คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ค่ำคืนที่ 1 เงารัตติกาล พาลพบ[แก้คำ 10/1/59]
ค่ำคืนที่ 1 เงารัตติกาล พาลพบ
คำพูดของเธอทำผมอึ้งไปสักพัก “หมายความว่ายังไง? ”
“โลกทั้งสองนั้นจะมีมิติบางๆ
กั้นอยู่เพื่อไม่ให้ทั้งสองโลกนั้นเข้าใกล้ากันมากเกินไป แต่การกระทำของคุณทำให้จิตของโลกทั้งสองที่ควรจะแยกกันมารวมกัน
ดังนั้นเมื่อคุณหลับจิตของคุณในโลกหนึ่งก็จะหลุดออกมา ข้ามมิติบางๆ
นั่นเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
การที่จิตของคุณกระโดดข้ามไปข้ามมามันจะส่งผลทำให้มิติบางๆ
นั่นเสียหายและเมื่อไรที่มิตินั่นทนไม่ไหว”
แล้วโลกทั้งสองก็จะแตกสลาย
“ ไม่ถึงขึ้นแตกสลายหรอกค่ะ” เธอพูดทันความคิดผม “แต่โลกทั้งสองจะรวมกันเป็นหนึ่ง”
รวมกันเป็นหนึ่ง ฟังดูก็ไม่เลวเท่าไหร่นะ คงจะสนุกพิลึกน่าดูถ้าโลกฝั่งนู้นจะใช้พลังพิเศษกัน
“คิดตื้นเกินไปแล้วล่ะค่ะ”
น้ำเสียงของเธอแทรกความคิดของผมอีกครั้งแถมยังกระด้างขึ้นเล็กน้อย
“คุณลองคิดภาพมังกรดุร้ายไปอาศัยในโลกของพวกคุณดูสิคะ
หรือไม่ก็เวลาที่ทุกคนหลงในอำนาจของตนและเริ่มแย่งชิงความเป็นใหญ่ หรือไม่ก็เวลาที่พบว่าตัวเองมีสองคนแล้วเกินแตกคอกันเองเถียงว่าใครคคือตัวจริง...คิดดูสิ
ว่ามันจะวุ่นวายสักแค่ไหนกัน”
สายลมพัดผ่านตัวไป คำพูดของเธอราวกับการตอกย้ำตะปูแห่งความจริงลงมาตรึงร่างไม่ให้ขยับไปไหน ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลย ทีแรกคิดว่าหากมีพลังพิเศษแล้วชีวิตมันจะดีขึ้น
สนุกขึ้นแต่ว่ามันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว“แล้วผมต้องทำยังไง”
ในขณะที่ฟลอร่ากำลังจะให้คำตอบกับผม
เสียงกริ่งหมดพักเที่ยงของโรงเรียนก็ดังขึ้นพอดี
“เรื่องนี้เอาไว้ไปคุยกับคุณยายของฉันตอนเย็นเถอะนะ...โรซ์เวล
ไปกันเถอะ” หญิงสาวหันไปหาชายหนุ่มที่ได้แต่ยืนเงียบตลอดบทสนทนา
เขาพยักหน้าก่อนจะคุกเข่าลงแล้วพาเธอจากไปด้วยความเร็วที่มองตามแทบไม่ทัน
เดี๋ยวสิครับพวกคุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าต้องทำยังไงต่อไป
ทันทีที่รู้สึกตัว กระดาษแผ่นหนึ่งก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าตรงหน้า
บนกระดาษเขียนข้อความเล็กๆ ว่า คาบต่อไปเรียนพละ
ให้ไปที่สนามกีฬา เร็วๆ เข้าล่ะ ‘ w’)/
อีโมติคอน?
พูดถึงวิชาพละศึกษาคนเดียวที่จะสอนวิชานี้ได้ในโรงเรียนคงจะเป็น
ผมวิ่งมาถึงสนามกีฬาแหละเห็นเหล่านักเรียนจัดแถวกันอย่างเรียบร้อยและเป็นระเบียบ
โดยมีอาจารย์ผู้ชายผิวคล้ำ ร่างหนา ท่าทางดุดันยืนคุมอยู่หน้าแถว ผมขาวๆ
และนัยน์ตาสีน้ำตาลดำแข็งกร้าวนั่นผมจำได้ดี เสื้อคอปกสีเรียบกับกางเกงวอร์มตัวเก่งยิ่งทำให้ผมมั่นใจ
ว่าเขาคือ อาจารย์วิน อาจารย์สอนพละผู้เหี้ยมโหด
เจ้าระเบียบที่สุดและน่ากลัวที่สุดในโรงเรียน ขนาดครูที่ห้องกิจการนักเรียนหรือครูสอนวิชาทั่วไปที่ว่าดุๆ
นั้นยังต้องยอมให้เขา
“มาสายนะคุณลูซ” เขาเอ่ยช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ฟังดูเหยียดหยามกึ่งสะใจ
เขามองอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับคนอื่นในห้อง
“สำหรับบทเรียนวันนี้จะเป็นการต่อสู้ระยะประชิด
ให้ทุกคนจับคู่กันแล้วเตรียมตัวสอบในคาบได้เลย
เอาล่ะ ผู้ชาย วิ่งรอบสนามสามรอบ
ส่วนผู้หญิงให้สก๊อตจัมป์ยี่สิบครั้งเป็นการวอร์มอัพ...ปฏิบัติ!!!” สิ้นเสียงของอาจารย์พละ นักเรียนทุกคนต่างขานรับคำและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดทันที
“และสำหรับคุณ คุณลูซ”
เขาเดินเข้ามาหาผมแล้วใช้ส่วนสูงและรูปร่างที่ใหญ่กว่าในการข่มขู่ก่อนจะพูดช้าๆ
“บทลงโทษในการมาสายของคุณในวันนี้คือวิ่งรอบสนามสิบรอบ...ปฏิบัติ!!”
ผมขานรับและเริ่มออกวิ่งอย่างช่วยไม่ได้ ไปๆ มาๆ ทุกคนก็เริ่มวิ่งครบรอบกันหมดแล้ว
เหลือผมคนเดียวที่วิ่งในสนาม ส่วนคนอื่นก็เริ่มจับคู่ซ้อมต่อสู้ระยะประชิดกัน และอาจารย์พละ...ดูเหมือนว่าเขาจะเอาแต่จับตาดูผมตลอดเวลาจนไม่ได้สนใจความเป็นไปของนักเรียนในชั้นเรียนเอาเสียเลยซึ่งนั่นเป็นผลดีกับทุกคนในชั้นเรียนที่ไม่ต้องถูกจับผิดตลอดเวลา
แต่ไม่เป็นผลดีกับผมเท่าไรนักเพราะมันกดดัน!
การวิ่งรอบสนามไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เพราะสนามที่นี่ใหญ่พอๆ กับสนามฟุตบอล
อีกอย่างวันนี้เป็นวันที่ไม่มีเมฆบดบังแสงอาทิตย์เลยแม้แต่น้อย
แต่ก็น่าแปลกที่ว่าถึงแม้ว่าผมไม่รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไหร่ ขาทั้งสองข้างวิ่งต่อไปโดยอัตโนมัติ
ราวกับร่างกายขยับไปเองอย่างนั้นแหละ
จะว่าไปอาจารย์พละโลกความฝันก็เหมือนกับโลกความจริงอยู่เหมือนกัน
เขาจะเข้มงวดกับนักเรียนชายมากกว่านักเรียนหญิง เพียงแต่ในโลกความจริงเขาจะสอนเป็นภาคทฤษฎี
แต่ที่นี่เป็นภาคปฏิบัติ
อย่างกับว่าอาจารย์มาระบายที่โลกฝั่งนี้เลย
เมื่อผมวิ่งครบสิบรอบ
เสียงกริ่งหมดคาบเรียนก็ดังขึ้นพอดี อาจารย์พละสั่งเลิกแถวด้วยความโมโหแบบสุด
ๆ โดยที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าโมโหอะไร ผมแค่วิ่งได้ครบสิบรอบแล้วยังมีแรงเหลือพอที่จะเดินมาเข้าแถวเท่านั้นเอง
แต่นี่ก็แทบจะยืนไม่ไหวแล้วเหมือนกันนะนี่
เมื่ออาจารย์พละจากไปก็ราวกับเป็นสัญญาณให้ผมก็ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน ขาทั้งสองข้างหนักอึ้งและไร้ความรู้สึก
ผมเงยหน้าและพยายามสูดอากาศให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ระหว่างนั้นก็มีขวดน้ำเย็นๆ ขวดหนึ่งยื่นมาให้ ซึ่งผมก็รับไปดื่มด้วยความยินดียิ่ง
“ขอบใจ”
ผมส่งน้ำคืนให้อีกฝ่ายและพบว่าเขาคือ โรซ์เวล
ชายหนุ่มที่อยู่กับฟลอร่าในตอนนั้นนั่นเอง
เขาพยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนที่ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมาตรงหน้าผม บนกระดาษเขียนว่า คาบเรียนเมื่อครู่นายเท่มาก ฉันชอบ (^w^)/
ผมหันไปมองเขาด้วยความตกใจ...ไม่ใช่เพราะเขามาคุยกับผมผ่านกระดาษ
ไม่ใช่เพราะเขาบอกว่าผมเท่
แต่เป็นเพราะอีโมติคอนที่อยู่หลังข้อความนั่นต่างหาก ! เท่าที่ผมจำได้โรซ์เวลไม่เคยพูดเลยสักคำ
ไม่แม้แต่จะส่งข้อความให้ใคร เขามักจะทำหน้าเรียบเฉยตลอดเวลาและอย่างมากสุดเขาก็ส่งเสียงในลำคอว่า
“อืม” ก็แค่นั้นเอง
แต่เขากลับใช้อีโมติคอนเนี่ยสิ
ข้อความในกระดาษเปลี่ยนไป ตกใจอะไร(‘_’
?)
“เมื่อครู่นายเห็นสีหน้าของอาจารย์วินหรือเปล่า เรเชล”
เสียงยียวนของชายผมน้ำตาลแดงแทรกขึ้น
“เห็นสิ ราเชล ตลกสุดๆ ไปเลยล่ะ” ชายอีกคนที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะตอบ แล้วทั้งคู่ก็ประสานเสียงหัวเราะกัน
ราเชลกับเรเชล
แฝดป่วนที่คอยสร้างความเฮฮาให้กับเพื่อนๆ ชอบทำในเรื่องที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน
พวกเขาชอบเรียกผมว่าลูซี่เพราะพวกเขาบอกว่าผมหน้าเหมือนผู้หญิงมากกว่า...ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนทั้งสองคนก็ยังเหมือนเดิมสินะ
“ไม่เลวเลยนี่ลูซี่
” แฝดคนหนึ่งบอก
“เอ่อ...ขอบใจ ” ว่าแต่ผมต้องเจออะไรต่อครับ
“ต่อไปเป็นวิชาเลือกเรียน ขอให้สนุกกับคาบพฤกษศาสตร์นะคะ” ฟลอร่าเดินเข้ามาตอบคำถามในใจของผมอย่างแนบเนียน
แล้วเธอก็ยิ้มหวานให้ ผมพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ
“อะไรกันฟลอร่าแล้วพวกฉันล่ะ? จะไม่อวยพรอะไรหน่อยเหรอ”
ราเชลโวยวายด้วยน้ำเสียงน้อยใจพร้อมทั้งทำท่าหมดอาลัยตายอยากอย่างน่าส่งบาทาหนักๆ
เข้าให้สักทีสองที
“นั่นสิฟลอร่า อวยพรให้แต่ลูซี่น่ะ” เรเชลก็เอากับเขาด้วย
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ทั้งสองคนอย่าก่อความวุ่นวายคาบเรียนก็แล้วกันนะ” ฟลอร่ายิ้มหวานให้
“อึก! ได้ยินหรือเปล่าน้องรัก เขาขอให้เราไม่ก่อความวุ่นวายล่ะ” ราเชลคว้าตัวน้องชายมาสวมกอด
“ได้ยินสิพี่ชาย
ผมจะพยายามล่ะ”
เรเชลตอบพลางสบตาพี่ชายตนเอง
ส่วนฟลอร่าก็ได้แต่หัวเราะคิกคักอยู่ห่างๆ
“ฮะๆๆ แต่ถ้าไม่รีบละก็จะเข้าเรียนสายนะคะ”
สุดท้ายพวกเราก็แยกกันไป
จู่ๆ กระดาษแผ่นหนึ่งก็โผล่มาตรงหน้าผม
ยิ้มบ่อยๆ นะ ฉันอยากเห็นอีก\(^▽^)
ผมอ่านข้อความนั้นและหลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“อ้าว ! มาแล้วงั้นเหรอลูซ เข้ามาก่อนสิ”
ลุงร่างใหญ่คนหนึ่งทักทายอย่างอ่อนโยน เมื่อผมเดินมาถึงหน้าเรือนกระจก เขาเป็นคนเดียวที่ผมไม่คุ้นหน้า
ตัวของเขาใหญ่มาก ใหญ่กว่าผมตั้งเท่าหนึ่ง เขามีผมสีเหลืองเช่นเดียวกับหนวดเฟิ้มสวยของเขา
นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของเขาอ่อนล้าและโรยรา กิริยาท่าทางก็แช่มช้าเสียเหลือเกิน
“อืม....ถ้างั้นมาต่อจากชั่วโมงที่แล้วกันเลยดีไหม
?”
ซวยล่ะสิ
แล้วจะรู้เรื่องไหมน่ะ
“เอ่อ ครับ”
ผมพยายามปั้นหน้าปกติสุดชีวิตแต่ก็ไม่อาจเล็ดรอดจากสายตาคนตรงหน้าได้
“ หืม เธอเป็นอะไรไปงั้นหรอ ดูเธอแปลกๆ นะ” ลุงร่างใหญ่ถาม ทำเอาผมอธิบายอะไรไม่ถูก
ราวกับว่าคำพูดทุกคำมันติดอยู่ที่คอจนเกิดเป็นความอึดอัด
“เอ่อคือ...คือว่า...” ผมอ้ำอึ้งก่อนจะตัดสินใจโกหกเพื่อเอาตัวรอดทันที
“คือว่าผมความสูญเสียความทรงจำครับ ผมจำอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งตัวผม” พูดพลางแอบชำเลืองปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม นี่ไม่ถือว่าโกหกทั้งหมดหรอกนะ
เพราะผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตัวเองในอีกโลกหนึ่งเป็นยังไง
“งั้นเหรอ เธอจำได้หรือเปล่าว่าไปทำอะไรมาถึงได้ความจำเสื่อม...อ้ะ! คงจะจำไม่ได้ล่ะสิ
ไม่เป็นไรๆ ช่างมันเถอะๆ ฉันคงต้องสอนใหม่ตั้งแต่ต้นล่ะ” ลุงคนนั้นถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และหันมายิ้มและสบตาผมอย่างจริงใจ
ซึ่งนั่นก็ทำให้หัวใจผมโล่งอย่างกับเพิ่งยกภูเขาออกจากอก
“เรียกฉันว่าลุงเบ็นเถอะ เอาล่ะมาเริ่มกันเลยไหม”
“แล้วนักเรียนคนอื่นละครับ? ”
“ในชั้นเรียนพฤกษศาสตร์มีเธอคนเดียวที่เป็นนักเรียนน่ะ
ตามมาสิ”
แม้น้ำเสียงของลุงเบ็นจะเชื่องช้าและฟังดูน่าเบื่อ แต่พืชพรรณของโลกฝั่งนี้ต่างจากโลกฝั่งนู้นโดยสิ้นเชิง
มีทั้งขยับเองได้และกินเนื้อเป็นอาหาร...ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงได้ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด
“ถึงแม้ว่าเธอจะความจำเสื่อมแต่เธอไม่เปลี่ยนไปเลยนะ” ลุงเบ็นพูดขึ้นขณะหมดคาบเรียนครึ่งแรก
“จริงสิครับลุงเบ็น ผมมีพลังพิเศษอะไรเหรอครับ? ”
“กระทั่งเรื่องนี้ก็จำไม่ได้รึ ลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกันเธอไม่เคยพูดถึงมันเลย”
“งั้นเหรอครับ” ผมหลุบตาลงต่ำ ในใจห่อเหี่ยวชอบกล
ลุงเบ็นจ้องมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนท่าทีไป
“เอ้าฮึบ! ตามมาสิเจ้าหนู ชั่วโมงของเรายังไม่จบของจริงน่ะต่อจากนี้ต่างหาก!
” จู่ๆ ลุงเบ็นก็กระฉับกระเฉงขึ้นราวกับกลายเป็นคนหนุ่ม
เขาลุกขึ้นยืนเหมือนคนหนุ่มแล้วจ้ำอ้าวไปทางด้านในของเรือนกระจก ทำเอาผมอ้าปากค้าง
“เอ้า! อย่ามัวอ้าปากค้าง รีบๆ ตามมาได้แล้ว เมื่อครู่มันก็แค่บททดสอบเท่านั้นล่ะ!
”
“บททดสอบ? ”
ผมทวนคำอย่างสงสัยในขณะเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อตามลุงเบ็นให้ทัน
“ฉันต้องการทดสอบเธอจะทดสอบว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่ฉันจะสอนหรือเปล่าก็เท่านั้นล่ะ วิชาพฤกษศาสตร์ของฉันจะไม่จบแค่การที่นักเรียนรู้จักพืชแค่ครึ่งๆ
กลางๆ
แต่จะต้องรู้จักใช้มันในทุกสถานการณ์ทั้งการต่อสู้
ปรุงยาหรือทำอาหาร...นอกจากนั้นยังจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับดินและแร่ธาตุต่างๆ และถ้ามีเวลาฉันอาจจะสอนเธอเล่นแร่แปรธาตุก็ได้นะ” ลุงเบ็นพูดอย่างอารมณ์ดีและหันมาขยิบตาในช่วงสุดท้าย
หลังจากที่ได้เรียนวิชาพฤกษศาสตร์
ผมก็ได้ประจักษ์ว่ามันเป็นวิชาที่สนุกมาก ในโลกแห่งความฝันนี่มีพืชแปลกๆ
เต็มไปหมดแถมวิธีรับมือก็ไม่ธรรมดาทั้งนั้นยกตัวอย่างเช่น
พืชที่มีความคิดอ่านจะดึงออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เพราะนอกจากมันจะพ่นกรดเข้มข้นใส่มันอาจจะหลั่งสารส่งกลับบ้านเก่าโดยไม่ทันได้ตั้งตัวก็เป็นได้
วิธีจัดการมันก็คือต้องดึงเกษรออกมาก่อนเพื่อให้มันช้ำใจตาย...พืชที่กินเนื้อได้ถ้าโยนหญ้าให้มันกินมันก็จะกลายเป็นยาพิษชั้นดี
แต่ถ้าเปิดเพลงให้มันฟังก็จะกลายเป็นวัตถุดิบรสเลิศ เป็นต้น
ชั่วโมงพฤษศาสตร์จบลงเมื่อเสียงกริ่งโรงเรียนดังขึ้นตอนบ่ายสองโมง
ผมกล่าวลาลุงเบ็นและออกมาเจอกับฟลอร่าและโรซ์เวลที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อที่จะได้ไปหาคุณยายของฟลอร่า
และเมื่อผมก้าวออกจากโรงเรียนผมก็ต้องอ้าปากค้างอีกเป็นรอบที่สองของวัน
สิ่งที่รออยู่หน้าโรงเรียนคือหนูสีขาวตัวยักษ์ ด้านหลังของมันมีรถลากพ่วงติดอยู่
มันร้องอย่างดีใจทันทีเมื่อฟลอร่าเดินเข้าไปลูบหัวมันอย่างรักใคร่
ก่อนจะหันมาพูดกับผม
“ที่โลกแห่งนี้ใช้สัตว์กับรถลากในการเดินทางเป็นหลักค่ะคุณลูซ...รีบขึ้นมาสิคะ
ฉันรับรองว่ายังมีอะไรให้คุณแปลกใจอีกมาก”
เธอพูดขึ้นหลังจากที่ถูกโรซ์เวลพาขึ้นไปนั่งบนรถลากเรียบร้อย
และยกหน้าที่ให้โรซ์เวลเป็นคนดึงผมขึ้นไปนั่งเป็นรถลากนั้น
ฟลอร่าพูดไม่ผิดสักนิดเดียว เพราะว่าเมืองของโลกแห่งความฝันนี้ไม่เหมือนกับที่ผมเคยเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
บ้านสร้างจากอิฐทั้งหลัง อยู่ติดๆ กันเหมือนเป็นอพาร์ทเมนต์ ถนนก็สร้างจากอิฐ โทนสีส่วนใหญ่ก็เป็นสีน้ำตาล
สีดำ สีขาว ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดมาอยู่ในเมืองโบราณยังไงยังงั้น ข้างทางมีต้นไม้ปลูกบ้างประปราย
บรรยากาศดูร่มรื่น อากาศก็สะอาดสะอ้าน
ตลอดทางผมก็ได้เห็นสัตว์พาหนะแปลกๆ อย่างเช่นแมลงตัวยาวเหมือนกิ้งกือที่มีโบกี้รถไฟติดอยู่บนลำตัวคอยรับส่งผู้โดยสาร
สัตว์หน้าตาเหมือนนกแก้วผสมกับไก่ หมูป่า วัว หรือม้าถึงจะมีลักษณะคล้ายกับโลกแห่งความจริงอยู่บ้างแต่ก็มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ามาก
อีกอย่างนอกจากสัตว์พาหนะแปลกประหลาดแล้วผมยังได้เห็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันไปมากมายอีกด้วย
“เอ่อ ที่โลกนี้เผ่าพันธุ์ต่างๆ
อยู่ร่วมกันโดยไม่แบ่งเเยกเหรอครับ?” ผมถามเพราะแปลกใจ
จากที่เคยอ่านเจอมาเผ่าต่างๆ มักจะมีที่อยู่เป็นของตัวเองเป็นหลักเป็นแหล่งและมักจะไม่ถูกกับเผ่าอื่นๆ
ด้วย
“ถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆ แบบนี้ส่วนใหญ่เผ่าต่างๆ
จะอยู่ร่วมกันค่ะ บางเผ่าก็ตั้งหมู่บ้านของตัวเองขึ้นมา บางเผ่าไปตั้งหมู่บ้านนอกเมืองแล้วเข้ามาทำงานในเมืองก็มี
หรือเผ่าที่ไม่ยุ่งกับใครอาศัยในป่าเองก็มีเหมือนกันค่ะ
รวมถึงเผ่าที่สร้างอาณาจักรของตัวเองด้วย...อย่างเมืองนี้แต่เดิมก็เป็นเมืองของผู้วิเศษ
แต่เปิดให้เผ่าอื่นเข้ามาอยู่ร่วมกันได้โดยไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ค่ะ” ฟลอร่าหยุดพูดไปเพราะมีนกหน้าตาปละหลาดโฉบลงมาใกล้ๆ
อืม ความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก
“โทษที” เจ้าของนกสีน้ำตาลแดงตัวใหญ่ตะโกนกลับมาและรีบบินต่อไปโดยไม่รอคำตอบรับจากพวกเรา
“เมื่อกี้คืออะไรน่ะ” ผมที่มัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยเกือบหลบไม่ทัน
ทำเอาใจหายวาบ
“เมื่อกี้คือนกไปรษณีย์น่ะค่ะ
รวดเร็วทันใจและมีคุณภาพมากเลยนะคะ” ฟลอร่ายิ้มร่าเริง
เมื่อพวกเราเดินทางมาเรื่อยๆ รูปแบบบ้านก็เปลี่ยนไป จากตึกที่เหมือนอพาร์ทเมนท์ก็เป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ส่วนตัว
จนกระทั่งมาถึงบ้านของฟลอร่าที่สร้างไว้ใหญ่โตมโหฬารมากๆ
ผมไม่เคยไปบ้านเพื่อนมาก่อนเลยทำตัวไม่ค่อยถูก
ยิ่งเป็นบ้านที่ใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้แล้วยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ บ้านของฟลอร่านั้นสมเป็นบ้านคุณหนูจริงๆ
แค่ประตูรั้วก็ทำให้ผมผวาแล้ว ถึงจะไม่ใหญ่มากเหมือนในที่เคยเห็นในละคร
แต่ก็ใหญ่กว่าบ้านหลังอื่นนัก มีบริเวณเป็นของตัวเอง สวนก็ถูกจัดไว้อย่างสวยและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
เฟอร์นิเจอร์และของประดับบ้านล้วนเป็นของดีทั้งนั้น ตัวบ้านมีสองชั้น บ้านสร้างจากอิฐสีทราย
หลังคาสีดำประกายสวย ที่จริงก็อยากเดินสำรวจไปรอบๆ
บ้านแหละแต่ว่าเกรงใจเจ้าของบ้านเขา
อีกอย่างนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสำรวจบ้านด้วย(แต่ผมอยากสำรวจ!)
เมื่อเข้ามาในตัวบ้านเธอก็พาผมไปพบคุณย่าที่ห้องนั่งเล่นทันที
ห้องนี้ถูกตกแต่งให้อยู่ในโทนสีทองกับขาว ลวดลายส่วนใหญ่เป็นดอกไม้ ผ้าม่าน ผ้าปู
พรมต่างมีลูกไม้ประดับ ให้ความรู้สึกหรูหราแต่ไม่ฟู่ฟ่าจนเกินไป
ที่โซฟาตรงกลางห้องนั้นมีคุณยายคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ในที่สุดก็เป็นไปตามคำทำนายสินะ” คุณยายของฟลอร่ากล่าวเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
“คำทำนายอะไรครับ? ”
“เป็นคำทำนายที่สืบทอดกันมาในหมู่นักทำนายอย่างเราตั้งแต่สมัยโบราณ
กล่าวว่าบุรุษสองจิตกายเดียวปรากฏ
คลายสะกดมนตรา สองโลกเคลื่อนกายเข้าหาเชื่อมต่อกัน...คาดว่าหลานสาวของฉันคงจะบอกแล้วสินะว่าสิ่งที่เธอทำมันส่งผลยังไงบ้าง”
“ฟลอร่าบอกผมแล้วครับ แล้วมีวิธีไหนบ้างครับที่จะทำให้ผมกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
“วิธีแรกคือเธอต้องตาย”หญิงชราตอบเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
อะไรนะ?
“แล้วอีกวิธีนึงละครับ? ” เสียงผมสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้
“ อีกวิธีนึงก็คือ เธอจะต้องไปหาหนังสือคู่ของ The Night Sombra(เงารัตติกาล)
ทีมีชือว่า The Shadow Day (ตะวันไร้เงา) เป็นหนังสือที่เขียนคาถาเวทมนตร์ทุกรูปแบบเอาไว้รวมถึงคาถาแยกจิตเขียนด้วยน่ะ
” คุณยายกล่าวยิ้มๆ ที่เห็นสีหน้าโล่งใจของคนตรงข้าม
“ แล้วหนังสือที่ว่านั่น... ”
ผมตั้งใจจะถามแต่คุณยายพูดขึ้นมาก่อน
“ มันอยู่กับลอร์ดดาร์กไนท์ ปีศาจที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด...แต่วางใจเถอะ ตอนนี้ลอร์ดดาร์กไนท์ถูกผนึกอยู่ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเขาเคยพยายามจะเชื่อมสองโลกเข้าด้วยกันและครอบครองทั้งสองโลกไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่แผนการนี้ก็ถูกขัดขวางโดยมหาเทพ มหาเทพได้ผนึกลอร์ดดาร์กไนท์ไว้ที่ใจกลางป่าทมิฬในโบราณสถานเก่าแก่พร้อมผนึกกับหนังสือThe Shadow Day ไปด้วยเพื่อที่จะไม่ให้ใครมาเอาไปใช้ได้อีก”หญิงชราเว้นช่วงหายใจ
“ มีเวลาหนึ่งเดือนที่โลกทั้งสองจะเชื่อมต่อกันนะ
ยังไงก็ควรจะอยู่แบบนี้ให้ชินก่อนแล้วค่อยออกเดินทางจะดีกว่าเจอแบบนี้คงจะตกใจแย่ล่ะสิ” คุณยายของฟลอร่ายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้แรงกดดันที่มีทั้งหมดหายไปในพริบตา
หืม? หนึ่งเดืนอย่างนั้นเหรอ
ปกติเคยอ่านในนิยายเวลาจอมมารจะครองโลกหรือจะทำการใหญ่อะไรสักอย่าง
มันมักจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาเป็นร้อยปีหรือไม่ก็พันปีหรือบางเล่มเป็นหมื่นปีก็มีเหมือนกัน
เวลาคงไม่เข้าใครออกใครหรอกเนอะ ...ก่อนผมจะกลับเธอก็บอกว่า
หากผมพร้อมเมื่อไหร่ก็ให้พาฟลอร่าและโรซ์เวลไปด้วยในฐานะของผู้ที่รู้เรื่องราวทั้งหมดและในฐานะนักทำนายแถมพวกเขายังยินดีจะช่วยผมอย่างเต็มใจอีกต่างหาก
ทั้งสองคนช่างเป็นคนดีจริงๆ
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาค่ำพอดี วันนี้ผมเจอกับเรื่องราวต่างๆ
มากมายจนผมเหนื่อย ในใจลึกๆ รู้สึกยินดีที่ได้เจอกับหนังสือ the night sombra ได้เจอกับโลกในอุดมคติของตัวเอง
ถ้าการเชื่อมจิตไม่ส่งผลต่อโลกก็คงดี
ผมอยากจะอยู่แบบนี้ตลอดไปเลย...เมื่อนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื้อยหนังตาก็ค่อยๆ
หนักขึ้น ผมหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิทราโดยเร็ว
“เฮ้ ตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะ
ฉันมีเรื่องที่จะต้องคุยกับนาย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาท
หนวกหูน่า
“ฉันบอกให้ตื่นไงล่ะ! เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ” เสียงนั้นโวยวายหนักกว่าเก่า ด้วยความรำคาญ
ผมจึงค่อยๆ ลืมตาและยันตัวลุกขึ้นมา
และเมื่อผมลืมตาขึ้นมาสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็คือ
ตัวผมอีกคน
“ไง” เขาฉีกยิ้มแป้นและยกมือทักทาย
ความคิดเห็น