ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Black flower

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง... ดอกไม้ เมแลนโธส...เมแลนท์

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 54


    บทที่หนึ่ง

    ดอกไม้ เมแลนโธส...เมแลนท์

     

    ข้าคิดว่าได้ก้าวข้ามออกจากกรง

    แต่กาลต่อมากลับประจักษ์ว่า

    ข้าเพียงแต่เหยียบย่างเข้าไปสู่กรงขังที่ใหญ่กว่าเดิม กรงขังที่มิอาจก้าวข้ามออกไปได้

    กรงขังที่มิอาจก้าวข้ามออกไปได้นี้มีชื่อว่าความเคียดแค้น

    -เมแลนท์-

     

    ดอกไม้เดินโซเซ ก้าวข้ามออกจากกรงที่พังพินาศ

    ในตอนแรกเขายังคงงุนงงสับสนอยู่บ้าง ด้วยไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ไหน แต่ดอกไม้ก็กลุ้มใจอยู่ไม่นาน เขาเริ่มสาวเท้า ก้าวไปยังทิศทางเพียงหนึ่งเดียวที่เขารู้จักอย่างเชื่องช้า นั่นก็คือบ้านของเขา ถิ่นที่อยู่ของต้นไม้

    เขาก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเพราะจุกท้องจนแทบทนไม่ไหว ในตอนที่เสียสติคลุ้มคลั่งเขาดื่มเลือดไปไม่น้อย มันไม่เหมือนน้ำที่เขาเคยดื่ม เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจึงรู้สึกแปลกๆ มิหนำซ้ำเขาคงดื่มมากเกินไปด้วย

    เดินไปสักพักก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งไล่ตามมาจากด้านหลัง ดอกไม้หยุดเดิน หันกลับไปดูพวกเขา

    มาถึงตอนนี้ดอกไม้รู้จักพวกมนุษย์แล้ว แต่มนุษย์พวกนี้กลับขี่อยู่บนตัวของสัตว์ชนิดหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพวกมนุษย์นั่งอยู่บนตัวสัตว์

    แม้ในตอนแรกเขาจะรู้สึกสงสัยว่าทำไมมนุษย์พวกนี้ไม่เดินด้วยเท้าตนเอง กลับต้องขี่อยู่บนตัวสัตว์ แต่หลังจากสังเกตดูแล้วเขาก็พอจะเข้าใจว่าคงเป็นเพราะสัตว์ป่าวิ่งเร็วกว่าคน อีกทั้งสัตว์บางชนิดยังแบกหามสิ่งของที่หนักอึ้งได้

    คนที่นั่งอยู่บนตัวสัตว์สวมใส่ก้อนหินที่หนามากชิ้นหนึ่ง ดอกไม้ไม่เคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อน ไม่ค่อยแน่ใจว่าแท้จริงแล้วสิ่งนั้นคืออะไร จึงได้แต่ถือเอาว่าเป็นก้อนหิน

    นอกจากจะสวมใส่ก้อนหิน ในมือของคนก็ยังถือก้อนหินที่มีรูปทรงแตกต่างกันไป

    มันส่องแสงวาววับ น่ามองยิ่งนัก คงจะเป็นเครื่องประดับ ดอกไม้คิดเช่นนั้น

    คนเหล่านั้นกระโดดลงมาจากตัวสัตว์ เดินเข้ามาอย่างระมัดระวังจนเหลือระยะห่างประมาณหนึ่งเมตรก็แยกกันโอบล้อมดอกไม้เอาไว้ ซ้ำยังยกก้อนหินวาววับในมือชูขึ้น ชี้ปลายแหลมมาทางดอกไม้

    ดอกไม้เอียงศีรษะมองดูพวกเขา เขาคิดว่าคนพวกนี้คงต้องการจะจับเขาไปขังไว้ในกรง

    มนุษย์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาในวงล้อมอย่างช้าๆ ดอกไม้ถูกการกระทำของเขาดึงดูดความสนใจ จึงจ้องมองเขาไม่วางตา คนผู้นั้นเดินตรงเข้ามาใกล้ดอกไม้ เมื่อห่างประมาณสามก้าวก็หยุดเดิน

    คนผู้นี้ตัวสูงมาก ดอกไม้ต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะมองเห็นใบหน้าของเขา เมื่อคนผู้นั้นก้มลงมามองหน้าของดอกไม้เขาก็หยุดนิ่งไม่ไหวติงอยู่ครู่ใหญ่ และแล้วในทันใดเขาก็เก็บซ่อนก้อนหินวาววับที่ถืออยู่ในมือ ถอดสิ่งของชิ้นใหญ่ที่พาดอยู่บนไหล่และลู่ลงไปด้านหลังออก

    ดอกไม้พอที่จะรู้จักของสิ่งนี้อยู่บ้าง พวกมนุษย์ทุกคนต่างก็ถูกสิ่งของชนิดนี้ห่อหุ้มเอาไว้ เพียงแต่สิ่งที่ห่อหุ้มบนร่างกายของคนแต่ละคนนั้นมีลักษณะภายนอกที่ไม่เหมือนกัน เหมือนดังเช่นกลีบของดอกไม้ต่างชนิดกันย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา

    ในเวลานี้ดอกไม้พลันนึกขึ้นมาได้ว่าชนเผ่าใบไม้ก็ใช้สิ่งของมาห่อหุ้มร่างกายด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่พวกเขาใช้เป็นใบไม้หลากชนิดใบใหญ่ๆ รวมทั้งขนสัตว์หรือขนนก จากนั้นก็เอาเถาวัลย์มามัดไว้ที่เอว บางทีก็ยังเอาดอกไม้หรือก้อนหินที่สวยงามทั้งหลายมาร้อยเป็นพวงเพื่อสวมใส่

    แต่สิ่งของที่ใช้ห่อหุ้มพวกมนุษย์กลับไม่ใช่ใบไม้ ดอกไม้ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วสิ่งของนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร จึงได้แต่ถือเอาว่าพวกมันเป็นกลีบดอกไม้

    จากนั้นเขาก็นำกลีบดอกไม้มาคลุมลงบนร่างของดอกไม้ มัดกลีบดอกไม้อย่างระมัดระวัง และสังเกตอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง จนกระทั่งแน่ใจว่ากลีบดอกไม้ได้ติดอยู่บนร่างของดอกไม้อย่างแน่นหนาและจะไม่ลื่นหลุดไป

    ดอกไม้รู้สึกประหลาดใจ ของสิ่งนี้อ่อนนุ่มมากเหมือนกับกลีบดอกไม้จริงๆ บางทีอาจจะเป็นกลีบของดอกไม้ที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้

    แต่ทว่าดอกไม้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกลีบดอกไม้กันได้ หากของสิ่งนี้เป็นกลีบดอกไม้จริง ดอกไม้ก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรคนผู้นี้จึงต้องนำกลีบดอกไม้ของเขามาไว้บนร่างของตน

    ในตอนนี้คนเปิดปากออก เกิดเสียงพรั่งพรูออกจากปาก แต่ดอกไม้ฟังไม่เข้าใจจึงไม่ได้ตอบโต้ ได้แต่ลูบคลำกลีบดอกไม้บนร่างของตน เขาชอบผิวสัมผัสของกลีบดอกไม้นี้มาก

    เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็เกาศีรษะ ดูไปแล้วท่าทางเหมือนจะปวดหัวมาก จากนั้นเขาก็ชี้มือไปที่ตนเอง ออกเสียงพูดต่อกันไม่หยุด “วอร์ ออนน์ พาลาดีน วอร์ ออนน์ พาลาดีน...

    ดอกไม้เข้าใจแล้ว คนผู้นี้คือวอร์ ออนน์ พาลาดีน

    “วอร์ ออนน์ พาลาดีน” ดอกไม้ท่องชื่อของคนผู้นั้น แล้วก็เลียนแบบเขาชี้ไปที่ตนเอง ใช้ภาษาของชนเผ่าใบไม้พูด “แอนโธส* พูดเสร็จแล้วเขาคิดอีกที แล้วจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “เมแลนโธส**

    ดอกไม้ที่ชะตาลิขิตให้ถูกทอดทิ้งไม่มีใครตั้งชื่อให้ เขาจึงรู้เพียงสถานะและเพศของตนเท่านั้น

    การแบ่งแยกเพศของดอกไม้กับเผ่าพันธุ์อื่นนั้นแตกต่างกันมาก หากมองเพียงภายนอก ตามความจริงดอกไม้เพศผู้และดอกไม้เพศเมียไม่แตกต่างกันมากนัก พวกเขาต่างไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์เหมือนกัน ไม่มีทรวงอกและหัวนม นอกจากเส้นผมบนศีรษะแล้วก็ไม่มีเส้นขนอื่นใดทั้งนั้น

    แต่ทว่าโดยปกติรูปร่างของดอกไม้เพศเมียจะแข็งแรงกว่าดอกไม้เพศผู้ เพราะพวกเธอจะต้องเลี้ยงดูบุตรให้เติบใหญ่

    ตามวิธีแห่งธรรมชาตินั้น การดำรงไว้ซึ่งทายาทผู้สืบเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเพศเมียที่ต้องให้กำเนิดทายาทจึงมักจะเป็นฝ่ายที่แข็งแรงกว่า

    วอร์ ออนน์ พาลาดีนขมวดคิ้ว ลองพูดภาษาของดอกไม้ “เมแลนท์?

    ดอกไม้เอียงศีรษะ ไม่ได้ปฏิเสธวิธีการเรียกของเขา เขารู้ว่าภาษาของสองฝ่ายไม่เหมือนกัน จะให้ออกเสียงเหมือนกันทั้งหมดนั้นเป็นไปได้ยาก ที่เขาพูดออกไปว่า “วอร์ ออนน์ พาลาดีน” ก็ไม่แน่ว่าจะออกเสียงได้อย่างถูกต้อง

    วอร์ ออนน์ พาลาดีนพูดบางอย่างออกมาอีก เมื่อเห็นว่าดอกไม้ไม่ตอบสนองใดๆ เขาก็ตรงเข้ามาอุ้มดอกไม้ จากนั้นก็เดินกลับไปยังสัตว์ที่เขาโดยสารมา

    ทีแรกดอกไม้สะดุ้งตกใจ เมื่อวอร์ ออนน์ พาลาดีนนำเขาไปวางไว้บนตัวสัตว์ เขาก็เริ่มลูบตัวสัตว์ด้วยความแปลกใจ จากนั้นวอร์ ออนน์ พาลาดีนก็ขึ้นมานั่งอยู่บนตัวสัตว์ด้วย เขาก็ลูบตัวสัตว์เช่นกัน จากนั้นก็ดึงเชือกบนตัวสัตว์ ทำให้มันวิ่งทะยานออกไป

    ดอกไม้หันกลับไปมองทิศทางที่มุ่งไปสู่ต้นไม้หลายครั้ง และรู้ว่าสัตว์ตัวนั้นพาเขาไปยังทิศทางตรงกันข้าม เขามองวอร์ ออนน์ พาลาดีนซึ่งส่งยิ้มให้เขาหลายครั้ง ก่อนจะพูดถ้อยคำที่เขาไม่เข้าใจ คำสุดท้ายคือ “เมแลนท์”

    รอยยิ้มและมิตรไมตรีที่สื่อออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนของวอร์ ออนน์ พาลาดีนทำให้ดอกไม้ไม่กระโดดลงไป สำหรับดอกไม้ที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นเวลาถึงสิบห้าปี รอยยิ้มและมิตรไมตรีย่อมมีพลังดึงดูดใจมากกว่าชนเผ่าใบไม้ที่จากไปและต้นไม้ที่ไร้ซึ่งชีวิต

    สัตว์ที่อยู่ใต้ร่างวิ่งเร็วมาก ไม่นานนักดอกไม้ก็พบว่าตนเองได้กลับมาสู่หมู่บ้านแห่งนั้นอีกครั้ง หมู่บ้านที่ถูกเขาทำลายจนพังพินาศย่อยยับแห่งนั้น

    กลิ่นสนิมเหล็กคาวคลุ้งอบอวลอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นที่เคยทำให้ดอกไม้พะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียน สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือมีกลิ่นบูดเน่าเพิ่มเข้ามาอีก ดอกไม้ทนไม่ไหว เขากระโดดลงจากสัตว์ที่วิ่งฉิว แรงเหวี่ยงที่รุนแรงจนหยุดไม่อยู่ทำให้เขากลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้นหลายตลบ

    เมื่อหยุดกลิ้งเขาก็ลงนั่งยองๆ ที่ริมทางและเริ่มอาเจียน แต่กลับไม่มีอะไรออกมา... ก็เลือดที่ดื่มเข้าไปเมื่อหลายวันก่อนนั้นจะสำรอกออกมาได้อย่างไรเล่า

    ในตอนนั้นเองวอร์ ออนน์ พาลาดีนเดินมาข้างหลังดอกไม้ เห็นได้ชัดว่าเขาร้อนรนกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย ในระหว่างที่ยังนึกไม่ออกว่าควรทำเช่นไร เขาจึงทำได้แค่สำรวจดูว่าดอกไม้บาดเจ็บหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บหนักหนาอะไรเขาก็ตบลงบนหลังของดอกไม้ หวังจะช่วยให้ดอกไม้รู้สึกดีขึ้นบ้าง

    การกระทำเช่นนั้นทำให้ดอกไม้รู้สึกดีขึ้นบ้างจริงๆ เขาหยุดอาเจียน หันกลับไปมองวอร์ ออนน์ พาลาดีน อยากจะให้เขาแย้มยิ้มให้ตนอีกสักครั้ง

    แต่เขาไม่ได้ยิ้ม เอาแต่ขมวดคิ้วมองดูดอกไม้ด้วยสีหน้าเป็นกังวลยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ดอกไม้กลับรู้สึกดีขึ้นมาก

    เห็นว่าดอกไม้ไม่อาเจียนแล้ว วอร์ ออนน์ พาลาดีนจึงอุ้มเขาขึ้นมา สาวเท้ายาวๆ ก้าวไปข้างหน้า

    เวลานั้นดอกไม้บังเกิดความสนใจในสิ่งรอบข้าง ทั่วหมู่บ้านพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย และมีสิ่งของที่เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเยอะแยะไปหมด

    ในคณะละครสัตว์ก็มีสิ่งของที่เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเช่นนี้มากมาย ทุกครั้งที่คณะละครสัตว์โยกย้ายไปยังสถานที่แห่งใหม่ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือจัดตั้งสิ่งของที่มีรูปทรงสามเหลี่ยมนี้ อันที่ใหญ่มากๆ ก็มี ใหญ่ขนาดที่ให้ผู้คนจำนวนมากเข้าไปได้อย่างไม่ขาดสาย อันที่เล็กๆ ก็มี เล็กขนาดที่ตั้งวางกรงขังเขาได้แค่กรงเดียวและเหลือช่องว่างเล็กน้อยสำหรับให้คนเข้ามาดูเขาได้เท่านั้น

    ในตอนนั้นดอกไม้ต้องใช้เวลานานมากถึงจะรู้ว่าพวกมนุษย์ใช้สิ่งของรูปทรงสามเหลี่ยมนี้ทำเป็นบ้านที่สามารถเคลื่อนย้ายพกพาไปด้วยได้

    วอร์ ออนน์ พาลาดีนพาเขาเข้าไปในรูปทรงสามเหลี่ยมหลังหนึ่ง รูปทรงสามเหลี่ยมนี้เล็กจนแม้แต่กรงที่เคยใช้ขังดอกไม้ก็ใส่เข้าไปไม่ได้

    ขณะที่พวกเขาเข้าไป ในรูปทรงสามเหลี่ยมมีคนอยู่แล้วคนหนึ่ง วอร์ ออนน์ พาลาดีนพูดกับคนผู้นั้นหลายคำแล้วจึงวางดอกไม้ลง แย้มยิ้มให้ดอกไม้แล้วก็เดินออกไป

    ดอกไม้มองวอร์ ออนน์ พาลาดีนจากไป รู้สึกเศร้าเสียใจอยู่บ้าง ถึงแม้นี่จะไม่ใช่การถูกทอดทิ้งครั้งแรกก็ตาม

    ตอนนี้เอง ฉับพลันคนที่ยังอยู่ก็ลูบศีรษะของดอกไม้ เมื่อดอกไม้หันไปมอง คนผู้นี้ก็ทำเหมือนกับวอร์ ออนน์ พาลาดีน เธอชี้ไปที่ตนเอง จากนั้นก็พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “มีร่า”

    หลังจากนั้นเธอชี้ไปที่ดอกไม้ “เมแลนท์” แล้วก็ชี้ไปที่ตนเอง “มีร่า”

    ดอกไม้เข้าใจแล้ว คนผู้นี้ต้องการให้ตนเอ่ยปากพูดชื่อของเธอ ดอกไม้ชี้ไปยังคนผู้นั้น “มีร่า”

    เขาพูดจบ คนผู้นั้นก็เผยยิ้มกว้างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสเจิดจ้า ดอกไม้เห็นรอยยิ้มนั้นก็ยิ้มตามไปด้วย

    ขณะนั้นคนสองคนได้เดินเข้ามา พวกเขาหาบถังที่ใส่น้ำร้อนจนเต็มปริ่มเข้ามาด้วย เมื่อวางถังลงแล้วก็เดินออกไป

    จากนั้นมีร่าก็จูงมือดอกไม้ไปที่ข้างถังน้ำ ใช้มือวักน้ำในถังสองสามครั้ง

    ดอกไม้งุนงงสับสน มีร่าจะให้ตนดื่มน้ำหรือ แต่หลายวันก่อนเขาดื่มจนอิ่มมากเกินไปจึงยังไม่อยากดื่มอะไร และเขาก็ไม่ชอบดื่มน้ำร้อนด้วย ยิ่งน้ำถังใหญ่ขนาดนี้ยิ่งไม่อยากดื่ม ถังใบนี้เอาตัวของเขาใส่ลงไปได้ทั้งตัวเลยทีเดียว

    มีร่าดันร่างของดอกไม้และชี้ไปที่ถังน้ำ

    ดอกไม้พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง มีร่าจะให้ตนเข้าไปในถังน้ำหรือ

    ดอกไม้ไม่ชอบน้ำร้อน แต่ทว่าเขาไม่อยากให้มีร่าที่มอบรอยยิ้มให้ตนเองต้องผิดหวัง ดังนั้นเขาจึงก้าวเข้าไปในถังน้ำ พอก้าวลงไปแล้วมีร่าก็กดหัวไหล่ของเขา เมื่อเขานั่งลง น้ำร้อนก็เกือบจะท่วมถึงหัวไหล่ของดอกไม้เลยทีเดียว

    มีร่าดึงกลีบดอกไม้กลีบใหญ่ออกจากร่างของดอกไม้ จากนั้นก็หัวเราะตาหยี หยิบกลีบดอกไม้เล็กๆ กลีบหนึ่งมาเช็ดถูใบหน้าของดอกไม้ แล้วก็ยัดกลีบดอกไม้นั้นใส่ในมือของดอกไม้

    ดอกไม้เข้าใจบ้างแล้ว หลังจากมีร่าใช้กลีบดอกไม้เช็ดถูใบหน้าของเขา กลิ่นที่เหม็นคาวบนใบหน้าก็เหมือนจะจางหายไป ถ้าเช่นนั้นน้ำกับกลีบดอกไม้คงทำให้กลิ่นเหม็นบนร่างกายของตนหายไปได้!

    เมื่อเข้าใจดีแล้วเขาก็รีบใช้กลีบดอกไม้เช็ดถูเส้นผมของตนซึ่งเป็นส่วนที่เหม็นที่สุด เมื่อมีร่าเห็นการกระทำของดอกไม้ก็รู้ว่าเขาเข้าใจดีแล้ว จึงหัวเราะออกมาแล้วก็ออกเดินไป

    ดอกไม้มองเห็นมีร่าจะเดินออกไปพลันหยุดเช็ดถูเส้นผม ร้องตะโกน “มีร่า!

    เมื่อมีร่าหันกลับมา เธอมองดูดอกไม้ด้วยท่าทางประหลาดใจ แต่ยังมีรอยยิ้มแตะแต้มบนใบหน้า ในเวลานี้ดอกไม้นึกรู้ขึ้นมาว่าทั้งวอร์ ออนน์ พาลาดีนและมีร่า พวกเขาไม่ได้จะทอดทิ้งตนไป แต่จากไปแค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

    มีร่าเดินมาข้างถังน้ำ ขยี้เส้นผมของดอกไม้ อีกทั้งยังเอ่ยถ้อยคำมากมาย ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าดอกไม้ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงพูดกับเขาอย่างยืดยาวด้วยน้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน จากนั้นจึงค่อยผละไป

    เมื่อรู้ว่ามีร่ากับวอร์ ออนน์ พาลาดีนต่างก็จะกลับมา ดอกไม้ก็ใช้กลีบดอกไม้เช็ดถูร่างกายด้วยความสบายใจ แม้น้ำจะร้อนก็ไม่รู้สึกรังเกียจรังงอนอะไรนัก

    ผ่านไปไม่นานนักมีร่าก็กลับมาจริงๆ อีกทั้งยังถือกลีบดอกไม้ที่พับซ้อนกันมาด้วย จากนั้นก็ยื่นกลีบดอกไม้เหล่านั้นมาทางดอกไม้ พูดอะไรออกมาหลายคำ

    ดอกไม้มองดูกลีบดอกไม้เหล่านั้นแล้วก็เงยหน้ามองมีร่า

    มีร่าพูดออกมาอีกและคลี่กางกลีบดอกไม้ออก ชี้ไปที่ร่างของตนเอง แต่เมื่อเห็นว่าดอกไม้ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแม้แต่น้อย เธอก็ได้แต่ฝืนยิ้มและเอากลีบดอกไม้มาสวมใส่ทีละกลีบ จากนั้นก็ถอดออก ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง เธอสาธิตให้ดอกไม้ดูอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย

    ดอกไม้มองดูการกระทำของมีร่าด้วยความประหลาดใจ มีร่าใส่แล้วถอด ถอดแล้วใส่กลีบดอกไม้ทีละกลีบๆ ไม่หยุดหย่อน เริ่มต้นด้วยกลีบดอกไม้กลีบเล็กๆ สองกลีบ แต่ละกลีบสวมเข้ากับร่างกายท่อนบนและท่อนล่าง ต่อมาก็หยิบกลีบดอกไม้กลีบใหญ่ขึ้นมาสวมจากบนศีรษะและดึงลงไป ห่อหุ้มร่างกายตั้งแต่ส่วนคอจรดหัวเข่า

    ดอกไม้เข้าใจแล้ว เขายืนขึ้นจากถังน้ำ รู้สึกอยากจะสวมใส่กลีบดอกไม้ที่อ่อนนุ่มชนิดนี้ แต่ยังไม่ทันหยิบกลีบดอกไม้มาใส่ มีร่าก็หันกลับไปหยิบกลีบดอกไม้กลีบใหญ่มากลีบหนึ่ง จากนั้นก็เช็ดถูขึ้นๆ ลงๆ บนร่างกายที่เปียกชื้นของดอกไม้

    หยดน้ำบนร่างของดอกไม้ถูกกลีบดอกไม้ดูดซับจนแห้ง แล้วเขาก็ถูกมีร่าดึงออกมาจากถังน้ำ มีร่าแย้มยิ้มให้เขา จากนั้นก็ยัดกลีบดอกไม้มาไว้ในมือของดอกไม้และหันหลังไป ไม่มองดูดอกไม้อีก

    ดอกไม้เลียนแบบการกระทำเมื่อครู่ของมีร่า เอากลีบดอกไม้สวมใส่ลงบนร่างกาย เริ่มด้วยกลีบดอกไม้สีขาวกลีบเล็กๆ ที่มีรูเล็กๆ อยู่สองรู เอาขาใส่เข้าไปรูละข้างแล้วดึงขึ้นมาให้ถึงเอว ต่อไปก็เป็นกลีบดอกไม้ที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ใส่จากบนศีรษะลงไป แล้วก็ยื่นแขนออกจากรูที่อยู่ด้านข้าง สุดท้ายเป็นกลีบดอกไม้สีน้ำเงินกลีบใหญ่ที่สุด สวมจากศีรษะเช่นกัน แล้วก็ยื่นแขนออกมาจากรูที่อยู่ด้านข้างอีกเช่นกัน ที่ไม่เหมือนกับกลีบดอกไม้สีขาวก็คือกลีบดอกไม้กลีบนี้ใหญ่มาก คลุมลงไปจนถึงเข่าของดอกไม้

    หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วดอกไม้ก็รีบฉุดดึงตัวมีร่าด้วยความตื่นเต้นดีใจ อยากจะให้เธอมองดูตนเองที่สวมกลีบดอกไม้เรียบร้อยแล้ว

    มีร่าหันกลับมา เธอยิ้มและลูบศีรษะของดอกไม้ ดอกไม้รีบหลบเลี่ยง เพราะรู้สึกว่าการลูบเส้นผมนั้นออกจะใกล้ชิดกันมากเกินไป ทำให้เขารู้สึกประหม่า

    เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอก มีร่าตะโกนตอบออกไป จากนั้นวอร์ ออนน์ พาลาดีนก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นดอกไม้ก็ชะงักงัน จากนั้นค่อยยิ้มออกมา

    ดอกไม้เลียนแบบเขา แยกเขี้ยวยิงฟันเผยรอยยิ้มบ้าง ส่งผลให้วอร์ ออนน์ พาลาดีนยิ่งยิ้มกว้างอย่างเต็มที่ เขาเดินมาข้างหน้า ยื่นสิ่งของที่อ่อนนุ่มก้อนหนึ่งให้ดอกไม้ สีสันของมันคล้ายกับดินเหนียว

    ดอกไม้รับมาดมๆ ดูก็พบว่ามันทั้งหอมทั้งนุ่ม อดสงสัยไม่ได้ว่านี่ก็เป็นกลีบดอกไม้ด้วยหรือไม่ แต่เขาไม่เคยเห็นกลีบดอกไม้ที่มีสีสันเหมือนกับดินเหนียวมาก่อน จึงรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

    มีร่าและวอร์ ออนน์ พาลาดีนพูดคุยกัน แต่ดอกไม้ฟังไม่รู้เรื่อง จึงจับกลีบดอกไม้สีดินขึ้นมาเล่น

    มีร่าหันกลับมา คว้ากลีบดอกไม้ไป แล้วก็ฉีกออกไปส่วนหนึ่ง

    “อ๊ะ!” ดอกไม้ร้องด้วยความตื่นตกใจ กลีบดอกไม้ถูกฉีกขาดไปแล้ว

    มีร่าเอาเศษชิ้นส่วนที่ขาดออกยัดเข้ามาในปากของดอกไม้ ยิ่งทำให้ดอกไม้ประหลาดใจ เขาอมกลีบดอกไม้ไว้ ไม่เข้าใจว่าทำไมมีร่าต้องยัดกลีบดอกไม้เข้ามาในปากของตน

    มีร่าหัวเราะ แล้วก็หันกลับไปพูดคุยกับวอร์ ออนน์ พาลาดีนอีกครั้ง

    ดอกไม้ได้ยินถ้อยคำที่มีร่าเอ่ย ในข้อความนั้นมีถ้อยคำที่ออกเสียงคุ้นหูตน ออนน์...แต่มีเพียงคำว่าออนน์เท่านั้น มีร่าไม่ได้พูดว่าวอร์ ออนน์ พาลาดีน

    “ออนน์” ดอกไม้มองวอร์ ออนน์ พาลาดีน สับสนอยู่ในใจว่าที่จริงแล้วเขาชื่อ วอร์ ออนน์ พาลาดีน หรือว่า ออนน์ กันแน่

    เมื่อวอร์ ออนน์ พาลาดีนได้ยินก็หันกลับมา ยิ้มแย้มตอบกลับว่า “เมแลนท์...

    อันที่จริงต่อจากนั้นเขายังพูดอะไรอีกหลายคำ แต่ดอกไม้ฟังไม่ออก ดังนั้นเขาจึงได้แต่ชี้ไปที่วอร์ ออนน์ พาลาดีน เอ่ยถาม “ออนน์?

    วอร์ ออนน์ พาลาดีนพยักหน้าและชี้มาที่ดอกไม้ “เมแลนท์” จากนั้นก็ชี้ที่ตัวเขาเอง “ออนน์”

    “ออนน์”

    ดอกไม้ทวนคำซ้ำอีกครั้ง ชี้ไปที่วอร์ ออนน์ พาลาดีน เขาออกจะชอบชื่อออนน์นี้มากกว่าชื่อเดิมเพราะสั้นกว่า แต่ออนน์กลับชอบเรียกเขาว่า เมแลนท์ ไม่ใช่ เมแลนโธส

    แม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่ออนน์ชอบเรียกคนอื่นสั้นๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาชอบก็ดีแล้ว!

    “เมแลนท์” ดอกไม้พยักหน้า เขาจำชื่อใหม่ของตนได้แล้ว เมแลนท์

    ออนน์ยิ้มให้เมแลนท์และพูดกับมีร่าต่อ

    ในระหว่างที่คนทั้งสองพูดคุยกัน พวกเขามักจะหันมามองเมแลนท์อยู่บ่อยๆ แต่เขากลับไม่ได้สนใจ เอาแต่เล่นอยู่กับกลีบดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือและที่สวมใส่อยู่บนร่างกาย แล้วก็พบว่าแท้ที่จริงแล้วของสองสิ่งนี้ไม่ใช่ของอย่างเดียวกัน

    หรือจะไม่ใช่กลีบดอกไม้นะ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกของสองสิ่งนี้ว่าอะไร จึงได้แต่เรียกพวกมันทั้งหมดว่ากลีบดอกไม้ต่อไป

    บางครั้งเมื่อเขารู้สึกประหลาดใจก็จะเงยหน้าขึ้นมองออนน์และมีร่า หากทั้งสองฝ่ายประสานสายตากัน ออนน์และมีร่าก็จะยิ้มให้เขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเงยหน้ามองคนทั้งสองบ่อยขึ้นเพื่อรอคอยการประสานสายตาครั้งต่อไป รอยยิ้มครั้งต่อไป

    แต่เดี๋ยวเดียวการพูดคุยของคนทั้งสองก็แล้วเสร็จ ออนน์ส่งยิ้มให้เมแลนท์อีกครั้งแล้วเดินจากไป

    มีร่าหันกลับมาและยื่นมือมาฉีกดึงกลีบดอกไม้ในมือของเมแลนท์ออกอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นก็ยัดเข้ามาในปากของเขา ส่งยิ้มให้เขา เอ่ยปากพูดสองสามคำ แล้วก็หันหลังตามออนน์ออกไป

    หลังจากมีร่าออกไป เมแลนท์ก็คายกลีบดอกไม้ที่อัดอยู่เต็มปากออกมา เหม่อมองไปยังทิศทางของต้นไม้ ถึงแม้เขาจะคิดถึงถิ่นที่ตั้งของต้นไม้อยู่บ้าง แต่ที่น่าแปลกก็คือความรู้สึกคิดถึงนั้นได้แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนในอดีต เป็นเหตุให้เขายังไม่อยากจากที่แห่งนี้ไป เมื่อเทียบกับต้นไม้แล้ว ตอนนี้เขาปรารถนาที่จะอยู่ข้างกายออนน์และมีร่าไปอีกสักพักมากกว่า

    แต่ทว่าอีกสักพักนั้นกลับล่วงเลยไปจนถึงหนึ่งเดือนแล้ว

    ในระหว่างนั้นเมแลนท์ใช้ชีวิตอยู่กับมีร่าตลอดเวลา มีร่าสอนภาษาของพวกมนุษย์ให้แก่เขาอยู่เป็นนิจ และเธอก็รู้สึกอัศจรรย์ใจมากเพราะเมแลนท์มีความจำที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม หากสอนเขาเพียงแค่ครั้งเดียวเมแลนท์ก็สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ

    เพียงแค่เดือนเดียวก็ดูเหมือนว่าเมแลนท์จะสามารถใช้ภาษาของมนุษย์เรียกชื่อสิ่งของทั้งหมดได้ เพียงแต่ยังพลิกแพลงใช้ภาษาสื่อสารกับผู้อื่นไม่ค่อยเป็นเท่านั้น

    บางครั้งบางคราวออนน์ก็มาเยี่ยมเมแลนท์ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะงานยุ่งมาก ต้องรีบมาและรีบไปอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งที่มาเขาก็ไม่ลืมที่จะนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาฝากเมแลนท์ โดยมากก็จะเป็นพวกขนมนมเนยต่างๆ

    เมแลนท์ไม่ได้กิน เขาเอาสิ่งของเหล่านั้นเก็บไว้ในกระเป๋าใบเล็กที่มีร่ามอบให้เขา บางทีก็หยิบขึ้นมาดมๆ ดู ถึงเขาจะไม่กินแต่ก็ชอบกลิ่นหอมของสิ่งเหล่านั้น

    ทุกวันมีร่าจะนำกลีบดอกไม้สีดินเหนียวมาให้เขา ไม่! มันคือขนมปังธัญพืช ตอนนี้เขารู้แล้วว่าของสิ่งนั้นเรียกว่าขนมปัง ขนมปังธัญพืชทำจากเมล็ดพืชที่บดให้เป็นแป้ง และใช้ไฟอบให้กลายเป็นอาหาร มันเป็นอาหารหลักของพวกมนุษย์

    ในตอนแรกเมแลนท์ไม่กินขนมปังธัญพืช แต่หลายวันต่อมามีร่าเอาขนมปังให้เขา จากนั้นก็ยืนรั้งรออยู่ข้างๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมกินขนมปัง หยาดน้ำตาก็เริ่มคลอหน่วย

    เมแลนท์เห็นน้ำตาของมีร่า ในที่สุดก็กัดลงไปบนขนมปัง พยายามกลืนมันลงคอ น้ำตาของมีร่าจึงแห้งหายกลายเป็นรอยยิ้ม แต่เธอก็ยังคงเฝ้าดูจนกระทั่งเขากินขนมปังหมดทั้งก้อน จึงค่อยวางใจเดินจากไป

    เมื่อมีร่าเดินลับตาไป เมแลนท์ก็รีบวิ่งไปยังสถานที่ซึ่งปราศจากผู้คน อาเจียนเอาขนมปังซึ่งอัดแน่นอยู่ในท้องที่ร่างกายไม่อาจย่อยสลายได้ออกมา ถึงแม้ว่าจะต้องกล้ำกลืนฝืนกินแล้วสำรอกออกมาสองมื้อต่อวัน ถึงแม้ว่าจะต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ถูกตนเองทำลายจนพินาศ ถึงแม้ว่าในอากาศจะคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

    แต่ทว่าเขาก็ยังไม่อยากจะจากไป

    “เมแลนท์?

    เมแลนท์หันไปมอง มีร่ากำลังรีบวิ่งมาอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่าเขาอาเจียนเต็มพื้นก็ร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา

    มีร่าตบหลังเมแลนท์เบาๆ ไต่ถามด้วยความห่วงใย “เป็นอะไร อาหารไม่ย่อยหรือ”

    เมแลนท์ส่ายหน้า

    “ไม่ชอบกินขนมปังหรือ” มีร่าซักถามอย่างไม่แน่ใจนัก

    เมแลนท์ยังคงส่ายหน้าอยู่เช่นเดิม เขาดื่มแค่น้ำเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะไม่ชอบกินขนมปัง

    มีร่าขมวดคิ้ว แต่พอเห็นว่าเมแลนท์กำลังจ้องเธอเขม็ง เธอก็รีบยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ พรุ่งนี้จะเอาอาหารอย่างอื่นมาให้กิน ดีไหม”

    เมแลนท์ยังคงส่ายหน้าอยู่เช่นเดิม เขาดื่มแต่น้ำ

    วันถัดมามีร่าก็นำซุปเนื้อและผักเต็มชามให้ ทว่าเส้นผมที่ยาวสลวยของเธอกลับอันตรธานหายไป คงเหลือเส้นผมยาวแค่ท้ายทอยเท่านั้น

    เมแลนท์มองศีรษะของมีร่าด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด เดิมทีมีร่ามีเส้นผมยาวสลวยเป็นลอนคลื่น มีสีสันดั่งดอกทานตะวัน สว่างไสวเจิดจ้ายิ่งนัก ยามเมื่อเขาตามมีร่าไปยังสถานที่ต่างๆ ก็จะเห็นผู้คนจับจ้องมองเส้นผมของมีร่าอยู่ตลอดเวลา

    “เมแลนท์ มาดื่มซุป” มีร่ายิ้มแย้มแจ่มใส ส่งชามซุปให้เขา

    เมแลนท์รับชามมาถือเอาไว้ นิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มกินอาหารโดยไม่อาเจียนออกมาเป็นครั้งแรก




    * แอนโธสแปลว่าดอกไม้

    ** เมลแปลว่าเพศผู้ เมแลนโธสจึงแปลว่าดอกไม้เพศผู้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×