ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้เสกทราย ภาค 1 น้ำตาลร้อยสี

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 52


    การพบกันของเด็กชายผู้มีความทุกข์และคนทำน้ำตาลผู้ไม่มีทุกข์ใด เพราะได้ลืมเลือนไปเสียแล้ว

     

    บทที่ 1

     

    พวกผู้ใหญ่คุยกัน เขาบอกว่างานฉลองครั้งนี้ที่ลานหน้าวิหารดูเหมือนจะเป็นเรื่องไม่น่าชอบใจ ดูเหมือนจะมีใครสักคนที่พวกผู้ใหญ่ไม่ชอบมาที่นี่ และเจ้าเมืองพอใจจะต้อนรับคนผู้นั้นให้หรูหรา เขาจัดริ้วขบวน เกณฑ์พวกทหารหนุ่มๆ ให้ไปตั้งแถว นอกจากนั้นยังสั่งจัดงานออกร้านเฉลิมฉลองซึ่งไม่ตรงกับงานประจำปีตามปกติ เชิญนักแสดงมีชื่อเสียงและป่าวประกาศเรียกพ่อค้าเร่มามากมาย พวกผู้ใหญ่ที่พูดกันเหล่านั้นไม่ชอบงานนี้ เขาบอกว่าเป็นการเอาหน้าของเจ้าเมือง

    แต่ไม่ว่าผู้ใหญ่จะพูดอย่างไร พวกเด็กๆ ก็ตื่นเต้นยินดี เพราะแม้ในเมืองจะมีงานเทศกาลเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีครั้งใดที่ดูยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้เลย พวกเด็กๆ วิ่งไปวิ่งมาระหว่างลานหน้าวิหารกับบ้าน เที่ยวป่าวร้องและเล่าสู่กันฟังว่าวันนี้มีกองเกวียนใดมาถึงแล้วบ้าง เขาแอบไปมุดดูกลุ่มกระโจมคนประหลาดและสัตว์ประหลาดที่มาถึงก่อน วิ่งไปตามร้านค้าต่างๆ ที่พ่อค้าแม่ค้ากำลังปักเสากั้นเขตและร้องถามว่ามาขายอะไรหรือ เด็กใจกล้าบางคนรับเอาแผ่นประกาศของบางร้านไปปิดไว้ตามที่ต่างๆ ของเมือง เขาคิดว่ามันสนุกสนานยิ่งนักและหวังว่าจะรบเร้าให้ผู้ใหญ่ของตนพามาเที่ยวงาน รวมทั้งหวังว่าจะเก็บเงินทันเวลาเพื่อจะซื้อของที่อยากได้ด้วย

    เด็กๆ พูดกันว่าตนอยากได้อะไรและไม่อยากได้อะไร อยากกินอะไร อยากทำอะไรหรืออยากดูอะไร งานมีเจ็ดวัน แต่เจ็ดวันนั้นพอหรือไม่ พอไหมที่จะดูทุกอย่างให้ครบ นอกจากนั้น...ที่สำคัญที่สุด...ควรทำอย่างไรจึงจะอ้อนวอนขอเงินพ่อแม่ได้ประสบผลดี

    เมื่องานเปิด เขาเป่าแตรประกาศกังวานไปทั่ว ริ้วขบวนยิ่งใหญ่เดินผ่านหน้าปะรำพิธีของเจ้าเมืองและ คนนั้นที่พวกผู้ใหญ่พูดถึงอย่างไม่ชอบใจ แต่ถึงอย่างไรเมื่อการแสดงและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกคนใหญ่คนโตจบสิ้นลงแล้ว เด็กๆ และหนุ่มสาวก็พากันยินดี เขาไปเดินกันในงาน เด็กที่โตหน่อยพร่ำร้องอ้อนวอนพ่อแม่ให้ซื้อของอย่างนั้นอย่างนี้ให้ ในขณะที่เด็กเล็กวิ่งวุ่นไปทั่วด้วยดวงตาเบิกโตตื่นเต้น

    ที่มุมหนึ่ง...ไกลแสนไกลในงาน ชายคนหนึ่งได้จับจองที่ของเขา ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนั้นขายอะไรหรือทำอะไร บางทีคงเป็นนักแสดง เพราะที่หลังเขาแบกกล่องไม้ใหญ่ไว้กล่องหนึ่ง แต่หลังจากหลายคนเมียงเข้าไปอย่างคาดหวัง ชายคนนั้นกลับดูเหมือนจะไม่ได้เตรียมการแสดงอะไร เพียงแต่เปิดส่วนล่างของกล่องและดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา

    "ท่านทำอะไรหรือ" เด็กใจกล้าคนหนึ่งถาม

    "ข้าทำอะไรน่ะหรือ" ชายคนนั้นถามกลับ รอยยิ้มลึกลับปรากฏบนใบหน้า "อา นั่นสิ ทำไมเจ้าไม่ลองทายดูเล่า"

    ครั้นแล้วเขาก็เตรียมงานต่อไป เปิดลิ้นชักที่ข้างกล่องดึงออกมาจนสุด ในนั้นมีแท่งแปลกๆ เรียงอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ละแท่งยาวสักคืบเศษและมีสีต่างๆ แยกกันเป็นระเบียบ เมื่อจัดแท่งเป็นที่พอใจแล้ว ชายคนดังกล่าวก็ยกฝาครอบด้านบนของกล่องลง ข้างในฝาครอบมีราวไม้อยู่ราวหนึ่งเจาะเป็นรูหลายรู ใต้ราวมีแผ่นโลหะแปลกประหลาด และที่ข้างแผ่นโลหะก็มีถาดวางอุปกรณ์ขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก

    "ข้ารู้" ใครสักคนที่เคยเดินทางร้อง "ท่านเป็นคนทำน้ำตาล"

    ชายคนนั้นหัวเราะ เขาไม่ได้ตอบรับ ทว่ายังคงทำงานของตนต่อไปเงียบๆ เขาเลือกแท่งสีหนึ่งออกมาจากลิ้นชักที่เปิดค้างไว้ ลนปลายของมันใกล้แผ่นโลหะ ครั้นแล้วแท่งดังกล่าวก็เริ่มละลาย

    "ข้างในกล่องนั้นมีเตาไฟ" คนที่รู้คนแรกอธิบายต่อไป "แท่งสีๆ นั่นเป็นแท่งน้ำตาล เขาเป็นคนทำน้ำตาล...เขาทำน้ำตาลเป็นรูปต่างๆ ได้มากมาย"

    "จริงหรือ" คนอื่นๆ ถาม "ท่านทำน้ำตาลเป็นอะไรได้บ้าง"

    "นั่นสิ...นั่นสิ" ชายคนดังกล่าวยังคงไม่ได้ตอบรับจริงจัง "ข้าทำเป็นอะไรได้บ้าง...เห็นทีต้องถามน้ำตาลมันกระมัง"

    "เจ้าเป็นอะไรได้บ้าง" เขาถามแท่งน้ำตาล "เจ้าเป็นสีเขียว ครั้งหนึ่งเคยมีมังกรสีเขียวอยู่บนภูเขาสูง เจ้าเป็นมังกรสีเขียวแห่งภูเขาลูกนั้นหรือเปล่า"

    ชายดังกล่าวขยับมือ น้ำตาลละลายอ่อนตัวลงทว่ายังแข็งอยู่ เขาเสียบก้อนน้ำตาลลงกับไม้ และเริ่มใช้มือกับอุปกรณ์ต่างๆ เด็กทั้งหลายไม่เคยเห็นใครใช้มือได้คล่องแคล่วเท่าชายคนนี้มาก่อนเลย เขาตัด ปั้น และต่อเติมน้ำตาลก้อนนั้น เก่งกาจราวกับใช้เวทมนตร์ เวลาผ่านไปไม่นานแท่งน้ำตาลสีเขียวก็ยืดออกกลายเป็นคอยาวของมังกร กลายเป็นขาสี่ข้างและหางที่มีหนามแหลมของมัน

    "มังกรมีปีกกว้างนัก" ชายคนนั้นยังคงพูดต่อไป ครั้นแล้วเขาก็เผาน้ำตาลอีกแท่งและติดมันลงที่ข้างตัวมังกร นิ้วของเขาไล้ไปตามก้อนน้ำตาลดังกล่าวราวกับไม่กลัวความร้อน แล้วปีกยาวเป็นแฉกอย่างปีกค้างคาวก็แผ่ออกบนหลังของเจ้ามังกรเขียว กว้างใหญ่แข็งแกร่งราวกับเจ้ามังกรจะโผทะยานไปในอากาศได้ทุกเมื่อ

    "และเจ้าก็พ่นไฟใช่หรือไม่ เจ้ากินหินภูเขาไฟ และพ่นไฟที่แรงจนหลอมหินได้"

    เขาคว้าแท่งน้ำตาลสีแดงกับสีส้ม เผาหลอมมันและตัดแต่งด้วยคีม เมื่อติดเข้าที่ปากของเจ้ามังกรเขียวปีกดำแล้ว มันก็กลายเป็นเปลวไฟรุนแรงสีแสบสันราวกับเจ้ามังกรกำลังคำรามร้องอาละวาดอยู่จริงๆ

    ชายคนทำน้ำตาลปักมังกรของเขาลงบนราวข้างหน้าตน และเด็กทุกคนในที่นั้นก็พากันยื่นหน้าเบียดเข้ามาดู

    "ท่านขายหรือ" ใครคนหนึ่งถามขึ้น ไม่แน่ใจนักว่ามังกรงามเช่นนี้จะเป็นของซื้อขายได้

    "ห้าเหรียญทองแดง" ชายคนทำน้ำตาลพูดหน้าตาเฉย "ถ้าใหญ่กว่านี้ก็ต้องคิด..."

    "ข้าเอามังกรตัวนี้" มือน้อยๆ หลายมือต่างชูกันสลอน ห้าเหรียญทองแดงไม่ใช่ราคาเกินเอื้อมสำหรับเด็กๆ เลย และทำให้พวกเขายินดียิ่งนัก

    "มังกรยังทำได้อีก" ชายคนนั้นบอกพลางหยิบมังกรส่งให้เด็กคนแรกที่ยื่นมือมาถึง "อย่าแย่งกัน คนไหนที่แย่งกันข้าจะไม่ทำให้"

    "ท่านทำอย่างอื่นได้หรือเปล่า" คนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ของถาม "นอกจากมังกรแล้ว ท่านทำสัตว์อื่นได้ไหม"

    "ก็ต้องถามน้ำตาลดู"

    แล้วการค้าของชายคนทำน้ำตาลก็ดียิ่งนัก เด็กๆ ต่อแถวอยู่ข้างหน้าเขาเป็นหาง ตัวสัตว์ต่างๆ ที่เขาทำขึ้นติดมือเด็กไปทั่วงาน เขาทำมังกรเขียว ปลาสีม่วงและสีขาว ยูนิคอร์น ไก่ฟ้า สิงโต เสือ สุนัขจิ้งจอก แท่งน้ำตาลในมือเขาดูราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันคล้ายจะสะบัดดิ้นเร่า คล้ายจะร่ำร้องให้เขาทำตนให้เป็นรูปร่างขึ้น ชายคนนั้นประดิษฐ์งานอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำสีหน้ายิ่งสนุก และคำที่เขาพูดกับแท่งน้ำตาลก็ยิ่งน่าสนใจ

    "เจ้าเป็นปลาหรือ เจ้ามาจากมหาสมุทรในแดนลับแลทางใต้ น้ำในมหาสมุทรเย็นเฉียบ แต่เจ้าไม่กลัวไม่ใช่หรือ"

    "เจ้าเป็นนกหรือ ข้ารู้ เจ้ามาจากภูเขา เจ้าคือนกหงส์หางยาวที่เขาว่าสามปีจะบินข้ามฟ้ามาให้คนเห็นสักครั้ง"

    ชายคนทำน้ำตาลทำไป ทำไป น้ำตาลของเขาพร่องลง ในขณะที่สัตว์ต่างๆ และคนมาต่อแถวมากขึ้นทุกที เงินเหรียญทองแดงตกลงกระทบกันอยู่ในกระเป๋าของเขาดังกรุ๋งกริ๋ง และเวลาก็ผ่านไป ผ่านไป

    ครั้นแล้วชายคนทำน้ำตาลก็เงยหน้าขึ้นมาจากตัวสัตว์ และเห็นด้วยหางตาว่านอกจากแถวของเด็กๆ กับพ่อแม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังมีเด็กอีกคนหนึ่งยืนห่างออกไป เขาไม่มาต่อแถว ทว่ายืนมองอยู่อย่างนั้น ห่างจากคนอื่น คนทำน้ำตาลไม่มีเวลาพิจารณาเด็กคนดังกล่าวมากนัก เขาจึงเห็นเพียงว่าเด็กคนนั้นมีผมสีส้มแดงๆ และมีสีหน้าที่แปลกประหลาด...เกือบจะคล้ายกับความว่างเปล่าทีเดียว

    เขาเหลือบขึ้นมาอีกหลายครั้ง เด็กผมสีส้มแดงก็ยังคงยืนอยู่ สีหน้ายังคงว่างเปล่า และดวงตายังคงจ้องมาที่เขาเงียบๆ เขาสงสัยว่าเด็กคนนั้นคงจะไม่มีสตางค์ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะเสื้อผ้าอย่างดีที่เด็กใส่บอกอยู่ชัดเจนแล้วว่าพ่อแม่ของเขาต้องเป็นคนมีฐานะ ...บางทีเด็กอาจจะหลงกับพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงกระมัง แต่ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงมีสีหน้าว่างเปล่าเช่นนี้เล่า

    หลังจากเลยเที่ยงไปไม่นานนัก แท่งน้ำตาลในลิ้นชักข้างกล่องก็หมดลง คนทำน้ำตาลต้องบอกขอโทษลูกค้า เขาว่าไม่คิดมาก่อนว่าน้ำตาลจะหมดเร็วถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงอาจจะต้องเสียเวลาทำเพิ่มอีก บางทีพรุ่งนี้อาจจะไม่มาขายและมาวันมะรืนแทน

    "ข้าจะได้เตรียมแท่งน้ำตาลให้พออีกห้าวันที่เหลือ" เขาบอก

    เมื่อลูกค้าจากไปหมดแล้ว คนทำน้ำตาลก็เริ่มเก็บของ และเด็กผมสีส้มแดงก็เข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย

    "น้ำตาลหมดแล้ว" คนทำน้ำตาลบอกยิ้มๆ "อีกสองวันมาใหม่เถอะ..."

    เด็กคนนั้นยังคงมองนิ่งอยู่ ดูเหมือนไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรด้วยซ้ำ

    "เจ้าก็จ้องข้ามาตั้งแต่เช้านี่นา" ชายคนทำน้ำตาลยักไหล่ "เอาเถอะ...ข้าคิดว่า..."

    เขาดูบนแผ่นโลหะที่ใช้เผาน้ำตาล ยังมีเศษน้ำตาลสีต่างๆ ติดอยู่ที่นั่นที่นี่ ดังนั้นเขาจึงใช้แผ่นโลหะแบนๆ ที่คล้ายเกรียงปาดน้ำตาลสีเหล่านั้นขึ้น และทำอะไรบางอย่างกับมันช้าๆ

    "เจ้าอย่าไปบอกใคร...ไม่มีคนทำน้ำตาลคนไหนทำอย่างข้าได้หรอก" เขาวางนิ้วลงบนริมฝีปากและหลิ่วตาให้เด็กชาย ดวงตามีรอยยิ้มลึกลับ

    เด็กชายก้มหน้าใกล้ขึ้น และเห็นว่าน้ำตาลสีต่างๆ นั้นเริ่มถูกหลอมเข้าด้วยกัน ทว่าแปลกเหลือเกิน สีของน้ำตาลกลับไม่ปนกันเลย มันแยกออกเป็นริ้วเป็นชั้น ปาดเคลือบเข้าหากันราวกับอัญมณีมีค่าหลากสี ราวกับแก้วที่เขาเผาเสียจนสีต่างๆ หลอมมารวมกัน ทว่าก็สวยยิ่งนัก

    "ข้าเป็นอัญมณี เขาขุดข้าขึ้นมาจากเหมืองบนภูเขา" ชายคนนั้นบอกพลางเสียบแท่งน้ำตาลหลากสีลงบนไม้ "พระราชาเห็นข้าสวยงามเกินไป พระองค์จึงคิดว่าข้าเป็นเพียงแท่งแก้ว เป็นของปลอม เพราะพระองค์ไม่เชื่อว่ามีอัญมณีงามเช่นนี้อยู่จริง"

    ครั้นแล้วเขาก็ยื่นน้ำตาลร้อยสีนั้นให้แก่เด็กชาย

    "แต่ข้ารู้ว่าเด็กผมแดงจะรู้ว่าข้าเป็นอัญมณี ข้ารู้ว่าเขาจะเห็นค่า เพราะเขาฉลาดกว่าพระราชาตั้งพันเท่าไม่ใช่หรือ"

    เด็กชายลังเล หลังจากนั้นชั่ววินาทีเขาก็ยื่นมือออกคว้าน้ำตาลร้อยสีไปจากมือของคนทำน้ำตาล และหันหลังออกวิ่งหนีทันที

    เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก ผมสีแดงของเด็กชายก็กลืนหายไปในฝูงชน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×