ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black flower

    ลำดับตอนที่ #1 : ดอกไม้ที่ถูกทอดทิ้ง

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 54


    ดอกไม้ที่ถูกทอดทิ้ง

     

    เจ้าคือใครกัน

    ข้าคือ...ดอกไม้

    ดอกไม้ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ดอกไม้เป็นพืชพันธุ์ ดอกไม้มิอาจเคลื่อนไหว ดอกไม้มิอาจพูดจา ทว่าเจ้านั้น...

    ข้าเคลื่อนไหวได้ ข้าข้ามผ่านกาลเวลามาแสนนาน

    ข้ามองเห็น ข้าเคยเห็นผืนน้ำแผ่นดินเวียนแปรผัน

    ข้าพูดได้ ข้าสามารถบอกเล่าเรื่องรักโลภโกรธหลง

    เพียงแต่...ข้าก็ยังคงเป็นดอกไม้

     

    ชนเผ่าใบไม้กำลังจะต้องไปจากดินแดนซีฌง

    พวกเขาเป็นชนเผ่าใบไม้กลุ่มสุดท้ายบนแผ่นดินนี้ ทั้งที่ปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ในป่าเขาสูงทึบ ใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีมีความสุขมาช้านาน แต่นับจากนี้ไปพวกเขาจะต้องออกเดินทางข้ามมหาสมุทรอันไกลโพ้นเพื่อไปสู่ดินแดนใหม่ เพราะต้นไม้แห่งจิตวิญญาณที่พวกเขาอาศัยพักพิงมาชั่วชีวิตแก่ชราลงมากแล้ว และมันกำลังจะตายในไม่ช้า

    พวกเขาจำต้องดั้นด้นไปสู่แผ่นดินใหม่เพราะความจำเป็น ที่นั่นมีชนเผ่าใบไม้หลายกลุ่มยินดีต้อนรับพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ พวกเขามีต้นไม้แห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการอพยพเข้าไปของชนเผ่าใบไม้กลุ่มนี้

    เพื่อการอพยพ เหล่าใบไม้ได้เริ่มเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ บางส่วนต่อเรือกันอยู่ในป่าใกล้ชายหาด บางส่วนก็ศึกษาวิธีการเดินเรือ บางส่วนก็เริ่มหมักดองถนอมอาหารและกลั่นเหล้า

    เหล่าใบไม้พยายามเรียนรู้ทุกๆ สิ่งที่จะทำให้พวกเขาสามารถเดินทางไปถึงดินแดนแห่งใหม่ได้โดยสวัสดิภาพ เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าต้นไม้ของพวกตนใกล้จะตายแล้ว เพื่อความอยู่รอด พวกเขาจำต้องรีบศึกษาวิธีเดินทางไปสู่แผ่นดินอีกแห่งอย่างปลอดภัย แม้กาลอันใกล้ที่ว่านี้จะหมายถึงระยะเวลาชั่วชีวิตของมนุษย์ก็ตาม

    ต้นไม้ต้นนี้เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งร้อยปีจึงจะดับสูญไป ทำให้เหล่าใบไม้ยังพอมีเวลาในการละจากถิ่นฐานบ้านเกิด

    เวลาหนึ่งร้อยปีเหมือนจะยาวนานในความรู้สึก แต่สำหรับการอพยพของชนเผ่าใบไม้ทั้งเผ่า ใบไม้หลายแสนชีวิตจะต้องเดินทางข้ามมหาสมุทรที่ไม่เคยรู้จัก อีกทั้งชาวใบไม้มีอายุขัยยาวนานนับพันปี วิถีชีวิตของพวกเขาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ระยะเวลาเพียงแค่นี้จึงดูเหมือนจะไม่เพียงพอ

    ในขณะที่เหล่าใบไม้กำลังขะมักเขม้นทำงานกันอยู่นั้นเอง ต้นไม้ที่จวนเจียนตายกลับผลิดอกออกมา ดูท่านี่จะเป็นการออกดอกครั้งสุดท้ายของมัน แต่ดอกไม้นั้นกลับเป็นสีดำ

    เหล่าใบไม้งงงันไม่รู้จะทำอย่างไร...

     

    เหล่าใบไม้ไม่นึกชอบดอกไม้ดอกนั้นเลย

    แต่ไหนแต่ไรมาชนเผ่าใบไม้เป็นเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยสีสัน รูปโฉมของพวกเขานั้นบอบบางและงดงาม เส้นผมและดวงตามีมากมายหลายหลากสี ทั้งสีเขียวละมุน สีฟ้าคราม สีม่วงเหลือบ สีทองอร่าม และสีส้มสุก ไม่ว่าจะเป็นสีใด จุดเด่นก็คือความสดใสเจิดจ้า

    ทว่าดอกไม้ดอกนั้นกลับมีเส้นผมสีดำสนิทและมีดวงตาสีแดงคล้ำ เป็นสองสีที่มืดหม่นอะไรเช่นนี้ ราวกับแสดงถึงความเสื่อมสลายของต้นไม้แห่งจิตวิญญาณ เหล่าใบไม้จึงไม่ชอบดอกไม้สีดำดอกนั้น เหมือนเป็นการปฏิเสธที่จะยอมรับว่าต้นไม้ของพวกเขากำลังจะตาย

    นอกจากเรื่องสีแล้ว การเติบโตของดอกไม้ก็ดูจะผิดเพี้ยน โดยปกติเพียงสิบปีดอกไม้ก็พูดได้แล้ว ยี่สิบปีดอกไม้ก็วิ่งได้แล้ว สามสิบปีดอกไม้ก็แสดงความสามารถทั้งหมดออกมาได้แล้ว

    ดอกไม้เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากต้นไม้แห่งจิตวิญญาณ เป็นผู้พิทักษ์ชนเผ่าใบไม้ สามารถควบคุมพืชพันธุ์ทั้งปวงให้มาปกป้องเผ่าพันธุ์ใบไม้ได้

    แต่ทว่าดอกไม้ดอกนั้นกลับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แม้แต่เดินก็ไม่เป็น

    เขาเคยก้าวเท้าออกเดินเมื่อนานมาแล้ว แต่บัดนี้กลับซุกตัวอยู่ใต้ต้นไม้ แทบจะไม่ขยับเขยื้อน ใช้เส้นผมสีดำยาวรุงรังบดบังใบหน้าของตนเองไว้ ไม่มองดูสิ่งใด ไม่รับฟังสิ่งใด ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ทั้งยังไม่เคยพูดจา

     

    ถึงแม้ใบไม้จะไม่ชอบดอกไม้ แต่ก็ไม่มีใบไม้ตนใดข่มเหงรังแกเขา ด้วยเพราะใบไม้มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม การระรานเช่นนั้นจึงไม่ใช่วิสัย พวกเขาได้แต่เพียรศึกษาหาความรู้ที่จะข้ามมหาสมุทร รอคอยเวลาที่จะออกเดินทาง ต่อมาก็ไม่ได้สนใจดอกไม้อีกเลย

    ชนเผ่าใบไม้ผู้หวงแหนบ้านเกิดเมืองนอนเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า รอคอยจนกระทั่งต้นไม้ที่มีแต่สีเขียวมาตลอดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงสีเหลือง พวกเขาต่างตื่นตระหนก แต่ก็ระลึกได้ในที่สุดว่าถึงเวลาต้องจากลา

    ต้นไม้ของพวกเขากำลังจะตายแล้วจริงๆ

    ถึงเวลาแล้วสินะ ใบไม้ทุกใบต่างตระหนักถึงความเป็นจริง

    ราชาแห่งชนเผ่าใบไม้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว บัญชาให้เหล่าใบไม้ทั้งหมดเดินทางออกจากป่า เริ่มมุ่งหน้าออกเดินเรือ ไม่ว่าจะอย่างไร จะมีใบไม้ที่ยังไม่ขึ้นเรือหรือไม่ แต่เรือลำสุดท้ายจะต้องออกเดินทางภายในหนึ่งปีให้หลัง

    นับจากนั้นมาชนเผ่าใบไม้ก็เริ่มเดินทางอพยพอย่างเชื่องช้า ทว่าเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก

    เวลานี้เอง ในที่สุดดอกไม้ก็ยืนขึ้น เขาออกจากร่มเงาของต้นไม้ ร่วมขบวนไปกับเหล่าใบไม้ด้วยก้าวย่างเตาะแตะโงนเงนเหมือนเด็กๆ

    เขาไม่เคยคุ้นกับการเดินจึงเดินได้ช้ามาก จากหัวขบวนค่อยๆ ถอยร่นมาอยู่ตรงกลาง แล้วก็หล่นมาอยู่ท้ายขบวน

    ในที่สุดเขาก็เดินรั้งท้ายอยู่ด้านหลังใบไม้ตนหนึ่ง ใบไม้ตนนั้นมีผมยาวสีม่วงเหลือบเงินโดดเด่นสะดุดตา ยิ่งอยู่ในป่าอย่างนี้ยิ่งเห็นได้ถนัด

    ดอกไม้มองดูเส้นผมของเขา เดินตามเขา หากตอนนี้ใบไม้ตนนั้นเดินออกจากขบวน น่ากลัวว่าดอกไม้ก็จะตามเขาไปด้วยแน่

    ใบไม้ผมสีม่วงเหลือบเงินเองก็หันกลับมามองดอกไม้เป็นระยะ แม้เขาจะไม่ชอบดอกไม้ แต่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้

    เพราะที่จริงแล้วนั่นคือดอกไม้ของพวกเขา

    ดอกไม้ดอกนี้เดิมทีควรจะเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขา เป็นสิ่งล้ำค่าที่พวกเขาจะต้องปกปักรักษาอย่างเต็มกำลัง

    แต่ต้นไม้กำลังจะตาย พวกเขาจะไม่จากไปก็ไม่ได้

    พวกเขาไม่อาจพาดอกไม้ไปด้วยได้ ดังนั้นนับตั้งแต่ดอกไม้ถือกำเนิดมาก็ไม่มีใบไม้ตนใดกล้ามองดอกไม้อย่างเต็มตา ดอกไม้ดอกนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องถูกพวกเขาทอดทิ้ง

    แล้วพวกเขาจะกล้าจ้องมองดอกไม้ได้อย่างไร

    บนท้องทะเลกว้างไกลสุดสายตา เรือจำนวนมากมายมหาศาลจอดเทียบท่าอยู่ริมชายฝั่ง ลำเรือที่ฉาบเคลือบด้วยปูนขาวเกือบทั่วลำนั้นเป็นเรือที่ชนเผ่าใบไม้สร้างขึ้น ส่วนเรือที่มีสีสันสดใสสวยงามเป็นเรือที่ชนเผ่าใบไม้ซึ่งอยู่อีกแผ่นดินหนึ่งส่งมาเพื่อสนับสนุนการเดินทาง

    ใบไม้ผมสีม่วงเหลือบเงินหยุดก้าวเดิน เงยหน้ามองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า บนท้องทะเลดาษดาด้วยลำเรือของชนเผ่าใบไม้ ใบไม้ทุกตนที่อยู่บนเรือต่างมองเห็นเขา ขณะเดียวกันก็มองเห็นดอกไม้ที่อยู่เบื้องหลังเขา

    ใบไม้ผมสีม่วงเหลือบเงินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับดอกไม้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พินิจมองดอกไม้อย่างถี่ถ้วน แม้ว่าเส้นผมของดอกไม้จะดำสนิท ทว่าผิวกายนั้นกลับขาวผ่องผุดผาด สองสิ่งนี้เมื่อเข้าคู่กันแล้วความจริงก็ไม่ได้มืดมนอย่างที่คิด กลับยิ่งเด่นสะดุดตา คงเป็นเพราะสีขาวกับสีดำนั้นตัดกัน

    บางทีดอกไม้ดอกนี้อาจมีความสามารถผิดจากที่คาดคิดเอาไว้ แต่เขาไม่อาจคิดเช่นนั้นและไม่อาจรู้สึกชอบพอดอกไม้ เพราะพวกเขาจะต้องทอดทิ้งดอกไม้แล้ว

    ใบไม้พยายามควบคุมตนเองไม่ให้แสดงอารมณ์มากเกินไป จึงได้แต่กล่าวขอโทษ “ข้าขออภัย ขออภัยยิ่งนัก แต่เจ้าขึ้นเรือไปกับพวกข้าไม่ได้”

    ดอกไม้ได้แต่ใช้ดวงตาสีแดงคล้ำคู่นั้นจ้องมองเขา

    ใบไม้หลบสายตาของดอกไม้ ก้มศีรษะลงเล็กน้อย พูดขึ้นว่า “นามข้าคือกูมูสมอร์ หากว่าเจ้า...หากภายภาคหน้าเจ้ายังอยู่รอดปลอดภัย โปรดไปหาพวกข้าที่ดินแดนเกวนด์”

    ดอกไม้ยังคงจ้องมองเขา ไม่รู้ว่าฟังเขารู้เรื่องบ้างหรือไม่

    ท่านประมุข จะขึ้นเรือเลยหรือไม่ขอรับ

    กูมูสมอร์หันกลับไปมอง ใบไม้สองตนเดินลงมาจากเรือ ไต่ถามเขา เขาพยักหน้า “เตรียมการเรียบร้อยแล้วหรือ”

    “ขอรับ ออกเดินทางได้แล้ว”

    “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

    เมื่อเอ่ยจบ ใจจริงกูมูสมอร์อยากจะหันกลับไปมองดอกไม้ แต่ชั่วพริบตานั้นก็กลับหยุดชะงัก และเดินตามใบไม้สองตนนั้นจากไป

    ดอกไม้เดินตามไปสี่ห้าก้าว แต่กูมูสมอร์กับใบไม้อีกสองตนนั้นหยุดเดิน หันกลับมาขมวดคิ้วมองดูเขา ทว่าไม่มีใครยอมออกปากห้ามปราม พวกเขาเริ่มออกเดินไปที่เรืออีกครั้ง เมื่อดอกไม้เดิมตามมาอีก ใบไม้ก็หยุดเดิน

    การกระทำเยี่ยงนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งจนดูเหมือนดอกไม้จะเข้าใจในที่สุด เขามองดูกูมูสมอร์และใบไม้สองตนขึ้นเรือโดยไม่ได้ติดตามไปอีก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ริมฝั่ง จ้องมองกูมูสมอร์ไม่วางตา

    การหยุดเคลื่อนไหวของดอกไม้ทำให้เหล่าใบไม้ต่างโล่งอก หากดอกไม้ยืนกรานที่จะขึ้นเรือให้ได้ พวกเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำเช่นไรดี

    ต้องทุบตีด่าว่าเขา ต้องขับไล่ไสส่งเขากระนั้นหรือ ก็ในเมื่อการติดตามชนเผ่าใบไม้ ปกป้องชนเผ่าใบไม้เป็นภารกิจหน้าที่ของดอกไม้ แล้วพวกเขาจะลงทัณฑ์ดอกไม้ที่พยายามทำหน้าที่อย่างสุดกำลังได้เช่นไร

    ดอกไม้ยืนอยู่ริมชายฝั่ง เบิกตาจ้องมองใบไม้บนเรือ ในตอนนั้นเองเขาได้เปิดปากเอ่ยถ้อยคำออกมา “เพราะเหตุใดพวกท่านถึงไม่ชอบข้า”

    บนดาดฟ้าเรือ เหล่าใบไม้เกือบทุกตนต่างมองดูดอกไม้ดอกนั้น พวกเขานิ่งเงียบ ใบไม้จำนวนไม่น้อยถึงกับหลั่งน้ำตา

    กูมูสมอร์ไม่สบายใจอย่างยิ่ง เพราะดอกไม้ไม่ได้มองผู้อื่นเลย กลับเพ่งมองมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียว

    ในยามนั้นพวกเขาต่างรู้สึกอัศจรรย์ใจต่อการเอื้อนเอ่ยวาจาของดอกไม้ แต่ทว่าพวกเขาอยู่ห่างออกไปมากจึงไม่ได้ยินว่าดอกไม้ได้เอ่ยถ้อยคำใดออกมาบ้าง

    แต่นั่นก็หาสำคัญไม่ เพราะต้นไม้กำลังจะตายแล้ว

    และหากต้นไม้ที่ให้กำเนิดดอกไม้ตายลง ดอกไม้ก็จะคลุ้มคลั่งตามไปด้วย

    ดอกไม้ที่คลุ้มคลั่งนั้นอันตรายมาก

     

    ดอกไม้ยืนงงอยู่ริมชายฝั่งเป็นเวลาเนิ่นนาน ในยามนี้ท้องทะเลว่างเปล่า ไม่มีแม้เรือสักลำมานานแล้ว

    ภารกิจของดอกไม้คือการอยู่เคียงข้างใบไม้ คอยปกป้องพวกเขาให้ปลอดภัย แต่เวลานี้เขาไม่เห็นใบไม้แม้แต่ตนเดียว เขาจึงไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองควรทำสิ่งใด เขาได้แต่ยืนอยู่ริมชายฝั่ง เหม่อมองไปยังทิศทางที่เรือมุ่งหน้าไป

    แต่ทว่าในที่สุดเด็กก็ต้องคิดถึงบ้าน ดอกไม้เริ่มคิดถึงต้นไม้ขึ้นมา เขาจึงเริ่มออกเดินทางกลับบ้านของตน เขาอยากกลับไปหาต้นไม้ ซุกตัวอยู่ใต้ต้นไม้ไปตลอดกาล ถึงแม้ว่าบนเส้นทางกลับบ้านจะไม่มีชนเผ่าใบไม้สักตนเป็นเพื่อนร่วมทางแล้วก็ตาม

    ดอกไม้ไม่เคยสัมผัสโลกภายนอกชนเผ่าใบไม้มาก่อน เขาจึงไม่รู้ว่าเมื่อใบไม้อยู่รวมกันจะมีกำลังแข็งแกร่งมาก เป็นเหตุให้ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินชนเผ่าใบไม้ ทว่ายามที่เขาอยู่ตามลำพังเช่นนี้ ถนนสายนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายจนไม่อาจจินตนาการได้ ถึงแม้ว่าสำหรับดอกไม้ พืชพันธุ์มีพิษในป่าจะไม่ใช่สิ่งอันตราย เพราะไม่มีพืชพันธุ์ใดทำร้ายดอกไม้ และดอกไม้ก็ไม่ทำร้ายพืชพันธุ์เช่นเดียวกัน

    สัตว์ป่าดุร้ายจำนวนไม่น้อยคอยจับจ้องดอกไม้ แต่สัตว์ป่าสามารถสังเกตได้ว่าดอกไม้ไม่ใช่เหยื่อธรรมดา เมื่อสองฝ่ายเข้าใกล้กัน สัตว์ป่าก็จะเป็นฝ่ายปลีกตัวออกไปเอง

    เมื่อตัดพืชพันธุ์และสัตว์ป่าออกไป สิ่งที่อันตรายที่สุดในป่าก็เห็นจะเป็นพวกมนุษย์นักเสี่ยงโชค

    พวกมนุษย์ที่เสี่ยงโชคในป่า พวกเขาตามล่าสัตว์ป่า พืชพันธุ์หายาก รวมทั้งชนเผ่าใบไม้ รูปร่างหน้าตาที่งดงามของชนเผ่าใบไม้ทำให้พวกมนุษย์ปรารถนาที่จะครอบครองพวกเขา โดยมากก็จะนำมาเป็นสิ่งบันเทิงใจเอาไว้ดูเล่นหรือเชยชม ด้วยเหตุนี้พวกมนุษย์จึงไล่ล่าชนเผ่าใบไม้

    เดินทางได้ไม่กี่วันดอกไม้ก็เจอกับนักเสี่ยงโชคกลุ่มหนึ่งระหว่างทางกลับบ้าน พวกเขาทุกคนล้วนเป็นพวกมนุษย์ นักเสี่ยงโชคได้ข่าวว่าชนเผ่าใบไม้กำลังทำการอพยพจึงมาแสวงโชค เผื่อว่าจะเจอใบไม้ที่ตกหล่นอยู่เพียงลำพัง ขอเพียงพวกเขาจับใบไม้ได้สักตน ก็เท่ากับว่าทรัพย์สินอันมากมายมหาศาลได้ตกเป็นของพวกเขาแล้ว

    ทว่าพวกเขาหาพบใบไม้ไม่ แต่กลับพบดอกไม้

    พวกเขาดีใจสุดขีด ด้วยคิดว่าตนเองได้พบกับใบไม้ จึงเข้าจับกุมเอาไว้ด้วยความยินดีปรีดา แต่ต่อมากลับต้องรู้สึกพิศวงสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าแท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งใดกันแน่

    รูปโฉมภายนอกของชนเผ่าใบไม้แม้จะแตกต่างจากพวกมนุษย์ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คล้ายคลึงกัน อย่างน้อยลักษณะภายนอกก็เหมือนกัน เพียงแต่ชนเผ่าใบไม้มีสีตาและสีผมที่สวยงามเป็นพิเศษ และไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายล้วนแล้วแต่มีรูปร่างที่บอบบางและใบหน้าที่งดงาม

    แต่ดอกไม้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เรือนร่างของเขาเปลือยเปล่า ผ้าผ่อนสิ่งใดก็ไม่ได้นุ่งห่ม แต่กลับมองไม่เห็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศเลยสักอย่าง รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนกับหญิงสาวอายุประมาณสิบห้าปีหรือเด็กหนุ่มที่ยังเยาว์วัย แต่เขากลับไม่มีทรวงอก ไม่มีแม้แต่หัวนมที่ชายหญิงต่างพึงมี ร่างกายท่อนล่างก็ไร้ซึ่งอวัยวะสืบพันธุ์ ทั่วทั้งร่างปราศจากเส้นขน เฉพาะบนศีรษะเท่านั้นที่มีเส้นผมหนาดกดำ

    มองผ่านๆ เส้นผมสีดำของดอกไม้แทบจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อพินิจดูอย่างละเอียดก็พบว่าการพลิ้วไหวของเส้นผมนั้นไม่ปกติ คล้ายกับไม่ได้ถูกลมพัด ทว่าเส้นผมกลับพลิ้วไหวได้เอง

    นักเสี่ยงโชคบางคนตื่นตกใจ บางคนหวาดกลัว แต่เมื่อมองดูแล้วดอกไม้เหมือนจะไม่มีพลังที่เป็นอันตรายอะไร ความโกลาหลอลหม่านจึงค่อยๆ ยุติลง เมื่อคิดว่าอย่างไรเสียก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย พวกเขาจึงยังคงจับดอกไม้ไปด้วย

    เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของดอกไม้ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่มีลักษณะทางเพศ ผู้คนจึงไม่มีวิธีที่จะเชยชมได้

    ในท้ายที่สุดสิ่งล้ำค่าของใบไม้...ดอกไม้ก็ตกไปอยู่กับคณะละครสัตว์ ถูกกักขังไว้ในกรงให้ผู้คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้ามาชมและหัวเราะเยาะเย้ยตัวประหลาดที่ไร้เพศผู้นี้

    อันที่จริงแล้วดอกไม้ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะเขาไม่เข้าใจภาษาของพวกมนุษย์เลยสักนิด เขาแค่คิดถึงบ้านอยู่บ้างเท่านั้น เขาอยากจะกลับไปและซุกตัวอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ารอบข้างต้นไม้นั้นไร้ซึ่งใบไม้แล้ว เขาจึงไม่รีบเร่งที่จะกลับไปนัก

    อย่างน้อยการอาศัยอยู่ที่นี่รอบกายก็ยังมีผู้คนอยู่บ้าง แม้สภาพแวดล้อมที่นี่จะทำให้จิตใจของเขาหมองหม่นไปบ้าง ด้วยเพราะมีเพียงเวลาที่คณะละครสัตว์เคลื่อนย้ายไปยังสถานที่แห่งใหม่เท่านั้นที่เขาจะได้อาบแสงอาทิตย์บ้างเล็กน้อย สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกหนาว เหนื่อย และหิวนิดหน่อย แต่ทว่าทั้งหมดนี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขาทนรับได้

    คนในคณะละครสัตว์ลองนำอาหารหลายอย่างมาวางไว้ แต่เมื่อตระหนักว่าดอกไม้ไม่กินอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว กระนั้นกลับไม่หิวตาย พวกเขาก็ดีอกดีใจที่พวกตนสามารถประหยัดค่าอาหารไปได้ส่วนหนึ่ง นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ได้ทดลองนำอาหารอื่นใดมาวางไว้อีก ภายในกรงเหล็กจึงมีแค่ถังน้ำหนึ่งใบที่นานๆ ทีจะเติมน้ำสักครั้ง

    วันคืนล่วงผ่านวันแล้ววันเล่า ทว่าดอกไม้มิได้คำนึงถึงกาลเวลา เขาได้แต่นั่งแกร่วอยู่ในกรงเหล็ก คิดถึงต้นไม้ คิดถึงแสงแดด คิดถึงน้ำสะอาด คิดถึงเหล่าใบไม้ที่จากไป คิดถึงใบไม้ผมสีม่วงเหลือบเงิน...

    จนกระทั่งวันหนึ่ง ความรู้สึกที่ไม่เคยคุ้นวูบหนึ่งแทรกผ่านเข้ามาในร่างกาย

    เจ็บ!

    ในขณะที่เจ็บปวดแสนสาหัสนั้น เขาหยั่งรู้ในทันทีว่าบ้านของเขาสูญสิ้นแล้ว...ต้นไม้ตายแล้ว

    ถึงจะอยู่ห่างจากต้นไม้ไกลแสนไกล แต่ทว่าความเจ็บปวดยังคงรุนแรงจนดอกไม้ทนรับไม่ไหว เป็นเหตุให้เขาเสียสติคลุ้มคลั่ง เส้นผมสีดำเลื้อยพล่านประหนึ่งงูที่บ้าคลั่ง เขาแหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า กรีดร้องเสียงแหลม

    ท่อนไม้ใหญ่ยักษ์พุ่งโผล่ออกมาจากพื้นดิน ทะลวงผ่านกรงเหล็ก ทะลวงผ่านโรงเลี้ยงสัตว์ ทะลวงผ่านทุกผู้ทุกคนที่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก

    เถาวัลย์ขนาดมหึมาเลื้อยพาดผ่านไปบนพื้นดินโดยไม่ยี่หระว่าเบื้องหน้าจะมีสิ่งกีดขวางใด มันบดขยี้รถม้าตามรายทาง บดขยี้หมู่บ้าน บดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่าง

    ในยามที่ดอกไม้ฟื้นคืนสติอีกครั้ง รอบบริเวณเกลื่อนกลาดด้วยเศษซากปรักหักพัง เรือนกายที่ขาวหมดจดของเขาเปื้อนเปรอะคราบของเหลวสีแดงคล้ำ เส้นผมก็แข็งทื่อเพราะคราบเลือดเกาะเกรอะกรัง น่าขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก

    เขาอิ่มเหลือเกิน... อิ่มจนอยากอาเจียน อิ่มมาก แต่กลับรู้สึกว่างเปล่า รอบกายปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นใด เหลือเพียงดอกไม้เท่านั้น


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×