ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้เสกทราย ภาค 1 น้ำตาลร้อยสี

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 52


    บทที่ 3

     

    คนทำน้ำตาลชื่อฟิลัน

    เรือของเขาจอดอยู่ไม่ห่างจากที่นั่นนักจริงๆ เป็นเรือใบเล็กสำหรับแล่นตามแม่น้ำธรรมดา ใต้ท้องมีห้องให้คนอยู่ได้ ที่ข้างเรือสลักชื่อว่าดาอี คาซีเคยเห็นเรือแบบนี้มาก่อนสองสามครั้งในระหว่างเดินทาง พี่บอกเขาว่ามันเป็นเรือของพวกคนจร พวกอาศัยลำน้ำเป็นบ้าน บางทีคนในเรือก็เป็นพ่อค้าเร่ที่ยังไม่มีครอบครัว บางทีก็เป็นเพียงคนประหลาดซึ่งเดินทางไปเรื่อยๆ ไม่มีหลักแหล่ง คาซีคิดว่าคนทำน้ำตาลน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเพราะพี่เคอร์รันเกลียดคนหลักลอยยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด พี่บอกว่าคนพวกนี้เป็นพวกไม่มีค่า ชอบทำแต่ความชั่ว สมควรไปตายเสียให้หมด แต่คาซีเริ่มรู้สึกชอบคนทำน้ำตาล และไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่พี่พูดจะเป็นความจริง

    ฟิลันเพิ่งลงบันไดไปใต้ท้องเรือ แต่เขาไม่ได้เรียกให้คาซีเข้าไปด้วย คนทำน้ำตาลว่ามันรกนักและบอกให้เด็กชายนั่งรออยู่ที่กราบเรือก่อน ด้วยเหตุนี้คาซีจึงนั่งอยู่ตรงนั้น ข้างตัวเขามีกล่องใหญ่ที่ฟิลันวางทิ้งไว้ ตอนนี้มันปิดสนิทแน่น ไม่มีวี่แววของเครื่องมืออัศจรรย์ที่สร้างสัตว์แปลกๆ มากมายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเลย

    คาซีมองไปรอบตัว นอกจากกล่องนั้นเขาก็เห็นกว้านที่ใช้ยกสมอและขดเชือกกองหนึ่ง ไม้ของเรือดาอีที่เขานั่งอยู่มีริ้วรอยต่างๆ เป็นอันมากซึ่งแสดงว่ามันไม่ใช่เรือใหม่ อีกฟากหนึ่งของตัวเรือทางกราบด้านหน้า มีราวเชือกที่คนทำน้ำตาลใช้ตากเสื้อผ้า เสื้อเหล่านั้นก็เก่าเป็นสีซีดมอๆ และส่วนใหญ่เป็นเสื้อสมบุกสมบันสำหรับคนเดินทาง

    ในที่สุดแล้วสายตาของเด็กชายก็มาตกลงที่กล่องใหญ่ข้างตัวอีกครั้ง

    เขาได้ยินเด็กๆ ในงานบอกว่าในกล่องมีเตา ดังนั้นเมื่อเอาน้ำตาลไปลน จึงละลายทำให้เป็นรูปต่างๆ ได้ นอกจากนั้นที่ข้างกล่องยังเก็บเครื่องมืออีกมากมาย ตอนอยู่ในงานคาซีเห็นมันไม่ชัดเลยเพราะมัวแต่ดูน้ำตาลเปลี่ยนรูปร่างเพลินจนลืมอย่างอื่นหมด บางทีตอนนี้เขาอาจจะมีสิทธิ์ได้เห็นมันชัดๆ บ้าง...นิดเดียวเท่านั้นเอง

    เด็กชายหันไปทางบันไดลงใต้ท้องเรือ ...ยังไม่มีวี่แววว่าฟิลันจะออกมา... เขาจึงยื่นมือออกแตะกล่องไม้นั้นและเปิดลิ้นชักที่ข้างกล่องแผ่วเบา

    ลิ้นชักที่เคยใส่น้ำตาลแท่งสีๆ พร่องลงไปแทบไม่เหลือแล้ว สีที่เหลืออยู่สองสามแท่งก็เป็นสีโทนเทาและดำ ไม่อาจทำตัวสัตว์ได้สวยงาม เมื่อเปิดลิ้นชักใต้นั้นลงไปคาซีก็เห็นเครื่องมือต่างๆ วางเรียงอยู่...ควรจะเรียกว่าเครื่องมือดีไหม เพราะเมื่อเขาดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่ามันเป็นของธรรมดาตามบ้านนี่เอง มีคีมใหญ่ย่อมอย่างละอัน แท่งแหลมที่เขาใช้เวลาสกัดแท่งน้ำแข็งในฤดูหนาว ส้อม เกรียง และเหล็กประหลาดที่ถูกตีให้เป็นเกลียว นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว คนทำน้ำตาลสร้างสัตว์ของเขาจากของง่ายๆ อย่างนี้เอง

    ในที่สุดคาซีจึงเปิดประตูบานใหญ่ที่ข้างกล่อง เขาคิดว่าข้างในควรจะมีเตาไฟอยู่อย่างที่คนพูดกัน

    ทว่าสิ่งที่เด็กชายเห็นกลับเป็นดวงตาคู่หนึ่ง

    ...ดวงตาเรืองแสงสีแดง...

     

    ความกลัววาบกระตุกจากศีรษะจรดไขสันหลังของคาซี เด็กชายตัวแข็งจ้องมองดูตาสีแดงราวเปลวไฟโดยไม่อาจถอนสายตาไปได้ เขามองแล้วมองเล่า แต่กลับเห็นเพียงว่ามันเป็นของจริง มีตัวอะไรอยู่ในกล่องของคนทำน้ำตาลจริงๆ

    ...แต่ตัวอะไรกันที่มีตาเรืองแสงอย่างนี้

    ...ปีศาจ

    ทว่าก่อนที่คาซีจะได้ขยับตัว หลบหนีไป หรือทำอะไรได้ คนทำน้ำตาลก็ขึ้นมาบนกราบเรือแล้ว

    "โฮ่" เสียงของเขาทำให้เด็กชายสะดุ้งเฮือก "เที่ยวเปิดของของคนอื่นเล่นนี่ระวังตัวอะไรมันจะออกมากินหรอก"

    คาซีหันขวับกลับไปทางคนทำน้ำตาลทันที แต่สีหน้าของชายคนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปรไปอย่างที่เขาคิด ไม่ได้กลายเป็นใบหน้าชั่วร้ายของปีศาจหรืออะไรอย่างอื่น เคยมีท่าทางสบายๆ อย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น และสีหน้าของเขาไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังถือสาหาความอะไรคาซีมากนักด้วย

    "กล่องเปล่าใช่ไหมเล่า" คนชื่อฟิลันพูดต่อไปพลางวางถ้วยน้ำใส่เครื่องดื่มสีทองลงกับพื้นเรือ "เจ้าหาเตาไม่เจอหรอก คนเราก็ต้องมีความลับประจำอาชีพบ้าง"

    ...กล่องเปล่า... คาซีหันกลับไปมองตาสีแดงเรืองๆ นั้นอีกครั้ง ...โกหก ไม่ใช่กล่องเปล่าสักหน่อย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน... เขานั่งตัวแข็ง คิดอยากหลบหนีไปยิ่งนัก แต่อีกทางหนึ่งเด็กชายก็ยังเป็นเด็ก มีใจอยากรู้อยากเห็นมาก และยังคงอยากรู้ว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร

    "เอาเถอะ ข้าบอกว่าจะทำของให้เจ้าไม่ใช่หรือ" คนทำน้ำตาลว่า เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋า ดึงถุงเล็กๆ ออกมา เมื่อเปิดปากถุงออกแล้วคาซีก็เห็นว่าในนั้นยังมีน้ำตาลสีๆ ทำเป็นลูกบาศก์อยู่หลายลูก

    "นี่เป็นของที่ข้าเผื่อไว้ ตอนนี้ไม่มีน้ำตาลอื่นติดเรือเลย" ฟิลันบอกต่อไป "ไม่มีสีขาย เขาว่าดอกไม้ที่ใช้ทำสีที่สำคัญตอนนี้กำลังขาดตลาด ดูเหมือนปีนี้จะปลูกได้น้อย พวกทำสีกับพวกทำน้ำหอมก็เลยแย่งกันซื้อเสียแย่ พรุ่งนี้ข้าจะล่องเรือลงไปทางใต้กว่านี้สักหน่อย บางทีซื้อจากแหล่งเลยอาจจะมี... ว่าแต่เจ้าอยากได้รูปอะไร"

    คาซีมองหน้าคนทำน้ำตาล ใบหน้าหนวดเคราครึ้มที่แสนธรรมดานั้นมีแต่ริ้วรอยหัวเราะ ทว่าดวงตาสีแดงในกล่องทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงขยับตัวถอยห่างออกมาเล็กน้อย นิ่งขึงไม่พูดอะไร

    คนทำน้ำตาลเห็นเด็กชายไม่ยอมพูดก็ยักไหล่ เขาพึมพำอะไรสองสามคำทำนองว่า "คงต้องถามน้ำตาลเอาเองสินะ" ครั้นแล้วจึงจับกล่องหมุนเข้าหาตัว ฝากล่องยังคงเปิดทิ้งไว้และหันอ้ามาทางคาซี

    "ก่อนอื่นต้องหลอม..." ฟิลันบอก

    เขาวางน้ำตาลลงบนแผ่นโลหะ แล้วเด็กชายก็เห็นอย่างชัดเจนว่ารอบๆ ดวงตาสีแดงดังกล่าวติดลุกเป็นไฟขึ้น กลายเป็นรูปร่างของสัตว์อะไรบางอย่างที่ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง

    ฟิลันเงยหน้าขึ้นมาทันเห็นเด็กผมแดงกำลังตัวสั่นเทาอยู่พอดี เด็กคนนั้นมองมาทางเขานิ่ง ตาเบิกค้างเสียจนเห็นตาขาวได้รอบตาดำ

    "เป็นอะไรไป" คนทำน้ำตาลแปลกใจ

    เด็กชายสะดุ้ง ทรุดตัวลง เท้าแขนทั้งสองข้างไปด้านหลัง เมื่อฟิลันถาม เขาก็ขยับตัวถอยหนีทันที

    "ฟะ...ไฟ" เสียงของเด็กชายดังอึกอักเหมือนค้างอยู่ในลำคอ "ทะ...ท่าน..."

    "ไฟอย่างนั้นหรือ" คนทำน้ำตาลเองก็ตกใจ "เจ้าเห็นอะไรกัน"

    เขามองเด็กชาย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยืดร่างขึ้น

    "อยะ...อย่าทำ...ขะ..." คาซียกแขนปิดศีรษะทันที "อย่า...อย่า"

    แต่แล้วเด็กชายกลับต้องแปลกใจ ฟิลันไม่ได้ทำอะไรเขา เพียงแต่ชะโงกตัวข้ามไปด้านหน้ากล่องและล้วงมือเข้าไปข้างใน แล้วดึงของอย่างหนึ่งออกมา

    "เจ้าเห็นหรือ" เขาถาม

    ในมือของฟิลันไม่ใช่ปีศาจ ไม่ได้เป็นตัวอะไรที่ใกล้เคียงกับจินตนาการของคาซีเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงหนูตัวหนึ่ง หนูตัวใหญ่สักฝ่ามือที่ลำตัวเป็นสีขาวและอุ้งเท้าทั้งสี่เป็นสีน้ำตาล มีใบหูแหลมๆ ที่ข้างหนึ่งวิ่นไปเล็กน้อย ดวงตาของมันไม่ได้เรื่อเรืองเป็นสีแดง หากแต่เป็นสีดำเหมือนลูกปัด เมื่อเจ้าหนูตัวนั้นเห็นคาซี จมูกสีชมพูและหนวดยาวเป็นแพของมันก็กระดุกกระดิกเล็กน้อย ดวงตาดำขลับท่ามกลางขนหนาเป็นประกายขึ้นอย่างใคร่รู้

    คาซีมองต่อไป เขาพบว่ามีเพียงสิ่งเดียวในตัวเจ้าหนูขาวที่ผิดธรรมชาติ คือปลายหางอันยาวของมันมีดวงไฟติดลุกอยู่ ไฟนั้นไม่ไหม้ และเจ้าหนูก็ดูเหมือนจะไม่ร้อน มันเพียงแต่ขยับหางไปมา ส่งเสียงจิ๊กๆ อยู่ในลำคอ มองดูเขาด้วยท่าทางสนอกสนใจเท่านั้นเอง

    "มันชื่อเจ้าหนวดไฟ" คนทำน้ำตาลบอก หัวเราะหึในลำคอ "เอาล่ะ ดีเหมือนกัน ในที่สุดข้าก็ไม่ใช่คนประหลาดคนเดียวในโลกอย่างที่ใครๆ ว่าแล้ว"

    "มัน...อะ...อะไร" เด็กชายยังไม่หายตกใจ

    ฟิลันเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ท่าทางเหมือนจะสำรวจว่ามีใครอื่นกำลังดูพวกตนอยู่หรือไม่ ครั้นแล้วเขาก็วางเจ้าหนูตัวนั้นลงที่พื้น และเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

    "มันเป็นสัตว์ภูต ข้าเคยได้ยินว่าเป็นของหายากจากทวีปอื่นที่พวกคนใช้เวทมนตร์ใช้กัน" เขาบอก เสียงเบาเกือบกระซิบ "ปกติพวกเราคนธรรมดามองไม่เห็นมันหรอก คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ นี้ก็ไม่มีใครเห็นด้วย ถ้าเขามองเราอยู่ตอนนี้ก็จะเห็นแค่ข้ากับเจ้าจ้องพื้นว่างเปล่าอยู่คนทำน้ำตาลยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก ท่าทางจริงจัง “...นี่เป็นความลับระหว่างเรานะ ไอ้หนู รู้แล้วก็ช่วยๆ กันอุบหน่อย

    เจ้าหนูตัวนั้นเดินไปทางคาซี มันเงยหน้ามองเด็กชายด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ นั่งแปะลงตรงหน้าเขา และเริ่มใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างทำความสะอาดหางตัวเอง

    ...ความลับ... คาซีคิด รู้สึกแปลกๆ ในอก ก่อนนี้ไม่เคยมีใครบอกความลับใดให้เขาฟังมาก่อน แต่คนทำน้ำตาลกลับไว้ใจบอกเรื่องอย่างนี้ให้เขาฟัง อธิบายเหมือนเขาเป็นคนโตๆ เด็กชายรู้สึกราวกับหัวใจพองโตขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ มีคนไว้ใจให้เก็บความลับได้

    นอกจากนั้นคาซีก็เริ่มคิดว่าคนทำน้ำตาลช่างเป็นคนลึกลับจริงๆ ...ไม่ได้หมายถึงลึกลับอย่างไม่ดี แต่หมายถึงลึกลับอย่างน่าสนใจ อย่างที่เหมือนตัวละครแปลกประหลาดในนิทาน อย่างที่น่าค้นหาเหลือเกิน

    "มันตามข้ามา ข้าก็ไม่เข้าใจเท่าไรนักหรอกนะ อยู่ด้วยกันมาพักใหญ่แล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรจนคนจากทวีปอื่นคนหนึ่งบอก เขาเป็นคนใช้เวทมนตร์...เขาว่าข้าแปลก คนธรรมดาไม่เห็นตัวพรรค์นี้หรอก ฟิลันพูดต่อไป "หึ... ถ้าได้เจอกันอีกข้าจะบอกเขา...ว่าในที่สุดก็หาคนแปลกเจออีกคนแล้ว"

    คนทำน้ำตาลพูดจบก็ถอนหายใจ ลุกขึ้นหยิบถ้วยที่วางทิ้งไว้ขึ้นถ้วยหนึ่งส่งให้คาซี

    "ดื่มเสียก่อนเถอะ" เขาบอก "น้ำใส่น้ำผึ้งกับมะนาว เมื่อก่อนนี้แม่ข้าชอบทำนัก พวกเราเด็กๆ ก็ชอบกันเสียด้วย"

    คาซีรับแก้วมาไว้ในมือ มันยังอุ่นอยู่ และรสของมันก็ผสมกันดี...เป็นรสเปรี้ยวอมหวานที่ไม่เลวเลย

    "ที่บ้านข้าไม่มีน้ำตาล ไม่มีทั้งน้ำตาลจากอ้อย หรือน้ำตาลจากยางต้นไม้" คนทำน้ำตาลบอกขณะดูเด็กชายดื่ม "ถ้าอยากให้หวานก็ใส่น้ำผึ้งหรือน้ำผลไม้ ตอนที่ได้ชิมน้ำตาลครั้งแรก ข้าตื่นเต้นเสียแทบตาย"

    ครั้นแล้วเขาก็ทำท่านึกได้ จับเจ้าหนูหนวดไฟขึ้นโดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องประท้วงของมัน

    "จริงสิ ข้าว่าจะทำน้ำตาลให้เจ้านี่นา เจ้าอยากได้รูปอะไร หือ"

    "ขะ...ขะ...ข้าไม่อยากดะ...ได้รูปอะไร" เด็กชายบอก "ขะ...ข้าชื่อคาซีมีร์...คาซี"

    "ยินดีที่ได้รู้จัก" คนทำน้ำตาลยิ้ม "ฟิลันยินดีที่ได้รู้จักคาซีมีร์ ขอให้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป"

    "ตะ...ต้องไป...ละ...แล้ว" คาซีบอกต่อ เงยหน้าขึ้นดูดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยลง เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาทางฟิลัน "ข้ามา...มา...หาท่านอีกได้ไหม"

    "พรุ่งนี้ข้าไม่อยู่ จะลงใต้ไปซื้อดอกไม้สีอย่างที่บอก" ฟิลันยักไหล่ "แต่หลังจากนั้นถ้าไม่อยู่ในงานก็คงอยู่บนเรือ เจ้ามาหาข้าเมื่อไรก็ได้ เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรือ"

     

    วันนั้นคาซีกลับถึงห้องด้วยความรู้สึกยินดีประหลาด หัวใจพองโตเบิกบานราวกับได้ผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่มา เขายิ้มกับตนเองไปจนถึงห้อง และยิ้มแม้แต่เมื่อพี่เคอร์รันกลับมาถึง

    แต่ความยินดีของคาซีไม่ยืนยาว พี่ของเขากลับมาจากงาน ทั้งเครียดและล้าเพราะต้องปลุกประสาททั้งหมดให้ตื่นอยู่ตลอดเวลาที่เป็นองครักษ์ให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน หมดแรงจะไปตามหาคนทำน้ำตาลแล้วก็จริง แต่ยังคิดว่าต้องลงโทษน้องชาย จึงตีคาซีอย่างหนัก ตอนนั้นยังไม่เท่าไรนักหรอก แต่รอจนถูกพี่แย่งน้ำตาลร้อยสีไปจากมือ คาซีจึงได้ร้องออกมา เขาร้องไห้ กรีดร้องอ้อนวอนขอคืน ทว่ากลับทำให้พี่เคอร์รันยิ่งโกรธ พี่ฟาดเขาแรงขึ้นอีก เร่งทิ้งน้ำตาลร้อยสีไปโดยเร็ว สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว เด็กชายจึงเลิกร้องไห้ ใบหน้ากลับนิ่งสนิท ทว่าขณะที่ปล่อยให้พี่ดุด่าตามใจชอบนั้นเอง ความอัดอั้นตันใจของเขาก็ยิ่งล้ำลึกขึ้น ขุ่นเคืองและสิ้นหวังขึ้น มันมืดดำอยู่ในอก เพียงแต่รอเวลานับถอยหลังถึงจุดที่จะทนไม่ไหวอีกต่อไปเท่านั้นเอง

    เช้าวันต่อมา เมื่อพี่เคอร์รันออกไปพร้อมกับคำบอกเล่าว่าวันนี้จะอยู่เวรที่บ้านพักรับรองตลอดคืน คาซีก็ออกจากห้องไปยังท่าเรือ ใจของเขาแสวงหาคนที่เข้าใจ คนที่บอกความลับให้เขาฟัง และอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียดราวกับเป็นผู้ใหญ่เสมอกันเช่นฟิลัน แต่บริเวณที่เคยจอดเรือดาอีไว้กลับว่างเปล่า ดูเหมือนคนทำน้ำตาลจะออกเรือไปทางใต้อย่างที่เขาบอกแต่เช้ามืดแล้ว ถึงอย่างนั้นคาซีก็ยังคงรออยู่ที่ท่าจนกระทั่งเย็นค่ำ และเห็นหัวเรือที่สลักคำว่าดาอีเบนเข้ามา

    "เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่" คนทำน้ำตาลถาม เมื่อคาซีไม่ตอบ ฟิลันจึงเรียกให้เขาขึ้นเรือ บอกว่าได้ดอกไม้มากมายจากเมืองทางใต้ ดอกไม้สีสวยๆ เช่นสีฟ้าและสีเหลืองซึ่งต้องต่อราคาเสียแทบตายกว่าจะซื้อมาได้

    "ข้าเคยได้ยินว่าพวกทำน้ำหอมจะเอาดอกไม้แบบนี้ไปต้ม" เขาว่า "คั้นหัวน้ำหอมออกมาเสียจนเหี่ยวแห้งกลายเป็นสีเทา ...น่าเสียดายสีมันจะตายไป หรือว่าอย่างไร"

    คาซีช่วยคนทำน้ำตาลนำดอกไม้นั้นไปบด เมื่อบดและคั้นแล้วก็ได้สีต่างๆ ตามสีกลีบดอกไม้ คนทำน้ำตาลเอาหัวเชื้อสีดังกล่าวใส่หม้อ แล้วเทน้ำตาลกรวดที่ขัดเป็นพิเศษจนขาวแล้วตามลงไป หลังจากนั้นก็นั่งเคี่ยว ระวังไม่ให้มันไหม้ เมื่อสีของดอกไม้เข้ากับน้ำตาลแล้วจึงเทลงในพิมพ์ ฟิลันว่าน้ำตาลชนิดนี้เหลวเร็วและแข็งเร็ว พอถึงพรุ่งนี้มันก็จะเป็นน้ำตาลแท่งทันเวลาเปิดงาน

    ฟิลันไม่ได้ถามคาซีเรื่องทางบ้าน ไม่ได้ถามว่าทำไมเขาจึงไม่กลับบ้านและมีอะไรเกิดขึ้น เขาเพียงแต่นั่งอยู่กับเด็กชายเงียบๆ เฝ้าดูน้ำตาลไม่ให้ไหม้ กลิ่นหวานๆ ของน้ำตาลเคี่ยวอบอวลไปในห้องท้องเรือ ส่วนเจ้าหนูหนวดไฟก็นอนหลับใหลทั้งขนแดงเป็นเปลวข้างหม้อ ท่าทางมีความสุขดี ทำให้คาซีอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมไฟของมันจึงไม่ไหม้ท้องเรือเป็นรูไปด้วย

    ความคับแค้นในอกของเด็กชายไม่ได้หายไป แต่มันค่อยๆ เย็นลง...เหมือนกับน้ำตาล

     

    หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา คาซีก็จัดตารางชีวิตของตนอย่างชาญฉลาด เขาตรวจสอบเวลาที่พี่จะกลับจากเวรและพยายามไปปรากฏตัวที่ห้องในเวลานั้นเสมอ ส่วนเวลาอื่นๆ ที่พี่ไม่อยู่ เด็กชายจะไปยังงานเทศกาลหรือไม่ก็ท่าเรือ ค้นหาคนทำน้ำตาลแปลกประหลาดชื่อฟิลัน และใช้เวลาส่วนใหญ่ช่วยเขาทำงาน

    ฟิลันไม่เคยถามเด็กชายว่าเป็นใครมาจากไหน เหตุใดจึงมักมาเยี่ยมเยียนตน ไม่ถามว่าเหตุใดคาซีแต่งตัวดีราวกับลูกขุนนางหรือพ่อค้าชั้นดีเช่นนี้จึงไม่ไปเรียนหนังสือ จะเป็นเพราะอะไรไม่ทราบ แต่คนทำน้ำตาลเคารพในความเป็นส่วนตัวของเด็กชาย สิ่งที่ฟิลันพูดจึงมีแต่เรื่องเล่าสนุกๆ หรือความรู้เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับอาชีพคนทำน้ำตาลและเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ

    อันที่จริงแล้ว ยิ่งทีคาซีก็ยิ่งรู้สึกได้เช่นกันว่าฟิลันเป็นคนลึกลับและมีบรรยากาศลึกลับอยู่รอบตัว ทำไมเขาจึงเลี้ยงสัตว์ภูตอย่างเจ้าหนวดไฟ ทำไมจึงกล้าคุยกับพวกคนใช้เวทมนตร์น่ากลัว นอกจากนั้นยังมีมือของเขาอีกเล่า คาซีเพิ่งสังเกตเห็นหลังจากวันที่สองที่พบฟิลัน ว่าที่เขาบอกพี่ว่าฟิลันไม่มีตำหนินั้นไม่จริง มือของฟิลันถ้าดูใกล้ๆ จะเห็นว่ามีแต่แผลเป็น ผิวหนังแทบไม่มีที่เรียบเลยสักจุดเดียว จะว่าเขาเป็นอย่างนั้นเพราะอาชีพคนทำน้ำตาลก็ไม่ใช่ คาซีเคยแตะน้ำตาลที่ละลายบนแผ่นโลหะ มันร้อนจริง แต่ไม่ควรร้อนจนทำให้มือเป็นแผลมากมายอย่างนั้นเลย

    แต่คาซีก็ไม่ได้ถามอะไรฟิลัน เขารู้สึกว่าการที่คนทำน้ำตาลไม่ได้บังคับให้เขาอ่านเขียนหรืออยู่ในกฎระเบียบ ไม่บอกให้เขาทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ไม่ดูถูกว่าเขาโง่ หรือหัวเราะเยาะที่พูดติดอ่าง ทั้งยังยอมรับว่าเขาเป็นมนุษย์มีตัวตนก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากอยู่แล้ว เด็กชายกลัวว่าถ้าถามอะไรเกี่ยวกับตัวฟิลันออกไป เวทมนตร์ทั้งหลายจะจางหาย และเขาก็จะต้องกลับไปเป็นคนไร้ค่าโง่เง่าที่ไม่มีใครต้องการเช่นเดิม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×