คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สาม... จิตวิญญาณ ซีชา มนุษย์ ดอกไม้...สรรพสิ่ง
บทที่สาม
จิตวิญญาณ ซีชา มนุษย์ ดอกไม้...สรรพสิ่ง
ถึงแม้สุดท้ายแล้วผู้คนมากมายจะกลายเป็นศัตรูของข้า แต่ข้าก็ไม่เสียใจที่ได้พบกับพวกเขา
เพราะนอกเหนือจากความอาฆาตแค้น พวกเขาได้นำพาความทรงจำที่แสนวิเศษมาให้ข้ามากมาย
แต่ทว่าข้ากลับไม่กล้าถามกลับไปว่าพวกเขาเสียใจหรือไม่ที่ได้พบกับข้า
ข้ากลัวคำตอบที่จะได้รับกลับมาเหลือเกิน
-เมแลนท์-
เด็กสองคนในทะเลสาบสาดน้ำใส่กัน ว่ายน้ำ เล่นซนอยู่เป็นนาน เมื่อมีร่าร้องเรียกถึงได้ยอมขึ้นฝั่ง
มีร่าถือผ้าขนหนู ผืนหนึ่งส่งให้คาซี จากนั้นเธอคิดจะช่วยเมแลนท์เช็ดผมให้แห้ง แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าไม่อาจสัมผัสเส้นผมของเมแลนท์ตามอำเภอใจ จึงรีบยัดผ้าขนหนูใส่ในมือของเขา
แต่ทว่าเขากลับไม่เข้าใจ เอ่ยถามขึ้นมา “ผ้าขนหนูใช้ทำอะไร”
“เช็ดผมให้แห้งจะสบายกว่านะ”
เมแลนท์ส่ายหน้า “เปียกๆ สบายกว่า”
“จริงหรือ เจ้าชอบน้ำหรือ แต่ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ค่อยชอบอาบน้ำนี่นา... น้ำเย็น? เจ้าชอบน้ำเย็นใช่ไหม”
เมแลนท์พยักหน้า
มีร่าเข้าใจแล้ว เธอส่ายหน้าแล้วพูดออกมา “จริงๆ เลย ถ้าเจ้าบอกข้าว่าชอบน้ำเย็นก็ดีสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ จะได้ประหยัดแรงไม่ต้องต้มน้ำ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เช็ดตัวให้แห้งสักหน่อยเถอะนะ ไม่อย่างนั้นน้ำจะหยดตลอด ถ้าน้ำหยดลงไปในอาหารคงจะไม่ดีแน่”
เมแลนท์พยักหน้า ขณะที่เขายังเช็ดตัวอยู่ คาซีก็โยนผ้าขนหนูทิ้งแล้ววิ่งไปข้างออนน์ ร้องเสียงดัง “หอมจังเลย!”
ออนน์คุยโว “แน่นอน นี่เป็นเนื้อย่างสูตรพิเศษของข้าเชียวนะ”
“ไม่ใช่เนื้อย่างธรรมดาหรอกหรือ” เซดริกบ่นอุบอิบ “แล้วข้าก็เป็นคนย่างเอง เจ้าก็แค่รับหน้าที่ก่อไฟ”
“ก่อไฟก็ต้องใช้ฝีมือนะ”
มีร่าถามแทรกขึ้นมา “เนื้อเสร็จหรือยัง เสร็จแล้วก็สอดในขนมปังเอาให้เด็กๆ กินกันก่อน พวกเขาเล่นกันอยู่ตั้งนาน น่าจะหิวมากแล้ว”
ต่อจากนั้นเมแลนท์กับคาซีก็ได้รับขนมปังสอดไส้เนื้อคนละหนึ่งก้อน ทว่าเมแลนท์กลับไม่กิน แต่ครุ่นคิดว่าถ้าไม่ชอบน้ำร้อนก็บอกได้ เช่นนั้นไม่ชอบอาหารจะบอกได้หรือเปล่านะ
คาซีกินไปพลางร้องไปพลาง “อร่อย อร่อยจังเลย!”
เห็นเช่นนั้นมีร่ากับออนน์ต่างก็หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ มีเพียงเซดริกที่ส่ายหน้าต่อการกระทำของน้องชาย
เมื่อเห็นว่าเมแลนท์ไม่ลงมือกิน มีร่าก็ถามไถ่อย่างเป็นห่วง “เมแลนท์ เจ้าไม่กินหรือ ไม่อร่อยหรือ”
ได้เห็นรอยยิ้มของมีร่าและออนน์ เมแลนท์ก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง กัดลงไปหนึ่งคำ จากนั้นก็พูดออกมาคำหนึ่ง “อร่อย”
พูดจบก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะถึงกับพยักหน้าด้วยซ้ำ รู้แน่แก่ใจว่าเขาไม่รู้สึกว่าอร่อย แล้วทำไมถึงพยักหน้าไปได้นะ
“เมแลนท์?” มีร่าดึงผ้าขนหนูไป เช็ดลำคอของเมแลนท์ไปพลางหัวเราะไปพลาง “จริงๆ เลย คิดอะไรอยู่นะ น้ำซอสไหลเลอะคอหมดแล้ว”
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเธอเมแลนท์พลันรู้สึกว่าขนมปังนั้นอร่อยจริงๆ ขอเพียงมีรอยยิ้มของมีร่ากับออนน์ อะไรก็อร่อยทั้งนั้น
เมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ออนน์มองไปที่เซดริกซึ่งกำลังล้วงหนังสัตว์แผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออย่างระมัดระวังแล้วกางบนตัก ด้านหน้าของหนังสัตว์ขีดเขียนแผนภาพที่ละเอียดประณีต ดูไปแล้วคล้ายว่าจะเป็นแผนที่แผ่นหนึ่ง
เมแลนท์ซักถามด้วยความแปลกใจ “นี่คืออะไร”
เดิมทีเซดริกก็มีเป้าหมายที่จะอธิบายอยู่แล้ว จึงถือโอกาสเริ่มต้นการอธิบาย “นี่คือแผนที่ซีชา ซีชามีดินแดนอยู่สามแห่งคือซีฌง ซย่าซา และเกวนด์ เจ้าดูนี่ ดินแดนซีฌงและดินแดนซย่าซามีส่วนเล็กติดกันอยู่ตรงนี้ ระหว่างดินแดนทั้งสองนี้มีอ่าวกั้นกลาง เรียกว่าอ่าววอร์เบย์ ด้านล่างของดินแดนซีฌงและซย่าซาเป็นทะเลซีชา ด้านล่างของทะเลคือดินแดนเกวนด์”
ดินแดนเกวนด์... เมแลนท์ชะงัก รู้สึกคุ้นกับชื่อนี้
เซดริกไม่รู้สึกถึงท่าทีที่แปลกไปของเมแลนท์ จึงเพียงแต่พูดต่อไป “ดินแดนที่พวกเราอยู่ก็คือดินแดนซีฌง ตำแหน่งที่อยู่ในขณะนี้คือใจกลางของดินแดนค่อนไปทางขวาซึ่งก็คือแคว้นวอร์เบิร์น ตรงกลางของแคว้นอยู่ใกล้ส่วนปลายของเทือกเขาแมทเซ็นเตอร์ เพียงปีนข้ามเทือกเขาแมทเซ็นเตอร์ไปก็จะถึงแคว้นลาจแมนที่เป็นแคว้นเพื่อนบ้าน”
ถึงแม้เซดริกจะพูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่ทว่าเมแลนท์ก็ไม่เข้าใจตั้งแต่คำแรกแล้ว จึงเอ่ยปากถาม “ซีชาคืออะไร”
พอได้ยินแล้วทุกคนต่างก็นิ่งเงียบไป มีเพียงคาซีที่แผดเสียง “เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ซีชาคืออะไรเจ้าก็ไม่รู้หรือ ซีชาก็คือ...ก็คือ...ก็คือที่นี่ไงล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็อยู่ในซีชา!”
เมแลนท์มองคาซี พอจะเข้าใจแต่ก็ไม่มากนัก
เซดริกอธิบายเพิ่มเติมขึ้นมาอีกว่า “เดิมทีซีชาเป็นชื่อของเทพเจ้า ต่อมาก็ถูกนำมาเป็นชื่อของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นพวกเรา พื้นดินที่เหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าหรือท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมเข้าด้วยกันก็คือซีชา ซีชาก็คือทุกสรรพสิ่ง”
“เทพเจ้าคืออะไร” เมแลนท์รู้สึกว่าวันนี้ตนเองจะต้องมีปัญหาให้ซักถามเยอะแยะมากมายอย่างแน่นอน
เซดริกถอนหายใจยาว “อย่างนั้นก็เริ่มพูดตั้งแต่ต้นเลยแล้วกัน เจ้ารู้จักจิตวิญญาณไหม”
เมแลนท์ส่ายหน้า
คาซีรีบเอาหน้า “ข้ารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนซีชาต่างก็เกิดขึ้นมาจากการหลอมรวมจิตวิญญาณเข้าด้วยกันใช่หรือไม่”
“ไม่ผิด” เซดริกพยักหน้า “ตามหลักการ ทุกสรรพสิ่งบนซีชาล้วนเกิดขึ้นมาจากจิตวิญญาณที่หลอมรวมกัน รวมทั้งมนุษย์ด้วย แต่เวลาที่พวกเราพูดถึงจิตวิญญาณจะหมายถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐาน”
“อะไร” เมแลนท์ถามอย่างประหลาดใจ
“แบ่งเป็นสามอย่าง จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ จิตวิญญาณแห่งศรัทธา และจิตวิญญาณแห่งมวลสาร จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติเป็นจิตวิญญาณที่เทพเทวะ เทพศาสตรา และผู้วิเศษสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ อ๊ะ! เจ้าไม่เข้าใจอีกแล้วล่ะสิ”
เมแลนท์พยักหน้า ทำให้หัวของเซดริกแทบจะแตกเป็นสองส่วน เขาไม่คาดคิดเลยว่าเมแลนท์จะไม่มีแม้แต่ความรู้พื้นฐานที่สุด เหมือนเด็กทารกคนหนึ่ง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องเริ่มต้นพูดจากตรงไหน
แต่ออนน์กลับขยิบตาให้หลายต่อหลายครั้ง ต้องการให้เขารีบอธิบาย เขาจึงทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มอธิบาย “จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติก็คือจิตวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่ตามธรรมชาติ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการโจมตี ปกป้อง และเปลี่ยนคุณสมบัติเพื่อประดิษฐ์เป็นของวิเศษ”
“ยกตัวอย่างเช่นข้าเป็นเทพเทวะ เทพเทวะสามารถหลอมรวมจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติเข้าด้วยกัน จากนั้นก็นำจิตวิญญาณที่หลอมรวมกันเหล่านั้นโจมตีศัตรูหรือใช้ประโยชน์อย่างอื่น ออนน์เป็นเทพศาสตรา เขาสามารถทำให้จิตวิญญาณแตกสลายออกจากกัน ทำให้กำลังของศัตรูอ่อนแอลง จากนั้นก็ใช้อาวุธทำลายศัตรูที่อ่อนแอให้แตกพ่าย”
“นอกจากนี้อาชีพที่ใช้ประโยชน์จากจิตวิญญาณยังมีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือผู้วิเศษ พวกเขาสามารถแบ่งแยกจิตวิญญาณที่เล็กละเอียดได้ นำจิตวิญญาณมาผ่านการแยกสลายหรือหลอมรวมกันเพื่อปรับเปลี่ยนคุณสมบัติ และนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นของวิเศษ”
ฟังคำพูดที่ยาวเป็นพืดจบแล้ว เมแลนท์คิดจะเอ่ยปากถาม แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเริ่มต้นถามจากตรงไหน เหมือนกับว่าทุกประโยคล้วนแต่มีสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ
“จบแล้ว จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติก็เป็นอย่างนี้แหละ”
เซดริกถูกถามจนถึงกับขยาด เมื่อเห็นว่าเมแลนท์กำลังลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี เขาจึงรีบเข้าสู่หัวข้อต่อไป “ต่อมาก็เป็นจิตวิญญาณแห่งศรัทธาและจิตวิญญาณแห่งมวลสาร ความสำคัญของสองอย่างนี้เกี่ยวพันกับเรื่องของความเชื่อความศรัทธา จิตวิญญาณแห่งศรัทธาก็คือจิตวิญญาณแห่งเหล้า จิตวิญญาณแห่งการเก็บเกี่ยว จิตวิญญาณแห่งสงครามเป็นต้น เป็นจิตวิญญาณที่ไม่มีรูปร่างที่แท้จริง จิตวิญญาณแห่งมวลสารอธิบายยากกว่า... อ๊ะ! ข้าคิดออกแล้ว ความศรัทธาของชนเผ่าใบไม้ก็คือจิตวิญญาณแห่งมวลสาร ได้ยินมาว่าเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง?”
เซดริกรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ เรื่องเกี่ยวกับชนเผ่าใบไม้เกือบทั้งหมดเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น
เมแลนท์ไม่เข้าใจความศรัทธา จิตวิญญาณแห่งศรัทธา และจิตวิญญาณแห่งมวลสารต่างๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วคือสิ่งใด แต่ต้นไม้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาคุ้นเคย เขารีบพูดขึ้นว่า “ต้นไม้เป็นพ่อแม่”
เซดริกกลับเข้าใจผิด เขาพยักหน้า “นั่นก็ไม่ผิด หลายชนเผ่าต่างก็ถือว่าจิตวิญญาณที่ตนศรัทธาเป็นบรรพบุรุษ สรุปแล้วจิตวิญญาณแห่งมวลสารก็คือสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างยิ่งใหญ่ โดยปกติจะมีชนเผ่าให้ความนับถือศรัทธาเขา อย่างนี้เข้าใจไหม”
เมแลนท์กลับส่ายหน้า ทำให้เซดริกถึงกับเงยหน้ามองท้องฟ้าถอนหายใจยืดยาว รู้สึกว่าที่ตนเองพูดมาทั้งหมดจนเสียงแหบเสียงแห้งเป็นการเสียแรงเปล่า
“เจ้าหุบปากไปเลย!” ออนน์ฟังจนหัวแทบแตกเป็นสองส่วน เขาแผดเสียงลั่น “เจ้าอธิบายซะจนแม้แต่ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจ แล้วเมแลนท์จะเข้าใจได้ยังไง ข้าแค่อยากให้เจ้าพูดเรื่องเทพเทวะ เทพศาสตรา และผู้วิเศษ จากนั้นก็ดูว่าเมแลนท์มีพรสวรรค์ที่จะทำอาชีพสามอย่างนี้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง เจ้าพูดไร้สาระอะไรตั้งเยอะ”
เซดริกพูดจนเสียงแหบเสียงแห้งแต่กลับถูกต่อว่า เขาจึงแผดเสียงกลับไป “ก็ลูกสาวของเจ้าถามคำถามตั้งเยอะ!”
“บอกเจ้าแล้วไงว่านางไม่ใช่ลูกสาวข้า...”
มีร่ารีบไกล่เกลี่ย “เอาล่ะๆ เลิกทะเลาะกันสักที ผู้ใหญ่สองคนทะเลาะกันอย่างกับเป็นเด็ก พวกเจ้าไม่ละอายใจซะบ้างเลย!”
ออนน์ฮึดฮัด พูดเหมือนออกคำสั่ง “ดูพรสวรรค์ของเมแลนท์เร็วๆ หน่อยได้ไหม!”
เซดริกมองตาขวาง พูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าคงลืมไปแล้วว่าการตรวจสอบเริ่มแรกต้องทำยังไงบ้าง มีหรือไม่มีพรสวรรค์ไม่ใช่ว่ารีบร้อนตรวจสอบแล้วจะรู้ผลได้เลย ต้องฝึกญาณวิเศษก่อนหนึ่งเดือน ดูว่าผลออกมาเป็นยังไงถึงจะตัดสินได้”
ออนน์รู้ว่าครั้งนี้ตนขาดเหตุผลก็เลยส่งเสียง “อืม” เป็นการตอบรับ
ในตอนนั้นเองคาซีพูดแทรกขึ้นเหมือนกับจะอวด “ข้าสามารถมองเห็นจิตวิญญาณได้นะ!”
ออนน์บังเกิดความแปลกใจ เอ่ยถาม “งั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าเหมาะจะเป็นอะไร”
คาซีเบ้ปาก พูดเสียงต่ำ “พี่ชายบอกว่าญาณวิเศษของข้าไม่สูง เป็นเทพเทวะเห็นจะยาก จะให้ดีคงต้องเป็นเทพศาสตรา”
“เทพศาสตราก็ดีน่ะสิ!” ออนน์ชื่นชมเป็นการใหญ่ในทันที “เทพศาสตราถึงจะเป็นอาชีพของลูกผู้ชาย เจ้าคิดดูสิ หมวกเหล็กและเสื้อเกราะกับอาวุธ...ชอบไหม ดูแววตาของเจ้าก็รู้ว่าเจ้าชอบ เจ้าถือเป็นเทพศาสตราโดยกำเนิดอย่างแท้จริง อยากจะลองลูบดาบดูไหม”
แค่คาซีได้เห็นออนน์ชักดาบออกมา ดาบที่ส่องแสงวาบวับก็ดึงดูดความสนใจของเขาไปจนหมดสิ้น ลืมไปเลยว่าญาณวิเศษของตนที่จริงสูงหรือต่ำ รีบเข้าไปใกล้ลูบคลำดาบ
เซดริกได้ยินคำพูดของออนน์ก็มองค้อนเขาทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ห้ามน้องชายไม่ให้สัมผัสดาบ ที่จริงเขาวางแผนขอให้ออนน์เป็นอาจารย์ของคาซี เพราะฉะนั้นเขาจึงถือเสียว่าเป็นเรื่องดี
อันที่จริงออนน์ก็รู้ถึงความตั้งใจของเซดริก เขาก็มีความคิดมาตั้งนานแล้วว่าจะรับคาซีเป็นลูกศิษย์ตามความคิดของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากจะเสียเปรียบ หลังจากที่เขาทิ้งดาบให้คาซีเล่นก็หันหน้ามาปรึกษากับเซดริก
“ข้าเป็นอาจารย์ให้คาซีของเจ้า ต่อไปภายหน้าเจ้าเป็นอาจารย์ให้เมแลนท์ของข้า เจ้าจะว่ายังไง”
“ไหนบอกว่าไม่ใช่ลูกสาว ตอนนี้เมแลนท์เป็นของเจ้าซะแล้ว!” เซดริกพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังไม่รู้เลยว่านางสามารถมองเห็นจิตวิญญาณหรือไม่! หลังจากนี้หนึ่งเดือนถ้าญาณวิเศษของนางได้มาตรฐาน แน่ใจว่าเป็นเทพเทวะได้ ข้าก็จะรับนางเป็นลูกศิษย์ แต่ถึงแม้ญาณวิเศษของนางจะไม่เพียงพอ แต่ข้าจะแกล้งทำเป็นว่านางเป็นลูกศิษย์ของข้าก็ได้ ให้นางอาศัยอยู่ในกองทหารเป็นเจ้าพนักงานกองหนุน ตกลงไหมท่านหัวหน้ากอง”
ออนน์ออกจะเก้อเขินเพราะถูกคนอื่นรู้ทัน เขาจึงหัวเราะแห้งๆ แต่ก็ยังตอบกลับตามแบบเดิมของตนเอง “ตกลง!”
“ดีจังเลย!” มีร่าสวมกอดเมแลนท์ทันที พูดอย่างยินดี “เมแลนท์ เจ้าเป็นเจ้าพนักงานกองหนุนได้แล้วล่ะ”
เห็นมีร่าหัวเราะ เมแลนท์ก็หัวเราะตามพลางเอ่ยถาม “เจ้าพนักงานกองหนุนคืออะไร”
“ก็ข้านี่ไงล่ะเจ้าพนักงานกองหนุน! ถ้าเจ้าเป็นเจ้าพนักงานกองหนุนด้วยก็จะได้อยู่ในกองทัพด้วยกันตลอดไป อยู่กับข้าและออนน์ได้ตลอดไปเลยล่ะ!”
อยู่กับมีร่าและออนน์ตลอดไป... แม้เมแลนท์จะดีใจมากที่ได้ยินคำนี้ แต่กลับถามอย่างประหลาดใจ “พวกท่านจะไม่ทอดทิ้งข้าหรือ”
ทุกคนต่างชะงัก มีร่าพยายามสอบถาม “ทอดทิ้ง? ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เจ้า...กังวลเรื่องนี้มาตลอดเลยหรือ”
เมแลนท์พยักหน้า “ชนเผ่าใบไม้ทอดทิ้งข้า พวกเขาไม่ต้องการข้า ต่อมาต้นไม้ไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องการข้า มีร่า ทำไมพวกเขาถึงไม่ต้องการข้า”
ได้ยินดังนั้นมีร่าก็โอบกอดเมแลนท์เอาไว้ พูดด้วยความเจ็บปวดใจ “เมแลนท์ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ตอนนี้ไม่มีใครไม่ต้องการเจ้า อย่างน้อยข้าก็ต้องการเจ้า ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเด็ดขาด ออนน์ก็เหมือนกัน”
มีร่ามองเห็นสีหน้าของเมแลนท์ก็ยิ่งเสียใจ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเมแลนท์จะอยู่ร่วมกับพวกเขาโดยคิดว่าจะถูกทอดทิ้งตลอดมา
“อืม ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเด็ดขาด ไม่เด็ดขาด!”
มีร่ากอดแน่นมาก แน่นมาก แน่นจนเมแลนท์รู้สึกเจ็บเลยทีเดียว ออนน์ที่รูปร่างสูงใหญ่ก็กางแขนโอบกอดคนทั้งสองอยู่ทางด้านหลัง ด้วยพละกำลังของเทพศาสตราเช่นเขา แรงกอดรัดจึงยิ่งหนักเข้าไปอีก
แม้จะถูกคนทั้งสองกอดจนเจ็บไปหมด แต่เมแลนท์กลับรู้สึกว่าตนเองดีใจมาก ดีใจมากๆๆ
อีกด้านหนึ่ง เซดริกอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ ตามคำเล่าลือของชนเผ่าใบไม้ พวกเขามีจิตใจดีงาม แล้วทำไมถึงทอดทิ้งลูกหลานของชนเผ่าตนตามอำเภอใจ
ถึงแม้จะสงสัย แต่ตอนนี้พวกเขาสามคนกำลังเป็นครอบครัวที่ปรองดองและมีความสุขอย่างแท้จริง คล้ายว่าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะซักถามข้อสงสัย เขาจึงต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจ แค่คิดว่าตนเองคอยจับตาดูไว้ให้ดีก็คงพอ
“เมแลนท์!”
คาซีเล่นดาบในมือจนเบื่อแล้วก็ดึงตัวเมแลนท์ พูดด้วยแววตาเป็นประกาย “พวกเราไปแข่งปีนต้นไม้กัน!”
“ตกลง”
เซดริกมองดูเด็กสองคนจูงมือกันไปเสาะหาต้นไม้ปีนป่าย อากัปกิริยาของเมแลนท์นั้นล้วนเป็นแบบเด็กๆ เขาอยากจะเคาะกะโหลกของตนเอง ด่าว่าตนเองอยู่ในใจว่าโรคหวาดระแวงของตนยิ่งนับวันก็ยิ่งหนักข้อ แค่เด็กคนหนึ่งจะมีพิษมีภัยอะไร
มีร่าลองเสนอความคิดเห็นกับเซดริก “ต่อไปให้คาซีมาเล่นกับเมแลนท์บ่อยๆ ได้ไหม พวกเขาทั้งสองคนยังเป็นเด็ก ควรจะไปมาหาสู่กันเอาไว้ คาซีเพิ่งจะสิบขวบ เจ้าคงไม่อยากให้ในสมองของเขามีแต่การล้างแค้นใช่ไหม”
เซดริกนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในระหว่างนั้นเสียงหัวเราะของเด็กทั้งสองคนดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
เขาพยักหน้า
ออนน์เปิดประตูกระโจม แต่มีเพียงมีร่าอยู่ข้างใน
มีร่ากำลังยุ่งอยู่กับการแก้ไขเสื้อผ้าหลายตัวเพื่อให้เมแลนท์สามารถสวมได้พอดีตัวยิ่งขึ้น ละแวกนี้ไม่มีตลาดเลยสักแห่ง หาไม่แล้วเธอก็อยากจะไปซื้อผ้าที่มีลวดลายสมวัยมาตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้เมแลนท์หลายๆ ตัว
“เมแลนท์ล่ะ”
มีร่าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นออนน์ก็ก้มหน้าลงเย็บเสื้อผ้าต่อไป ขณะเดียวกันก็ตอบกลับไปว่า “ไปเล่นกับคาซีแล้ว พวกเขาบอกว่าจะไปปีนต้นไม้ เด็กผู้หญิงปีนต้นไม้ช่างไม่เหมาะสมเอาซะเลย แต่พวกเขาดูจะดีใจกันมาก แค่นี้ก็พอแล้ว”
ได้ยินถ้อยคำนั้นออนน์ก็เกาหัว บ่นพึมพำ “ทำไมถึงเป็นคาซีที่มากวนเมแลนท์ไปได้ นี่ไม่เหมือนกับที่ข้าวางแผนเอาไว้”
“วางแผนอะไร” ใบหูของมีร่ากระดิกขึ้นมา เมื่อเป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเมแลนท์ เธอจึงวางมือจากงานที่ทำในทันที เริ่มซักถามออนน์ให้แน่ชัด
แผนการของออนน์ไม่ได้มีลับลมคมในอะไร ดังนั้นเขาจึงบอกไปตามตรง “ข้าคิดจะแนะนำเมแลนท์ให้กับเซดริก จะไปรู้ได้ยังไงว่าสุดท้ายน้องชายของเขาจะเข้ามาก่อกวนเมแลนท์”
“เจ้าคิดจะจับคู่เซดริกกับเมแลนท์หรือ” ทีแรกมีร่าค่อนข้างจะแปลกใจ แต่มาคิดอีกที ความคิดของออนน์ก็ไม่เลวเหมือนกัน
อายุของเซดริกแม้จะมากกว่าเมแลนท์ประมาณสิบปี แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นเทพเทวะ คนที่ทำอาชีพนี้มีน้อยกว่าเทพศาสตรามาก คนน้อยแต่ประโยชน์ใช้สอยกลับมากมายมหาศาล ดังนั้นเทพเทวะทุกคนจึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ในกองทหารของพวกเขาสามสิบกว่าคนมีเทพศาสตราแปดคน แต่ได้รับการจัดสรรเทพเทวะมาแค่คนเดียว ดังนั้นถึงแม้ออนน์จะเป็นหัวหน้ากอง แต่เงินเดือนของเซดริกกลับมากกว่าเขาซะอีก
“แต่เมแลนท์ไม่ใช่มนุษย์ ไม่เป็นปัญหาหรือ” มีร่านึกขึ้นมาได้ว่าร่างกายของเมแลนท์มีจุดที่ไม่เหมือนกับคนธรรมดา
ออนน์ตบหน้าอกรับประกันทันที “ข้าไปสืบข่าวมาแล้ว ไม่มีปัญหา! ชนเผ่าใบไม้กับมนุษย์แตกต่างกันไม่มากนัก ถึงแม้จะมีลูกยากหน่อย แต่ก็ประจวบเหมาะพอดี เซดริกเคยพูดว่าเขาคิดแค่เพียงเลี้ยงดูน้องชายให้เติบใหญ่ และเขายังไม่ชอบเด็กๆ อีกด้วย”
เมื่อได้ฟังแล้วถึงแม้มีร่าจะยังรู้สึกคลางแคลงใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ กลับสั่งสอนขึ้นมาว่า
“ถ้าอย่างนั้นคาซีชอบเมแลนท์ก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ ดูท่าทางของเซดริกแล้ว เขาคงจะไม่มีใจคิดถึงเรื่องผู้หญิงอะไรนัก ถ้าน้องชายชอบแล้วเจ้าเพิ่มการจูงใจเข้าไปอีก บอกว่าคาซียังเด็ก ต้องการครอบครัว จากนั้นเจ้าที่เป็นอาจารย์ก็ให้ลูกศิษย์ไปโวยวายบอกว่าต้องการมารดาสักคน เจ้าคิดดูสิว่าเซดริกจะไม่ฉุกใจคิดบ้างหรือ”
“อืม! อาจจะเป็นไปได้จริงๆ” ออนน์พยักหน้า พูดเหมือนมีความคิดบางอย่าง “ถ้าจัดพิธีแต่งงานสองงานได้พร้อมกันก็คงจะสะดวกดีนะ”
พิธีแต่งงานสองงาน? มีร่าชะงักไปพักหนึ่งแล้วก็เข้าใจความหมายของออนน์ นี่เขากำลังขอเธอแต่งงานอยู่ใช่ไหม
ออนน์ใช้น้ำเสียงเป็นงานเป็นการพูดว่า “ข้าคิดแล้วคิดอีกและตัดสินใจว่าจะรอให้เรื่องงานสำเร็จลุล่วงซะก่อน แล้วข้าจะลองปรึกษากับเซดริก ให้พวกเราสองครอบครัวไปหาเมืองสักเมืองอาศัยอยู่ด้วยกัน”
“มันจะง่ายดายเช่นนั้นได้ยังไง” มีร่าก้มหน้าลงกระซิบ “พวกเรา...เจ้ายังไม่มีบ้านเลย แล้วจะไปอยู่ที่ไหน”
ออนน์รีบบอกแผนการที่ตนเองคิดเอาไว้ออกมา “ลูกพี่ลูกน้องสายเลือดห่างๆ ของข้าที่ชื่อเวสต์มีที่ดินอยู่ผืนหนึ่ง พวกเราอาศัยอยู่ในเมืองที่เป็นที่ดินของเขาได้ เขาสามารถจัดให้ข้ากับเซดริกเป็นทหารประจำเมืองหรือองครักษ์ของเจ้าเมืองของที่นั่นได้ ถึงยังไงก็วิ่งไปทางนู้นทีทางนี้ทีไม่ได้อีกต่อไป คาซีเพิ่งจะสิบขวบ ตอนนี้ก็ไม่มีใครที่จะฝากฝังได้แล้ว คงไม่ดีแน่ถ้าจะให้อยู่ในกองทัพตลอดไป”
พูดจบออนน์ก็มองมีร่าอย่างตื่นเต้น แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ก้มหน้า เป็นนานหลังจากนั้นจึงส่งเสียง “อืม” ออกมา
ทันใดนั้นออนน์ก็กอดมีร่าซึ่งตกใจจนร้องออกมา จากนั้นเขาก็ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “ดีจังเลย ดีจังเลย” ไปพลาง หลังจากนั้นก็ชูร่างของมีร่าขึ้นหมุนไปรอบๆ
มีร่าอายจนใบหน้าแดงก่ำ ได้แต่ร้องต่อว่า “คนบ้า! รีบปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ” ใช้คำพูดมาอำพรางความเขินอายของตน
ออนน์กลับหัวเราะเสียงดังลั่น ตะโกนสุดเสียง “ไม่ปล่อย! ไม่ปล่อยไปตลอดกาล!”
“ออนน์กับมีร่ากำลังทำอะไรกัน”
“ทำเรื่องที่เด็กๆ ห้ามถาม”
ขาซ้ายออนน์เกี่ยวขาขวา เกือบจะหกคะเมนตีลังกา เซไปเซมาอยู่หลายที ไม่ง่ายเลยที่จะวางมีร่าลงบนพื้นอย่างปลอดภัยโดยที่ตนเองก็ไม่หกคะเมนตีลังกา ต่อมาเขามองไปที่ประตูกระโจม เห็นเมแลนท์กับคาซีกำลังจูงมือกันยืนอยู่ที่นั่น ทั้งสองคนต่างเล่นกันจนสกปรกไปทั้งตัว
ในตอนนั้นเองเมแลนท์ก็อุ้มคาซีขึ้นมา จากนั้นก็ยกตัวเขาสูงขึ้น หมุนไปรอบๆ เลียนแบบออนน์และมีร่า คาซีตกใจจนสะดุ้ง แผดเสียง “เจ้าทำบ้าอะไร!”
เมแลนท์หยุดหมุนไปรอบๆ แต่ยังคงยกตัวของคาซีเอาไว้ เพียงแค่หันหน้าไปมองออนน์และมีร่า “ทำเรื่องที่ออนน์กับมีร่าทำ”
เมื่อมีร่าได้ยินก็ก้มหน้าต่ำลงจนไม่อาจจะต่ำได้อีก ออนน์ที่เคยพูดฉอดๆ รู้สึกกระดากอายขึ้นมานิดหน่อย เขาลูบหัวอย่างขัดเขิน คิดไม่ออกว่าจะทำท่ากลบเกลื่อนอย่างไรดี
คาซีแผดเสียง “จะบ้าเหรอ! พี่มีร่าเป็นผู้หญิง ข้าไม่ใช่ผู้หญิง ข้าไม่อยากถูกจับหมุนหรอก! วางข้าลง!”
เมแลนท์วางคาซีลง จากนั้นก็มองเขา “เช่นนั้นเจ้าจะจับข้าหมุน?”
“ข้าอุ้มเจ้าไม่ไหว...” คาซีมองออนน์และมีร่าแวบหนึ่ง เด็กน้อยพูดเลียนแบบผู้ใหญ่ “ไปล่ะ! ไปล่ะ! พี่ชายเรียกข้าไปฝึกญาณวิเศษ เจ้าไปฝึกด้วยกันกับข้าเถอะ อย่าไปรบกวนคนอื่นเลย”
มีร่ารีบเงยหน้าขึ้นพูด “เจ้าสองคนอย่าไปไกลนักนะ!”
คาซีส่งเสียง “โอ้” ออกมา แกล้งถามว่า “แต่กลับมาตอนนี้ไม่เร็วเกินไปหรือ ไม่เป็นไรแน่นะ”
มีร่าชะงัก จากนั้นก็อายจนหน้าแดง
ออนน์ด่าเสียงดัง “เจ้าเด็กแก่แดด พูดเหลวไหลอะไร!”
“ข้าไม่ได้เป็นเด็กแก่แดดสักหน่อย อาจารย์ออนน์นั่นแหละที่เป็นผู้ใหญ่แก่แดด!”
คาซีทำหน้าทะเล้น จากนั้นก็ดึงเมแลนท์รีบวิ่งหนีไป ด้านหลังยังได้ยินเสียงด่าพึมของออนน์ดังแว่วมา
“ไปเถอะ!” คาซีดึงเมแลนท์พลางเดินไปพูดไป “เจ้าชอบน้ำที่สุดถูกต้องไหม พวกเราไปเอาน้ำมาถังหนึ่ง ข้าจะสอนเจ้าว่าทำยังไงถึงจะเห็นจิตวิญญาณ”
“ออนน์เรียกเจ้ากลับไป” ถึงแม้จะวิ่งมาไกลแล้วเมแลนท์ก็ยังได้ยินเสียงตะโกนของออนน์
คาซีพูดอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด “ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เขาไม่ได้อยากให้พวกเรากลับไปจริงๆ ตอนนี้อาจารย์ออนน์จะพลอดรักกับพี่มีร่า”
“พลอดรักคืออะไร”
“พลอดรักก็คือผู้ชายกับผู้หญิงที่ทำเรื่องน่าขายหน้า”
“น่าขายหน้าคืออะไร”
“น่าขายหน้าก็คือ...”
ในขณะที่คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบไม่จบไม่สิ้น สองคนช่วยกันตักน้ำ ช่วยกันหิ้วถังน้ำ เดินมายังใต้ต้นไม้ที่ปีนเล่นกันเมื่อครู่
คาซีวางถังน้ำลง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำตัวเป็นอาจารย์ ทำให้เขาคึกคักเป็นพิเศษ เขาพูดอย่างรีบร้อน “มาเร็ว เจ้ามองที่น้ำสิ”
เมแลนท์นั่งยองๆ ลงมองน้ำในถังตามคำสั่ง
“ดีมาก พี่ชายพูดว่าอย่างนี้นะ เริ่มแรกต้องจ้องมองน้ำ จิตใจอย่าวอกแวก อะไรก็ไม่ต้องไปฟังและไม่ต้องรู้สึก ทำเหมือนว่าตอนนี้ตัวเองมีแค่ดวงตา เอาความรู้สึกทั้งหมดรวมอยู่ที่สายตาอย่างนี้ เร็วสิ ลองทำดู!”
คาซีพูดจบก็หุบปากและนั่งยองๆ ลงข้างถังน้ำเพ่งมองมาที่เมแลนท์ แต่เด็กก็คือเด็ก โดยพื้นฐานแล้วไม่มีความอดทน ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ใจร้อนเปิดปากถาม “เป็นยังไงบ้าง มองเห็นไหม”
เมแลนท์ไม่เข้าใจคำถาม “มองเห็นน้ำ”
“ไม่ใช่ เจ้ามองเห็นในน้ำมีจุดเล็กๆ หรือเปล่า”
“มี” เมแลนท์พยักหน้า
“ไม่มีใช่ไหม ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติน่ะ! พี่เซดริกบอกว่าไม่แน่อาจจะต้องฝึกถึงหนึ่งเดือนถึงเห็นจุดเล็กๆ ยังมีคนที่ไม่มีพรสวรรค์อีกมากที่ชั่วชีวิตก็มองไม่เห็นจิตวิญญาณ... เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
พูดได้ครึ่งหนึ่งคาซีถึงได้เข้าใจคำพูดของเมแลนท์ เขาตกตะลึงจนอึ้งไป ใช้สายตาที่ไม่อยากจะเชื่อจ้องมองเมแลนท์
“มี” เมแลนท์พูดซ้ำอีกครั้ง และยังเสริมอีกว่า “น้ำเป็นจุดเล็กๆ”
สองตาของคาซีเบิกกว้างจนใหญ่ราวกับตาของสัตว์ป่า เขาแผดเสียงขึ้นมาทันที “เจ้าจะมองเห็นทั้งหมดได้ยังไง พี่ชายบอกข้าไว้ว่าหากสามารถมองเห็นได้แค่ครึ่งเดียวก็สามารถผ่านการตัดสินว่าเป็นผู้มีญาณวิเศษระดับสูง นั่นเป็นขั้นที่ยากที่สุดแล้ว เทพเทวะที่เก่งกาจที่สุดยังมีญาณวิเศษแค่ระดับกลางเท่านั้นเอง!”
แต่เมแลนท์ก็ยังพูดว่า “ข้ามองเห็นทั้งหมด”
คาซีจ้องมองเมแลนท์ แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่เท่าที่ไปมาหาสู่กันหลายวันมานี้ เขาก็ได้รู้อุปนิสัยของเมแลนท์และรู้ว่าเขาโกหกไม่เป็น เขาอดพูดอย่างรู้สึกอิจฉานิดหน่อยไม่ได้ “ดีจริง ญาณวิเศษของเจ้าแข็งแกร่งมากเลย สมแล้วที่เจ้าเป็น...”
เขามองไปรอบๆ พูดเสียงต่ำ “ญาณวิเศษของชนเผ่าใบไม้ดีอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า”
“ข้าไม่รู้” เมแลนท์ตอบตามตรง
คาซีทิ้งตัวลงไปด้านหลัง นอนกางแขนกางขา บ่นกระปอดกระแปด “อย่างนี้ก็ไม่ต้องฝึกเลยน่ะสิ! เจ้าเก่งกว่าพี่ชายข้าซะอีก ญาณวิเศษของพี่ชายข้ายังไม่ผ่านการประเมินระดับกลางเลย เขาบอกว่าถ้าได้รับการประเมินว่ามีญาณวิเศษในระดับกลางก่อนที่จะอายุสามสิบก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
เมแลนท์มองดูและนอนลงเลียนแบบเขา เมื่อนอนลงก็มองเห็นท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาว หญ้าเขียวบนพื้นเปียกชื้นอยู่บ้าง ทำให้เขารู้สึกดีเหลือเกิน
นอนได้สักพักพลันคาซีก็ยื่นมือชี้ไปที่ท้องฟ้า พูดว่า “เจ้าดูเมฆก้อนนั้นสิ เหมือนขนมปังห่อเนื้อไหม”
“ไม่เหมือน”
“เหมือนชัดๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าว่าเหมือนอะไร”
เมแลนท์ครุ่นคิด “เหมือนใบไม้”
“...ก็ได้ เหมือนใบไม้มากกว่าจริงๆ”
“เมฆก้อนนั้น” เมแลนท์ชี้ไปที่ก้อนเมฆที่อยู่ไกลออกไปแล้วพูดว่า “เหมือนเจ้า”
“ได้ยังไงกัน... เออ เหมือนนิดหน่อยจริงๆ ด้วยแฮะ!”
คาซีแปลกใจที่พบว่ารูปร่างของเมฆก้อนนั้นเหมือนทรงผมของตนเองอยู่บ้างจริงๆ ทรงผมของเขาเหมือนกับว่าพวกมันไม่รักดี แต่ละปอยกระดกชี้ไปทั่วสารทิศตลอดเวลา แม้มีร่าจะช่วยเขาหวีผมให้เป็นพิเศษ แต่หลังจากวิ่งปุเลงสองสามทีก็จะกลับคืนเหมือนเดิม ท้ายที่สุดแม้แต่มีร่าก็ถอดใจที่จะสู้รบตบมือกับเส้นผมของเขา
คาซีพูดอย่างดีใจสุดขีด “ฮ่าๆ เมฆก้อนนั้นเป็นเมฆของข้า! นั่นเป็นเมฆคาซี!”
สองคนหัวเราะกันพักหนึ่งแล้วนอนอยู่บนพื้นหญ้าต่อไป เวลานี้คาซีนึกถึงคำสั่งของพี่ชายที่สั่งให้เขาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่เมแลนท์ถูกทอดทิ้งขึ้นมา...แม้จะไม่อยากถามนัก แต่เขาก็ไม่อยากทำให้พี่ชายผิดหวัง ได้แต่สอบถามอย่างไม่ค่อยสบายใจ “เมแลนท์ ทำไมพ่อแม่ของเจ้าถึงต้องทอดทิ้งเจ้า”
“ข้าไม่รู้”
“เจ้าไม่รู้อะไรสักอย่าง น่าแปลกจริงๆ เลย!” คาซีครุ่นคิดแล้วก็พูดอย่างท้อแท้ “ที่จริงก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอก ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงถูกฆ่าตาย แล้วก็พี่สาวกับพี่เขยด้วย ลูกของพี่สาวน่ารักมากเลยล่ะ! ข้าตั้งใจไว้ว่าจะรอให้เขาโตสักหน่อยแล้วจะสอนให้เขาเรียกข้าว่าพี่ แต่พี่เขยคอยบอกข้าอยู่ตลอดเวลาว่าทารกน้อยต้องเรียกข้าว่าน้าถึงจะถูก”
คาซีหันหน้ามาบ่นพึมพำ “แต่น้าฟังดูแปลกๆ พี่เพราะกว่าตั้งเยอะ เจ้าว่าจริงไหม”
เมแลนท์ส่ายหน้า เขาฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันเหมือนกัน
“แต่ว่าตอนนี้ทารกน้อยไม่อยู่แล้ว พ่อ แม่ พี่สาวและพี่เขย พี่ชายบ้านข้างๆ ที่ให้ขนมข้ากินบ่อยๆ ยายแก่ๆ เสียงดังที่อยู่บ้านตรงข้าม... ทุกคนไม่อยู่แล้ว ข้าเหลือแค่พี่ชายเพียงคนเดียว”
พูดถึงตรงนี้คาซีใช้หลังมือปิดดวงตาเอาไว้ ราวกับรู้สึกว่าพระอาทิตย์แยงตาจนแสบตา ทำให้เมแลนท์รู้สึกออกจะแปลกใจ พวกเขาอยู่ใต้ร่มไม้ อันที่จริงไม่ได้ตากแดดสักหน่อย
“ตอนนี้พี่ชายก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนทุกครั้งที่เขากลับบ้านก็จะนำของเล่นมาให้ข้าเล่น ตอนนี้ทุกวันเอาแต่บอกให้ข้าฝึกญาณวิเศษ ฝึกร่างกายและฝึกดาบ บอกให้ข้ารีบโตเร็วๆ จะได้ไปตามหามือสังหารกับเขา ไปแก้แค้นด้วยกัน ฆ่ามือสังหารให้ตาย...”
เมแลนท์เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เรื่องที่ควรทำคือการปลอบใจคน เขาไม่รู้แม้แต่ความหมายของคำว่าปลอบใจ ดังนั้นจึงได้แต่ฟังคาซีคร่ำครวญเงียบๆ อีกทั้งยังสงสัยว่าทำไมเสียงของคาซีถึงแปลกไป
ทันใดนั้นคาซีหันกลับมากอดเมแลนท์เอาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา และหัวไหล่ก็ไหวไปมา
เมแลนท์ใช้มือยันร่างขึ้นมา ก้มลงมองศีรษะของคาซี ถามด้วยความไม่เข้าใจ “คาซี เจ้ากำลังทำอะไร”
“คนโง่...ข้าก็กำลังร้องไห้น่ะสิ!”
“ร้องไห้คืออะไร”
ทันใดนั้นคาซีก็เงยหน้าขึ้นมาโวยวาย “เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ ดูข้าสิ ข้ากำลังร้องไห้อยู่นี่ไงล่ะ”
เมแลนท์พินิจมองคาซี ขอบตาของเขาแดง และมีน้ำร่วงลงมาไม่ขาดสาย
เมแลนท์ใช้นิ้วมือแตะน้ำหยดหนึ่งจากใบหน้าของคาซี ลองชิมดู ร้องด้วยความแปลกใจ “น้ำเค็มๆ!”
“...เจ้านี่พิลึกคนจริงๆ” คาซีทนไม่ไหว หยุดร้องไห้แล้วหัวเราะ “มีใครที่ไหนเขากินน้ำตากันเล่า”
“ทำไมต้องทำให้น้ำเค็มๆ ไหลออกมา”
คาซีเช็ดน้ำตา พูดอย่างไม่พอใจ “นั่นก็เรียกว่าร้องไห้ยังไงล่ะ แล้วก็ไม่ใช่น้ำเค็มๆ แต่เป็นน้ำตา เพราะว่าเจ็บปวดใจมากก็เลยต้องร้องไห้ออกมา”
“เจ็บปวดใจ” เมแลนท์ถามอย่างรู้สึกสนใจ “เจ้าบาดเจ็บหรือ”
“...” คาซีพูดอย่างหมดแรง “เจ็บปวดใจไม่ใช่บาดเจ็บจริงๆ หมายถึงข้างในหัวใจเจ็บปวดมาก ก็เหมือนกับ...เหมือนกับข้างในหน้าอกถูกยัดก้อนหินก้อนใหญ่ๆ เข้าไปเยอะๆ และก็เหมือนกับถูกคนตีทีหนึ่งแต่เจ็บเหมือนถูกมีดฟัน พูดอย่างนี้เข้าใจไหม”
เมแลนท์ก็ยังคงส่ายหน้า
เห็นเช่นนั้นคาซีก็พูดอย่างโกรธๆ “เจ้าจะไม่รู้จักความรู้สึกเจ็บปวดใจได้ยังไง ถ้าพ่อแม่ของเจ้าตายไป เจ้าไม่เจ็บปวดใจหรือ”
เมแลนท์ครุ่นคิด แต่ก็ยังส่ายหน้า “ไม่เจ็บปวดใจ แต่ว่าเจ็บมาก ทั้งตัวเจ็บปวดไปหมด”
“นั่นก็คือเจ็บปวดใจล่ะ!” คาซีพูดไปตามเนื้อผ้า
เขาคิดว่าที่เมแลนท์พูดว่าเจ็บมากนั้นมีความหมายว่าเจ็บปวดใจมาก แต่ในความเป็นจริงเวลาที่ต้นไม้ตายลง ดอกไม้จะรู้สึกราวกับเป็นร่างเดียวกันกับต้นไม้ เป็นความเจ็บปวดทางร่างกายจริงๆ และไม่ใช่ความเจ็บปวดใจอย่างที่เขาเข้าใจ
เมแลนท์เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แล้วก็กลับไปยังคำถามแรกสุด “ทำไมเจ้าถึงเจ็บปวดใจ”
“เพราะทุกคนตายหมด พี่ชายก็เปลี่ยนไป แต่ที่พี่ชายพูดก็ถูก”
พูดถึงตรงนี้เสียงของคาซีก็ดังก้องขึ้นมา
“ทุกคนตายหมดแล้ว พี่ชายก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าฆาตกรนั่น! ข้าจะต้องฝึกดาบกับอาจารย์ให้เชี่ยวชาญ เป็นเทพศาสตราที่เก่งกาจให้ได้ แล้วไปแก้แค้นกับพี่ชาย ฆ่าเจ้าฆาตกรนั่นให้ตาย!”
ในตอนนั้นเองเมแลนท์เอ่ยถามโดยพลัน “คาซีจะฆ่าข้าไหม”
คาซีชะงัก หันหน้ามามองเมแลนท์ พูดพลางหัวเราะลั่น “เมแลนท์ เจ้ากำลังพูดอะไร ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก ข้าจะฆ่าศัตรูต่างหาก!”
“ศัตรูคืออะไร”
“ศัตรูก็คือ...”
คาซีเหมือนจะจนคำพูด ถึงแม้เขาจะประสบกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้และดูเหมือนค่อนข้างที่จะมีวุฒิภาวะ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นแค่เด็กสิบขวบ ความคิดอาฆาตแค้นทั้งหลายล้วนเกิดจากเซดริกพี่ชายป้อนให้เขารับฟัง ที่จริงแล้วตัวเขาเองไม่ได้เข้าใจความหมายของความอาฆาตแค้นอย่างแท้จริง ไม่กี่วันมานี้เองคาซีถึงได้ไปเที่ยวเล่นกับเมแลนท์
ในเมื่อตัวเขาเองยังรู้บ้างไม่รู้บ้างเรื่องความอาฆาตแค้น แล้วจะทำให้เมแลนท์เข้าใจความหมายของความอาฆาตแค้นได้อย่างไร
คาซีได้แต่พยายามคิดคำตอบว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ถ้าเป็นพี่ชายจะพูดว่าอย่างไรบ้าง หลังจากนั้นก็ย่อให้เป็นคำพูดที่ฟังเข้าใจง่าย
“ก็คือ...มีคนฆ่าคนที่เจ้ารัก เขาก็จะเป็นศัตรูของเจ้า เจ้าก็จะต้องไปล้างแค้นไงล่ะ!”
“ทำไมถึงต้องไปล้างแค้น”
เมแลนท์ถามจบแล้วก็อดใจรอฟังคำตอบ แต่ครั้งนี้คาซีนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน จากนั้นก็ก้มหน้าลง พูดเสียงแผ่วเบา “ที่จริงข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องล้างแค้น ถึงแม้จะล้างแค้นได้แล้วจริงๆ ถึงพวกเราจะฆ่าฆาตกรให้ตายไป ทุกคนก็ไม่อาจกลับมามีชีวิต แต่พี่ชายบอกว่าต้องล้างแค้น ต้องเอาเลือดของฆาตกรมาสังเวยให้ได้ ก็เลยต้องล้างแค้นให้ได้ล่ะมั้ง”
“เจ้ายังจะร้องไห้อีกไหม”
เมื่อเห็นว่าดวงตาของคาซีแวววาวด้วยหยาดน้ำตา เมแลนท์ก็พูดอย่างเข้าใจ
“เจ้ากอดข้าร้องไห้อีกก็ได้ ถึงแม้มีร่าจะบอกว่าไม่ให้เด็กผู้ชายลูบตัวข้า แต่ว่า...” เขาเอียงศีรษะครุ่นคิด “แต่ว่าเจ้าคือคาซี ดังนั้นไม่เป็นไร”
คาซีเงยหน้าขึ้นมา แต่ไม่ได้หลั่งน้ำตา อีกทั้งยังหัวเราะแล้วพูดว่า “ถึงแม้เจ้าจะโง่มาก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ข้าก็ยังชอบเจ้าที่สุด ดีล่ะ! ข้าตัดสินใจแล้ว”
เมแลนท์ถามอย่างประหลาดใจ “ตัดสินใจอะไร ตัดสินใจจะไปปีนต้นไม้หรือ”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” คาซีโวยวายเสร็จ ทันใดก็ทำปากจู๋จูบลงบนหน้าผากของเมแลนท์ทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็เอ่ยสาบานเสียงดัง “โดนข้าจูบไปแล้ว ดังนั้นพอข้าโตขึ้น เจ้าจะต้องแต่งงานกับข้า!”
“แต่งงานกับเจ้าคืออะไร” เมแลนท์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คือแต่งงานไงล่ะ! เหมือนกับที่อาจารย์ออนน์กับพี่สาวมีร่าหมุนไปรอบๆ อย่างนั้นไง แล้วก็อยู่ด้วยกันตลอดไป!”
คาซียื่นมือมากอดเมแลนท์เอาไว้ แต่เขาไม่มีปัญญาอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาหมุนไปรอบๆ ได้ ถึงแม้จะเสียกำลังใจบ้างนิดหน่อย แต่ทว่าก็ทำให้ไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นมา
“เมแลนท์ เจ้าจะต้องรอข้านะ รอให้ข้าโตอีกหน่อย กลายเป็นเทพศาสตราที่เก่งกาจไม่มีใครเกิน ตอนที่ข้าอุ้มเจ้าหมุนไปรอบๆ ได้ก็แต่งกับเจ้าได้! เออแฮะ เจ้าคงไม่รู้อีกว่าแต่งคืออะไร ก็คือแต่งงานนั่นแหละ!”
เมแลนท์ถามอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง “ก็คืออยู่ด้วยกันตลอดไปใช่ไหม”
“ใช่” คาซีพยักหน้าอย่างแรง “เจ้าจะต้องรอข้าโตนะ ตกลงไหม”
เห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของคาซีแล้วเมแลนท์ก็ครุ่นคิด ดูเหมือนเขาจะไม่มีเหตุผลที่จะรอไม่ได้ ดังนั้นจึงพยักหน้า
“ตกลง ข้าจะรอให้เจ้าโต”
มีร่าวัดส่วนสูงของเมแลนท์เพื่อใช้แก้ไขเสื้อผ้าพลางถามว่า “วันนี้จะทำอะไรบ้าง”
เมแลนท์ครุ่นคิด “รอให้คาซีฝึกญาณวิเศษเสร็จแล้วมาเล่นกับข้า”
ส่วนใหญ่แล้วชีวิตของเขาทุกวันนี้ก็คือช่วยมีร่าทำงานและรอคาซีมาเล่นกับเขา
“ทำไมเจ้ากับคาซีสนิทสนมดีอย่างนี้นะ อาจเป็นเพราะที่นี่มีเพียงเด็กน้อยคาซีที่เล่นกับเจ้าได้” มีร่าหัวเราะและพูดว่า “เมแลนท์ เจ้าชอบเซดริกไหม”
เมแลนท์ส่ายหน้า “ข้าชอบออนน์...”
ได้ยินถ้อยคำนั้นมีร่าก็ใจเต้นตึกตักขึ้นมา
“...ชอบมีร่า ชอบคาซี”
ได้ฟังคำพูดทั้งหมดมีร่าทั้งโกรธทั้งขำ เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “ไม่ชอบเซดริกหรือ”
เมแลนท์ส่ายหน้า “ไม่ชอบเซดริก”
“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น” มีร่าถอนหายใจ
เธอรู้จากปากออนน์มาก่อนแล้ว ตอนนี้ภายในใจของเซดริกมีแต่ความต้องการที่หาตัวฆาตกรที่ทำลายหมู่บ้าน จากนั้นก็ล้างแค้นฝ่ายตรงข้าม ถึงกับบอกให้คาซีเอาวิธีฝึกฝนญาณวิเศษมาสอนให้เมแลนท์ แล้วจะให้เมแลนท์ชอบอีกฝ่ายได้อย่างไร
เรื่องความรักความชอบนี้จะรีบร้อนไม่ได้ มีร่าตัดสินใจพูดเปรียบเทียบ เธอตั้งใจพูด “ถ้าเจ้าชอบเซดริก ต่อไปภายหน้าแต่งงานกับเขา เจ้าก็จะได้อยู่กับคาซีนะ”
เมแลนท์ยังคงส่ายหน้า “คาซีบอกให้ข้ารอเขาโตแล้วแต่งงานกับเขา อยู่ด้วยกันตลอดไป”
มีร่าชะงัก ร้องด้วยความประหลาดใจ “คาซีพูดอย่างนั้นหรือ แต่เขายังเด็ก...”
พูดถึงตรงนี้เธอก็นึกขึ้นได้ว่าคาซีอายุสิบปีแล้ว เมแลนท์ดูไปแล้วก็อายุประมาณสิบห้าปี ความแตกต่างระหว่างอายุของเขาทั้งสองคนเทียบกับความแตกต่างระหว่างอายุของเซดริกกับเมแลนท์แล้วก็ยังน้อยกว่า
มีร่าลูบหน้าผาก ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้กับเหตุการณ์ที่เป็นไป แต่ก็ไม่คิดที่จะยับยั้งเรื่องนี้ ถึงแม้ความคิดเห็นที่ออนน์เสนอจะไม่เลว ทว่าเมแลนท์ชอบคาซี คาซีก็ชอบเมแลนท์ ถ้าจะให้เมแลนท์แต่งงานกับเซดริกจริงๆ นั่นก็เท่ากับทำผิดมหันต์ ไม่แน่อาจจะทำให้พี่น้องผิดใจกันได้
ไม่ได้การ! ต้องพูดกับออนน์ให้รู้เรื่อง มีร่าคิดและตัดสินใจ
“เมแลนท์ ข้าจะไปหาออนน์ เจ้าจะไปไหม”
เมแลนท์จัดแจงจูงมือของมีร่า พยักหน้า
มีร่าก็จูงมือเขาเอาไว้ เพราะคนทั้งสองไม่ได้รีบร้อน ดังนั้นจึงเดินไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเดินเล่นไปด้วยเลย
ที่ตั้งค่ายเจ้าหน้าที่กองหนุนกับที่ตั้งค่ายทหารค่อนข้างอยู่ห่างกัน ที่ตั้งค่ายทหารอยู่ด้านข้างของหมู่บ้านที่ถูกทำลายเท่านั้นเพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน ถึงแม้เจ้าพนักงานกองหนุนคนอื่นก็ควรอยู่ข้างหมู่บ้านจะได้ทำงานสะดวก แต่พวกเขากลับยอมที่จะอยู่ห่างออกไปอีกหน่อย ยุ่งยากอีกหน่อย เพราะไม่อยากอยู่ข้างหมู่บ้าน
เมื่อคนทั้งสองเดินมาใกล้ที่ตั้งค่ายทหารก็ได้ยินเสียงโต้เถียงดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
“นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะออกคำสั่งให้ไปจากที่นี่ คนทั้งหมู่บ้านตายไปจนหมด ฆาตกรเป็นใครแม้แต่เบาะแสสักนิดก็ยังไม่มี ในสถานการณ์เช่นนี้เจ้าจะให้จากไปจริงหรือ”
“เซดริก เจ้าฟังข้าพูดก่อน...”
“ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูด! คนทั้งบ้านข้าตายที่นี่ ก่อนที่จะหาฆาตกรเจอ ถึงตายข้าก็ไม่ไป!”
มีร่ากุมมือเมแลนท์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป ไม่นานก็มองเห็นเซดริกกับออนน์ยืนเผชิญหน้ากัน
ออนน์หน้านิ่วคิ้วขมวด แต่เซดริกกลับโมโหจนหน้าบูดหน้าบึ้ง คาซียืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ดูไปแล้วท่าทางเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
ทหารอื่นๆ ก็ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร สำหรับพวกเขา ออนน์เป็นหัวหน้าหน่วย แต่เซดริกก็เป็นเทพเทวะที่มีความสำคัญในกองทหาร สองคนนี้เป็นผู้ที่พวกเขาไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
มีร่าเดินไปด้านหน้า เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองควรยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ดังนั้นจึงเพียงแค่เดินไปคว้าตัวคาซีเอาไว้
เมแลนท์มองคาซี เห็นว่าขอบตาของเขาเป็นสีแดง เขาจึงปล่อยมือจากมีร่าและเข้าไปกอดคาซีเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังกดใบหน้าของเขาเข้ากับอกของตนเอง
คาซีกอดเมแลนท์เอาไว้แทบจะในทันที จากนั้นก็ร้องไห้ออกมา แต่เป็นเพราะพี่ชายยังอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่กล้าร้องไห้เสียงดัง ได้แต่พยายามสะกดกลั้น ทำให้เสียงร้องไห้กลายเป็นเสียงสะอึกสะอื้น
มีร่ารู้สึกแปลกใจกับการกระทำของเมแลนท์ เธอคิดไม่ถึงว่าเมแลนท์ที่ไม่เข้าใจความเป็นไปในโลกจะรู้จักทำเช่นนี้ คิดว่าหลายวันที่ผ่านมาคาซีได้สอนเรื่องต่างๆ ให้กับเมแลนท์ไม่น้อยจริงๆ มีร่าคิดถึงตรงนี้แล้วก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าคงไม่อาจจับคู่ให้เมแลนท์กับเซดริกได้
เซดริกตะโกนด้วยความโกรธ “ออนน์ ข้าจะบอกเจ้า ถึงตายข้าก็ไม่...”
ในตอนนั้นเองออนน์คว้าคอของเซดริกเอาไว้ ดึงเขาเข้ามาตรงหน้าของตน แผดเสียงก้อง “เจ้าคนระยำ ฟังข้าพูดให้ดี! ด่านเบริซัมเมอร์แตกแล้ว ชาวทันย่าบุกฆ่าฟันเข้ามาใกล้ดินแดนซีฌงแล้ว ตอนนี้พวกมันเข่นฆ่าและปล้นสะดมบนแคว้นวอร์เบิร์นของเราแล้ว!”
เซดริกชะงัก หน้าถอดสี อุทานด้วยความตกใจ “อะไรนะ เป็นไปไม่ได้! ไม่ใช่เรื่องจริง...”
ออนน์ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากหน้าอก จากนั้นก็ขว้างมันใส่ตัวเซดริก แผดเสียง “นี่เป็นประกาศภาวะฉุกเฉินที่เมืองเพรริชส่งมา แจ้งให้กองทหารทั้งหมดรีบกลับไปยังกรมกองต้นสังกัดของตัวเอง!”
เซดริกตัวสั่น หยิบกระดาษขึ้นมาดู เป็นเช่นนั้นจริงๆ!
ออนน์มองไปยังทหารที่อยู่รอบๆ เหล่าทหารต่างแสดงท่าทางหวาดวิตกออกมา เขาลอบถอนหายใจออกมาไม่ได้ เดิมทีเขาตั้งใจจะรีบพาทหารกลับเข้ากรมกองโดยไม่แจ้งถึงสาเหตุ เพื่อไม่ให้พวกเขาแตกตื่นอย่างไม่จำเป็น แต่ใครจะรู้ว่าพอเขาออกคำสั่ง เซดริกจะเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันทีโดยที่เขาไม่คาดคิด
คิดถึงตรงนี้น้ำเสียงของออนน์ไม่สู้ดีนัก “พรุ่งนี้เช้ารีบออกเดินทาง ถ้าช้าเกินไปน่ากลัวว่าถึงเวลานั้นจะไม่มีกรมกองให้กลับไปอีก!”
เซดริกไม่มีอะไรจะพูด ได้แต่พยักหน้าไม่พูดจา
ในตอนนั้นเองมีร่าถึงเดินออกมาข้างหน้า ดึงแขนของออนน์เบาๆ ออนน์หันหน้าไปหาเธอ ฝืนยิ้มพูดว่า “มีร่า แผนการที่พวกเราวางไว้คงต้องเลื่อนเวลาออกไปแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร” มีร่าส่ายหน้าและพูดว่า “หากแคว้นวอร์เบิร์นถูกชาวทันย่ายึดครองแล้ว พวกเราจะไปหาเมืองที่ไหนอยู่อาศัยได้อีกเล่า ขอเพียงระหว่างทางได้เจอหมู่บ้านที่ปลอดภัย สามารถฝากเมแลนท์และคาซีให้ชาวบ้านดูแลได้ก็พอ พวกเขาไปสนามรบกับพวกเราไม่ได้หรอก”
เซดริกได้ยินมีร่าพูดถึงน้องชายของตนเองถึงได้นึกถึงคาซี รีบหันไปรอบด้านมองหาเขา แต่กลับเห็นท่าทางไม่สบายใจของทหารเสียก่อน จากนั้นจึงมองเห็นคาซีที่อยู่ในอ้อมอกของเมแลนท์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
ในที่สุดเซดริกก็รู้ตัวว่าได้ทำผิดมหันต์ จึงก้มหัวลงพูดอย่างหัวเสียว่า “ขออภัย ข้าวู่วามเกินไปหน่อย”
“อย่าใส่ใจเลย” ออนน์ตบหลังตบไหล่เขา
มีร่าเปิดปากพูด “เซดริก คืนนี้ให้คาซีย้ายมาพักกับข้าเถอะนะ เรื่องที่เกิดขึ้นน่ากลัวนัก เจ้าคงจะดูแลเขาไม่ไหว”
ใครจะรู้ว่าเมื่อพูดคำนี้ออกไป คาซีกลับวิ่งไปหาพี่ชาย กุมมือพี่ชายแน่น ไม่ว่าเซดริกจะดุว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ
เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นมีร่าจึงจูงมือของเมแลนท์เดินไปยังข้างกายคาซี พูดอย่างอ่อนโยน “คาซี พวกเราต้องฝากพวกเจ้าไว้ที่หมู่บ้าน แต่เมแลนท์ไม่รู้เรื่องอะไรเลย กลัวว่าชาวบ้านจะไม่เข้าใจสภาพของนาง ดังนั้นข้าฝากเจ้าดูแลเมแลนท์ได้ไหม เจ้ารับปากข้าได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะคอยอยู่ข้างกายนาง”
เดิมทีคาซีคิดว่าถึงอย่างไรก็จะไม่ยอมปล่อยมือของพี่ชาย แต่พอคิดถึงเมแลนท์ เขาก็เกิดความลังเล
แม้เขาจะรู้ว่ามีร่าตั้งใจอ้างเหตุนี้เพื่อให้เขายอมอยู่ในหมู่บ้านแต่โดยดี ไม่ไปสนามรบกับเซดริก แต่ทว่าคำพูดนั้นก็เป็นความจริง เมแลนท์ไม่เข้าใจเรื่องมากมาย ข้างกายของเธอไม่มีคนอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ
ทว่าคาซีก็ไม่อยากจากพี่ชาย ญาติพี่น้องของเขาก็เหลือเพียงพี่ชายคนนี้เท่านั้น ในสนามรบก็อันตรายมาก...
เมแลนท์มองออนน์และมีร่า ไต่ถาม “ข้าไปกับทุกคนไม่ได้หรือ”
มีร่าตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน “ใช่แล้วล่ะ เมแลนท์ เจ้าไปสนามรบกับพวกข้าไม่ได้ ที่นั่นอันตรายมาก”
เมแลนท์นิ่งเงียบไปนานแล้วจึงพูดว่า “ออนน์กับมีร่าจะทอดทิ้งข้าแล้วหรือ มีร่าเคยพูดว่าจะไม่ทอดทิ้งข้า แต่ตอนนี้กลับจะทอดทิ้งข้าแล้ว ข้าไม่เข้าใจ”
“ข้าไม่ได้พูดว่าจะทอดทิ้งเจ้า!” มีร่าร้องเสียงหลง
เมแลนท์ยังคงนิ่งเงียบ คิดในใจ ใบไม้ก็ไม่ได้บอกว่าจะทอดทิ้งเขา แต่พวกเขาก็จากไป และไม่ยอมให้ตนตามพวกเขาไปด้วย
เขาจ้องมองมีร่า รู้สึกแปลกๆ ที่หน้าอก มันเหมือนกับ...
เจ็บปวดใจก็เหมือนกับมีก้อนหินก้อนใหญ่ๆ มากมายยัดอยู่ในหน้าอก และก็เหมือนกับถูกคนอื่นตีเอาทีหนึ่งหรือว่าฟันด้วยมีดทีหนึ่ง
ทำไมต้องร้องไห้ เพราะว่าเจ็บปวดใจมากก็เลยต้องร้องไห้ออกมา!
เจ็บปวดใจคืออะไร เจ็บปวดใจทำไมต้องร้องไห้ น้ำเค็มๆ ที่ไหลร่วงจากดวงตาเกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดใจอย่างไร
เมแลนท์ยังคงไม่เข้าใจ เขาเพียงแค่แปลกใจว่าทำไมขอบตาของตนถึงร้อนขึ้นมา จากนั้นอะไรก็ไม่รู้ร่วงหล่นออกมาจากดวงตา ไหลเป็นทางมาที่แก้ม มือของเขาสัมผัสไปที่แก้ม จากนั้นเขาก็เลียที่นิ้วมือ
มันเค็มๆ ขมๆ เป็นน้ำที่ไม่น่าดื่ม ไม่น่าดื่มยิ่งกว่าน้ำที่ตนดื่มตอนที่ถูกขังอยู่ในกรงซะอีก
พอเห็นว่าเมแลนท์ร้องไห้ มีร่าทั้งเสียใจทั้งร้อนใจ พูดขึ้นว่า “ฟังข้าพูดนะเมแลนท์ พวกเราไม่ได้จะทอดทิ้งเจ้า แค่ให้เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านชั่วคราวเท่านั้น เมื่อการสู้รบจบลงพวกเราก็จะรีบมาหาเจ้า ดีไหม”
เมแลนท์กลับมุดหน้าลง ลูบน้ำตาบนหน้าของตนเอง ชิมน้ำตาจากใบหน้า ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
“เมแลนท์...”
มีร่ายังคงพูดต่อไป แต่เมแลนท์กลับไม่สนใจฟัง เขาคิดว่าไม่ฟังก็คงไม่เป็นไร มีร่าเคยบอกว่าจะไม่ทอดทิ้งเขา แต่ตอนนี้ก็จะทอดทิ้งเขา ถ้อยคำที่พูดออกมาหากไม่เป็นความจริง เช่นนั้นยังจะต้องฟังทำไมอีกเล่า
ทันใดนั้นมือของเมแลนท์ก็ถูกคนคว้าไปอย่างหยาบคาย อีกทั้งยังสลัดไม่หลุด เขาชะงัก เงยหน้าขึ้นมาถึงพบว่าคาซีจับมือของตนเอาไว้
คาซีพูดอย่างจริงจัง “เมแลนท์ พวกเรารออยู่ด้วยกัน! พี่ชายของข้าเหลือข้าเป็นน้องชายคนเดียวแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีทางไม่ต้องการข้าเด็ดขาด เขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน ออนน์และมีร่าก็จะต้องกลับมารับเจ้าอย่างแน่นอน พวกเขาไม่มีทางไม่ต้องการเจ้าเด็ดขาด”
เมแลนท์ถามอย่างรู้สึกสงสัย “คาซีไม่ทอดทิ้งข้า?”
คาซีพยักหน้าอย่างแรง พูดเสียงดัง “อืม! ข้าจะไม่จากเจ้าไปตลอดกาล และความจริงก็ไม่มีใครทอดทิ้งเจ้า! ออนน์และมีร่าแค่จากไปพักหนึ่งเท่านั้น แต่ก่อนพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้าตลอดเวลานี่นา ตอนที่พวกเราไปเล่นพวกเขาก็ไม่อยู่ ออนน์ต้องไปทำงานทุกวัน เขาต้องจากเจ้าไปทุกวัน แต่เขาก็กลับมาหาเจ้าตลอดไม่ใช่หรือ”
“จะกลับมา...” เมแลนท์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หันไปมองออนน์และมีร่า ไต่ถาม “จะกลับมา?”
มีร่ารีบกอดเมแลนท์เอาไว้ พยักหน้าอย่างแรง “อืม ไม่ว่าจะยังไงข้าก็จะต้องกลับมาหาเจ้า!”
ในตอนนั้นออนน์ก็ร้องตะโกนเสียงดังลั่น “จริงๆ เลย เจ้าเด็กคนนี้นี่ ทำไมถึงไม่เชื่อใจพวกข้านะ ข้าสัญญา ถึงต้องคลานข้าก็จะคลานกลับมาหาเจ้า!”
เมแลนท์กลับถามอย่างไม่เข้าใจ “เชื่อใจคืออะไร”
คาซีโวยวายขึ้นมาทันที “เชื่อใจก็คือเชื่อว่าพวกเราไม่ทอดทิ้งเจ้า”
“เด็กน้อย พูดได้ดีมาก!” ออนน์ส่งเสียงชื่นชม
เชื่อว่าจะไม่ถูกทอดทิ้ง... เมแลนท์มองออนน์ มีร่า และคาซี เมื่อทั้งสามคนยิ้มและมองกลับมาที่เขา ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจความหมายของคำว่าเชื่อ
ข้าเชื่อ
ความคิดเห็น