คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ค่ำคืนที่ 3 บางอย่างแปลกไป[แก้ไข 9/3/59]
ค่ำคืนที่ 3 บางอย่างแปลกไป
เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินไปโรงเรียนพลางครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในหัว
เขามีผมสีดำสนิท ใบหน้าหล่อปนสวย นัยน์ตาสีองุ่นแดง
หากมองดูผิวเผินเขาก็เป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆ คนหนึ่ง
หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อคืนนั้นทำให้เขากลายเป็นคนไม่ธรรมดาไปเสียแล้วและสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ตลอดเช้านี้ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนรวมถึงความทรงจำที่เขาได้รับมาอีกด้วย
ลูซได้ตระหนักว่าสิ่งที่ไม่ธรรมดาได้เกิดขึ้นกับชีวิตเขาแล้วจริงๆ
ก็เมื่อตอนที่เขาเปิดหนังสือ The Night Sombra และพบว่ามีตัวหนังสือโผล่ขึ้นมาจากหน้ากระดาษที่เคยว่างเปล่า
บทกลอนที่อยู่หน้ากลางนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม หนังสือนั่นบันทึกสิ่งที่เขาคิด
สิ่งที่เขาทำราวกับมีปากกาล่องหนคอยเขียนอยู่ตลอดเวลา...แต่เขาคิดว่าหนังสือนี่มันฉลาด
เพราะมันบันทึกเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับโลกคู่ขนานเท่านั้น
อย่างเช่นเวลาลูซคิดถึงเรื่องเรียนหรือกำลังคิดเลขมันก็จะถูกบันทึกแค่ว่า เขากำลังเรียน แต่พอเขาคิดเกี่ยวกับตัวตนในโลกคู่ขนานหรือสภาพของโลกคู่ขนานมันก็จะบันทึกใจความสำคัญเอาไว้
แถมภาษาที่ใช้ยังสละสลวย
พอมานั่งอ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังอ่านนิยายเลยทีเดียว
เมื่อลูซมาถึงโรงเรียนเขาก็ได้ยินนักเรียนในโรงเรียนคุยกันถึงเรื่องที่ตนเองฝันประหลาดเมื่อคืน
และดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นประเด็นร้อนแรงในหมู่นักเรียนเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
“อรุณสวัสดิ์ลูซี่” เสียงคู่ฝาแฝดดังขึ้น
ร่างสองร่างกระโดดเกาะลูซจากทางด้านหลัง
เรเชลผู้เป็นน้องอยู่ด้านซ้ายส่วนราเชลผู้เป็นพี่อยู่ด้านขวา
“อรุณสวัสดิ์” ลูซตอบกลับไปแล้วก็ปล่อยให้คู่ฝาแฝดกอดคออยู่อย่างนั้นไม่คิดจะสะบัดออก
ขาก็ก้าวเดินต่อไปปกติไม่สนใจสายตาคนที่มองมาเลยสักนิด ทำให้สองพี่น้องแปลกใจมาก
“โอ๊ะ! วันนี้ไม่หลบแฮะ”
เรเชลว่าอย่างแปลกใจขณะที่ราเชลเอามือจิ้มแก้มเพื่อนตัวเองหวังก่อกวน
“ไม่ตอบโต้ด้วย”
ทันใดนั้นลูซก็ย่อตัวลงลอดช่องระหว่างกลางคู่ฝาแฝดนั่นแถมยังขัดขาเรเชลส่งผลให้ทั้งคู่พากันล้มไปทั้งอย่างนั้น
ลูซหัวเราะออกมาอย่างมีชัยแถมยังพูดเสียงใสอีกว่า “อ้าว วันนี้หลงกลฉันง่ายๆ
เลยแฮะ”
พี่น้องฝาแฝดก็อึ้งกันไปสักพัก
“ทำหน้าแบบนั้นทำไม เราก็ทักทายกันปกตินี่?”
ลูซชิงถามขึ้นมาก่อน แต่คู่แฝดไม่ตอบ
พออีกฝ่ายเงียบไปลูซก็นึกขึ้นได้ว่านั่นเป็นความทรงจำของฝั่งโลกแห่งความฝัน
ไม่ใช่โลกแห่งความจริง ลูซรีบขอโทษขอโพยก่อนจะช่วยพยุงเพื่อนทั้งสองคนให้ลุกขึ้น
“ลูซี่ หัวนายไปกระแทกอะไรมาหรือเปล่า” เรเชลพูดพลางมองเพื่อนด้วยสายตาเคลือบแคลง
ร้อยวันพันปีจะเห็นลูซยิ้มสักครั้ง
แต่วันนี้มาแปลกทั้งแกล้งกลับและหัวเราะชอบใจใส่...
“เอ่อ...ฝันเมื่อคืนไง ฉันจำมาจากฝันเมื่อคืน”
ลูซยิ้มแห้งๆ รู้สึกได้ว่าสีข้างตัวเองกำลังถลอก
ดีที่เพื่อนทั้งสองพอได้ยินเรื่องความฝันก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“เออ
ฉันว่าจะเล่าให้นายฟังพอดี เมื่อคืนมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นล่ะ
ฉันกับเรเชลฝันเหมือนกันเปี๊ยบเลย” ราเชลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังสุดๆ
ก่อนจะหันไปพะยักหน้าอย่างเคร่งเครียดกับลูกคู่ของตัวเอง
“แล้วที่แปลกกว่านั้นนะลูซี่ คนอื่นๆ ก็ฝันแนวเดียวกับเราล่ะ! เชื่อสิเมื่อคืนนะเป็นอะไรที่สนุกสุดๆ
ไปเลย ฉันใช้พลังพิเศษได้ด้วยนะ!
แล้วฉันกับพี่ก็คิดว่าน่าจะดัดแปลงพลังที่อยู่ในฝันนั่นมาใช้ใน การละเล่นของพี่น้องไดนีมัส
ด้วยล่ะ” น้ำเสียงของเรเชลฉายแววเจ้าเล่ห์ปนสนุกสนานอย่างเห็นได้ชัด...พี่น้องคู่นี้ชอบแหย่คนอื่นเล่นเป็นชีวิตจิตใจ
พวกเขามีร้อยแปดวิธีในการแกล้งคนหรือทำบางอย่างสนุกๆ ตามแบบฉบับของพวกเขา นั่นแหละ
การละเล่นของพี่น้องไดนีมัส
วันธรรมดาเริ่มต้นอีกครั้ง ลูซมองไปที่ฟลอร่า
หวังว่าเธอจะเข้ามาพูดอะไรบ้างเหมือนอย่างในโลกแห่งความฝัน แต่ก็ไม่มีเลย
ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่โลกความฝัน
ครั้นจะเข้าไปถามลูซก็เริ่มต้นไม่ถูกจนในที่สุดก็เลิกสนใจไป ตลอดทั้งวันเขารอเวลาที่จะได้กลับไปยังโลกแห่งความฝันเร็วๆ
พอกริ่งเลิกเรียนดังก็รีบเดินออกจากห้อง ในหัวคิดแต่เรื่องโลกแห่งความฝันจนไม่ได้มองทาง
ทำให้ชนกับชายร่างหนาคนหนึ่ง บังเอิญเหลือเกินที่ชายคนนั้นกับเขาไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นโลกนี้หรือโลกนู้น
“เอ่อ แซค...ขอโทษที ฉันไม่ทันระวัง”
ลูซรีบขอโทษคนร่างใหญ่ตรงหน้าทันที แต่กลับถูกอีกฝ่ายกระชากคอเสื้อจนตัวลอยเสียอย่างนั้น
นักเรียนที่อยู่แถวนั้นต่างหวีดร้องอย่างหวาดผวาแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว
เพราะใครๆ ต่างก็กลัวพละกำลังของแซคกันหมด
“เดินยังไงของแกวะ ไอ้ลูกหมา!”
แซคตะคอกใส่พร้อมแยกเขี้ยว
“ใจเย็นน่าแซค อาจารย์วินกำลังเดินมาทางนี้นะ”
เพื่อนของแซคกระซิบพลางมองไปยังทิศทางที่อาจารย์วินกำลังเดินมา ดูเหมือนเขาจะยังไม่เห็นเหตุการณ์
แต่ถ้าหากแซคไม่ปล่อยตอนนี้ละก็คงเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ แซคสบถในลำคอก่อนจะเหวี่ยงร่างบางๆ
ของลูซออกไปจนเซ แรงเหวี่ยงทำให้ร่างบางกระแทกกับกับแพง ทำเอาทั้งเจ็บทั้งจุก
เมื่อก่อนลูซไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมแซคถึงได้จงเกลียดจงชังเขาขนาดนี้
แต่หลังจากที่ได้ความทรงจำของโลกแห่งความฝันมาแล้วเขาก็เข้าใจทันที
แซคในโลกแห่งความฝันไม่ชอบลูซเพราะว่าเขาไม่มีพลังพิเศษ
และมันคงส่งผลมาถึงโลกแห่งความจริงแน่นอน
พอแซคไปจากตรงนั้นแล้วถึงมีคนเข้ามาช่วยพยุงลูซลุกขึ้น
คนคนนั้นคือฟลอร่าและโรซ์เวล ฟลอร่าเข้าถึงตัวลูซเป็นคนแรก
ส่วนโรซ์เวลนั้นพอผูกดาบไม้ที่พกติดตัวเข้าเอวเสร็จแล้วจึงจะเดินมาหา ท่าทางเหมือนกำลังจะตั้งท่าซัดกับใครบางคนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ...เอ่อ
คงไม่ใช่แซคหรอกใช่ไหมที่เขาอยากซัด
“คุณลูซเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ไปห้องพยาบาลไหม? ”
ฟลอร่าถามด้วยความเป็นห่วง ทำให้ลูซที่เผลอสบเข้ากับนัยน์ตาหวานสวยหน้าม้านไปเลย ลูซรีบทรงตัวทันที
“ไม่เป็นไรครับ
แค่จุกนิดหน่อย...เดี๋ยวผมต้องไปทำงานพิเศษต่อด้วย ขอบคุณมาก” ลูซกล่าวขอบคุณฟลอร่าและคุยกันเรื่องสัพเพเหระกันเล็กน้อย
โดยที่ขณะสนทนาเขาก็สังเกตท่าทางของฟลอร่าไปพลางๆ ด้วย
เธอไม่พูดถึงความฝันแปลกประหลาดเลยจนลูซแปลกใจเพราะเธอน่าจะเป็นคนที่สะกิดใจกับฝันเมื่อคืนบ้าง
คุยกันได้ไม่นานลูซก็บอกลาก่อนมุ่งหน้าไปยังที่ทำงานพิเศษ
การเรียนของที่นี่จะเริ่มตอนเก้าโมงถึงบ่ายสอง
ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่มีเวลาว่างช่วงบ่ายซึ่งลูซก็ใช้ช่วงเวลาตลอดบ่ายนี้จนถึงหนึ่งทุ่มเพื่อทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน
ฝาแฝดเคยถามเขาว่าทำไมถึงต้องทำงานด้วยทั้งๆ
ที่ครอบครัวมีเงินมากมายล้นฟ้าอยู่แล้ว ลูซก็ตอบไปตรงๆ ว่าช่วงบ่ายมันว่าง
ไม่รู้จะทำอะไรดีจึงเลือกทำงานพิเศษ ได้งานแล้วก็ได้เงินด้วย
กระนั้นฝาแฝดก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคนอย่างลูซ
อิวิลเลฮ์ต้องทำงานพิเศษด้วย
ลูซตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โลกแห่งความฝันและไปโรงเรียนตามปกติ
ที่โลกแห่งความฝันนี่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต่างไปจากโลกแห่งความจริงมากอย่างเช่น
บางคนที่เกลียดกันแบบชนิดที่ว่าพอเห็นหน้าก็จะฆ่ากันให้ตายไปข้างพอมาที่โลกฝั่งนี้กลับสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องสายเลือดเดียวกันเสียอีก
บางคนที่อยู่ในโลกความจริงเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อยๆ
พอมาอยู่ในโลกความฝันกลับกลายเป็นคนที่โด่งดังเป็นที่รู้จักเสียอย่างนั้น
และบางคนถึงกลับเป็นเผ่าอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์เลยก็มีเหมือนกัน ซึ่งจากที่เขาสังเกตดูคนที่กลายเป็นเผ่าอื่นในโลกแห่งความฝันนั้นลักษณะอุปนิสัยของพวกเขามีความคล้ายคลึงกับเผ่าที่พวกเขาเป็นอยู่อย่างมากเลยทีเดียว
เมื่อพบกับฟลอร่าลูซก็รีบเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่คนอื่น
ๆ ฝันถึงโลกแห่งความฝันและเรื่องที่อุปนิสัยของตัวเองที่เปลี่ยนไปทันทีและความทรงจำที่ไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่...และจงใจไม่ถามเรื่องที่ฟลอร่าในโลกแห่งความจริงไม่ได้พูดถึงโลกแห่งความฝันเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอ่อ...คิดว่ามันคงเป็นผลมากจากการเชื่อมจิตนั่นแหละค่ะ ตัวตนของคุณทั้งสองโลกได้รวมกันแล้ว
อย่างที่ฉันเคยบอกไว้ตัวตนในโลกนี้จะเป็นตัวตนที่ถูกเก็บซ่อนจากโลกแห่งความจริง...พอคุณทำการเชื่อมจิต
นิสัยที่แท้จริงก็เลยถูกเปิดเผยออกมา”
ฟลอร่าตอบก่อนจะพูดต่อ “แต่ว่าก็แปลกนะคะ เท่าที่ฉันเห็นคุณในโลกนี้
คุณเป็นคนที่ไม่สุงสิงกับใคร...”
“ไม่มีใคอยากสุงสิงกับผมมากกว่า
ผมไม่มีพลังพิเศษอะไรเลยนี่ครับ” ลูซแค่นยิ้ม
“ไม่มีพลังพิเศษเหรอคะ”
ฟลอร่าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เหมือนคนที่ได้ฟังข่าวใหม่
“ครับ คุณไม่รู้เหรอ?”
“อ๋อ...ไม่ใช่หรอกค่ะ” เธอปฏิเสธ
ท่าทางดูแปลกไป
“ว่าแต่คุณปิดกั้นความคิดของตัวเองได้แล้วเหรอคะ...ฉันไม่ได้ยินเสียงความคิดของคุณเลย
ความทรงจำของคุณกลับมาหมดแล้วเหรอ”
“อืม ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะความทรงจำในหัวมันตีกันอยู่น่ะครับ
แต่ก็คิดว่าน่าจะมาหมดแล้ว” พอถูกเธอถามแบบนี้ลูซจึงพอจะเดาได้ว่าที่เธอดูแปลกๆ ไปอาจเป็นเพราะเธอกลับมาอ่านใจเขาไม่ได้อีกครั้งก็เป็นได้
“คุณจำอะไรได้บ้าง?”
ฟลอร่าถามพลางขมวดคิ้วเหมือนกำลังพยายามเพ่งสมาธิ
ซึ่งลูซอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่ามันเปล่าประโยชน์
“ก็ไม่มีอะไรมากครับ
นอกจากที่ผมไม่มีพลังอะไรเลยแล้ว ก็เป็นเรื่องสมัยเด็ก
เรื่องการเรียน...แล้วก็เรื่องที่พ่อเสียไประหว่างปฏิบัติภารกิจเมื่อเดือนก่อนด้วย”
“ทำภารกิจเหรอคะ?”
เธอทวนคำด้วยเสียงที่สูงขึ้นก่อนจะหันไปทางโรซ์เวล
“ครับ อาจารย์เป็นคนแจ้งข่าวเรื่องนี้กับผม
ทำไมเหรอครับ?”
“ฉัน –เอ่อ เสียใจด้วยนะคะ ” ฟลอร่าหลุบตาลงต่ำขณะพูดสีหน้าดูหนักใจมาก เธอทำท่าเหมือนจะถามอะไรเพิ่ม
แต่ถูกเรเชลกับราเชลเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ทั้งคู่หอบข้าวของพะรุงพะรัง
กระเป๋าเป้คนละใบอัดแน่นด้วยสิ่งของ สองมือของราเชลถือสิ่งที่คล้ายกับปืนฉีดน้ำข้างละกระบอก
ส่วนราเชลก็หอบกระเป๋าอีกใบ ท่าทางเหมือนกำลังจะเดินทางไปค้างแรมที่ไหนสักที่หนึ่ง
“เฮ้ คุยอะไรกันอยู่น่ะ”
เสียงของเรเชลดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของพี่น้องฝาแฝด
พวกเขาใส่เสื้อที่รัดกุมกว่าวันอื่น บนหลังมีกระเป๋าสะพายที่ใส่สำภาระเอาไว้เต็ม
“พวกนายกำลังจะไปไหนกันน่ะ?” ลูซถาม
“ออกไปทำภารกิจ...ใบประกาศภารกิจนี่ใกล้หมดอายุแล้วพวกเราเลยไปรับมา”
เรเชลเป็นคนตอบ ในขณะที่ราเชลโยนกระเป๋าใบหนึ่งมาให้ลูซ เขาเปิดดูก็พบว่าข้างในไม่ใช่เสื้อผ้าแต่เป็นสายยางขนาดใหญ่เหมือนสายยางดับเพลิง
การเรียนของที่โลกแห่งความฝันก็เหมือนกันคือเริ่มตอนเก้าโมงและเลิกตอนบ่ายสอง
ส่วนช่วงเวลาหลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาให้นักเรียนไปทำภารกิจ ฝึกฝีมือหรือทำในสิ่งที่อยากทำ
ภารกิจนั้นจะแบ่งเป็นสามระดับคือ ระดับสูง ระดับกลางและระดับล่าง นักเรียนสามารถรับภารกิจที่ต่ำกว่าระดับของตัวเองได้แต่ไม่สามารถรับภารกิจที่สูงกว่าระดับตัวเองได้
แต่มีข้อยกเว้นคือคนที่มีระดับที่สูงกว่าสามารถพาคนที่มีระดับต่ำกว่าไปร่วมภารกิจได้ครั้งละ
1 คน
ดังนั้นลูซจึงออกไปทำภารกิจกับฝาแฝดไดนีมัสค่อนข้างบ่อย
“ภารกิจคือให้พาวีเซิลไฟลุกอาศัยอยู่ที่บ้านร้างแถบชานเมืองทางตอนใต้กลับคืนสู่ป่า”
ราเชลอธิบาย
“วีเซิลไฟลุกปกติมันขุดดินเป็นบ้านนี่
ทำไมมันมาไกลจัง” ลูซตั้งข้อสงสัยขณะลุกขึ้นมาสะพายกระเป๋าเตรียมพร้อม
ทั้งเรเชลกับราเชลก็ดูเหมือนจะไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้มาก่อนก็สะกิดใจขึ้นมาเหมือนกัน
วีเซิลไฟลุกเป็นตัวเพียงพอนขนาดใหญ่ที่มีขนเป็นไฟตั้งแต่หัวจรดปลายหางตามแนวกระดูกสันหลัง
มักขุดดินเพื่อทำเป็นที่อยู่อาศัยโดยส่วนมากมักจะทำรังในป่า
มักอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว รักสันโดษและมักไม่ปรากฏตัวให้เห็นง่ายๆ เท่าไรนักเว้นแต่เวลาออกมาล่าเหยื่อ
พวกเขาทั้งสามคนกล่าวลากับฟลอร่าและโรซ์เวลก่อนจะมุ่งหน้ามายังโรงเลี้ยงสัตว์ของโรงเรียนเพื่อยืมสัตว์พาหนะของโรงเรียน
ซึ่งจะยืมได้ก็ต่อเมื่อมีภารกิจเท่านั้น สัตว์พาหนะนี้เรียกว่า แพร์เคน
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างหน้าตาเหมือนไก่ แต่สีขนมันฉูดฉาดเหมือนนกแก้ว
ตัวมันใหญ่พอให้ขี่ครั้งละ 2 คน
แต่ถึงกระนั้นลูซก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องนั่งอยู่หน้าราเชลทั้งๆ
ที่เขาไม่ได้เป็นคนขับด้วย...
“เอ่อ ยืมมาอีกตัวไม่ได้หรือไง” ลูซทำหน้าไม่สบายใจเพราะอยู่ในท่าที่หมิ่นเหม่
ขยับยาก
“ระดับล่างห้ามยืมสัตว์พาหนะ จำไม่ได้หรือไง”
ราเชลตอบและยิ่งยิ้มได้ใจเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของลูซ
“อย่าบ่นเลยน่า ทำอย่างกับว่านี่เป็นครั้งแรก”
ไม่ใช่ครั้งแรกก็ไม่ชินเฟ้ย!
วีเซิลไฟลุกเป็นสัตว์ที่ไม่ดุร้ายแต่สิ่งที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังเผชิญหน้าอยู่คือวีเซิลไฟลุกที่มีไฟลุกท่วมทั้งตัว
ตาของมันแดงฉานและเกรี้ยวกราด เสียงคำรามและเสียงขู่สลับกับการพ่นไฟใส่คนรอบๆ
เป็นพักๆ บ้านร้างที่เคยเป็นที่อาศัยของมันก็กำลังไฟลุกท่วมและใกล้พังเต็มทีคนที่อาศัยในระแวกนั้นก็กำลังช่วยกันไปตักน้ำมาจากบึงใกล้ๆ
“เอ่อ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” ราเชลเข้าไปถามหญิงชาวบ้านที่ส่งกำลังใจอยู่แถวนั้น
“จู่ๆ
วีเซิลไฟลุกที่อาศัยอยู่ในนั้นก็เกิดอาละวาดขึ้นมานะสิ แจ้งหน่วยดับเพลิงไปตั้งนานแล้วยังไม่มาเลย...ว่าแต่พวกเธอเป็นใครกันละนี่”
เธอหันมาตอบอย่างร้อนรนในช่วงแรกแต่พอเห็นชุดนักเรียนของทั้งสามคนก็ถามขึ้นมา
“พวกเรามาจากโรงเรียนแอนนอทครับ
ได้รับภาระกิจให้มาพาวีเซิลไฟลุกกลับคืนสู่ป่า” ลูซเป็นคนตอบ
“ไปช่วยเขาดับไฟกันเถอะลูซี่”
เรเชลพูดขณะหยิบสายยางในกระเป๋าตัวเองมาเชื่อมต่อกับปืนฉีดน้ำ
ราเชลเองก็ทำแบบเดียวกัน เขายื่นสายยางอีกฝั่งหนึ่งให้กับลูซแล้วสั่งให้เอาปลายสายยางนั้นไปจุ่มในบึง
“พวกนายรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้?”
ลูซถามขณะที่สองพี่น้องกำลังใช้พลังดัดแปลงปืนฉีดน้ำที่พวกเขาถืออยู่
หน้าตาของมันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตรงส่วนท้ายของมันเชื่อมติดกับสายยางแนบสนิท
ขนาดขยายใหญ่ขึ้นและดูมีน้ำหนักมากขึ้นด้วย
“อย่าถามมากน่า
ตอนนี้นายช่วยส่งสายยางในกระเป๋านายมาให้เราหน่อย และระหว่างที่เรากำลังทำงานกันอยู่นายก็ช่วยเอาปลายสายยางไปจุ่มน้ำตามที่เราบอกก็พอ
คอยดูแลด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะจับนายทำบาร์บีคิว” เรเชลกล่าวหน้าเครียดซึ่งมันขัดกับน้ำเสียงขี้เล่นของเขาเสียเหลือเกิน
ฝาแฝดไดนีมัสเป็นคู่พี่น้องที่มีความสดใสร่าเริงตลอดเวลาแม้ว่าจะอยู่ในยามที่อันตรายก็สามารถคงความไร้สาระไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย(อาจเป็นเพราะอย่างนี้ก็ได้พวกเราถึงสนิทกัน)
พลังของทั้งคู่ลูซเรียกมันว่า พลังเปลี่ยนประสิทธิภาพ
มันเป็นพลังที่ทำให้ของธรรมดาๆ กลายเป็นของวิเศษได้ตามแต่ที่เจ้าตัวจะนึกออก
ฟังดูสะดวกสบายแต่เวลาสองคนนี้จะทำอะไรจะต้องคิดให้ถี่ถ้วนว่าจะต้องเตรียมอะไรบ้างสำหรับสิ่งที่ตัวเองคิดออก
ลูซไม่รอช้าที่จะวิ่งเข้าไปโดยมีราเชลตะโกนไล่หลังมาว่า
“ฉันให้เวลานายสองนาทีนะ!”
ลูซต้องวิ่งผ่านบ้านหลังนั้นไปทางด้านหลังเพราะบึงน้ำอยู่หลังบ้านนั้นไม่ไกลนักและเพื่อไม่ให้สายยางถูกไฟไหม้เขาจึงต้องวิ่งอ้อมไปทางป่าใกล้ๆ
บ้านร้าง ไม่นานเขาก็มาถึงบึงน้ำ มันไม่ใหญ่นักแต่ก็ใสสะอาด
รอบด้านเป็นป่าไม้ทำให้บรรยากาศร่มรื่นแต่ลูซไม่มีเวลาโอ้เอ้มากนัก
เขารีบเอาปลายสายยางจุ่มลงไปในน้ำทันที
และขอให้ชาวบ้านที่วิ่งมาตักน้ำช่วยกลับไปบอกฝาแฝดว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทางด้านฝาดแฝด
เมื่อได้รับสัญญาณจากลูซก็รีบดำเนินการทันที
พวกเขาสั่งให้ปืนเริ่มสูบน้ำเมื่อน้ำเข้าสู่ปืนก็เริ่มยิงทันที
น้ำที่ออกมาทั้งแรงและมีปริมาณมากทีเดียว วีเซิลที่โดนฉีดน้ำใส่มีอาการมึน ๆ มันเหมือนจะใจเย็นลงบ้างเล็กน้อยแต่ตาของมันยังคงแสดงความโกรธอยู่
มันพ่นไฟใส่ฝาแฝดและคนที่ยืนอยู่รอบๆ โชคดีที่ทุกคนหลบทัน วีเซิลไฟลุกคำรามอย่างกราดเกรี้ยวอีกครั้งก่อนจะใช้ปากโยนเศษไม้ติดไฟออกมาจากหลังคาบ้านให้หลบกันระนาว
“ลูซ มาช่วยทางนี้ดีกว่า ไม่ต้องเฝ้าแล้ว!” เสียงแฝดคนหนึ่งตะโกนมา
ลูซสะดุ้งก่อนจะกวาดตาอย่างลวกๆ เพื่อดูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนวิ่งไปอย่างเร่งรีบ
ทว่าระหว่างที่กำลังวิ่งผ่านบ้านร้างที่กำลังลุกเป็นไฟ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่ง
เป็นเสียงเล็กๆ ที่ดังออกมาจากในบ้านร้างนั่น
‘แม่จ๋า’
ลูซหยุดวิ่งกะทันหัน
เขาพยายามเพ่งไปในตัวบ้านเพื่อมองหาต้นเสียง
วีเซิลไฟลุกกำลังคำรามอยู่บนหลังคาบ้านจนไม่ได้สนใจมองเขาเลย
ทางฝาแฝดเองก็ยุ่งอยู่กับการรับมือกับวีเซิลไฟลุกขณะนั้นเองเสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นอีกเป็นสัญญาณให้ลูซตัดสินใจวิ่งเข้าไปในกองเพลิงโดยไม่คิดลังเล
พอรู้ตัวอีกทีรอบ ๆ
ตัวก็เต็มไปด้วยเพลิงสีส้มเสียแล้ว...
เสียงนั้นยังคงดังอยู่เรื่อย ๆ
ทำให้การตามหาตัวต้นเสียงนั้นไม่ยากเท่าไหร่ ทว่าก่อนที่เขาจะเจอกับคนที่คิดว่าเป็นตัวต้นเสียง
เขากลับเจอกับวีเซิลไฟลุกเสียก่อนเนี่ยสิ
แต่เป็นวีเซิลไฟลุกขนาดเล็กน่ะนะ
วีเซิลไฟลุกตัวน้อย สูงเท่าครึ่งขาของลูซกำลังมองมาด้วยความหวาดกลัว
และเขาก็เข้าใจในทันทีว่าต้องมีใครสักคนไปยุ่มย่ามกับลูกของมันอย่างแน่นอน
แม่มันถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น แต่ไม่ทันที่จะคิดหาวิธีแก้ไข
เสาต้นหนึ่งก็หักลงมาเตรียมจะทับเจ้าวีเซิลน้อยที่มัวแต่ตกใจ
“เฮ้ย!!” ลูซร้องและกระโดดเข้าไปคว้าตัวมันด้วยสัญชาตญาณ
ถึงจะหลบเสาได้อย่างหวุดหวิดแต่หลังของเขากลับถลาไปกับพื้นไม้ขรุขระจนเป็นแผลแถมยังไปกระแทกซ้ำกับกำแพงห้องอีกต่างหาก ทั้งเจ็บทั้งจุกเหมือนกับตอนที่ถูกแซคเหวี่ยงเขากระแทกฝาผนังที่โลกแห่งความจริงเพียงแต่มันเจ็บมากกว่าหลายเท่า
ความเจ็บจากแรงกระแทกจุกมาถึงทรวงอกจนหายใจลำบาก
ยิ่งอยู่กลางกองเพลิงก็ยิ่งหายใจลำบากมากเข้าไปอีก ลูซดันตัวลุกขึ้นนั่งและเผยยิ้มออกมาเมื่อพบว่าเจ้าตัวเล็ก(?)ในอ้อมกอดของเขานั้นปลอดภัยดี
ดูเหมือนว่ามันจะรับรู้ว่าเขามาช่วยจึงยอมอยู่ในอ้อมกอดนิ่ง ๆ
ตอนนี้เสียงน้ำแรงดันสูงดังมาจากทุกทิศ
คาดว่าฝาแฝดคงจะใช้เวลาในการดับไฟไม่นานนัก...
พอคิดได้แบบนั้นก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นและปล่อยให้สติค่อย ๆ หลุดลอยไป แต่แล้วเสียงกระแทกเปิดประตูก็กระชากสติของลูซกลับคืนมา
หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง นางมีผมสีแดงยาวและปลายผมของนางกำลังลุกเป็นไฟ
ผิวสีแดงเข้มมีรอยแตกเต็มตัวที่เผยให้เห็นแมกม่าที่ไหลเวียนอยู่ข้างใน นางเดินเท้าเปล่าเข้ามาอย่างไม่กลัวไฟจะไหม้แม้แต่น้อย
ดูจากลักษณะแล้วนางต้องเป็นอมนุษย์เผ่า“หญิงสาวผมไฟ” แน่ ๆ
หญิงสาวผมไฟเป็นอมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในภูเขาไฟไม่ก็อยู่ใต้ผิวโลกที่มีแมกม่าร้อนระอุ
นานๆ จะขึ้นมาสักครั้ง มีร่างกายเป็นหิน ภายในร่างกายก็เป็นแมกม่า และมักมีผมสีแดงประกายเพลิง
อมุษย์พวกนี้มีนิสัยชอบสะสมสิ่งมีชีวิตในรูปของฟอสซิลและจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
เดาได้ไม่ยากเลย
หญิงสาวผมไฟตนนี้แหละคือสาเหตุที่ทำให้วีเซิลไฟลุกอาละวาดอย่างหนัก
นางคงอยากได้ลูกวีเซิลไฟลุกแม่ของมันจึงต่อต้านและอาละวาดใหญ่โต
“อู้ว ดูซิว่าข้าเจออะไร” นางพูดด้วยน้ำเสียงไร้แววตื่นเต้น ขณะที่ลูซฝืนขยับเขาชันเข่าขึ้น
ตั้งท่าเตรียมพร้อมตอบโต้ มือข้างหนึ่งกอดวีเซิลตัวน้อยเอาไว้พยายามปกป้องอย่างเต็มที่
“ดูท่าว่าเจ้าคงไม่อยากส่งเจ้าตัวนั้นมาให้ข้าสินะเจ้าหนู” นางขยับยิ้มก่อนจะมีลูกไฟโผล่ขึ้นมาบนมือ
“เอาล่ะข้าจะให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้า
ส่งวีเซิลตัวน้อยของข้ามาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเผาเจ้าให้เป็นจุล”
ลูซไม่ตอบและได้แต่จ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีเพลิงดุร้ายของนางอย่างท้าทายที่ดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อยเชียวละ
หญิงสาวคนนั้นเหยียดยิ้มมุมปากอย่างดูถูกพร้อมกับแผ่จิตสังหาร “ถ้าอย่างนั้นก็หายไปซะ!!” สิ้นเสียงลูกไฟขนาดยักษ์ก็ถูกขว้างออกมาอย่างรวดเร็ว
ลูซยกมือขวาขึ้นป้องกันตามสัญชาติญาณ
ทว่าก่อนที่มันจะมาถึงลูกไฟขนาดยักษ์ก็สลายไปทันทีราวกับถูกลบออกไป
เจ้าวีเซิลไฟลุกตัวน้อยอยู่ข้างหลังครางเบา ๆ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!!?”
เจ้าของลูกไฟยักษ์อุทานเสียงดังก่อน นางเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจก่อนจะสร้างลูกไฟขึ้นมาอีกและเริ่มโจมตี
ลูกวีเซิลไฟลุกคำรามก่อนจะกระโดดออกไปและพ่นไฟสกัดเอาไว้
แรงระเบิดจากการปะทะทำให้เสารอบๆ
พังลงมาขณะเดียวกันแม่วีเซิลไฟลุกก็พังหลังคาลงมาเพื่อปกป้องลูกของมัน
มันขู่ใส่หญิงสาวผมไฟก่อนจะสะบัดขาซัดหญิงสาวผมไฟกระเด็นออกไปข้างนอก เธอกลิ้งอีกหลายตลบก่อนจะสบถอย่างไม่พอใจ
ฝาแฝดกับชาวบ้านที่กำลังจะบุกเข้าไปต่างก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างงงๆ
“พวกแก ฝากไว้ก่อนเถอะ” หญิงสาวผมไฟตวาดอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะมุดดินหนีไป
ตอนนี้บ้านร้างนั้นพังไม่เหลือชิ้นดี
ท่ามกลางซากไม้ที่กำลังลุกไฟนั้นวีเซิลไฟลุกตัวแม่ยังไม่ดับไฟจากตัวของมัน
มันกำลังดมลูซที่นั่งอยู่กับพื้น ไม่มีใครกล้าขยับหรือทำอะไรทั้งนั้น พวกเขากำลังมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างลุ้นระทึก
ลูซคลี่ยิ้ม สายตาจับจ้องที่ลูกวีเซิลไฟลุกและกระซิบเบาๆ
“ปลอดภัยแล้วนะ” และเขาก็สลบไป
ร่างบางล้มตัวลงราวกับตุ๊กตาผ้า
ทันใดนั้นแม่วีเซิลไฟลุกก็ดับไฟและใช้หัวเข้ารับร่างของเด็กชายทันที
“อ้ากกก!!!”
ลูซสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกและพบว่าอยู่ในห้องตัวเองในโลกแห่งความจริง
เขาค่อย ๆ ผ่อนลมและพลิกตัวเพื่อเอื้อมมือไปที่แผ่นหลังและก็ต้องถอนหายใจอีกรอบเมื่อพบว่าแผ่นหลังนั้นไม่มีบาดแผลแต่เรื่องหนึ่งที่แปลกก็คือลูซพบว่าเขามีรอยช้ำปริศนาอยู่ที่หลัง
เช้าวันต่อมาลูซไปโรงเรียนโดยมีขอบตาคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้า
สาเหตุก็มีอยู่ว่าทุกครั้งที่เขาหลับตาความเจ็บที่แผ่นหลังจะแล่นปราดเข้ามาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้งเพราะทนความเจ็บไม่ไหว
เป็นสาเหตที่ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน
“เมื่อคืนไปเจอศึกหนักมาหรือไงลูซี่
นายดูโทรมจัง” เรเชลเข้ามาทักซึ่งลูซที่นั่งฟุบอยู่กับโต๊ะ เขาครางตอบโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายเลย
“นี่ ๆ รู้ไหมฉันกับเรเชลฝันเหมือนกันอีกแล้วล่ะ
ในฝันนั้นมีนายด้วยนะ รู้หรือเปล่าว่านายน่ะโคตรเท่เลย!”ราเชลเข้ามาสมทบ
ซึ่งลูซก็ส่งเสียงครางกลับไปเช่นกัน ราเชลหยิบเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลงข้าง ๆ พร้อมฉีกยิ้มอย่างร่าเริง
“อาๆ เล่ามาสิ”
ลูซกรอกตาพลางนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
แต่แล้วลูซก็ต้องแปลกใจเมื่อทั้งสองเล่าถึงฝันได้อย่างละเอียด
ละเอียดเกินไป พวกเขาเล่าตั้งแต่เดินไปที่บอร์ดประกาศเพื่อดูแผ่นประกาศภารกิจแถมยังสามารถเล่าว่าพวกเขาอ่านเจอภารกิจอะไรบ้างก่อนจะมาเจอแผ่นประกาศของภารกิจวีเซิลไฟลุกซึ่งกำลังใกล้จะหมดอายุแล้วจึงตัดสินใจรับภารกิจนี้
นอกจากนั้นทั้งเหตุการณ์หรือกระทั่งบทสนทนาต่างๆ ก็สามารถเล่าได้เกือบทั้งหมด
“พวกนาย...จำได้ละเอียดจังเลยนะ?”
“ฝันที่สนุกขนาดนั้นเราไม่มีทางลืมได้หรอก! เนอะพี่”
เรเชลหันไปหาราเชลและเริ่มต่อประโยคเหมือนที่ชอบทำกันเป็นประจำ
“ทั้งเรื่องปืนฉีดน้ำแรงสูง”
“ทั้งเรื่องตัววีเซิลยักษ์ลุกเป็นไฟ”
“แล้วก็เรื่องที่ลูซี่ช่วยลูกมันด้วย”
ฝาแฝดส่งยิ้มกว้างมาให้แต่ลูซกลับรู้สึกไม่สบายใจเลย
พวกเขาจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความฝันแบบละเอียดยิบได้อย่างไรกัน?
ลูซเก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้ในใจ
ตั้งใจว่าจะมาถามเรื่องนี้กับฟลอร่าที่โลกแห่งความฝันทว่าระหว่างวันนั้นก็เกิดเรื่องวุ่นวายทำให้เขาเสียสมาธิจนได้
ฝาแฝดไดนีมัสลากตัวเขาไปที่โรงอาหารก่อนถึงเวลาพัก
ที่ลากออกมาได้นั้นก็เพราะว่าวันนี้ครูไม่อยู่นั่นเอง ข้างๆ
โต๊ะกินข้าวของนักเรียนมีร่มชายหาดตั้งอยู่ ใต้ร่มนั้นมีเตาย่างวางอยู่บนโต๊ะ
“เอ่อ พวกนายจะทำอะไรกัน?”
ลูซถามอย่างไม่เข้าใจนักแต่ทั้งสองไม่ตอบกลับวิ่งไปที่พุ่มไม้ไกล้ๆ
เพื่อเอากระเป๋าที่ซ่อนไว้ออกมา
ในกระเป๋ามีหมูดิบเสียบไม้จำนวนหนึ่งใส่ไว้ในกล่องอย่างดี
พอเห็นแบบนั้นลูซก็พอจะเข้าใจแล้วว่าพวกเขาจะทำอะไร
“ถูกต้องแล้วล่ะลูซ พวกเราจะทำหมูปิ้งขายกัน!” ราเชลเป็นคนตอบเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของลูซ
ส่วนเรเชลก็เข้ามาจับตัวลูซไว้เพื่อไม่ให้หนีไปไหน
“ปล่อยนะ เดี๋ยวอาจารย์วินก็ว่าหรอก”
“ไม่ว่าหรอก ก็วันนี้อาจารย์วินไม่อยู่นี่นา
ฮ่าๆๆๆๆ” ราเชลหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
ขณะที่ลูซได้แต่ยืนอึ้งเพราะการที่อาจารย์วินจะไม่อยู่โรงเรียนนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ
เรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโรงเรียนเลยก็ว่าได้
“แต่ก็มีครูคนอื่นอยู่ดี”
“เอาน่า อย่าพูดมากเลย รีบเตรียมตัวได้แล้ว นายต้องเป็นคนปิ้งนะ”
ราเชลบอกขณะกำลังจุดไฟที่เตาปิ้ง
“ไปเอาของพวกนี้มาจากไหนกัน”
“ไปขอยืมป้าๆ ที่โรงอาหารมา” เรเชลปล่อยตัวลูซเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขัดขืนแล้ว
“น่าๆ ถือว่าเป็นการโปรโมทห้องเราไปในตัวเลย ใกล้จะถึงวันงานโรงเรียนแล้วนี่นา”
สุดท้ายลูซก็ยอมปล่อยเลยตามเลย
ปรากฏว่าหมูปิ้งนั้นขายดีกว่าที่คิด
กลายเป็นว่าลูซต้องลางานพิเศษหนึ่งวันเพื่อมาขายหมูปิ้งแทน
เป็นประสบการณ์ลุยไฟที่ร้อนดีจริงๆ เลย...
ห้องสีขาว เครื่องมือแพทย์ส่งเสียงเบาๆ ตลอดเวลา
อากาศสะอาดกว่าปกติทำให้ลูซรู้สึกสดชื่น
แสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านขาวเข้ามากระทบใบหน้า ลูซรู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือโรงพยายาบาลและเขากำลังอยู่ในโลกแห่งความฝัน
เขามองไปรอบๆ ห้องและเห็นหลังของฝาแฝดที่กำลังเดินออกไปแต่ลูซเรียกเอาไว้ไม่ทัน
เขาจึงกระเสือกกระสนลงจากเตียงวิ่งตามพวกเขาไป โชคดีที่ทันก่อนพวกเขากำลังจะลงลิฟท์ไป
“อ้าว ลูซ นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ!” ราเชลหันมาทักพอดี
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกน่า
เมื่อคืนนายฝันว่าได้ทำหมูปิ้งในโรงเรียนหรือเปล่าน่ะ!”
พอพูดจบความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้ามาจนทำให้เขาต้องกัดฟันแน่น
“เฮ้ ลูซนายเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ นายรู้ได้ยังไงกันว่าเราฝันว่าทำหเรียน?”
“เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง
ตอนนี้ไปหาฟลอร่ากันเถอะ”
แบบนี้มันแปลกเกินไปแล้วล่ะ!!
ความคิดเห็น