ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Night Sombra เงารัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ [แก้คำ 10/1/59]

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 59


    บทนำ

    ชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไรกัน?

    เคยมีคำกล่าวว่าชีวิตเกิดมาชดใช้กรรม  แต่มันจะแค่ชดใช้กรรมจริงๆ น่ะหรือ? ...เคยคิดกันไหมว่า ชีวิตปัจจุบันมันน่าเบื่อเกินไป ธรรมดาเกินไป ความพิเศษหายไปไหนหมด เคยคิดไหมว่า มันน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง

    อะไรบางอย่างที่มีความหมาย

    ผมคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะกำลังทำความสะอาดบ้าน วันนี้เป็นวันหยุดของผม ถ้าในวันปกติช่วงเช้าจนถึงบ่ายสองจะไปโรงเรียนส่วนช่วงเวลาหลังจากนั้นผมก็จะออกไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินมาใช้ในชีวิตประจำวันและเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่ต้องมานั่งแกร่วอยู่กับบ้าน ดังนั้นเนื่องในโอกาสวันหยุดผมจึงหาอะไรทำเพื่อแก้เบื่อและงานบ้านก็ได้ผลดีที่สุด

    นับว่าเป็นโชคอย่างหนึ่งที่เจอกุญแจห้องทำงานของพ่อที่ซ่อนอยู่หลังรูปปั้นการ์กอยล์ในห้องนั่งเล่น ถ้าเจอช้ากว่านี้อีกหน่อยอาจจะมีเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์มาอาศัยอยู่เป็นเพื่อนมากกว่านี้ก็เป็นได้ ผมคิดขณะไล่แมงมุมตัวหนึ่งไปที่หน้าต่าง

    ผมไม่เคยเข้ามาในห้องทำงานของพ่อ บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าพ่อของผมทำอาชีพอะไรกันแน่ เขามักจะไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน แต่พอกลับมาทีก็จะมีของแปลกๆ มาประดับบ้านอยู่เสมอ (เช่นรูปปั้นการ์กอยล์)เวลาของเขาส่วนใหญ่เสียไปกับการหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน โดยที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขานั่งทำอะไร ไม่ว่าจะถามกี่ครั้งก็เอาแต่บอกว่าวิจัยๆ แล้วก็ไล่อย่างกับหมูกับหมา และเมื่อหนึงเดือนก่อนเขากลับบ้านมาอย่างกะทันหันเพื่อขลุกตัวอยู่ในห้องและจากไปอย่างกะทันหันในวันต่อมา...นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ห้องถูกใช้

    ผมเห็นห้องทำงานของพ่อก็รู้สึกท้อใจ ทั้งหยากไย่ ใยแมงมุม กลิ่นอับและมีฝุ่นเกาะหนาเป็นนิ้ว ชั้นหนังสือทางด้านซ้ายมือมีเอกสารและหนังสือวางอยู่ค่อนข้างเป็นระเบียบ ตามพื้นมีเอกสารจำนวนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ บนโต๊ะเองก็มีเอกสารกระจัดกระจายอยู่เช่นกัน ผมเดินไปหยิบผ้าปิดปากและอุปกรณ์ทำความสะอาดอีกหลายๆ อย่าง

    ผมเดินไปเปิดหน้าต่างเพียงบานเดียวของห้องเพื่อระบายอากาศและเริ่มจากกวาดหยากไย่ ปัดฝุ่น ดูดฝุ่นและต่อด้วยกวาดพื้น เช็ดฝุ่นตามของต่างๆ แล้วก็ถูพื้นเป็นอย่างสุดท้าย เมื่อเห็นทุกอย่างสะอาดแล้วผมจึงเริ่มอ่านหัวข้อเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่เพื่อจัดหมวดหมู่ของมัน แต่ก็ต้องพบกับเรื่องประหลาด เพราะเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่นั้นพูดถึงเรื่องเดียวกันทั้งหมด

    การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโลก

    การบูชาสุริยันและจันทราในยามที่แสงถูกบดบังของชนเผ่าโบราณ

    อีกด้านหนึ่งของมนุษย์ ทฤษฎีบุคลิคที่สองของแฟรงก์ ไลน์

     ‘ทฤษฎีโลกคู่ขนานของไนท์ อิวิลเลฮ์

    ชื่อพ่อนี่?  ผมรีบอ่านเอกสารนั่นทันที

    สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราไม่ได้เกิดมาจากสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาเพียงอย่างเดียว หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากโลกคู่ขนานเกือบทั้งหมด จากการค้นพบบันทึกความเชื่อของชนเผ่ายันติโบราณที่สาบสูญกล่าวว่า หากมีชีวิตในโลกนี้ก็จะมีชีวิตในอีกโลกหนึ่ง หากมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นที่โลกนี้ก็จะมีอีกสิ่งเกิดที่โลกฝั่งโน้นด้วย การบูชาธรรมชาติเป็นการบูชาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เมื่อกลางวันคือกลางคืนและกลางคืนคือกลางวัน ทั้งสองโลกก็จะมาบรรจบกัน...

    จากการค้นพบบันทึกดังกล่าวและหนังสือประหลาดนาม The Night Sombra (เงารัตติกาล) ทำให้ทราบว่า โลกคู่ขนานมีตัวตนอยู่จริง

    ทฤษฎีจบอยู่แค่นั้น ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีตราประทับ ไม่ผ่านเด่นหราอยู่มุมล่างสุด มันช่างเป็นทฤษฎีที่ไร้เหตุผลและขาดความน่าเชื่อถือ ไม่มีหลักฐาน ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นไปตามหลักความจริงและ...เพ้อเจ้อ

    ผมวางเอกสาร แต่ความค้างคาใจยังไม่หายไป ทำไมคำว่า เงารัตติกาล ถึงได้คุ้นหูนัก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน...ผมแน่ใจว่าพ่อไม่เคยเล่าเรื่องงานให้ฟัง  แล้วทำไมคำคำนี้มันถึงได้คุ้นหูนัก?

    รูปครอบครัวถูกยกออกจากฝาผนังและถูกทำความสะอาดอย่างทะนุถนอมเป็นรายต่อมา สองปีแล้วที่ผมไม่ได้พบกับแม่ตั้งแต่พวกเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรงและหย่ากันในที่สุด  

    “เหอะๆ ”  ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะนำรูปกลับไปแขวนที่เดิม ทว่าตรงที่เคยมีภาพแขวนไว้กลับมีช่องลับซ่อนอยู่ และในช่องลับนั้นก็มีวัตถุสี่เหลี่ยมวางไว้ ผมค่อยๆ หยิบมันออกมา

    มันเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง  ปกสีดำสนิท  พิมพ์อักษรสีทองสวยว่า ‘The Night Sombra’  เล่มค่อนข้างหนา เนื้อกระดาษเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลแสดงความเก่าพอสมควร หน้ากระดาษแต่ละหน้านั้นว่างเปล่า  ยกเว้นแค่หน้ากลางของหนังสือที่มีบทกลอนกับภาษาแปลกๆ ที่ผมมั่นใจว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนแต่กลับอ่านออกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

    ไม่ว่าจะขยี้ตาอีกกี่ครั้ง ตบหน้าอีกกี่หน มองทีไรก็ยังอ่านออกอยู่ดี อะไรกันละนี่ ภาษานี้ผมอ่านออกได้ยังไงกัน แปลกเกินไปแล้ว ไหนจะบทกลอนนี่อีก

    ท่านเอ๋ยเคยได้ฟังมาบ้างไหม         โลกห่างไกลที่ชื่อโลกความฝัน

    แม้สองโลกจะไม่เกี่ยวข้องกัน         แต่สัมพันธ์นั้นแน่นหนากว่าสิ่งใด

    หากพูดถึงเวลาควรขับขาน            เงารัตติกาลยามเหมาะสมชมเสกสรร

    ในค่ำคืนมืดมิดตรงเที่ยงวัน           โลกความฝันความจริงนั้นเชื่อมกันเอย

    ใจความที่จับได้ก็คือ  โลกมีสองโลกหนึ่งโลกความจริงและอีกหนึ่งคือโลกความฝัน  ทั้งสองโลกดำรงอยู่เหมือนคู่ขนานที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น  และถ้าหากท่องภาษาแปลกๆ ตอนเวลาที่เรียกว่า เงารัตติกาล แล้วล่ะก็  ผมก็จะไปที่โลกความฝันได้

    อ๋อ เพราะแบบนี้พ่อของผมถึงได้เสนอทฤษฎีบ้าๆ นั่นขึ้นมาสินะ

    ไร้สาะสิ้นดี!!

    ผมปิดหนังสือลงและตัดสินใจว่าจะไม่สนใจมันอีก ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น  ทุกๆ ครั้งที่เห็นมัน ผมจะต้องหยิบขึ้นมาเปิดดูหน้ากลางของหนังสือและอ่านกลอนนั่นซ้ำๆ  ราวกับถูกแรงดึงดูดมหาศาล ทำให้ไม่อาจละความสนใจจากมันได้ ถึงแม้ว่าจะเอาไปเก็บให้พ้นสายตาแล้วก็ตาม ขนาดตอนทำงานบ้านอย่างอื่นก็ชอบเผลอครุ่นคิดถึงมันโดยไม่รู้ตัว

    ผมจัดของบนโต๊ะทำงานของพ่อต่อไป สิ่งที่อยู่บนโต๊ะนั้นมันคือบทวิเคราะห์หนังสือ The Night Sombra กระดาษที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือและภาพเขี่ยๆ จนแทบอ่านไม่ออกและจดหมายจากพ่ออีกหนึ่งฉบับ

    ถึง เจ้าลูกชาย

    ตอนที่ลูกมาเจอจดหมายนี่พ่อคงไม่ได้อยู่บ้านแล้วละ แต่วางใจได้นะระดับพ่อแล้วไม่ลาโลกง่ายๆ หรอก ฮ่าๆๆ พ่อหวังว่าลูกคงจะเจองานวิจัยของพ่อแล้วนะพ่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรให้ยุ่งยาก งานวิจัยชิ้นนี้มันเป็นเหมือนชีวิตจิตใจของพ่อเลย อยากให้ลูกทำมันต่อให้สำเร็จ

    ส่วนที่พ่อยังไม่มีเวลาหาข้อสรุปที่แน่ชัดก็มี คำว่า เงารัติกาลและ ค่ำคืนมืดมิดตรงเที่ยงวันซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ถ้าพ่อไม่ถูกคนพวกนั้นไล่ล่าล่ะก็พ่อคงมีเวลาได้ตรวจสอบในสิ่งที่ตัวเองคิดได้แน่ๆ ถ้ายังไงก็ฝากที่เหลือด้วยล่ะ!

    ด้วยรัก

    ไนท์ อิวิลเลฮ์

    ช่วยถามสักคำจะได้ไหมครับว่าผมอยากรับฝากหรือเปล่า? ผมแทบจะขยำจดหมายแล้วปาทิ้งไปให้ไกลสุดสายตาถ้าไม่ติดว่าดันไปสนใจเรื่องที่พ่อกำลังทำอยู่แล้วนี่สิ อะไรกันนะที่ทำให้พ่อต้องถูกตามล่าแล้วใครล่ะที่เป็นคนล่า? อีกโลกหนึ่งจะมีอยู่จริงตามที่พ่อคิดไว้หรือเปล่า...ผมรีบรื้อเอกสารวิเคราะห์ The Night Sombra บนโต๊ะออกมาดูทันที

    Sombra เป็นภาษาสเปน แปลว่า เงา  ดังนั้นจะขอเรียก The Night Sombra ว่า เงารัตติกาล

    ในค่ำคืนมืดมิดตรงเที่ยงวัน อาจเป็นได้ทั้งกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ : เงารัตติกาล...รัตติกาลเงา...รัตติกาลที่มีเงา...คืนเดือนมืด? ...แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าดูจากเงาของคน รัตติกาลที่มีเงาก็ต้องเป็นคืนเดือนหงายสิ   ตกลงมันยังไงกันแน่นะ?

    ยิ่งศึกษาข้อมูลมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าโลกคู่ขนานนั้นมีจริง  แต่วิธีการที่จะติดต่อโลกคู่ขนานนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าหากไขปริศนาของคำกลอนทั้งหมดได้ต้องสามารถติดต่อสื่อสารกับอีกโลกหนึ่งได้อย่างแน่นอน

    ผมนั่งอ่านเอกสารไปเรื่อยๆ หยิบ การบูชาสุริยันและจันทราในยามที่แสงถูกบดบังของชนเผ่าโบราณ มาดูอีกครั้ง ข้อมูลกล่าวว่า ตามความเชื่อของชนเผ่าโบราณแถบลุ่มแม่น้ำไนซิส ในวันที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรในระนาบเดียวกันจนเกิดปรากฏการณ์อุปราคาขึ้น เทพเจ้าจะเปิดทางจากสวรรค์ลงมายังสู่โลกมนุษย์เพื่อโปรดให้เหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์อยู่กันอย่างสงบสุข วันที่เกิดอุปราคาเป็นวันที่จะเข้าถึงโลกได้มากที่สุด

    ในความคิดของผมเหตุการณ์อุปราคาถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกและน่าอัศจรรย์เสมอ ผมมักคิดว่าอาจจะมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆ เกิดขึ้นก็เป็นได้และถ้ามันเป็นจริงละก็...ผมรีบฉวยเอาปฏิทินบนโต๊ะมาค้นหาวันที่เกิดอุปราคาทันทีและพบว่าบนวันที่ที่เกิดอุปราคาตลอดปีนี้ได้ถูกวงด้วยปากกาหมึกแดงไว้เรียบร้อยแล้ว และวันที่ใกล้ที่สุดก็คือคืนวันพรุ่งนี้ วันที่ 15  จะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงตอนเที่ยงคืนพอดี!

    ช่างประจวบเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน

    ผมรู้สึกตื้นเต้นเหลือเกินกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมใช้พลังงานไปกับการทำความสะอาด สัมผัสได้ว่าหัวใจนั้นทั้งแต้นแรงและพองโต

    มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตผม!

     

    วันที่ 15 เวลา 00.00 น.

    ภายในห้องนอน มีเพียงเสียงนาฬิกาที่ดังอยู่ ขณะนี้เข็มทั้งสองต่างชี้ไปที่เลขสิบสองเรียบร้อยแล้ว  เนื่องจากเป็นวันจันทรุปราคาพระจันทร์ที่เคยส่องสว่างบัดนี้กลับถูกเงามืดบดบังจนหมดสิ้น  ผมยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง  และกางหนังสือเล่มนั้นพร้อมกับอ่านภาษาแปลกๆ  ที่พออ่านออกมาแล้วราวกับกำลังร่ายเวทมนตร์

    สายลมพัดปะทะกับหน้าต่างและทวีความรุนแรงมากขึ้น  เสียงหวีดหวิวของใบไม้ยามต้องสายลมดังระงมไปทั่ว เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วขณะ  แล้วก็

    เงียบ

    ไม่มีอะไรเลยทั้งประตูมิติ ทั้งเหตุการณ์แปลกประหลาดอื่นๆ จะมีก็แต่อาการปวดหนักๆ ที่หัว หนักมาก หนักอย่างกับมีหินขนาดใหญ่มาถ่วงเอาไว้ ผมปวดมาก ปวดจนทนไม่ไหว เปลือกตาหนักอึ้ง สติเลือนรางราวกับกำลังจะดับวูบ ผมประคองตัวเองมาจนถึงที่นอนและเข้าสู่ห้วงนิทราโดยเร็ว

    จากนั้นไม่ทันไรผมก็รู้สึกตัวอีกที  แต่ ไม่ใช่บนที่นอนในห้อง มันกลับเป็นบนพื้นหญ้าสีเขียวขจี  ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าอยู่กลางหัวบ่งบอกถึงเวลาเที่ยงตรง เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่านี่เป็นสนามหญ้าในโรงเรียนที่ผมชอบแอบมากินข้าวกลางวันบ่อยๆ เพราะว่าลมมันเย็นดี

    อาการปวดหัวแล่นมาทันทีที่ผมลืมตาขึ้น ผมปวดอยู่พักหนึ่งแล้วมันก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย

    ผมงีบหลับไปหรืออย่างไร? ผมรู้สึกเหมือนกับเพิ่งตื่นนอน...แล้วผมก็ฝันด้วย ฝันว่ากำลังทำความสะอาดบ้านแล้วก็ได้เจอกับหนังสือประหลาดที่จะทำให้ข้ามิติได้อย่างนั้นสินะ? ช่างเป็นฝันที่สมจริงแล้วก็ตลกร้ายเหลือเกิน

     “คุณคือลูซที่มาจากอีกโลกหนึ่งสินะคะ”  เสียงนุ่มๆ ดังขึ้นพร้อมกับการมาถึงของหญิงสาวคุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลอ่อน  ใบหน้าเรียวได้รูปเข้ากับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า

    ผมมองนัยน์ตาสีเขียวอ่อนของเธออย่างอดหลงใหลไม่ได้  พอรู้ตัวอีกทีเธอคนนั้นก็มายืนตรงหน้าผมเสียแล้ว  ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งเจิดจ้า ข้างกายของเธอมีชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างเขาสูงโปร่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดูสุขุมแลอบอุ่น ผมสั้นสีดำ และเหน็บดาบไว้ข้างกาย

    เดี๋ยวนะ ลูซที่มาจากอีกโลกหนึ่ง หมายความว่าผมก็ข้ามมา อีกโลกจริงๆ งั้นสิ! หมายความว่าสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นฝันมันก็คือความจริงงั้นสิ แล้วเธอรู้ได้อย่างไรกัน?

    “สวัสดีค่ะ คุณจำฉันได้ไหม?” หญิงสาวเอียงคอมองตาใส

    ผมจำได้ พวกเขาคือ ฟลอร่าและโรซ์เวล เพื่อนร่วมชั้นเรียนของผม  สองคนนี้ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จนหลายๆ คนคิดว่าทั้งสองคนเป็นคนรักกัน   แต่เหตุผลจริงๆ คือ  โรซ์เวลเป็นองค์รักษ์ของ ฟลอร่า คุณหนูตระกูลดังนั่นเอง

    “เห...ในอีกโลกหนึ่งฉันเป็นคุณหนูเหรอคะเนี่ย”  ฟลอร่าพูดขึ้น  จนผมแปลกใจว่า เธอรู้ได้อย่างไรกัน!!?

    “ขอโทษที่เสียมารยาทไปนะคะ  ฉันมีพลังพิเศษคือ  อ่านใจคนน่ะค่ะ”  เธอยิ้มหวาน  แต่สิ่งที่เธอพูดมันช่างสร้างความตกใจให้กับผมเสียเหลือเกิน...พลังพิเศษ!!?...เธอยิ้มขำอยู่แวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น

    อันที่จริงโลกมีสองใบ คือ โลกความจริง ที่ทุกอย่างจะถูกอธิบายด้วยหลักเหตุผลและอีกโลกหนึ่งก็คือ โลกแห่งความฝัน ที่ทุกสิ่งที่เคยอยู่ในจินตนาการสามารถเป็นจริงได้ ทั้งสองโลกเป็นคู่นานกัน เป็นเหมือนกระจกสะท้อนซึ่งกันและกัน...ไม่มีทางเชื่อมโยงหรือรับรู้ถึงกัน  ทว่าโลกทั้งสองจะคอยส่งพลังให้กันและกันอยู่เสมอ  เคยสงสัยไหมว่าบางเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วดูไม่มีเหตุผลในชีวิตของเรามาจากอะไร  สาเหตุก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราในโลกแห่งความฝันส่งผลไปยังโลกแห่งความจริงนั่นเอง

    “มะ  หมายความว่า  ตัวผมมีสองคน!!?

    “อันที่จริงก็ทุกคนแหละค่ะ ถ้ามีชีวิตในโลกนี้ ก็จะมีชีวิตในโลกนู้นด้วย มันเป็นโลกคู่ขนานน่ะค่ะ...ถ้าในยามปกติล่ะก็คุณจะไม่มีทางรับรู้ได้ถึงโลกนี้หรอกค่ะ  แต่ทว่าด้วยพิธีกรรมเชื่อมจิตที่คุณทำเมื่อเที่ยงคืนของโลกฝั่งนู้น  ทำให้ตอนนี้จิตของคุณในโลกทั้งสองฝั่งหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว”

    “พิธีเชื่อมจิต หมายถึงที่ผมทำจากหนังสือนั่นสินะ แล้วมันหมายความว่าไงล่ะ?”

    “ในยามที่คุณตื่น เธอจะมีสติที่โลกฝั่งนู้น แต่ในยามที่คุณหลับ สติของคุณจะหลุดมายังโลกนี้ไงล่ะ...ลำบากหน่อยนะคะ”  เธอยิ้มแห้งๆ

    ผมอึ้งไปสักพัก...เดี๋ยวนะ  หรือว่ามันจะเหมือนในนิยายหรือการ์ตูนที่เคยเห็นบ่อยๆ    บางทีผมอาจจะต้องไปปราบจอมมารที่คิดจะทำลายโลกงั้นสิ!! เจ๋งไปเลย!!!   ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งเต้นแรงสิ่งที่เคยฝันถึงมาตลอดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว  ถ้าไม่ติดที่ว่ามีสองคนข้างหน้ามองอยู่ผมคงกระโดดโลดเต้นไปแล้วล่ะ

    “ผิดแล้วล่ะค่ะ”

    ...เอ๊ะ?...

    “คุณนั่นแหละ ที่เป็นตัวการทำให้โลกทั้งสองต้องวินาศ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×