คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ [แก้คำ 10/1/59]
บทนำ
ชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไรกัน?
เคยมีคำกล่าวว่าชีวิตเกิดมาชดใช้กรรม แต่มันจะแค่ชดใช้กรรมจริงๆ น่ะหรือ? ...เคยคิดกันไหมว่า
ชีวิตปัจจุบันมันน่าเบื่อเกินไป ธรรมดาเกินไป ความพิเศษหายไปไหนหมด เคยคิดไหมว่า
มันน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง
อะไรบางอย่างที่มีความหมาย
ผมคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะกำลังทำความสะอาดบ้าน
วันนี้เป็นวันหยุดของผม
ถ้าในวันปกติช่วงเช้าจนถึงบ่ายสองจะไปโรงเรียนส่วนช่วงเวลาหลังจากนั้นผมก็จะออกไปทำงานพิเศษเพื่อหาเงินมาใช้ในชีวิตประจำวันและเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่ต้องมานั่งแกร่วอยู่กับบ้าน
ดังนั้นเนื่องในโอกาสวันหยุดผมจึงหาอะไรทำเพื่อแก้เบื่อและงานบ้านก็ได้ผลดีที่สุด
นับว่าเป็นโชคอย่างหนึ่งที่เจอกุญแจห้องทำงานของพ่อที่ซ่อนอยู่หลังรูปปั้นการ์กอยล์ในห้องนั่งเล่น
ถ้าเจอช้ากว่านี้อีกหน่อยอาจจะมีเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์มาอาศัยอยู่เป็นเพื่อนมากกว่านี้ก็เป็นได้
ผมคิดขณะไล่แมงมุมตัวหนึ่งไปที่หน้าต่าง
ผมไม่เคยเข้ามาในห้องทำงานของพ่อ บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าพ่อของผมทำอาชีพอะไรกันแน่
เขามักจะไม่อยู่บ้านเป็นเวลานาน แต่พอกลับมาทีก็จะมีของแปลกๆ มาประดับบ้านอยู่เสมอ
(เช่นรูปปั้นการ์กอยล์)เวลาของเขาส่วนใหญ่เสียไปกับการหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน
โดยที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขานั่งทำอะไร ไม่ว่าจะถามกี่ครั้งก็เอาแต่บอกว่าวิจัยๆ
แล้วก็ไล่อย่างกับหมูกับหมา และเมื่อหนึงเดือนก่อนเขากลับบ้านมาอย่างกะทันหันเพื่อขลุกตัวอยู่ในห้องและจากไปอย่างกะทันหันในวันต่อมา...นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ห้องถูกใช้
ผมเห็นห้องทำงานของพ่อก็รู้สึกท้อใจ ทั้งหยากไย่
ใยแมงมุม กลิ่นอับและมีฝุ่นเกาะหนาเป็นนิ้ว
ชั้นหนังสือทางด้านซ้ายมือมีเอกสารและหนังสือวางอยู่ค่อนข้างเป็นระเบียบ
ตามพื้นมีเอกสารจำนวนหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ บนโต๊ะเองก็มีเอกสารกระจัดกระจายอยู่เช่นกัน
ผมเดินไปหยิบผ้าปิดปากและอุปกรณ์ทำความสะอาดอีกหลายๆ อย่าง
ผมเดินไปเปิดหน้าต่างเพียงบานเดียวของห้องเพื่อระบายอากาศและเริ่มจากกวาดหยากไย่
ปัดฝุ่น ดูดฝุ่นและต่อด้วยกวาดพื้น เช็ดฝุ่นตามของต่างๆ
แล้วก็ถูพื้นเป็นอย่างสุดท้าย เมื่อเห็นทุกอย่างสะอาดแล้วผมจึงเริ่มอ่านหัวข้อเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่เพื่อจัดหมวดหมู่ของมัน
แต่ก็ต้องพบกับเรื่องประหลาด
เพราะเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่นั้นพูดถึงเรื่องเดียวกันทั้งหมด
‘การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโลก’
‘การบูชาสุริยันและจันทราในยามที่แสงถูกบดบังของชนเผ่าโบราณ’
‘อีกด้านหนึ่งของมนุษย์
ทฤษฎีบุคลิคที่สองของแฟรงก์ ไลน์’
‘ทฤษฎีโลกคู่ขนานของไนท์ อิวิลเลฮ์’
ชื่อพ่อนี่?
ผมรีบอ่านเอกสารนั่นทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราไม่ได้เกิดมาจากสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาเพียงอย่างเดียว
หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากโลกคู่ขนานเกือบทั้งหมด จากการค้นพบบันทึกความเชื่อของชนเผ่ายันติโบราณที่สาบสูญกล่าวว่า
หากมีชีวิตในโลกนี้ก็จะมีชีวิตในอีกโลกหนึ่ง หากมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นที่โลกนี้ก็จะมีอีกสิ่งเกิดที่โลกฝั่งโน้นด้วย
การบูชาธรรมชาติเป็นการบูชาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เมื่อกลางวันคือกลางคืนและกลางคืนคือกลางวัน
ทั้งสองโลกก็จะมาบรรจบกัน...
จากการค้นพบบันทึกดังกล่าวและหนังสือประหลาดนาม
The Night Sombra (เงารัตติกาล)
ทำให้ทราบว่า โลกคู่ขนานมีตัวตนอยู่จริง
ทฤษฎีจบอยู่แค่นั้น ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีตราประทับ
‘ไม่ผ่าน’ เด่นหราอยู่มุมล่างสุด มันช่างเป็นทฤษฎีที่ไร้เหตุผลและขาดความน่าเชื่อถือ
ไม่มีหลักฐาน ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นไปตามหลักความจริงและ...เพ้อเจ้อ
ผมวางเอกสาร แต่ความค้างคาใจยังไม่หายไป ทำไมคำว่า
เงารัตติกาล ถึงได้คุ้นหูนัก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน...ผมแน่ใจว่าพ่อไม่เคยเล่าเรื่องงานให้ฟัง แล้วทำไมคำคำนี้มันถึงได้คุ้นหูนัก?
รูปครอบครัวถูกยกออกจากฝาผนังและถูกทำความสะอาดอย่างทะนุถนอมเป็นรายต่อมา
สองปีแล้วที่ผมไม่ได้พบกับแม่ตั้งแต่พวกเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรงและหย่ากันในที่สุด
“เหอะๆ ”
ผมหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะนำรูปกลับไปแขวนที่เดิม ทว่าตรงที่เคยมีภาพแขวนไว้กลับมีช่องลับซ่อนอยู่
และในช่องลับนั้นก็มีวัตถุสี่เหลี่ยมวางไว้ ผมค่อยๆ หยิบมันออกมา
มันเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ปกสีดำสนิท
พิมพ์อักษรสีทองสวยว่า ‘The Night Sombra’
เล่มค่อนข้างหนา เนื้อกระดาษเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลแสดงความเก่าพอสมควร
หน้ากระดาษแต่ละหน้านั้นว่างเปล่า ยกเว้นแค่หน้ากลางของหนังสือที่มีบทกลอนกับภาษาแปลกๆ
ที่ผมมั่นใจว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนแต่กลับอ่านออกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ไม่ว่าจะขยี้ตาอีกกี่ครั้ง ตบหน้าอีกกี่หน
มองทีไรก็ยังอ่านออกอยู่ดี อะไรกันละนี่ ภาษานี้ผมอ่านออกได้ยังไงกัน
แปลกเกินไปแล้ว ไหนจะบทกลอนนี่อีก
ท่านเอ๋ยเคยได้ฟังมาบ้างไหม โลกห่างไกลที่ชื่อโลกความฝัน
แม้สองโลกจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่สัมพันธ์นั้นแน่นหนากว่าสิ่งใด
หากพูดถึงเวลาควรขับขาน เงารัตติกาลยามเหมาะสมชมเสกสรร
ในค่ำคืนมืดมิดตรงเที่ยงวัน โลกความฝันความจริงนั้นเชื่อมกันเอย
ใจความที่จับได้ก็คือ โลกมีสองโลกหนึ่งโลกความจริงและอีกหนึ่งคือโลกความฝัน
ทั้งสองโลกดำรงอยู่เหมือนคู่ขนานที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น และถ้าหากท่องภาษาแปลกๆ ตอนเวลาที่เรียกว่า ‘เงารัตติกาล’ แล้วล่ะก็
ผมก็จะไปที่โลกความฝันได้
อ๋อ เพราะแบบนี้พ่อของผมถึงได้เสนอทฤษฎีบ้าๆ นั่นขึ้นมาสินะ
ไร้สาะสิ้นดี!!
ผมปิดหนังสือลงและตัดสินใจว่าจะไม่สนใจมันอีก
ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทุกๆ ครั้งที่เห็นมัน
ผมจะต้องหยิบขึ้นมาเปิดดูหน้ากลางของหนังสือและอ่านกลอนนั่นซ้ำๆ ราวกับถูกแรงดึงดูดมหาศาล ทำให้ไม่อาจละความสนใจจากมันได้
ถึงแม้ว่าจะเอาไปเก็บให้พ้นสายตาแล้วก็ตาม
ขนาดตอนทำงานบ้านอย่างอื่นก็ชอบเผลอครุ่นคิดถึงมันโดยไม่รู้ตัว
ผมจัดของบนโต๊ะทำงานของพ่อต่อไป สิ่งที่อยู่บนโต๊ะนั้นมันคือบทวิเคราะห์หนังสือ
The Night Sombra กระดาษที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือและภาพเขี่ยๆ
จนแทบอ่านไม่ออกและจดหมายจากพ่ออีกหนึ่งฉบับ
ถึง เจ้าลูกชาย
ตอนที่ลูกมาเจอจดหมายนี่พ่อคงไม่ได้อยู่บ้านแล้วละ
แต่วางใจได้นะระดับพ่อแล้วไม่ลาโลกง่ายๆ หรอก ฮ่าๆๆ
พ่อหวังว่าลูกคงจะเจองานวิจัยของพ่อแล้วนะพ่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรให้ยุ่งยาก
งานวิจัยชิ้นนี้มันเป็นเหมือนชีวิตจิตใจของพ่อเลย อยากให้ลูกทำมันต่อให้สำเร็จ
ส่วนที่พ่อยังไม่มีเวลาหาข้อสรุปที่แน่ชัดก็มี
คำว่า ‘เงารัติกาล’และ ‘ค่ำคืนมืดมิดตรงเที่ยงวัน’
ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ถ้าพ่อไม่ถูกคนพวกนั้นไล่ล่าล่ะก็พ่อคงมีเวลาได้ตรวจสอบในสิ่งที่ตัวเองคิดได้แน่ๆ
ถ้ายังไงก็ฝากที่เหลือด้วยล่ะ!
ด้วยรัก
ไนท์ อิวิลเลฮ์
ช่วยถามสักคำจะได้ไหมครับว่าผมอยากรับฝากหรือเปล่า?
ผมแทบจะขยำจดหมายแล้วปาทิ้งไปให้ไกลสุดสายตาถ้าไม่ติดว่าดันไปสนใจเรื่องที่พ่อกำลังทำอยู่แล้วนี่สิ
อะไรกันนะที่ทำให้พ่อต้องถูกตามล่าแล้วใครล่ะที่เป็นคนล่า?
อีกโลกหนึ่งจะมีอยู่จริงตามที่พ่อคิดไว้หรือเปล่า...ผมรีบรื้อเอกสารวิเคราะห์ The Night Sombra
บนโต๊ะออกมาดูทันที
Sombra เป็นภาษาสเปน แปลว่า
เงา ดังนั้นจะขอเรียก The Night
Sombra ว่า เงารัตติกาล
ในค่ำคืนมืดมิดตรงเที่ยงวัน อาจเป็นได้ทั้งกลางวันหรือกลางคืนก็ได้
: เงารัตติกาล...รัตติกาลเงา...รัตติกาลที่มีเงา...คืนเดือนมืด?
...แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าดูจากเงาของคน รัตติกาลที่มีเงาก็ต้องเป็นคืนเดือนหงายสิ ตกลงมันยังไงกันแน่นะ?
ยิ่งศึกษาข้อมูลมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าโลกคู่ขนานนั้นมีจริง แต่วิธีการที่จะติดต่อโลกคู่ขนานนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด
แต่คาดว่าหากไขปริศนาของคำกลอนทั้งหมดได้ต้องสามารถติดต่อสื่อสารกับอีกโลกหนึ่งได้อย่างแน่นอน
ผมนั่งอ่านเอกสารไปเรื่อยๆ หยิบ ‘การบูชาสุริยันและจันทราในยามที่แสงถูกบดบังของชนเผ่าโบราณ’ มาดูอีกครั้ง ข้อมูลกล่าวว่า ตามความเชื่อของชนเผ่าโบราณแถบลุ่มแม่น้ำไนซิส
ในวันที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก
โคจรในระนาบเดียวกันจนเกิดปรากฏการณ์อุปราคาขึ้น เทพเจ้าจะเปิดทางจากสวรรค์ลงมายังสู่โลกมนุษย์เพื่อโปรดให้เหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์อยู่กันอย่างสงบสุข
วันที่เกิดอุปราคาเป็นวันที่จะเข้าถึงโลกได้มากที่สุด
ในความคิดของผมเหตุการณ์อุปราคาถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกและน่าอัศจรรย์เสมอ
ผมมักคิดว่าอาจจะมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆ
เกิดขึ้นก็เป็นได้และถ้ามันเป็นจริงละก็...ผมรีบฉวยเอาปฏิทินบนโต๊ะมาค้นหาวันที่เกิดอุปราคาทันทีและพบว่าบนวันที่ที่เกิดอุปราคาตลอดปีนี้ได้ถูกวงด้วยปากกาหมึกแดงไว้เรียบร้อยแล้ว
และวันที่ใกล้ที่สุดก็คือคืนวันพรุ่งนี้ วันที่ 15 จะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงตอนเที่ยงคืนพอดี!
ช่างประจวบเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน
ผมรู้สึกตื้นเต้นเหลือเกินกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ทั้งๆ
ที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมใช้พลังงานไปกับการทำความสะอาด
สัมผัสได้ว่าหัวใจนั้นทั้งแต้นแรงและพองโต
มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับชีวิตผม!
วันที่ 15 เวลา 00.00 น.
ภายในห้องนอน มีเพียงเสียงนาฬิกาที่ดังอยู่ ขณะนี้เข็มทั้งสองต่างชี้ไปที่เลขสิบสองเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเป็นวันจันทรุปราคาพระจันทร์ที่เคยส่องสว่างบัดนี้กลับถูกเงามืดบดบังจนหมดสิ้น ผมยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง
และกางหนังสือเล่มนั้นพร้อมกับอ่านภาษาแปลกๆ ที่พออ่านออกมาแล้วราวกับกำลังร่ายเวทมนตร์
สายลมพัดปะทะกับหน้าต่างและทวีความรุนแรงมากขึ้น เสียงหวีดหวิวของใบไม้ยามต้องสายลมดังระงมไปทั่ว
เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วขณะ
แล้วก็
เงียบ
ไม่มีอะไรเลยทั้งประตูมิติ
ทั้งเหตุการณ์แปลกประหลาดอื่นๆ จะมีก็แต่อาการปวดหนักๆ ที่หัว หนักมาก
หนักอย่างกับมีหินขนาดใหญ่มาถ่วงเอาไว้ ผมปวดมาก ปวดจนทนไม่ไหว เปลือกตาหนักอึ้ง
สติเลือนรางราวกับกำลังจะดับวูบ
ผมประคองตัวเองมาจนถึงที่นอนและเข้าสู่ห้วงนิทราโดยเร็ว
จากนั้นไม่ทันไรผมก็รู้สึกตัวอีกที แต่ ไม่ใช่บนที่นอนในห้อง
มันกลับเป็นบนพื้นหญ้าสีเขียวขจี ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าอยู่กลางหัวบ่งบอกถึงเวลาเที่ยงตรง
เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่านี่เป็นสนามหญ้าในโรงเรียนที่ผมชอบแอบมากินข้าวกลางวันบ่อยๆ
เพราะว่าลมมันเย็นดี
อาการปวดหัวแล่นมาทันทีที่ผมลืมตาขึ้น
ผมปวดอยู่พักหนึ่งแล้วมันก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ผมงีบหลับไปหรืออย่างไร? ผมรู้สึกเหมือนกับเพิ่งตื่นนอน...แล้วผมก็ฝันด้วย
ฝันว่ากำลังทำความสะอาดบ้านแล้วก็ได้เจอกับหนังสือประหลาดที่จะทำให้ข้ามิติได้อย่างนั้นสินะ?
ช่างเป็นฝันที่สมจริงแล้วก็ตลกร้ายเหลือเกิน
“คุณคือลูซที่มาจากอีกโลกหนึ่งสินะคะ” เสียงนุ่มๆ ดังขึ้นพร้อมกับการมาถึงของหญิงสาวคุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่ง
ผมสีน้ำตาลอ่อน
ใบหน้าเรียวได้รูปเข้ากับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
ผมมองนัยน์ตาสีเขียวอ่อนของเธออย่างอดหลงใหลไม่ได้ พอรู้ตัวอีกทีเธอคนนั้นก็มายืนตรงหน้าผมเสียแล้ว ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งเจิดจ้า
ข้างกายของเธอมีชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างเขาสูงโปร่ง
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดูสุขุมแลอบอุ่น ผมสั้นสีดำ และเหน็บดาบไว้ข้างกาย
เดี๋ยวนะ ลูซที่มาจากอีกโลกหนึ่ง หมายความว่าผมก็ข้ามมา
‘อีกโลก’ จริงๆ งั้นสิ! หมายความว่าสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นฝันมันก็คือความจริงงั้นสิ
แล้วเธอรู้ได้อย่างไรกัน?
“สวัสดีค่ะ คุณจำฉันได้ไหม?” หญิงสาวเอียงคอมองตาใส
ผมจำได้ พวกเขาคือ ฟลอร่าและโรซ์เวล
เพื่อนร่วมชั้นเรียนของผม
สองคนนี้ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จนหลายๆ คนคิดว่าทั้งสองคนเป็นคนรักกัน แต่เหตุผลจริงๆ คือ โรซ์เวลเป็นองค์รักษ์ของ ฟลอร่า คุณหนูตระกูลดังนั่นเอง
“เห...ในอีกโลกหนึ่งฉันเป็นคุณหนูเหรอคะเนี่ย” ฟลอร่าพูดขึ้น จนผมแปลกใจว่า เธอรู้ได้อย่างไรกัน!!?
“ขอโทษที่เสียมารยาทไปนะคะ ฉันมีพลังพิเศษคือ อ่านใจคนน่ะค่ะ” เธอยิ้มหวาน
แต่สิ่งที่เธอพูดมันช่างสร้างความตกใจให้กับผมเสียเหลือเกิน...พลังพิเศษ!!?...เธอยิ้มขำอยู่แวบหนึ่งก่อนจะค่อยๆ
เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น
อันที่จริงโลกมีสองใบ คือ โลกความจริง
ที่ทุกอย่างจะถูกอธิบายด้วยหลักเหตุผลและอีกโลกหนึ่งก็คือ โลกแห่งความฝัน
ที่ทุกสิ่งที่เคยอยู่ในจินตนาการสามารถเป็นจริงได้ ทั้งสองโลกเป็นคู่นานกัน
เป็นเหมือนกระจกสะท้อนซึ่งกันและกัน...ไม่มีทางเชื่อมโยงหรือรับรู้ถึงกัน
ทว่าโลกทั้งสองจะคอยส่งพลังให้กันและกันอยู่เสมอ
เคยสงสัยไหมว่าบางเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วดูไม่มีเหตุผลในชีวิตของเรามาจากอะไร
สาเหตุก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราในโลกแห่งความฝันส่งผลไปยังโลกแห่งความจริงนั่นเอง
“มะ
หมายความว่า ตัวผมมีสองคน!!? ”
“อันที่จริงก็ทุกคนแหละค่ะ ถ้ามีชีวิตในโลกนี้
ก็จะมีชีวิตในโลกนู้นด้วย มันเป็นโลกคู่ขนานน่ะค่ะ...ถ้าในยามปกติล่ะก็คุณจะไม่มีทางรับรู้ได้ถึงโลกนี้หรอกค่ะ
แต่ทว่าด้วยพิธีกรรมเชื่อมจิตที่คุณทำเมื่อเที่ยงคืนของโลกฝั่งนู้น
ทำให้ตอนนี้จิตของคุณในโลกทั้งสองฝั่งหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว”
“พิธีเชื่อมจิต หมายถึงที่ผมทำจากหนังสือนั่นสินะ
แล้วมันหมายความว่าไงล่ะ?”
“ในยามที่คุณตื่น เธอจะมีสติที่โลกฝั่งนู้น แต่ในยามที่คุณหลับ
สติของคุณจะหลุดมายังโลกนี้ไงล่ะ...ลำบากหน่อยนะคะ” เธอยิ้มแห้งๆ
ผมอึ้งไปสักพัก...เดี๋ยวนะ
หรือว่ามันจะเหมือนในนิยายหรือการ์ตูนที่เคยเห็นบ่อยๆ บางทีผมอาจจะต้องไปปราบจอมมารที่คิดจะทำลายโลกงั้นสิ!! เจ๋งไปเลย!!! ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งเต้นแรงสิ่งที่เคยฝันถึงมาตลอดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ถ้าไม่ติดที่ว่ามีสองคนข้างหน้ามองอยู่ผมคงกระโดดโลดเต้นไปแล้วล่ะ
“ผิดแล้วล่ะค่ะ”
...เอ๊ะ?...
“คุณนั่นแหละ
ที่เป็นตัวการทำให้โลกทั้งสองต้องวินาศ”
ความคิดเห็น