ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Night Sombra เงารัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #3 : ค่ำคืนที่ 2 ตัวผมในโลกนี้(?)[แก้คำ18/1/2559]

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 59


    ค่ำคืนที่ 2  ตัวผมในโลกนี้(?)

     

    “ไง” เขาทักทายอีกรอบเมื่อเห็นผมไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้

    “เหวอ!!” ผมเผลอร้องออกมาและกระเถิบถอยห่างอย่างรวดเร็ว  “นายเป็นใครน่ะ!!?” เขาหน้าตาเหมือนผมเลยทั้งผมสีดำสนิท ใบหน้าสวย(?) และนัยน์ตาสีม่วงองุ่นแดง เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ ทั้งที่เหมือนผมทุกอย่างแต่ทำไมเวลายิ้มเขาดูดีกว่าผมล่ะ โอ้ย แสบตา!

    “ถามอะไรแปลกๆ ฉันก็คือนายยังไงล่ะ ตกใจอะไรกัน” เขาหัวเราะเบาๆ

    “ความจริงแล้วคนที่ต้องตกใจควรจะเป็นฉันมากกว่านะ” เขาส่งยิ้มร่าเริงก่อนจะพูดต่อ “จู่ๆ นายก็โผล่มาจากอีกโลกหนึ่งแล้วแย่งร่างฉันไปแบบนี้ ฉันตกใจแย่เลยนะรู้ไหม?” คำพูดของเขาทำผมสะอึก

    “...ขอโทษ” ผมหลุบตาลงต่ำและพูดเสียงอ่อยด้วยความสำนึกผิด ไม่คิดว่านอกจากผมจะทำผิดกับโลกแล้วผมยังทำผิดกับตัวเองด้วย เอ๊ะเดี๋ยว ไอ้พื้นนี่มันอะไรกัน?

    ผมมองไปยังพื้นใสด้านล่าง ความเย็นที่สัมผัสได้ตามร่างกายราวกับกำลังสัมผัสกับน้ำโดยมีพลาสติกแผ่นบางกั้นอยู่ ส่วนรอบกายเป็นสีขาวโพลนยาวออกไปอย่างไร้ขอบเขต

     “ที่นี่ที่ไหน?” 

    “บอกตามตรงฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน พอตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว แต่คิดว่าอาจจะเป็นทางเชื่อมของโลกทั้งสองก็ได้”

    “แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

    “นายลอยขึ้นมา” เขาชี้ไปยังจุดที่ผมตื่นขึ้น

    ลอย? ผมเอามือสัมผัสกับพื้นเย็นเฉียบ มันสามารถยืดหยุ่นตามแรงกดของมือได้ราวกับเยลลี่

    “นายไม่ต้องขอโทษหรอก อันที่จริงฉันเองก็หา The Night Sombra อยู่เหมือนกัน  สงสัยมันจะส่งผลไปถึงนายนะ หึหึ”  เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าผม

    “อะไรนะ เดี๋ยวๆ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่านายเป็นคนทำให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นงั้นเหรอ ทำไม?”

     “ก็เพราะว่ามันน่าเบื่อเกินไปน่ะสิ ชีวิตที่นี่น่ะสำหรับนายมันอาจจะดูน่าสนใจ อาจจะดูน่าสนุก แต่สำหรับคนที่เกิดมาในโลกแห่งความฝันตั้งแต่ต้นน่ะ พลังพิเศษมันก็แค่สิ่งที่สืบทอดต่อกันมาในครอบครัว มอนสเตอร์ต่างๆ ก็เป็นแค่สัตว์ธรรมดาๆ พืชก็เป็นแค่พืช ภารกิจก็เป็นเหมือนภาระงานที่ต้องทำเพื่อคะแนนและเก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ก็เท่านั้น” เขาหยุดพักครู่หนึ่ง

    “ฉันได้ความทรงจำของนายบางส่วนแล้วล่ะ โลกของนายน่าสนใจจริงๆ ไอ้ที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั่นมันมีไว้ทำอะไรกันแน่น่ะ? ฉันเห็นคนของโลกความจริงเอามันมาทาบหูแล้วก็พูดกับมันด้วยล่ะ มันเป็นสิ่งมีชีวิตงั้นเหรอ มันกินอะไรล่ะ? แล้วก็นั่นอีก ไอ้กล่องสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ บางๆ น่ะ ผู้คนสามารถเข้าไปอยู่ในนั้นได้ด้วยเหรอ มันเป็นเวทมนตร์สายไหนกัน น่าสนใจจริงๆ !!” เขาค่อยๆ คลานเข้ามาหาในขณะที่ปากก็ยังทำงานไม่หยุด ท่าทางดูกระดี๊กระด๊าเกินหน้าเกินตาจนผมยังต้องถอยหนี

    พูดมากจริง

    “ฉันได้ยินที่นายคิดนะ” คำพูดของเขาทำผมสะอึก

    “ไม่แปลกหรอกที่นายจะคิดว่าฉันไม่เหมือนกับนาย ทั้งๆ ที่ฉันก็คือนาย ตัวตนในโลกแห่งความฝันของทุกคนน่ะ ความจริงแล้วเป็นส่วนลึกของตัวตนในโลกแห่งความจริง”

    “หมายความว่าไง?”

    “ก็หมายความว่าฉันเป็น ตัวตนที่แท้จริงของนายยังไงล่ะ แต่เป็นตัวตนที่นายเลือกที่จะปิดกั้นมันเอาไว้”

    ปิดกั้นงั้นเหรอ

     “ถามหน่อย นายใช้ชีวิตยังไงในโลกนี้เหรอ แล้วพลังพิเศษของเราคืออะไร จริงสิ ฉันยังไม่รู้เลยว่าป่าทมิฬมันอยู่ที่ไหนน่ะ” ผมยิงคำถามรัวๆ

    “ฮ่ะๆๆ ใจเย็นน่า คำถามแรก ฉันก็เหมือนกับนาย พอแม่เสียไปพ่อก็เริ่มไม่อยู่บ้านและทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว  ส่วนสังคมเพื่อนก็ไม่ค่อยมีหรอก นอกจากเจ้าฝาแฝดจอมป่วนคู่นั้นน่ะ”

    “แม่ของฉันยังไม่เสียนะแค่แยกทางกับพ่อเฉยๆ ” ผมขัดขึ้น พอได้ยินประโยคนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ผมมั่นใจว่าท่านยังไม่เสีย ถึงแม้จะไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วแต่หากเสียใปจริงๆ ก็ควรจะมีข่าวคราวอะไรมาบ้าง

    “จริง...จริงเหรอ?” เขาถามผมด้วยสีหน้าเหลือเชื่อสุดๆ ผมพยักหน้าแทนคำตอบ เขาหลุบตาต่ำลงราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว

    “เอาล่ะ  สำหรับคำถามที่สองฉันว่านายน่าจะเรียนรู้ด้วยตัวเองน่าจะดีกว่านะ” เขาพยักหน้ากับตัวเองเป็นเชิงว่า แบบนี้แหละดีแล้ว

    เส้นเลือดบนขมับของผมกำลังเต้นตุบๆ

    “ฮ่ะๆ อย่าเพิ่งโมโหน่า ฉันขี้เกียจอธิบายน่ะ อีกเดี๋ยวนายก็รู้จะเอง ส่วนคำถามที่สาม นายควรจะไปถามแม่สาวที่ชื่อฟลอร่านะ” เขาบอกหน้าตาย

    เส้นเลือดบนขมับกำลังเต้นแรงมากขึ้นและมีจำนวนมากกว่าเดิม

    “ฮ่ะๆๆ ยังไงก็ฝากตัวด้วยก็แล้วกัน” เขายื่นมือมาข้างหน้า

    “อา” ทันทีทีผมสัมผัสกับมือเขา พื้นน้ำรอบตัวก็ขยับเป็นระลอกคลื่น ก่อนที่น้ำกลุ่มหนึ่งจะค่อยๆ มารวมตัวกันตรงหน้าของพวกเรา

    หนังสือ The Night Sombra ปรากฏขึ้น

    “มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?” ผมเอื้อมมือไปหยิบมันมาแล้วเปิดดู อีกฝ่ายเขยิบตัวเข้ามาอย่างสนใจ

    ตัวหนังสือ!! มันมาได้ยังไงกันนะ?

    หน้ากระดาษที่เคยว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยตัวหนังสือมากมาย ผมเปิดไปเรื่อยๆ พร้อมกับอ่านข้อความคร่าวๆ

    ผมเริ่มจัดชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ มากมาย บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าพ่อของผมทำอาชีพอะไรกันแน่ เขามักจะไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน แต่พอกลับมาทีก็จะมีของแปลกๆ มาประดับบ้านอยู่เสมอ เวลาของเขาส่วนใหญ่เสียไปกับการหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน โดยที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขานั่งทำอะไร ไม่ว่าจะถามกี่ครั้งก็เอาแต่บอกว่าวิจัยๆ แล้วก็ไล่อย่างกับหมูกับหมา

    นี่มัน

    “ฉันต้องการทดสอบเธอจะทดสอบว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่ฉันจะสอนหรือเปล่าก็เท่านั้นล่ะ  วิชาพฤกษศาสตร์ของฉันจะไม่จบแค่การที่นักเรียนรู้จักพืชแค่ครึ่งๆ กลางๆ ”

    เรื่องราวของผมนี่

    ผมเปิดไปยังหน้าที่ตัวหนังสือสิ้นสุดลง

    “สวัสดี”

    “สวัสดี”

    คำว่าสวัสดีปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับการกล่าวสวัสดีของตัวผมอีกคน

    “โฮ่ ไอ้หนังสือนี่น่าสนใจไม่เบาเลยนี่นา” เขาคว้าหนังสือไปเปิดดูและเปิดไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงหน้ากลาง

    “เดี๋ยวๆ หยุดก่อน” ผมยกมือห้ามเขาก่อนจะหยิบหนังสือกลับมา

    “ภาษาโบราณเปลี่ยนไป” ผมพึมพำพร้อมกับมองหน้ากระดาษด้วยสายตาเหลือเชื่อ 

    “นี่มันภาษาโอเรนช์นี่” เขาพูดอย่างตื่นเต้น

    “นายรู้จักด้วยเหรอ?”

    “อืม  วิชาเสริมอีกวิชาที่ฉันเรียนก็คือวิชาภาษาโบราณน่ะ นี่เป็นภาษาที่ฉันเพิ่งได้เรียนเมื่อวันก่อนนี่เอง” เขาตอบ

    “มันอ่านว่ายังไง?” น่าแปลก ทั้งที่ตอนนั้นผมอ่านออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแต่ตอนนี้กลับอ่านไม่ออกแม้แต่นิดเดียว แสดงว่าที่อ่านออกตอนนั้นเป็นเพราะอิทธิพลจากตัวผมในโลกแห่งความฝันนี่เองสินะ

     เขาพินิจตัวหนังสือเหล่านั้นก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ และพูดสำเนียงแปลกๆ ออกมาเป็นสำเนียงที่คุ้นเคยอย่างประหลาดทว่ายังไม่ทันหายมึน พื้นรอบๆ ตัวมันก็ยุบลงพร้อมดูดกลืนร่างของผมลงไปอย่างช้าๆ  “เหวอ นายทำอะไรน่ะ!!?

    “ดูเหมือนว่าจะเป็นคาถารวมจิตน่ะ” เขาหันมาตอบผมด้วยสีหน้ายิ้มระรื่นราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นทุกข์ร้อนอะไรสำหรับเขา สายตาของเขานั้นแฝงด้วยความรู้สึกมากมายทั้งยินดี เศร้าหมองและเวทนา

    “คาถารวมจิต!!? แล้วยังไงต่อล่ะ นายช่วยฉันหน่อยสิ” ผมพยายามดิ้นตะเกียกตะกาย  ตอนนี้ร่างของผมจมไปมากกว่าครึ่งแล้ว ข้างใต้พื้นใสๆ นั่นเย็นเฉียบราวกับกำลังถูกแช่แข็งที่อุณหภูมิติดลบหลายองศา

    “รู้หรือเปล่า ว่าทำไมนายถึงไม่ถูกส่งมาที่นี่ก่อนที่จะไปยังโลกแห่งความฝัน” เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะมองมาที่ผม สายตาหลากความรู้สึกนั่นทำให้รู้สึกว่างเปล่าชอบกล มุมปากเขากระตุกขึ้นจนกลายเป็นรอยยิ้มหยันที่ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะสามารถยิ้มได้ชั่วร้ายแบบนี้มาก่อน

    “นั่นก็เพราะมันคือเงื่อนไขของเวทย์นี้ยังไงล่ะ  ใครร่ายเวทย์ก่อนคนนั้นครอบครอง  ฉะนั้นฉันได้เป็นคนควบคุมร่างกาย...ถือว่าหนึ่งวันนี้เป็นค่าชดเชยสำหรับการเสียเวลาของนายก็แล้วกัน” อีกฝ่ายยิ้มเย็นเป็นการบอกลา

    ผมมองเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ นี่ผมถูกตัวเองหักหลังงั้นเหรอ!!?

    ภาพของตัวเองอีกคนค่อยๆ เลื่อนออกไป ภาพรอบด้านเริ่มกลายเป็นสีดำมืด ทว่ารอยยิ้มสุดท้ายนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจ เสียงสวดมนต์ดังระงมอยู่ในโสตประสาทสลับกับเสียงพูดคุยของผู้คนมากมาย ผมเห็นเงาสีดำจำนวนมากค่อยๆ คืบคลานเข้ามาผ่านทางเปลือกตาที่ปิดไม่สนิท ผมพยายามดิ้นทุรนทุรายทว่าร่างกายกลับหนักอึ้ง ทั้งเย็นเยียบ หนาวเหน็บและอึดอัดราวกับถูกหินทับ

    หายใจไม่ออก

    ผมกำลังจะตาย

    อ๊ากกกผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเอง ความอึดอัดเมื่อครู่ยังคงติดค้างอยู่ในความรู้สึก ผมมองไปรอบๆ พร้อมกับพยายามปรับลมหายใจให้ช้าลง

    เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ผมลุกออกจากเตียงและเดินไปทางหน้าต่าง เมื่อครู่ผมเพิ่งจะถูกตัวเองหักหลังและน่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนในโลกแห่งความฝันแต่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย  ผมเอื้อมมือจะไปเปิดผ้าม่าน

    ไม่ได้หักหลังสักหน่อยผมสะดุ้งก่อนจะหันไปหาต้นเสียงและพบกับตัวเองอีกคนกำลังนั่งอยู่บนเตียง

    นาย! นายมาที่นี่ได้ยังไง!!?” ผมชี้หน้าเขา ร่างบนเตียงยิ้มขำก่อนจะตอบ

    “แค่แวะมาเท่านั้นแหละ”

    ถ้าอย่างนั้นก็เชิญกลับไปได้แล้วล่ะอีกเสียงหนึ่งขัดขึ้นเรียกความสนใจของผมให้หันไปทางตู้เสื้อผ้าทางด้านซ้ายและเห็นเงาของตัวเองในกระจกกำลังยิ้มอยู่ทั้งที่ตอนนี้มั่นใจได้ว่าตัวเองคงยิ้มไม่ออกแน่ๆ

    ตัวผมในกระจกขยับลุกขึ้นก่อนจะยื่นแขนข้างหนึ่งออกมาจากกระจก ทว่าแขนนั้นกลับกลายเป็นสีดำ  ขณะนั้นแขนอีกข้างก็ค่อยๆ ตามมา  ผมถอยหลังจนไปชนกับโต๊ะเขียนหนังสือในขณะที่ร่างนั้น ค่อยๆ ลอดออกมาจากกระจก ตัวของเขากลายเป็นสีดำสนิท ดวงตากลมๆ สีขาวโพลนว่างเปล่าลึกโหล รอยยิ้มชั่วร้ายที่ประดับใบหน้ากับบรรยากาศที่หนักอึ้งทำให้เอาขนลุกไปทั่วร่างกาย                                                                                                               

    “สวัสดีอีกครั้ง ลูซ อิวิลเลฮ์” ร่างสีดำกล่าวทักทายเสียงเย็น

    “นายเป็นใคร?” ตอนนี้สติผมแทบจะบินออกจากร่าง ผมโคตรไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลยสักนิด ร่างสีดำที่ออกมาจากกระจกเป็นใคร แล้วไอ้คนที่หน้าตาเหมือนผมจริงๆ แล้วมันเป็นใคร หรือแม้แต่ตอนนี้ผมอยู่ไหนแล้วก็เกิดอะไรขึ้นผมเองก็ยังไม่รู้เลย

    “ถามแปลกๆ อีกแล้วนะ เราเพิ่งพบกันไม่ใช่เหรอ?” ร่างสีดำกล่าวกับผมอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าไปทางคนที่นั่งสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง

    “คนที่ควรจะถามว่า นายเป็นใคร’ ฉันว่าน่าจะเป็นนายคนนั้นมากกว่านะ” ร่างสีดำพยักพเยิดไปทางคนที่นั่งยิ้มอยู่บนเตียงซึ่งหัวเราะอย่างเสแสร้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก “จำกันไม่ได้แบบนี้ใจร้ายจัง”

    ทันใดนั้นร่างสีดำกระโจนเข้าไปปล่อยหมัดอย่างรวดเร็ว ทว่าร่างที่นั่งยิ้มอยู่กลับกลายเป็นหมอกสีดำไปเสียก่อนทำให้หมัดพลาดไปโดนเตียงจนหักเป็นสองท่อน

    ตู้ม!!

    “เล่นแรงจังเลยนะ” เสียงลึกลับดังขึ้น  ในขณะที่กลุ่มหมอกสีดำรวมตัวกันเป็นม้าสีดำสนิท

    “คืนนี้ฉันสนุกมากเลยล่ะ แล้วฉันจะแวะมาอีกบ่อยๆ นะลูซ...ก่อนไปก็ขอฝากฝันดีๆ ให้เป็นของขวัญก็แล้วกัน” สิ้นเสียงระรื่นของม้าปีศาจ  ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มบิดเบี้ยว ของเหลวสีแดงสดค่อยๆ ไหลออกมาจากร่องเพดานไม้หล่นใส่ตัวผมราวกับห่าฝนก็ไม่ปาน

    “ละ เลือด!!!” ผมอุทานพร้อมกับมองมือของตัวเองก่อนจะเงยหน้า กำแพงค่อยๆ ละลายเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่นอกกำแพง ทันใดนั้นเสียงผู้คนกรีดร้องอย่างทรมารก็ดังระงมไปทั่ว นอกกำแพงนั้นมีผู้คนมากมายนอนจมกองเลือดอยู่ พวกเขาพยายามจะตะเกียกตะกายเข้ามาพร้อมกับกรีดร้องขอชีวิต

    ภาพสยดสยองทำให้ผมแทบจะหายใจไม่ออก จวนจะอาเจียน เนื้อตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้อยากจะออกไปให้ไกลแต่ก็ทำไม่ได้เช่นกัน ครั้นจะเบือนหน้าหนีเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นก่อน

    “ฝีมือของนายยังไงล่ะ” เสียงลึกลับกระซิบข้างหู ผมตวัดสายตาไปหาต้นเสียงแต่ก็พบกับความว่างเปล่า สายตาเลื่อนจากภาพนอกกำแพงนั่นลงมายังมือของตัวเอง

    ฝีมือของ...ผม?

    “ไม่จริง ไม่จริง!!!” ความสับสนและความหวาดกลัวประดังเข้ามาในจิตใจ มือสองข้างยกขึ้นกุมหัวด้วยหวังว่ามันจะช่วยปกป้องอะไรได้บ้าง ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ขอร้องละเอามันออกไปที!

    “ใจเย็นน่า” ร่างสีดำคุกเข่าลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือมา “จับมือฉันไว้สิ”

     “เจ้านั่นมันก็แค่ฝันร้ายที่เข้ามาแทรกเท่านั้น เดี๋ยวฉันจะไล่มันเอง” ร่างสีดำกล่าวช้าๆ อย่างอ่อนโยน ผิวสีดำเริ่มหลุดออกจากตัวเผยให้เห็นผิวคนปกติที่อยู่ข้างใน  เขาไม่รอช้ารีบคว้ามือผมไปทันที 

    สำเนียงประหลาดดังขึ้นจากปากของเขาอีกครั้งหนึ่ง

    “จากนี้รวมเป็นหนึ่ง เมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยที่จู่ๆ  ก็ร่ายคาถาออกมา  ความเข้าใจผิดของฉันทำให้เราทั้งคู่เกือบต้องตาย ขอโทษด้วยนะ” เขากระซิบและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ กลายเป็นสีขาว

     

    ความทรงจำกำลังไหลเข้ามา เป็นความทรงจำของตัวเองที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน ผมเห็นตัวเองออกไปทำภารกิจกับคู่ฝาแฝด แล้วก็ออกไปทำภารกิจง่ายๆ คนเดียว ได้เห็นการใช้ชีวิตที่ผ่านๆ มา รวมถึงความรู้ที่เคยได้รับมาทั้งหมดด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำ บางอย่างก็เลือนรางแล้วก็ขาดๆ หายๆ แต่บางอย่างก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง ภาพทุกอย่างค่อยๆ เลื่อนผ่านไปเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนภาพยนต์เรื่องหนึ่งและเมื่อภาพยนต์จบลงผมก็ตื่นขึ้น

    !!!

     ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องตัวเองอีกครั้งและพยายามอ้าปากหายใจจู่ๆ ก็ปวดหัวจี้ดขึ้นมา ผมนอนอีกสักพักให้อาการทุเลาลงก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู

    ไม่มีเลือด

    ผมค่อยๆ ลุกไปเปิดหน้าต่างรับอากาศยามเช้า แต่ก่อนที่มือจะเอื้อมไปเปิดผ้าม่านนั้นผมก็หันกลับไปด้านหลังทันทีด้วยความหวาดผวาว่าจะมีใครสักคนมานั่งสบายใจอยู่บนเตียงหรือเปล่า แต่เตียงยังคงว่างเปล่า ทำให้ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่งออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเปิดม่านรับแสงแดดยามเช้า วันอันแสนธรรมดาของผมเริ่มต้นอีกครั้ง

    เมื่อคืนผมได้เจอกับเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องน่าดีใจ น่าตื่นเต้น และน่ากลัวพร้อมๆ กัน แต่เรื่องทั้งหมดมันเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อผมตื่นจากความฝัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้จากความทรงจำนั่นก็คือ...

    ในโลกแห่งความฝันผมดำเนินชีวิตในฐานะผู้ไร้พลังพิเศษ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×