน์กลับลดกำปั้นลง ร้องด่าว่า “เจ้าบ้าเอ๊ย ทีหลังอย่าได้มาลองใจกันแบบนี้ ถ้าเจ้าไม่ได้อยู่ในกองทหารมาพักหนึ่งจนทุกคนรู้ว่าเจ้ามีนิสัยประหลาด จึงไม่มีใครถือสาหาความกับเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงถูกคนอื่นตีตายไปนานแล้ว!

    เซดริกหัวเราะแห้งๆ

    “เมแลนท์เป็นชนเผ่าใบไม้จริงหรือ” มีร่าถามอย่างไม่แน่ใจนัก หลังจากที่ได้รู้แล้วว่าเมแลนท์ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เธอรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด เพราะเธอไม่เคยรู้จักชนเผ่าใบไม้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าชนเผ่านี้แท้ที่จริงแล้วดีหรือเลว

    เซดริกพูดอย่างซื่อตรง “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ข้าไม่มีความรู้เรื่องชนเผ่าใบไม้มากนัก แค่เคยได้ยินคำเล่าลือมาบ้าง ดังนั้นจึงอยากจะรู้ว่าพวกเจ้าเชื่อคำพูดของเมแลนท์หรือไม่”

    “เชื่อ! เชื่อแน่นอน!” ออนน์รีบตอบเสียงดัง

    มีร่ากลับลังเล ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ชนเผ่าใบไม้ทำลายหมู่บ้านแห่งหนึ่งให้พินาศย่อยยับได้ไหม”

    “ถ้าทำได้ ข้าฆ่าเขาไปตั้งนานแล้ว” เซดริกพูดอย่างเย็นชา

    มีร่าเบิกตากว้าง แต่เซดริกกลับนิ่งขรึมลง ไม่ชี้แจงอะไรเพิ่มเติม

    ออนน์รีบดึงมีร่าไว้ กระซิบที่ข้างหูเธอ “พ่อแม่และพี่สาวของเซดริกทั้งหมดตายที่หมู่บ้านแห่งนั้น หากไม่เป็นเพราะคาซีร่ำร้องอยากมาเที่ยวชมกองทหารพอดีแล้วล่ะก็ แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะตายอยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นกว่าหนึ่งเดือนมานี้พวกเขาสองพี่น้องต่างก็ไม่สบายใจ ข้าจึงฉวยโอกาสนี้ชักชวนให้เซดริกพาคาซีออกมาเปลี่ยนบรรยากาศ”

    มีร่าพยักหน้า แม้จะพยายามสะกดกลั้น แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเผยท่าทางเศร้าเสียใจออกมา

    เหมือนว่าเซดริกไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของครอบครัวตน เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับไปที่เมแลนท์

    “ถ้าเขาเป็นชนเผ่าใบไม้ นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นมือสังหาร ชนเผ่าใบไม้มีชื่อเสียงว่าเป็นชนเผ่าที่มีจิตใจดีงาม ถึงแม้พวกเขาจะมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก สามารถเป็นเทพเทวะได้สบายๆ แต่ก็ไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะ...ทำเรื่องเช่นนั้น ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งใดมีพลังอำนาจมากถึงขนาดนั้น”

    ได้ยินแล้วมีร่าค่อยสบายใจ ที่จริงเธอไม่คิดว่าเมแลนท์โกหก ฉะนั้นเมแลนท์จะต้องเป็นชนเผ่าใบไม้อย่างแน่นอน และเซดริกก็ยังบอกว่าชนเผ่าใบไม้เป็นชนเผ่าที่มีจิตใจดีงาม เช่นนั้นทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอีกต่อไป ขอแค่มีจิตใจที่ดีงาม จะเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ไม่เห็นจะสำคัญอะไร

    ออนน์ทอดสายตามองออกไป พูดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ คาซีของเจ้าร้ายหยอกอยู่เมื่อไหร่ ไม่รู้จะก่อเรื่องอะไรกับเมแลนท์บ้าง”

    เซดริกหยอกเย้า “หลงลูกสาวจริงๆ เลยนะ! วางใจเถอะ คาซียังเด็กนัก ยังรังแกเมแลนท์ไม่ได้หรอก”

    “พูดอะไรเหลวไหล!” ออนน์ด่าเสร็จแล้วรีบหันหลัง เดินไปด่าไป “ไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว ข้าจะไปดูเจ้าเด็กพิเรนทร์สองคนนั่น ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย เดี๋ยวเจ้าเด็กพิเรนทร์เล่นอะไรแผลงๆ ล่ะก็แย่เลย!

    เมื่อเห็นสีหน้าที่ปิดบังความรู้สึกไม่มิดของออนน์ เซดริกกับมีร่าต่างก็ยิ้มออกมา แต่พอออนน์หันกลับไป เซดริกก็พูดกับมีร่าด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “พวกเจ้าต้องเดินทาง พอถึงเวลาแล้วจะทิ้งให้เมแลนท์อยู่ในเมืองหรืออยู่ในหมู่บ้านได้หรือ”

    มีร่าหัวเราะ “ยังไม่ได้ตัดสินใจ ให้อยู่ในกองทัพก็ไม่เสียหาย เมแลนท์ไม่ใช่เด็กแล้ว นางเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยข้าทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย”

    เซดริกส่ายหน้า “ทำไมพวกเจ้าถึงชอบเด็กคนนี้นัก ดูไปแล้วนางก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ หน้าตาก็สวยดีอยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้สวยเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะแตกต่างจากชนเผ่าใบไม้ที่เขาเล่าลือกัน”

    มีร่าหัวเราะคิกคัก “ถ้าได้อยู่ด้วยกันเจ้าก็จะต้องชอบเด็กคนนี้อย่างแน่นอน”

    “จริงหรือ”

    แต่เซดริกไม่คิดเช่นนั้น สำหรับเขาในตอนนี้เรื่องประเภทที่ว่าชอบหรือไม่ชอบไม่มีความสำคัญสักนิด เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องสืบหามือสังหารที่ทำลายหมู่บ้านให้เจอ แล้วเอาเลือดของมันมาชำระหนี้แค้น

     

    หลังจากพวกผู้ใหญ่เดินไปไกล คาซีที่กุมมือของเมแลนท์ก็รู้สึกว่ามือของอีกฝ่ายทั้งลื่นทั้งเนียนละเอียด น่าลูบไล้จริงๆ ผู้คนที่อยู่รอบข้างเขาแม้แต่เด็กผู้หญิงก็ไม่มีใครมีมือเนียนละเอียดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ทำตัวเหมือนเด็กแก่แดดลูบไล้อยู่นาน ใครจะรู้ว่าพอเงยหน้าขึ้นมาเมแลนท์กำลังจ้องมือของเขา

    คาซีหน้าแดงก่ำ รีบเปิดประเด็นสนทนาหันเหความสนใจของอีกฝ่าย “พี่สาว ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”

    เมแลนท์ก้มศีรษะลงเล็กน้อยมองดูคาซี เพราะคาซีเตี้ยกว่าเขาประมาณสิบเซนติเมตร จากนั้นจึงตอบไปว่า “ข้าไม่รู้”

    “ไม่รู้?” คาซีชะงัก ถามกลับไปด้วยความสงสัย “ทำไมถึงไม่รู้ เจ้าเกิดมานานแค่ไหนเจ้าก็อายุเท่านั้นแหละ”

    “ข้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานแค่ไหน ไม่รู้ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่”

    “นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แต่กลับไม่รู้ว่านั่งอยู่นานแค่ไหน” คาซียิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ “จะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ได้นานแค่ไหนกันเชียว เจ้าจะบอกว่าเจ้าอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใช่ไหม

    เมแลนท์ครุ่นคิด อาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ก็ดูเหมือนจะถูกต้องเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า

    “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะต้องปีนต้นไม้เก่งแน่ๆ!” คาซีสรุปเอาเอง พูดอย่างดีใจสุดขีด “ข้าก็ชอบปีนต้นไม้ เดี๋ยวพวกเราไปปีนต้นไม้กันนะ”

    “ทำไมต้องปีนต้นไม้” เมแลนท์ไม่ค่อยเข้าใจ

    คาซีชะงัก ปีนต้นไม้ก็ปีนมาตั้งหลายปีแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าทำไมต้องปีนต้นไม้ เขาคิดแล้วคิดอีก พยายามคิดคำตอบออกไป “เพราะว่าสนุกล่ะมั้ง”

    “ปีนต้นไม้ก็คือการเล่นใช่ไหม”

    “ใช่แล้ว!

    “ตกลง” เมแลนท์พยักหน้า

    “ตกลงอะไร” คาซีชะงัก

    “ตกลงปีนต้นไม้”

    หลังจากได้ยินคำตอบ ดวงตาทั้งคู่ของคาซีก็เป็นประกาย ตั้งแต่เขามาที่กองทหารก็ไม่เคยได้พบกับคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ถึงแม้ภายนอกเมแลนท์จะดูแก่กว่าเขาหลายปี อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิง แต่เขากลับรู้สึกเหมือนได้พบเพื่อนเล่น เขาร้องลั่นออกมาทันทีด้วยความดีใจ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเรามาแข่งปีนต้นไม้กัน!

    “แข่งคืออะไร” หน้าคำว่าปีนต้นไม้มีคำว่าแข่งเพิ่มเข้ามา เมแลนท์ก็ไม่เข้าใจอีก

    “ก็คือดูว่าใครจะปีนได้เร็วกว่ากัน คนที่เร็วกว่าคือคนชนะไงล่ะ”

    “อะไรคือชนะ”

    ...พี่สาวมีปัญหาเยอะจัง!

    เมแลนท์พยักหน้ายอมรับ “ข้ามีปัญหาเยอะจริงๆ”

    คาซีหัวเราะพรวดออกมาดังลั่น “มีใครที่ไหนพูดว่าปัญหาของตัวเองเยอะกัน ถ้าอย่างนั้นความหมายก็จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้วล่ะ!

    “ความหมายอะไร”

    ไม่บ่อยนักที่จะได้ทำเหมือนตัวเป็นอาจารย์ คาซีแสร้งทำเสียงและท่าทางเหมือนคนแก่ “ก็หมายความว่าตัวเจ้ามีปัญหามากมาย”

    นั่นไม่ใช่ความหมายอย่างเดียวกันหรือ เมแลนท์ไม่เข้าใจเลยสักนิด

    โชคดีที่ตอนนี้พวกออนน์สามคนเดินกลับมา เสียงของออนน์นั้นมาถึงก่อนตัวซะอีก เขาตะโกนเสียงดัง “คาซี เจ้ารังแกเมแลนท์หรือเปล่า”

    “ข้าเปล่านะ!” คาซีโวยวายขึ้นมาทันที “ข้ายังตอบคำถามนางตั้งเยอะ! ท่านพูดจาใส่ร้ายข้า!

    “ข้าแน่ใจว่าไม่ได้ใส่ร้ายเจ้า เด็กพิเรนทร์อย่างเจ้าต้องรังแกเมแลนท์แน่ๆ!” ออนน์โอบรัดศีรษะของคาซีเอาไว้ ขยี้ศีรษะของเขาอย่างแรง เอ็ดตะโรเสียงดัง “เจ้าเด็กแก่แดด รีบบอกมา เจ้าเอาเปรียบนางหรือเปล่า”

    เพราะแอบลูบไล้มือของคนอื่นเข้าจริงๆ คาซีกินปูนร้อนท้อง สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก

    ...เจ้าทำอะไร” ออนน์ตกใจ เขาแค่พูดไปอย่างนั้นเอง แต่ไม่ได้คิดจริงจังว่าคาซีจะทำอะไร

    คาซีไม่เพียงแต่ไม่ตอบเท่านั้น แต่หน้ายังแดงอีกด้วย

    เห็นเช่นนั้นออนน์แทบจะอ้าปากค้าง พูดติดอ่างฟังไม่รู้เรื่อง “เจ้า...เจ้าเด็กแก่แดดนี่...

    เซดริกคิดไม่ถึงว่าพอกลับมาจะพบกับปัญหาเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ได้แต่มองคาซีด้วยสายตาดุๆ

    แต่มีร่ากลับไม่คิดว่าคาซีจะทำอะไรลงไปจริงๆ จึงเอ่ยถามเมแลนท์ตรงๆ “เมแลนท์ คาซีได้แตะต้องเจ้าหรือเปล่า”

    เมแลนท์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เขาลูบมือของข้า”

    เพื่อทำให้ผู้ชายสองคนเลิกสงสัยในตัวเด็กชายคนหนึ่ง มีร่าซักถามอย่างละเอียดขึ้นไปอีก “แค่ลูบมือใช่ไหม ตรงส่วนอื่นไม่มีใช่ไหม แล้วเขาพูดอะไรบ้าง

    เมแลนท์พยักหน้าอีกครั้ง “เขาบอกว่าปีนต้นไม้คือการเล่น บอกว่าจะแข่งปีนต้นไม้”

    ฟังจบแล้วมีร่าหันหน้าไป แบมือทั้งสองข้างออกมา มองออนน์ซึ่งรีบหันไปหาคาซี ร้องดุว่า “เจ้าเด็กบ้า ทำให้ข้าคิดว่าเจ้าทำอะไรลงไปจริงๆ สุดท้ายก็แค่ลูบมือ แล้วเจ้าหน้าแดงทำไมกัน ปกติเจ้าก็เคยจูงมือกับพวกพี่สาวมาแล้วตั้งเยอะ”

    จูงมือกับลูบมือมันไม่เหมือนกัน! คาซีโต้แย้งอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมาให้ถูกดุด่ามากไปกว่านี้ พี่เซดริกยังมองเขาด้วยแววตาสงสัยอยู่อีกด้านหนึ่งด้วย

    “เอาล่ะ พวกเจ้าผู้ชายตัวโตๆ ทั้งสองคนก็อย่ารังแกคาซีนักเลย” มีร่าพูดอย่างทั้งขำทั้งเคือง “พละกำลังของเมแลนท์เยอะมาก แล้วตัวก็สูงกว่าคาซีตั้งสิบกว่าเซนติเมตร คาซีจะรังแกนางได้ยังไง”

    ออนน์เอะอะเอ็ดตะโรขึ้นมาทันที “มีร่า เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ เมแลนท์เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าคาซีคิดจะทำอะไรบ้าๆ กับนาง นางก็คงต่อต้านไม่เป็น”

    เซดริกรีบพูดอย่างไม่พอใจขึ้นมา “ความจริงเจ้าคิดว่าน้องชายข้าทำอะไรกันแน่ เขาผิดร้ายแรงจนไม่น่าให้อภัยหรือยังไง เขาเพิ่งจะอายุสิบขวบนะ ทำอะไรบ้าๆ ได้เหรอ”

    “ใครจะไปรู้ล่ะ วันนี้ลูบมือ พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะลูบตรงไหนอีก!” ออนน์โต้ตอบอย่างไม่ยอมจำนน

    ขณะที่ผู้ชายทั้งสองคนต่างไม่มีใครยอมใคร อีกด้านหนึ่งมีร่าก็เกิดกังวลขึ้นมาจริงๆ รีบกำชับเมแลนท์ “เมแลนท์ อย่าให้ผู้ชายมาลูบเนื้อตัวเจ้าส่งเดชเด็ดขาดนะ ถึงจะเป็นเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าก็ไม่ได้เหมือนกัน”

    “ลูบมือก็ไม่ได้หรือ” เมแลนท์หันไปมองคาซี

    มีร่าคิดหาคำตอบครู่หนึ่ง “จูงมือได้ แต่ลูบมือไม่ได้” เธอรู้ว่าเมแลนท์ไม่อาจเข้าใจความแตกต่างของการจูงมือกับลูบมือ ดังนั้นจึงคว้ามือของเขามาสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง

    เห็นเช่นนั้นคาซีก็หน้าเสียทันที เขาพยายามขยิบตาให้เมแลนท์สุดชีวิต น่าเสียดายที่เมแลนท์ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เขาพูดตามตรง “เมื่อกี้คาซีก็ลูบมือข้า”

    มีร่าชะงัก ถามกลับไป “ลูบ? ไม่ใช่จูงมือหรือ”

    เมแลนท์ส่ายหน้า จากนั้นก็ลูบมือมีร่าไปพลางพูดไปพลาง “ลูบมือ”

    เมื่อได้ยินถ้อยคำ ผู้ชายทั้งสองคนที่เมื่อครู่ยังโต้เถียงกันก็ส่งสัญญาณสงบศึก ใช้สายตาที่ฆ่าคนได้จ้องมองคาซีพร้อมกัน คาซีถูกผู้ใหญ่สามคนจ้องมอง หน้าเหยเกร้องเสียงดังในทันที “เป็นเพราะมือของเมแลนท์ลื่นมาก น่าลูบจริงๆ ข้าก็เลยลูบไปไม่กี่ทีเท่านั้นเอง แค่นี้จริงๆ นะ!

    “ใครให้เจ้าลูบส่งเดชหา เจ้าเด็กบ้า วันนี้เห็นทีข้าจะต้องฆ่าเด็กแก่แดดอย่างเจ้า!

    “อย่านะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่นา!” คาซีรีบวิ่งหนี

    ออนน์ร้องตะโกน วิ่งไล่กวดเด็กแก่แดดที่วิ่งหนี และเซดริกก็ไม่ยอมช่วยน้องชาย เขาตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธ “คาซี เจ้าห้ามวิ่งหนีนะ!

    อีกด้านหนึ่ง เมแลนท์ถามอย่างไม่เข้าใจ “ฆ่ามีความหมายว่าอะไร”

    มีร่าตกใจ แต่ก็ยังคงอธิบาย “ความหมายก็คือพรากชีวิตของฝ่ายตรงข้าม”

    เมแลนท์ถามอีกว่า “ออนน์จะพรากชีวิตของคาซี? แต่พวกเราจะไปเล่นกัน ไม่มีชีวิตก็เล่นไม่ได้”

    มีร่ารีบบอก “เขาแค่พูดเล่น ที่ข้าอธิบายให้เจ้าฟังคือความหมายที่พูดกันเล่นๆ เข้าใจไหม”

    เมแลนท์พยักหน้า มันคือถ้อยคำที่พูดเพื่อความสนุก ไม่ใช่ว่าจะทำลงไปจริงๆ

    ถึงแม้มีร่าจะอธิบายในทันทีแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า สนุก แต่ตอนนี้ได้เห็นออนน์วิ่งกระหืดกระหอบไล่กวดคาซี และได้เห็นคาซีทำหน้าเหยเกวิ่งอุตลุดเช่นนี้ ดูเหมือนเมแลนท์จะเข้าใจความหมายของคำว่า สนุกแล้ว

    เมื่อออนน์จับศีรษะของคาซีเอาไว้ได้ก็ใช้กำปั้นหมุนควงบนกระหม่อมของเขา ซึ่งขณะนั้นเจ็บจนร้องแงๆ เสียงดัง ในที่สุดเมแลนท์ก็หัวเราะออกมา อีกทั้งยังส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วย เสียงหัวเราะของเขาทำให้ออนน์หมุนกำปั้นด้วยอารมณ์ที่คึกคะนองยิ่งขึ้น

    เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเมแลนท์ เป็นครั้งแรกที่มีร่าถึงกับนึกขอบคุณอารมณ์แบบเด็กๆ และนิสัยชอบก่อความวุ่นวายของออนน์จนเกือบจะส่งเสียงช่วยเชียร์ออกมา แต่เมื่อเห็นท่าทางร้องไห้คร่ำครวญของคาซี เธอก็ตัดสินใจที่จะแย้มยิ้มและมองดูออนน์ก่อความวุ่นวายเท่านั้น

     

    พวกเขาเดินทางกันจนถึงเที่ยงวัน ในที่สุดก็มาถึงทะเลสาบ พื้นที่ของทะเลสาบกว้างใหญ่ไพศาล ที่ไกลออกไปยังคงปกคลุมไปด้วยสายหมอก ทอดสายตาออกไปไกลก็ยังไม่อาจมองเห็นอีกฝั่งของทะเลสาบ

    ทะเลสาบโดยรอบถูกโอบล้อมไปด้วยผืนป่า ทำให้น้ำในทะเลสาบสะท้อนแสงสีเขียวละมุนละไม อีกทั้งยังสะท้อนเงาของภูเขาสูงที่อยู่ไกลออกไป สัตว์ป่าหลายตัวมากินน้ำที่ริมทะเลสาบ แม้จะเห็นคนก็ไม่ตื่นกลัว พวกมันแค่เงยหน้าขึ้นมามองดูอย่างแปลกใจเล็กน้อย

    ได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามเบื้องหน้า ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงชื่นชมออกมา

    เมแลนท์กลับเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่รู้สึกพิเศษอะไร สำหรับดอกไม้ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตเอาแต่ขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้นั้น ทิวทัศน์ทุกอย่างล้วนมีค่าให้เขาชื่นชม ไม่เพียงทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น

    “ทะเลสาบงดงามจริงๆ!” มีร่ามองตาไม่กะพริบ เอ่ยถาม “ทะเลสาบนี้มีชื่อไหม”

    เซดริกพยักหน้าบอกว่า “คนในละแวกนี้ขนานนามมันว่าทะเลสาบจันทรา ได้ยินว่าในตอนกลางคืนพื้นผิวของทะเลสาบจะสะท้อนแสงจันทร์ได้อย่างกระจ่างชัดเลยทีเดียว”

    “แต่พวกเราอยู่จนถึงกลางคืนไม่ได้” ออนน์รีบพูดขึ้น “ละแวกนี้สัตว์ป่าเยอะเกินไป ตกกลางคืนจะกลายเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก”

    “น่าเสียดายจัง...” แม้มีร่าจะพูดเช่นนี้ แต่ถ้าจะอยู่ถึงกลางคืน น่ากลัวเธอจะเป็นคนแรกที่คัดค้าน สำหรับเธอแล้วความปลอดภัยของเด็กสองคนนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าทิวทัศน์ที่สวยงามใดๆ มากนัก

    “ว่ายน้ำได้แล้วล่ะ!” คาซีร้องออกมาด้วยความดีใจ

    สำหรับเด็กอายุสิบปีคนหนึ่ง การว่ายน้ำดึงดูดใจยิ่งกว่าทิวทัศน์ที่สวยงาม

    “ห้ามลง!” ออนน์รีบห้ามปราม

    คาซีชะงัก หน้าง้ำ ตะโกนอย่างไม่พอใจ “ทำไมล่ะ”

    เซดริกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่นี่เป็นป่าลึก ในทะเลสาบไม่รู้ว่ามีตัวอะไรอยู่บ้าง ถ้าเจ้าอยากถูกกินก็ลงไปเลย”

    คาซีเบ้ปาก

    ในตอนนั้นเองเมแลนท์กลับวิ่งไปถึงริมทะเลสาบ จากนั้นไม่ทันที่ทุกคนจะได้ห้ามปราม เขาก็กระโดดลงไปในทะเลสาบเสียแล้ว

    ถึงแม้อากาศจะอบอุ่นจนถึงกับร้อนนิดหน่อย แต่น้ำในทะเลสาบยังคงหนาวเย็น ทว่าเมแลนท์กลับชอบมาก นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ดื่มน้ำที่สดชื่นน่ากินเช่นนี้

    คาซีกลับไม่พอใจอย่างยิ่ง ชี้ไปที่เมแลนท์ที่อยู่ในทะเลสาบ ประท้วงเสียงดัง “ทำไมเมแลนท์ลงไปได้ แต่ข้าลงไปไม่ได้!

    ออนน์ใบ้กิน เซดริกกลับจ้องน้องชายเขม็ง ดุว่า “เพราะนางเป็นชนเผ่าใบไม้ เป็นบุตรของผืนป่า แต่เจ้าไม่ใช่!

    ได้ยินคำสั่งสอนของพี่ชาย น้ำตาของคาซีก็เอ่อขึ้นมาคลอเบ้า

    เมื่อเห็นเหตุการณ์ มีร่าครุ่นคิด ตะโกนบอกกับเมแลนท์ที่อยู่ในทะเลสาบ “เมแลนท์ ให้คาซีลงไปเล่นกับเจ้าได้ไหม เจ้าจะปกป้องเขาได้ไหม”

    เล่นไม่ใช่แค่ปีนต้นไม้หรอกหรือ เมแลนท์ไม่เข้าใจนัก เขาแค่ลงมาดื่มน้ำที่สดชื่นเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้ยินมีร่าพูดคำว่าต้องการให้เขาปกป้องคาซี เขากลับเข้าใจ เพราะดอกไม้เกิดมาก็เพื่อปกป้องชนเผ่าใบไม้

    ปกป้องเป็นสัญชาตญาณที่เขาทำได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องปกป้องไม่ได้มีเพียงชนเผ่าใบไม้ ยังเพิ่มออนน์และมีร่าเข้ามาด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้เพิ่มคาซีอีกสักคนก็ไม่เห็นเป็นไร ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบตกลง

    คาซีเกือบจะกระโจนลงไปในทันที แต่เขาก็ยังมองพี่ชายอย่างพะว้าพะวัง จนกระทั่งเซดริกพยักหน้า เขาร้องเสียงดัง “เยี่ยมไปเลย”

    เด็กชายรีบถอดเสื้อผ้าจนเหลือแค่กางเกงชั้นในหนึ่งตัว จากนั้นอึดใจเดียวก็วิ่งไปถึงริมทะเลสาบและกระโดดลงไป ละอองน้ำแตกซ่านกระเซ็น แม้แต่เมแลนท์ก็ถูกน้ำสาดเข้าเต็มหน้า

    คาซียังไม่พอแค่นั้น เขายิ้มเจ้าเล่ห์แพรวพราว ใช้สองมือช่วยกันวักน้ำสาดใส่เมแลนท์อย่างสนุกสนาน

    เมแลนท์ได้แต่หันกลับมามองเขา จากนั้นก็เริ่มเลียนแบบการกระทำของคาซี สาดน้ำไปทางเขา

    “คาซี! อย่าก่อกวนคนอื่น”

    เซดริกมองทะเลสาบที่ลึกและเงียบสงัดแล้วรู้สึกหวาดผวา จึงคิดจะเปล่งเสียงเรียกให้น้องชายขึ้นมา แต่กลับถูกมีร่าห้ามเอาไว้ เธอยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก แค่เด็กเล่นกันเท่านั้นเอง เจ้าปล่อยให้พวกเขาเล่นกันเถอะ”

    ออนน์ก็ตบหลังตบไหล่ของเขา เอ่ยแนะนำ “ผ่อนคลายซะบ้างเถอะ พวกเราอยู่ด้วยกัน ไม่เกิดเรื่องหรอกน่า”

    “ข้าก็แค่...” เซดริกไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี เขานิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้ง “ข้าเหลือแค่คาซีคนเดียวแล้ว”

    ออนน์ถอนหายใจ “คาซีเองก็เหลือเพียงเจ้าที่เป็นพี่ชาย เจ้าอย่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงใส่เขา แถมยังเคี่ยวเข็ญให้เขาฝึกดาบ ฝึกญาณวิเศษ”

    เซดริกตอบโต้กลับไปด้วยเกิดโทสะ “การฝึกญาณวิเศษจะได้ผลลัพธ์ดีที่สุดก็ตอนเป็นเด็ก หากพลาดโอกาสไป หลังจากนั้นโอกาสที่จะฝึกให้เก่งก็ต่ำมาก”

    ออนน์รีบอธิบาย “ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ให้เขาฝึก แค่พูดว่าต้องพักบ้าง พักผ่อนอย่างเหมาะสม ใช่แล้ว! ข้าบอกให้เจ้าเอาแผนที่มาอธิบายความรู้ทั่วไปให้เมแลนท์ เจ้าได้เอามาหรือเปล่า”

    พูดถึงตอนท้ายออนน์ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพราะเขารู้ว่าครอบครัวของเซดริกถูกฆ่าตายเกือบทั้งบ้าน ความคับแค้นในใจยังคงหนักหนา ไม่อาจที่จะปลอบใจได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นจึงไม่ทำตัวเป็นเด็กไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา

    เขาต้องจำไว้ให้ดีว่าเซดริกต้องใช้เวลาคิดอยู่พักใหญ่ อีกทั้งยังให้เพื่อนร่วมทีมสับเปลี่ยนกันไปให้กำลังใจเซดริก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เซดริกยอมพาคาซีออกมาพักผ่อนหย่อนใจด้วยกันได้ ฉะนั้นเขาจะไม่ทะเลาะกับเซดริกให้เสียบรรยากาศเด็ดขาด

    เซดริกพยักหน้า “เอามา ข้าคิดว่าจะถือโอกาสอธิบายให้คาซีฟังด้วย ต่อไปจะได้สืบหามือสังหารได้ง่ายขึ้น ตามความเห็นของข้า มือสังหารไม่น่าจะอยู่ในละแวกนี้แล้ว”

    ทันใดนั้นเสียงร้องเรียกอย่างโกรธเคืองของมีร่าก็ดังแว่วมาจากที่ไม่ไกลนัก “เจ้าสองคนอย่ามัวแต่เอ้อระเหยลอยชายอยู่ตรงนั้นสิ รีบเอาของที่ถืออยู่ในมือมาตรงนี้แล้วก็ไปก่อไฟ หาฟืน จับปลา เรื่องที่จะต้องทำเยอะขนาดนี้ ทำไมพวกเจ้าถึงยังไม่รีบลงมืออีก”

    ออนน์รีบดึงเซดริกมา ร้องตะโกน “มาแล้ว!



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×