ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้เสกทราย ภาค 1 น้ำตาลร้อยสี

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 52


    บทที่ 2

     

    ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดมาบนโลกนี้ บิดาของเขาตั้งชื่อลูกว่าคาซีมีร์ และรู้สึกพอใจว่าในที่สุดตนก็มีลูกคนที่สอง หลังจากต้องรอคอยมาเป็นเวลานาน

    พ่อของคาซีมีร์เกิดในตระกูลขุนนาง แต่ไม่ใช่ลูกคนโต ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ในมรดกอันเป็นที่ดินของบิดา ทว่าเขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ทั้งยังรักการผจญภัย เมื่อบิดาเสียชีวิต เขาก็รับทรัพย์ส่วนของตนและไปเป็นทหาร รบทัพจับศึกอยู่นานปีจนมีความดีความชอบมาก ในที่สุดเมื่อลาออกจากราชการแล้ว พระราชาจึงประทานที่ดินผืนหนึ่งให้เป็นบำเหน็จรางวัล

    ด้วยเหตุนี้เมื่อคาซีมีร์หรือที่คนทั้งปวงเรียกด้วยความรักใคร่ว่า คาซี เกิดมา ฐานะของพ่อเขาจึงจัดว่าอยู่ในขั้นดี และคนทั้งหลายก็ว่าเด็กคนนี้มีโชคนัก เพราะเกิดมาโดยมีพ่อแม่พร้อมหน้า อยู่ในความสุขสมบูรณ์

    พ่อในความทรงจำของคาซีเป็นชายผมแดงร่างใหญ่ หัวเราะเสียงดังและพอใจความสนุกสนาน สิ่งที่พ่อชอบทำที่สุดคืออุ้มเขาเหวี่ยงขึ้นสูงแล้วรับไว้ นอกจากนั้นคาซีก็จำได้ว่าพ่อเคยพาเขาไปงานฉลองครั้งหนึ่ง เด็กชายมองไม่เห็นอะไรเลยเพราะตัวเล็กเกินไป แต่เมื่อพ่ออุ้มขี่คอแล้วก็เห็นทุกอย่างชัดเจนทีเดียว

    ทว่าความทรงจำเกี่ยวกับพ่อก็สิ้นสุดลงเพียงนั้น เพราะท่านขุนนางผู้เป็นบิดาของคาซีเสียชีวิตเมื่อเขาอายุเพียงสามปี ตามกฎหมายของประเทศ เมื่อเจ้าที่ดินย่อยเสียชีวิตลง และทายาทของเขายังไม่บรรลุนิติภาวะ เจ้าเมืองที่เขตที่ดินนั้นอยู่จะต้องอุปการะคนในครอบครัวของผู้เสียชีวิต จนกว่าทายาทแท้จริงจะมีอายุครบเกณฑ์รับมรดกได้ และเจ้าเมืองเห็นว่าทายาทคนดังกล่าวมีคุณสมบัติเหมาะสม ขณะนั้นเคอร์รันพี่คนโตของคาซีอายุสิบปี ถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ ครอบครัวของเขาจึงต้องย้ายเข้าไปในเมือง และอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าเมือง

    อันที่จริงในเวลานั้นคาซีไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ทุกคนบอกว่าเขาเป็นเด็กฉลาด ใครสอนอะไรก็เข้าใจได้รวดเร็ว แม่อ่านโคลงกลอนยาวๆ ให้ฟังเพียงครั้งสองครั้งก็สามารถท่องตามได้แจ้วๆ โดยไม่มีที่ผิด คราวหนึ่งพี่เลี้ยงจูงมือเขาไปตลาด ในขณะที่คนขายกำลังรวมราคาสินค้าที่พี่เลี้ยงซื้ออยู่นั้น คาซีก็โพล่งผลสุดท้ายของราคาทั้งหมดออกมา ตอนแรกทุกคนนึกว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทว่าหลังจากมีผู้ทดลองบอกเลขจำนวนมากให้เขาคิดอีก เด็กชายก็ตอบผลของโจทย์เหล่านั้นได้ทุกข้อ ทำให้พี่เลี้ยงได้หน้าเป็นอันมาก ส่วนคาซีก็ได้ขนมกิน

    ด้วยเหตุนี้เมื่อคาซีอายุห้าปีและเริ่มเรียนหนังสือ ทุกคนจึงคาดหวังว่าเขาจะเรียนเร็วกว่าเด็กทั่วไป จะต้องเป็น คนฉลาดของชั้น และต่อไปจะต้องประสบความสำเร็จ ไม่มีใครคิดเลยว่าเมื่อผ่านไปได้สามเดือนแล้ว คาซีแสนฉลาดจะไม่สามารถอ่านหนังสือได้เลยแม้สักตัวเดียว และรั้งท้ายเพื่อนทุกๆ คนในชั้นมากเสียจนน่าสงสาร

    ในตอนแรกทุกคนรวมทั้งครูคิดว่าเขาแกล้ง เพราะกิตติศัพท์ความฉลาดเมื่อเยาว์วัยของคาซีนั้นมีมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกลงโทษว่าไม่ตั้งใจเรียน แต่ครั้นเวลาผ่านไป ความก็ปรากฏว่าคาซีไม่สามารถอ่านหนังสือได้จริงๆ เด็กชายพยายามอย่างหนักแล้ว เขาฟังทุกๆ คำที่ครูพูดและตั้งใจยิ่งกว่าใครๆ ในชั้น ทว่าตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นก็ยังคงเป็นปริศนา และเขาไม่สามารถทำให้มันเกิดความหมายใดขึ้นมาได้เลย

    เด็กชายอ่านหนังสือไม่ได้ เขียนหนังสือก็ไม่ได้ เมื่อถึงเวลาสอนคิดเลข ครูก็เข้าใจว่าอย่างน้อยคาซีคงเก่งเรื่องนี้ตามชื่อเสียงที่มีมา ทว่าเมื่อเขาถูกเรียกให้ออกไปข้างหน้าทำโจทย์เลขให้เพื่อนดู คาซีกลับบอกได้แต่เพียงคำตอบของโจทย์ เขาไม่อาจเข้าใจวิธีหาคำตอบนั้น และไม่สามารถบอกได้ว่าได้คำตอบมาอย่างไร ครูผิดหวังเป็นอันมาก หลังจากนั้นไม่นานก็ตราหน้าว่าเขาเป็นเด็กโง่ และเลิกสนใจเด็กชายไปโดยสิ้นเชิง

    แน่ล่ะ เมื่อเรียนช้ากว่าใคร ทั้งยังไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย คาซีย่อมรู้สึกต่ำต้อยเป็นอันมาก เพื่อนๆ ในชั้นเดียวกันก็รู้สึกว่าเขาต่ำต้อยด้วย ดังนั้นคาซีจึงมักถูกรังแก เขาเริ่มไม่เห็นประโยชน์ของการเรียน เริ่มเกลียดชังห้องเรียน หนังสือตำราต่างๆ รวมทั้งเพื่อนๆ ด้วยเหตุนี้วันหนึ่งคาซีจึงหนีออกจากโรงเรียนกินนอนของเขาไปยังบ้านที่เจ้าเมืองให้กับแม่ และไม่ยอมกลับไปเรียนอีก

    แม่พยายามใช้วิธีการต่างๆ ทำให้คาซีกลับไป เพราะรู้ดีว่าคนที่เป็นชนชั้นขุนนางนั้นไม่รู้หนังสือไม่ได้ ทว่าหลังจากพยายามอยู่สามวัน แม่ก็รู้สึกขึ้นมาว่าการกระทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ คาซีกลับไปก็รังแต่จะไม่มีความสุข และคงไม่มีทางได้เรียนรู้อะไรในบรรยากาศเช่นนั้นแน่

    แม่เป็นลูกสาวตระกูลดีและเป็นผู้หญิงมีการศึกษา หลังจากอ่านหนังสือและวางแผนมามากมายก็เริ่มสอนลูกชายคนรองของท่านด้วยตัวเอง เมื่อสอนไปได้สักพักจึงค่อยๆ เข้าใจว่าคาซีไม่ใช่เด็กโง่ เขายังคงเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้เร็ว และมีความทรงจำดีเยี่ยมยิ่งกว่าใครๆ ยังคงคิดปัญหาที่เกี่ยวกับตัวเลขมากๆ ได้ในเวลาอันสั้นเหมือนเมื่อเยาว์วัย ทว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับลูกคนนี้...อะไรบางอย่างที่แม่ไม่เข้าใจแต่รู้ว่ามีอยู่ และอะไรบางอย่างนั้นทำให้คาซีไม่อาจเข้าใจตัวหนังสือ และไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องใช้กระบวนการแน่นอนได้

    ดังนั้นแม่จึงสอนด้วยวิธีของท่าน ใช้เวลาเกือบปีกว่าคาซีจะเขียนหนังสือได้เป็นตัว ระหว่างเวลาดังกล่าว แม่ก็อ่านหนังสือให้คาซีฟัง หนังสือดีๆ ที่มีความรู้มากมาย คาซียังคงจดจำได้แม่นยำ หนังสือบางเล่มที่แม่อ่านให้ฟัง เขาแทบจะท่องได้ตั้งแต่ปกหน้าถึงปกหลัง คาซีมีความสุข คนในบ้านรักเขา และไม่มีใครทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยเลย

    ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปี คาซีก็ถูกส่งออกจากเมืองไปอยู่ในชนบท เขาอยู่ที่นั่นเดือนหนึ่ง แล้วจู่ๆ พี่เคอร์รันก็มารับ พี่เคอร์รันอายุสิบห้า แก่กว่าเขาเจ็ดปี ขณะนั้นรับราชการเป็นทหารเหมือนพ่อ และได้เป็นถึงทหารมหาดเล็กของพระราชา

    พี่เคอร์รันไม่ได้เกิดมาในความสุขสมบูรณ์อย่างคาซี เมื่อเขาเกิด พ่อยังคงเป็นทหารและมักไม่อยู่คราวละนานๆ ที่บ้านเองก็ไม่ได้มีฐานะดีเป็นพิเศษ นอกจากนั้นด้วยเหตุที่พ่อตายเสียตั้งแต่อายุยังน้อย พี่เคอร์รันจึงต้องรับผิดชอบสิ่งต่างๆ มากมาย เขารู้ว่าต้องทำตัวให้เหมาะสมเพื่อเจ้าเมืองจะได้ยอมมอบที่ดินของพ่อคืนให้เมื่อบรรลุนิติภาวะ จึงตัดสินใจไปเป็นทหาร และคิดอยู่ตลอดเวลาว่าต้องสร้างชื่อมีเกียรติ หลายปีที่แบกรับภาระของครอบครัวและความที่ต้องอยู่ในวินัยทหารตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เคอร์รันเป็นคนเข้มงวดจริงจัง ค่อนข้างแข็งกระด้าง เขาไม่เห็นประโยชน์ใดที่จะปิดบังน้อง จึงบอกคาซีไปตามตรงว่าแม่ตายแล้วด้วยโรคระบาดที่ทำให้คาซีถูกส่งมายังชนบทนี่เอง แม่เป็นห่วงบ้านเกินกว่าจะทิ้งมาได้เพียงเพราะข่าวโรคระบาด และใจดีเกินกว่าจะไม่ช่วยเหลือคนอื่น แม่ไปพยาบาลคนที่ติดโรค ครั้นแล้วก็ได้รับเชื้อด้วย และตายลงในเวลาอันไม่สมควรเลยแม้แต่น้อย

    อันที่จริงความตายของแม่ก็ทำร้ายคาซีหนักมากอยู่แล้ว ทว่าชีวิตหลังจากนั้นกลับยังคงไม่ผ่อนปรนให้เด็กชายได้มีโอกาสพัก เขาอยู่ในความปกครองของพี่เคอร์รัน แต่เคอร์รันไม่ได้มีเวลาว่างมากมายจะมาดูแลน้องอายุแปดขวบได้ ดังนั้นพี่จึงส่งเขาเข้าโรงเรียนประจำตามเดิม

    คาซีรู้เรื่องมากมาย แต่ยังคงอ่านและเขียนเกือบไม่ได้ ยังคงไม่อาจอธิบายวิธีคำนวณที่ถูกต้องตามแบบแผน เมื่อเข้าไปอยู่ในโรงเรียนแล้วย่อมต้องล้าหลังเพื่อนอายุเท่ากัน ครูจึงส่งเขาลงไปอยู่ในห้องเด็กอายุน้อยกว่า และคาซีก็ถูกล้อเลียนว่าเป็นคนโง่อีกครั้ง

    คาซีรู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือก จึงทนอยู่ในโรงเรียนนั้นต่อไป เมื่อถูกแกล้งถูกดุด่าลงโทษว่าไม่ตั้งใจเรียนทุกวันเข้า คาซีก็เริ่มเรียนรู้ที่จะนั่งเงียบอยู่มุมสุดหลังห้อง ทำเหมือนคนไม่มีตัวตน เขาไม่พูดอะไร เมื่อถูกเรียกก็ตอบอึกๆ อักๆ หลังจากอยู่ที่โรงเรียนประจำสองปี คาซีกลายเป็นเด็กติดอ่าง ไม่มีความมั่นใจ ไม่มีเพื่อน และถูกคนอื่นๆ มองว่าเป็นเด็กปัญญาอ่อนสติไม่เต็ม ทุกๆ วันเขานั่งอยู่หลังชั้น นอกจากกินข้าว นอน และไปอยู่กับสุนัขจรจัดหลังโรงเรียนแล้วก็แทบไม่ทำอะไรอื่นอีก สีหน้าว่างเปล่าเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ทั้งวันจ้องมองแต่อากาศ ไม่มีใครเห็นว่าคาซีมีตัวตนอยู่อีกต่อไป

    ทางโรงเรียนไม่คิดว่าจะช่วยอะไรเด็กคนนี้ได้ จึงส่งข่าวให้พี่เคอร์รัน ขณะนั้นเคอร์รันอายุสิบเจ็ดปี มีเรื่องหนักใจมากอยู่แล้ว เขาเพิ่งระแคะระคายว่าเจ้าเมืองอาจจะหาทางไม่รับรองสิทธิ์ของเขา เพราะที่ดินของพ่อนั้นดี และเจ้าเมืองก็ทำประโยชน์จากมันได้มากในระหว่างที่รับอุปการะครอบครัวของพ่อไว้ เคอร์รันไม่รู้ว่าจะสู้รบตบมือกับเจ้าเมืองอย่างไร เขาจึงคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือต้องสร้างชื่อมีเกียรติเข้าไว้ เมื่อมีผลงานและฐานะมากพอ เจ้าเมืองย่อมมีข้ออ้างที่จะบอกว่าเขาไม่เหมาะสมน้อยลง คิดได้ดังนั้นแล้วเคอร์รันก็ยิ่งทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า เขาเป็นคนมีความสามารถพิเศษ ในไม่ช้าถึงกับได้เลื่อนยศเป็นหัวหน้านายทหารของผู้ตรวจการแผ่นดิน

    แม้ว่ายศของเคอร์รันจะสูงขึ้น แต่ก็ทำให้เขาต้องเดินทางมากด้วย เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินมีหน้าที่เดินทางตรวจสอบมณฑลและเมืองต่างๆ ด้วยตนเอง เขาเป็นนายทหารผู้ช่วยจึงต้องไปด้วย ฐานะเช่นนั้นทำให้เรื่องของคาซีเป็นปัญหามาก และชายหนุ่มก็ออกจะขุ่นใจเล็กน้อยที่ตนต้องมารับภาระน้องชายซึ่งกลายเป็นคนปัญญาอ่อนเช่นนี้

    เมื่อคาซีถูกส่งตัวมาหาพี่ด้วยสีหน้าว่างเปล่าแทบเหมือนตุ๊กตา เคอร์รันจึงได้รู้สึกเป็นครั้งแรกว่าน้องชายคนนี้มีปัญหามาก เขาสงสารน้อง แต่ไม่ทราบจริงๆ ว่าควรจะช่วยเหลืออย่างไร ประสบการณ์ทำให้เคอร์รันคิดว่าทุกคนต้องมีอาชีพ ต้องเลี้ยงตัวเองได้ในเวลาที่ไม่มีคนอื่นเลี้ยง เมื่อคาซีเรียนหนังสือไม่ได้ เขาก็ควรจะฝึกงานเป็นช่างฝีมือ ...เป็นช่างฝีมือไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา...อย่างตระกูลช่างแก้วแห่งอาร์เดนนั่นเป็นไร ได้ยินว่าสำคัญขนาดกระทั่งพระราชาและพวกคนใช้เวทมนตร์แปลกประหลาดยังต้องไปงอนง้อเลยไม่ใช่หรือ

    ที่บ้านไม่มีใครแล้ว คาซีเองก็ยังอายุไม่ครบเกณฑ์เป็นเด็กฝึกงาน ดังนั้นในที่สุดเคอร์รันจึงตัดสินใจพาน้องชายไปกับเขาในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย เคอร์รันอยากดีกับน้องให้มากกว่านี้ แต่งานของเขามาก ทั้งตัวเขาเองก็เข้าใจแต่ความเข้มงวดกับกฎระเบียบ จึงจับน้องใส่กฎเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย และทั้งที่อยากจะช่วยอะไรน้องชาย อยากคุยกันนานๆ บ้าง เคอร์รันกลับใช้โอกาสที่ได้อยู่กับน้องส่วนใหญ่ให้หมดไปกับการดุว่าคาซีซึ่งไม่อาจปฏิบัติตนตามมาตรฐานของเขาได้

    คาซีไม่เคยโต้ตอบอะไรพี่ชายเลยแม้แต่คำเดียว เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นบุคคลไม่มีตัวตนอยู่แล้ว

    คราวนั้นพี่ติดตามผู้ตรวจการแผ่นดินไปถึงเมืองหนึ่ง เจ้าเมืองที่นั่นอยากเอาใจผู้ตรวจการเป็นพิเศษ จึงเลื่อนงานฉลองประจำปีของเมืองขึ้นมา และโมเมด้วยวิธีการต่างๆ จนหาทางจัดงานได้ เขาให้มีงานออกร้านใหญ่โต มีการแสดงมากมาย ทั้งยังจัดเลี้ยงต้อนรับผู้ตรวจการอย่างหรูหรา ทำให้เคอร์รันที่เป็นคนตรงๆ ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่เนื่องจากนายของเขาไม่ได้ว่าอะไร ชายหนุ่มจึงไม่ได้เอ่ยอะไรเช่นกัน

    ในวันที่มีงาน เคอร์รันต้องอยู่ข้างตัวผู้ตรวจการแผ่นดินตลอดเวลา ไม่มีเวลามาดูว่าน้องชายเป็นอย่างไร เขายุ่งจนทิ้งคาซีไว้ที่ห้องพักและออกไปทั้งอย่างนั้น คาซีไม่มีอะไรทำจึงออกไปข้างนอก และเดินไปจนถึงบริเวณที่จัดงานฉลอง เด็กชายเดินอยู่ในงานนั้นโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย กระทั่งเขาเห็นคนทำน้ำตาลคนหนึ่งเข้า

    คาซีเคยเห็นคนทำน้ำตาลมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนไหนเก่งหรือน่าสนใจเท่าคนนี้เลย คนทำน้ำตาลคนนั้นเอาน้ำตาลมาทำตัวสัตว์ได้เหมือนจนราวกับมีชีวิตจริงๆ ทั้งยังทำอย่างสนุกสนาน และเล่าเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับตัวสัตว์ที่เขาทำได้อย่างออกรส คาซียืนดูอยู่เป็นเวลานาน แต่ไม่ได้ไปต่อแถวเด็กๆ มากมายที่เป็นลูกค้า เด็กชายไม่มีเงินเลยเพราะพี่ลืมให้ ทั้งไม่กล้าเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มุงดู จึงได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ เท่านั้น

    คาซีคิดว่าคนทำน้ำตาลเหลือบขึ้นมามองเขาสองสามครั้ง แต่ไม่ใคร่แน่ใจนัก เพราะปกติไม่มีใครสนใจเขาแบบนี้มาก่อน ทว่าเมื่อน้ำตาลหมดและคนทำน้ำตาลบอกปิดร้านแล้ว คาซีจึงได้เห็นว่าชายคนนั้นกำลังมองเขาอยู่จริงๆ ทั้งยังพูดอีกครั้งว่าน้ำตาลหมดแล้วด้วย เด็กชายตกใจจนยืนนิ่ง เพราะนอกจากพี่แล้วก็ไม่มีใครพูดกับเขาตรงๆ เช่นนี้มาเป็นเวลานานเหลือเกิน

    ดูเหมือนคนทำน้ำตาลจะเดาใจคาซีไปอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงก้มลงดูแผ่นโลหะที่ยังมีเศษน้ำตาลสีติดอยู่พอสมควร เขาลงมือปาดเศษน้ำตาลที่เหลือมาลนไฟอีกครั้ง คาซีเห็นชัดเจนว่าชายคนดังกล่าวลนแล้วก็ปล่อยให้น้ำตาลแข็ง ครั้นแล้วก็ลนอีกและเคลือบน้ำตาลทับลงไปอีก เขาทำอย่างไรไม่ทราบ แต่น้ำตาลที่ทำกลับใสไม่ขุ่นเหมือนแท่งน้ำตาลธรรมดา ดูคล้ายแก้วใสๆ ที่ทับสีกันหลายชั้นจนสวยราวกับอัญมณีทีเดียว

    คนทำน้ำตาลเล่านิทานเรื่องอัญมณี บอกว่ามีเพชรสูงค่าที่ถูกพระราชาทิ้งเพราะเห็นว่าสวยเกินไปจนนึกว่าเป็นแก้ว ครั้นแล้วเขาก็ยื่นแท่งน้ำตาลนั้นให้คาซี บอกว่า...เด็กผมแดงจะรู้ว่าข้าเป็นอัญมณี ข้ารู้ว่าเขาจะเห็นค่า เพราะเขาฉลาดกว่าพระราชาตั้งพันเท่า...

    ฉลาด...ฉลาด...คาซีฟังอย่างงุนงง...ไม่มีใครบอกว่าเขาฉลาดมานานแล้ว ไม่มีใครชมเขา ที่จริงแทบไม่มีใครเห็นตัวเขานอกจากพี่ด้วยซ้ำ เมื่อเด็กชายมองไปยังแท่งน้ำตาลร้อยสีเหมือนอัญมณีในมือคนทำน้ำตาล เขาก็อยากได้มันเหลือเกิน

    ...อยากได้เหลือเกิน...อยากได้เหลือเกิน...

    คาซีไม่กล้าบอกคนทำน้ำตาลว่าเขาไม่มีเงิน เขากลัวคนทำน้ำตาลจะรู้ว่าเขาพูดติดอ่าง จะดูถูกเขาเหมือนคนอื่นๆ เขาไม่กล้าบอกว่าพี่จะมาจ่ายเงินให้ กลัวคนทำน้ำตาลไม่เชื่อ แต่เขาอยากได้จริงๆ ...อยากได้จริงๆ

    ดังนั้นในที่สุดคาซีจึงดึงน้ำตาลมาจากมือคนขาย และวิ่งหนีไปในงานทั้งอย่างนั้นเอง เขาวิ่งไป วิ่งไป ออกจากงานไปตามถนน วิ่งรวดเดียวถึงห้องพักและปิดประตูตามหลังดังโครม หัวใจเต้นรุนแรงอยู่ในอก รู้สึกเหมือนตนเป็นโจรร้ายกาจที่เพิ่งทำผิดอุกฉกรรจ์มา เขายืนอยู่ตรงนั้นอีกนาน หัวใจเต้นรุนแรงอีกนาน แต่แล้วในที่สุดก็ยกน้ำตาลในมือขึ้นดู

    ...แท่งน้ำตาลร้อยสียังคงสวยงาม...เหมือนอัญมณีมากเหลือเกิน

    เวลานั้นเอง พี่ก็เปิดประตูเข้ามา

    "ข้าได้พักชั่วโมงหนึ่ง" เขาบอก "ลืมไป เจ้าอยากได้สตางค์บ้างไหม เผื่อไปเที่ยวงาน..."

    เคอร์รันชะงักอยู่เพียงนั้น เขามองน้ำตาลในมือน้องชาย มันสวยเกินไป ดีเกินไปจนทีแรกเขาแทบจะคิดว่ามันเป็นอัญมณีจริงๆ แต่ครั้นพิจารณาแล้วชายหนุ่มก็ยังคงรู้สึกอยู่นั่นเองว่าของนี้ดีเกินกว่าที่ใครจะให้เด็กอย่างน้องเขาเปล่าๆ ได้

    ...คาซีมันไม่มีเงิน เราไม่ได้ให้มันไว้ มันเอาของแบบนี้มาจากไหน...

    "ไปเอามาจากไหน" เสียงของพี่เปลี่ยนเป็นดุขึ้นทันที "เจ้าไม่มีเงิน ไปเอาของแบบนี้มาจากไหนกัน"

    ปกติคาซีได้ยินพี่ดุแล้วมักทำหน้าว่างเปล่า แต่คราวนี้เขาทำผิดจริงๆ และในใจของเด็กชายก็มีความกลัวอยู่จริงๆ

    "ขะ...ขะ..." เขาพยายามกลืนเสียงติดอ่างนั้นลงคอ "ข้า...มะ...ไม่มี...t...เงิน"

    "แล้วเจ้าทำอย่างไร" เสียงของพี่ยังคงกระโชกห้วน

    "กะ...ก็ อะ...เอามา"

    "ไม่ได้จ่ายเงิน...ขโมย" พี่ของเขาคาดคั้น "อย่างนั้นใช่ไหม"

    คาซีคอตก พยักหน้ารับโดยดี

    "เจ้าต้องไปขอโทษ เอาของไปคืน" เคอร์รันว่า เสียงของเขายิ่งทียิ่งดุดัน "ข้าไม่คิดมาก่อนว่าน้องข้าจะเป็นขโมย การขโมยเป็นรากเหง้าของความชั่วร้าย เจ้าคิดว่าตระกูลเราเป็นอย่างไร เป็นคนโซไม่มีเกียรติหรือ"

    หลังจากนั้นเคอร์รันก็ใช้เวลาตลอดชั่วโมงที่เขาได้พักลากข้อมือน้องชายไปตามหาคนทำน้ำตาล เขาจับมือน้องแน่น และเดินเร็วเสียจนคาซีเกือบตามไม่ทัน ทั้งยังไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่แวบเดียว

    เคอร์รันไม่รู้เลยว่าน้องเอาแต่จ้องแท่งน้ำตาลนั้น น้ำตาไหล ร้องไห้ไม่มีเสียงไปตลอดทาง

     

    "คนทำน้ำตาลหน้าตาเป็นอย่างไร" นายทหารถามน้องชาย

    คาซีรู้ว่าเขาควรจะกลับคำตอบเสีย บอกข้อมูลผิด และปล่อยให้พี่ตามหาคนที่ไม่มีตัวตน เพื่อที่พี่จะได้ไม่มีวันพบคนทำน้ำตาล และน้ำตาลร้อยสีจะได้เป็นของเขาตลอดไป ทว่าเมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริงแล้ว คาซีก็ไม่ใช่เด็กไม่ดี เขาโกหกคนไม่เก่ง นอกจากนั้นเด็กชายกลัวพี่มากเหลือเกิน เมื่อเคอร์รันถามอะไรมาเขาจึงตอบตามความเป็นจริงทุกคำ

    คาซีบอกพี่ว่าชายทำน้ำตาลคนนั้นมีกรามเหลี่ยม จมูกเป็นสันเกือบคล้ายคนต่างชาติ เตี้ยกว่าพี่สักสองสามนิ้ว รูปร่างสันทัด ผมดำหนวดดำ ตัดผมสั้นแทบติดหนังศีรษะราวกับเป็นพวกช่างฝีมือ ส่วนหนวดเครานั้นครึ้มขึ้นมาเกือบเต็มแก้ม เขาบอกว่าดวงตาของคนทำน้ำตาลเป็นสีดำ หางตาตก และท่าทางบางอย่างในตัวของชายคนนั้นก็บอกถึงความเป็นคนอารมณ์ดี

    คาซีบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่หรอก คนทำน้ำตาลไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่มีแผลเป็นหรือร่องรอยตำหนิอะไรบนหน้าตา ท่าทางเขาเหมือนคนอื่นๆ ตั้งร้อยในงาน เสื้อผ้าของเขาไม่ต่างอะไรกับเสื้อผ้าคนเดินทางทั่วไป เคอร์รันถามแล้วถามเล่าก็ไม่สามารถได้ข้อมูลอะไรจากน้องชายอีก ดังนั้นเขาจึงจำต้องนำข้อมูลหน้าตาแสนธรรมดานั้นไปเที่ยวถามคน

    เมื่อแรกที่ถูกพี่ลากออกไป คาซีได้แต่ร้องไห้ เขารู้สึกผิด นอกจากรู้สึกผิดแล้วก็ยังขุ่นเคืองตัวเองที่เป็นคนโง่บอกเรื่องต่างๆ ไปหมดสิ้น ทั้งยังรู้สึกน้อยใจเคอร์รัน...น้ำตาลแท่งนั้นราคาแค่ห้าเหรียญทองแดง ไม่ใช่ของเหลือวิสัยที่พี่จะซื้อให้เขาเลย ถ้าพี่ทิ้งเงินไว้บ้าง...ถ้าพี่ไม่ลืมเขา เรื่องจะกลายเป็นแบบนี้หรือ

    เด็กชายเฝ้าดูพี่เที่ยวถามคนโน้นคนนี้เกี่ยวกับคนทำน้ำตาล บางคนก็ตอบเขาได้ แต่คำตอบส่วนใหญ่มักเป็นเลาๆ ไม่ชัดเจน เพราะในงานเทศกาลที่วุ่นวายเช่นนี้ย่อมไม่มีใครมีเวลาว่างมาสนใจใครมากนัก คาซีดูพี่ถามแล้วก็เริ่มนับเวลาถอยหลัง เขารู้ว่าพี่จะต้องไปเข้าเวรในไม่ช้านี้แล้ว เคอร์รันไม่เคยเข้าเวรสายแม้แต่ครั้งเดียว ประวัติของพี่ไม่เคยด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียว

    คาซีมองระฆังโบสถ์บ่อยครั้งขึ้น เขากำมือรอบแท่งไม้เสียบน้ำตาลจนมันเปียกชื้นเหงื่อแทบแบไม่ออก เด็กชายเดินตามพี่ไปเงียบๆ แต่ใจเริ่มนับช้าๆ ...แม่เคยบอกว่านับถึงหกสิบจะได้นาทีหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงนับไปช้าๆ ...นับไปช้าๆ

    ...สามพันห้าร้อยยี่สิบห้า...สามพันห้าร้อยยี่สิบหก...

    ครั้นแล้วเสียงระฆังโบสถ์ก็ดังขึ้น...หนึ่งครั้ง...สองครั้ง...

    เคอร์รันปล่อยมือจากคาซีหันกลับไปทางโบสถ์ทันที เขาเห็นระฆังสั่นไปข้างหน้าและข้างหลัง ชายหนุ่มสบถด้วยความตกใจ ...นี่เรามัวแต่ตามเรื่องของเจ้าคาซีจนลืมเวลาเชียวหรือ...

    นายทหารไม่ต้องการสาย ไม่ต้องการขาด ไม่ต้องการมีประวัติด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียว เขากลัวว่ามันจะมีผลเมื่อถึงเวลาเจ้าเมืองตัดสินคืนที่ดิน เคอร์รันไม่รู้ว่าความผิดพลาดใดของเขาจะเป็นข้ออ้างให้เจ้าเมืองได้บ้าง หรือความดีความชอบใดจะทำให้เขาเข้าใกล้ที่ดินนั้นได้บ้าง ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องพยายามคว้าทุกอย่างที่เขาจะทำได้มาไว้ในมือ พยายามทำสิ่งที่ทำได้ให้ดีที่สุด

    ...เรื่องคาซีปล่อยไปก่อนแล้วกัน... เขาคิดขณะหันหน้ามาดูน้องชาย

    แล้วเคอร์รันก็เห็นเป็นครั้งแรกว่าคาซีตาบวมแดงขึ้นมาตั้งเท่าไร

    นายทหารขมวดคิ้ว ความเสียใจเกิดขึ้นในอกเงียบๆ และเกือบทำให้เขาคิดปล่อยน้องไป ...ช่างมันเถิด เด็กคนนี้ไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้ว น้ำตาลแท่งนั้นอย่างมากก็ราคาสักห้าเหรียญสิบเหรียญ เราเองกินอยู่ในโรงทหารเสมอ เงินรายเดือนที่เขาให้มาแทบไม่เคยได้ใช้ จะซื้อของให้น้องบ้างคงไม่เสียหายอะไร

    แต่แล้วเคอร์รันกลับเปลี่ยนความคิด ...ไม่ได้หรอก ถ้าทำอย่างนั้นคาซีจะเสียคน แม่ฝากคาซีไว้กับเรา จะให้เด็กคนนี้เสียคนไม่ได้ ถึงจะโง่เง่าอย่างไรก็เป็นคนชั้นขุนนาง จะให้ทำผิดถึงขั้นขโมยแล้วปล่อยไปโดยไม่ได้รับโทษเลยได้อย่างไร

    "ข้าต้องเข้าเวรแล้ว" เขาบอกน้อง น้ำเสียงแข็งกระด้าง "เจ้ากลับไปที่ห้องก่อนก็แล้วกัน ...แต่เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ หรอก ข้าจะมาจัดการทีหลังแน่ อย่าหวังว่าจะรอดไปได้เลย"

    ครั้นแล้วนายทหารก็หันหลังจากน้องชายไป

    คาซีมองตามหลังพี่ชาย รู้สึกว่าพี่สูงเหลือเกิน เป็นคนยิ่งใหญ่เหลือเกิน ตั้งแต่เขาจำความได้ พี่ก็สูงและเป็นคนแข็งกระด้างเหมือนแท่งหินอย่างนี้อยู่แล้ว เขาคิดว่าเคอร์รันคงไม่เคยร้องไห้ เป็นผู้ใหญ่ และไม่เคยทำผิดอะไรเลย ในโลกของพี่ทุกอย่างดีเลิศ พี่เองก็ทำตามกฎระเบียบทุกข้อที่มีอยู่ได้โดยไม่มีข้อบกพร่อง ...พี่เป็นคนสมบูรณ์แบบและคงไม่เคยถูกใครว่าเป็นคนโง่อย่างเขาแน่นอน

    ...เพราะว่าข้าโง่ เป็นคนขี้แย เป็นไอ้ขี้ขโมย... เด็กชายคิดเงียบๆ เขามองดูแท่งน้ำตาลในมือ มันส่องแสงล้อกับแดดราวอัญมณี ...เพราะอย่างนั้นพี่ถึงไม่ต้องการข้า พี่ถึงไม่รักข้าเลย...

    คาซีมีความรู้สึกมากมายอัดอั้นอยู่ในอก ทั้งยังรู้สึกอยากต่อต้านขึ้นมาอย่างประหลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กลับห้องในทันที หากแต่ไปตามถนนหินในเมืองอย่างไม่มีจุดหมาย ผ่านถนนใหญ่และตรอกเล็กตามแต่เท้าจะพาไป เบียดกับคนมากมายที่เข้ามาในเมืองเพราะงานเทศกาล ผ่านเขตช่างฝีมือไปยังเขตคนสามัญ และในที่สุดก็ถึงท่าน้ำนอกเมือง

    ระยะหลังนี้คาซีต้องเดินทางกับเคอร์รันบ่อยๆ ทำให้มีความรู้เรื่องเส้นทางต่างๆ เพิ่มขึ้น เขาจำแผนที่ประเทศของตนได้แม่นมาตั้งแต่ห้าขวบ ดังนั้นเมื่อหลับตา เขาจึงจินตนาการเส้นทางคมนาคมที่ผ่านมาลงไปในแผนที่นั้นได้ไม่ยากนัก นอกจากถนนสายหลักที่พวกพี่มักใช้เดินทางแล้ว ยังมีการสัญจรทางน้ำ เพราะในแถบที่เขาอยู่มีแม่น้ำขาวผ่าน แม่น้ำขาวมีสาขาอื่นๆ อีกตั้งร้อยสาขา มากเกือบจะเท่าๆ กับถนนที่แยกออกจากถนนสายหลัก ถ้าหากมีเรือใบดีสักลำ ก็สามารถขึ้นเหนือล่องใต้ในแคว้นแถบนี้โดยใช้เส้นทางของแม่น้ำขาวได้อย่างสบาย

    แม่เคยอ่านกลอนให้คาซีฟัง ในกลอนนั้นว่าในที่สุดแล้วสาขาของแม่น้ำขาวก็จะต้องไปออกทะเล ไม่ว่าจะเดินทางคดเคี้ยวหรือเดินทางตรง ไม่ว่าจะผ่านหุบห้วยป่าเขาหรือบ้านเมืองคน ถึงที่สุดแล้วแม่น้ำทุกสายก็ต้องไปสู่ทะเล เขาจำกลอนบทนั้นได้ และเคยท่องอวดคนเมื่อยังเด็กกว่านี้ แต่กลับถูกดุ ทั้งยังได้รับคำอธิบายว่าเป็นเพราะกลอนบทนั้นไม่เป็นมงคล ทว่าคาซียังจำได้ แม่บอกเขาว่าความหมายของมันอาจจะเป็นมงคลหรือไม่เป็นมงคลก็ได้เท่าๆ กัน เพราะกลอนบทนั้นพูดถึงความจริงของธรรมชาติ ส่วนการตีความทั้งหลายย่อมขึ้นอยู่กับความเห็นของแต่ละคน

    คาซีมองดูเรือใบที่จอดเทียบอยู่แถบท่าเรือ มีทั้งเรือเสาเดียวซึ่งเป็นเรือหาปลาและเดินทางไม่ได้ไกล ไปจนกระทั่งถึงเรือใบหลายเสาสำหรับขนสินค้าขึ้นเหนือลงใต้ มีเรือประทุนอย่างที่ข้างในคงโอ่โถงน่าสบาย และเรือโล้นว่างเปล่ามีแต่พาย คาซีมองเรือเหล่านั้นแล้วก็คิด ...อาจารย์เคยบอกเขาว่าคนไม่เรียนหนังสือในที่สุดต้องไปเป็นกุลีบนเรือ ใช้ชีวิตไม่แน่นอนตามลำน้ำ... คาซีเองก็เรียนหนังสือไม่ได้ เขาควรจะเป็นกุลีท่าเรือเหมือนกันใช่ไหม

    บางทีข้าอาจจะได้เป็นโจรสลัด...เด็กชายเริ่มฟุ้งฝัน...บางทีข้าอาจจะได้เป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียงมากๆ ขโมยเงินไปทีละเป็นหีบๆ และถือดาบใหญ่ที่ตัดหัวใครฉับเดียวก็ขาด ข้าจะอาละวาดไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ พอถึงเวลานั้น ต่อให้พี่เคอร์รันก็คงไม่มีทางสู้ได้แน่นอน...

    "อะไรกัน สิบเหรียญเชียวหรือ ภาษีท่าของท่านแพงไปแล้วกระมัง" เสียงหนึ่งในบรรดาเสียงมากมายของท่าเรือผ่านเข้ามาในหูของเด็กชาย ใกล้แสนใกล้จนเขาตกใจ

    คาซีมองไปตามเสียงทันที ครั้นแล้วก็เห็นคนทำน้ำตาลยืนอยู่ตรงหน้าห่างออกไปไม่ถึงหลานี่เอง เขากำลังเจรจาอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่ท่าเรือด้วยสีหน้าซึ่งดูเจ็บปวดอย่างทีเล่นทีจริง ใช่คนทำน้ำตาลคนนั้นไม่ผิดแน่ คาซีจำกล่องใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นได้ ...และใบหน้าของชายคนดังกล่าวเขาก็ไม่มีทางลืมลงด้วย

    เด็กชายเริ่มถอยหลังไปทีละก้าว แต่เขาตกใจคิดแต่จะหนีจนไม่ได้ระวังข้างหลังให้ดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทันได้ดูว่าที่ตนถอยไปนั้นมีอะไรอยู่บ้าง

    ...ครั้นแล้วเสียงโครมก็ดังไปทั่วท่าเรือ

    คาซีหกล้มกระแทกนอนหงายอยู่กับพื้น ภูเขาถังเหล้าที่เรียงไว้ข้างหลังเขาอย่างดีพังทลายลงมาจนแทบไม่เหลือซากเดิม ถังเหล้าเปล่าขนาดเล็กจำนวนมากกลิ้งไปรอบๆ ตัว กลิ้งทับบนแขนขา บางส่วนก็ตกน้ำ และบางส่วนก็ไปปะทะกับอะไรอย่างอื่นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงโครมครามเหล่านั้นทำให้เด็กชายยิ่งลนลาน เขาพยายามยันตัวลุกขึ้น อับอายและตกใจจนแทบแทรกแผ่นดินหนี สิ่งเดียวที่เด็กชายคิดออกคือพี่จะต้องรู้เรื่องนี้ และพี่จะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน

    ...ดังนั้นเขาต้องหนี ต้องไปซ่อน

    "เฮ้ย" เสียงใครคนหนึ่งสบถดังผ่านเข้ามา แต่ก่อนที่ใครๆ จะจับตัวได้ คาซีก็ลุกขึ้นออกวิ่งหนีไปแล้ว ยกมือทั้งสองข้างบังศีรษะ หลบหนีซอกซอนไปตามช่องว่างระหว่างตัวคนที่เดินเข้ามา เขาตัวเล็กปราดเปรียว ในที่สุดจึงวิ่งหลบแทรกตัวซ่อนในหลืบระหว่างอาคารหลืบหนึ่งได้ก่อนจะมีใครหาเจอ

    มีเสียงอื้ออึงต่อมาอีกสักสองสามนาที จากนั้นเสียงก็ซาลง คนทั้งหลายคงคิดว่ากลับไปดูแลถังเหล้าที่เหลืออยู่น่าจะได้ประโยชน์กว่ามัวไล่จับเด็กเวรที่ไม่รู้ไปไหนเสียแล้ว ในไม่ช้าเสียงของท่าเรือจึงกลับเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

    แต่คาซียังคงไม่กล้าออกมา เขาไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน ถ้าพี่รู้เรื่องนี้เขาคงถูกลงโทษหนักกว่าเดิมหลายเท่า เขากลัว...กลัว

    เวลาผ่านไป...ผ่านไป

    แล้วร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏที่หน้าหลืบนั้น เงาของเขาทาบเข้ามาบังแสงสว่างน้อยนิดจากข้างนอกแทบมิด

    "สวัสดี" คนทำน้ำตาลย่อตัวลงนั่งยองๆ "ทางสะดวกแล้ว ออกมาเถอะ"

     

    คาซีจัดแจงแทรกตัวลึกเข้าไปในหลืบอีกหลายนิ้ว

    "ข้าไม่กินเจ้าหรอกน่า" คนทำน้ำตาลบอก "ถังเหล้าพวกนั้นเป็นถังเสีย เขาขนขึ้นมาไว้ใช้เผาในวันสุดท้ายของงาน...เป็นเชื้อให้กองไฟใหญ่นั่นอย่างไร ถึงจะเสียดายกันนิดหน่อยว่ามีไม้น้อยลง แต่มันก็เป็นขยะอยู่ดีนั่นล่ะ ไม่มีใครเขาว่าอะไรเจ้าหรอก"

    คาซีถอยอีก แต่ทางหลังจากนั้นแคบเกินไป เขาขยับต่อไม่ได้แล้ว จึงได้แต่ซ่อนแท่งน้ำตาลที่อยู่ในมือไว้ข้างหลัง เด็กชายไม่ได้กลัวถูกคนที่ท่าเรือเอาเรื่องอีกแล้ว แต่กลัวว่าคนทำน้ำตาลจะจำตนได้ และเอาน้ำตาลร้อยสีคืนไปต่างหาก

    "เจ้าอยู่ในนั้นมาสองชั่วโมงแล้ว คิดจะอยู่ถึงเย็นค่ำหรืออย่างไร" คนทำน้ำตาลยังคงบอกต่อไป "ออกมาเถอะน่า ข้าเป็นคนทำน้ำตาล ถ้าเจ้ายอมออกมา อยากได้น้ำตาลรูปอะไรข้าจะทำให้ ดีไหม"

    "ขะ...ข้าไม่มีเงิน" คาซีกลืนน้ำลายลงคอ

    "ถ้าข้าบอกว่าจะทำให้ ข้าก็ไม่เอาเงินหรอก" ชายคนนั้นว่า "โฮ่ ข้าเคยเห็นเจ้ามาก่อนใช่ไหมนี่"

    คาซีกำแท่งน้ำตาลร้อยสีไว้ในมือแน่นขึ้นอีก

    "ใช่ล่ะ ข้าจำผมแดงนั่นได้แล้ว เจ้าคือเด็กคนนั้นนี่เอง"

    "ข้า...ข้า...ข้าไม่..." คาซียิ่งหวาดกลัว "...เงิน"

    ชายคนนั้นแปลกใจ เขายืนขึ้นและเบี่ยงตัวออกเล็กน้อย แสงสว่างจึงสาดเข้าไปในหลืบมากขึ้น ครั้นแล้วเขาก็เห็นว่าเด็กชายกำลังกำแท่งอะไรไว้ในมือ ตอนแรกมันดูเหมือนแก้วหรืออะไรสักอย่างที่ใสๆ แต่เมื่อพิจารณาดีๆ แล้ว เขาก็จำได้ไม่ยากนักว่านั่นเป็นแท่งน้ำตาลที่ตนทำขึ้นเอง

    คนทำน้ำตาลนิ่งไปชั่วขณะ ครั้นแล้วจึงถอนหายใจ

    "ข้าบอกว่าทำให้ ข้าก็ทำให้ น้ำตาลแท่งนั้นข้าก็ให้เจ้าเหมือนกัน ไม่คิดเงินหรอก...ไม่คิดแม้แต่แดงเดียว"

    คาซีมองคนทำน้ำตาล ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

    "น้ำตาลก็เป็นแค่น้ำตาลเท่านั้นเอง มีเอาไว้กิน" ชายคนนั้นบอก "มันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรขนาดนั้นหรอก ...ไม่ได้แพงขนาดนั้นหรอก"

    เขายื่นมือออกมา

    "ข้าชื่อฟิลัน เรือของข้าอยู่แค่นี้เอง จำได้ว่ายังมีมะนาวกับน้ำผึ้งอยู่อีกนิดหน่อย สนใจดื่มของดีสูตรแม่ข้าบ้างไหม"

    คาซีนิ่งอยู่เช่นนั้นอีกเป็นเวลานาน มีคนบอกเขามามากแล้วว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า มีคนบอกเขาว่าคนแปลกหน้าบางคนชอบเอาเด็กไปขายให้พวกพ่อค้าทาส

    แต่ก็นานเหลือเกินแล้วที่ไม่มีใครยื่นมือให้เขาเช่นนี้เลย...นานเหลือเกิน

    ดังนั้นในที่สุดคาซีจึงพยักหน้า ค่อยๆ ขยับออกจากหลืบอย่างกล้าๆ กลัวๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×