ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    EnJoy Café ✪ Short Fic Reborn

    ลำดับตอนที่ #3 : ♀♂ 6995 ≈Love Story (Fic Song)

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 54



     

    Title : Love Story (Fic Song)

    Paring : Mukuro x Kyoko (6995)

    Rating : PG 15

    Author : En. Kim Joysu

    Author Notes ; เพลงนี้เป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมในค. คิดของจอย แถมเอ็มวีของเทย์เลอร์ยังโดนใจจอยเต็ม ๆ อีกต่างหาก จอยก็เลยคิดว่า “อย่างนี้ปล่อยเพลงนี้ไว้เฉย ๆ ไม่ได้แล้ว” ก็เลยเอาเนื้อมาแปลซะ แต่พอแปลแล้วมันยังไม่สะใจ ก็เลยเกิดคิดแผลง ๆ กลายเป็นฟิคเพลงโรมิโอกับจูเลียตในร่างเคียวโกะ มุคุโร่ขึ้นมะซะงั้น ยาวไปมั๊ย ใช้เวลาปั่นหนึ่งสัปดาห์โดยประมาณ อ้อ โดยไม่นับวันอู้ด้วย จริง ๆ เริ่มโปรเจคท์นี้ตั้งแต่ปลายเดือนตุลา แต่ก็นะ อู้หลายวันไปหน่อย แฮ่ เลยออกมาช้าแบบนี้  ถูกใจก็เม้นบอกกันด้วยนะค๊า

    P.S. อ่านเนื้อเพลงกับเนื้อเรื่องแล้วจะรู้สึกอินไปด้วยเลยล่ะ >W<

    พีเอสซึ. คิดว่าคู่นี้เหมาะกับธีมนี้ที่สุด ก็เลยแต่งอ่ะค่ะ =.=

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     

    หากกล่าวถึงคำว่า นักเขียน เชื่อว่าทุกคนต้องนึกถึงคน ๆ นี้... วิลเลี่ยม เชคสเปียร์

    และหากเอ่ยถึงเชคสเปียร์ เราเชื่อว่าทุกคนคงนึกถึงคำนี้เป็นคำแรก... โรมิโอกับจูเลียต

     

     

     

    10.03 a.m. @ M University

    ฝูงชนขนาดเล็กเคลื่อนตัวออกมาจากคลาสเรียนที่เพิ่งจบไปหมาด ๆ ต่างคนก็ต่างทำหน้าง่วงหนาวหาวนอน เพราะอาจารย์ประจำวิชาเรียกมาสอนเสริมก่อนเวลาเรียนจริง ๆ ชั่วโมงครึ่ง ทำให้นักเรียนที่นั่งตรากตรำทำรายงานจนดึกดื่นเมื่อวานต้องพยายามงัดตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากเตียงเร็วกว่าปกติมาก ถึงแม้จะเป็นคนที่ตื่นแต่เช้าเพียงไร แต่เจองานเยอะ ๆ กำหนดส่งโหด ๆ ก็ถึงกับหัวหมุนเหมือนกัน และหนึ่งในเด็กอนามัยเหล่านั้นก็คือ เคียวโกะ นักศึกษาสาวสวยน่ารักที่กำลังรั้งตำแหน่งคนที่มีโอกาสได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมากที่สุดในขณะนี้ ใบหน้าที่เคยเปล่งประกายสดใสกลับดูหมองลง เธอยกมือขึ้นป้องปากหาวและบิดขี้เกียจสองที ก่อนจะหันไปโบกมือลากับเพื่อนสาวที่เดินมาด้วยกัน

    “ไปก่อนนะฮารุจัง”

    “อ้าว ไปไหนล่ะ คลาสต่อไปก็บ่าย ๆ เลยนะ ไม่ไปกินข้าวกันก่อนเหรอ”

    “เปล่าจ้ะ แค่จะไปนั่งรับลมแถว ๆ สวนหลังยูฯ หน่อยน่ะ เดี๋ยวตามไปนะ” ฮารุพยักหน้าลงรับคำ

    เมื่อเห็นว่าฮารุเดินไปที่ร้านอาหารในมหาวิทยาลัยแล้ว เคียวโกะก็ออกเดินไปที่ที่เธอตั้งใจจะไปบ้าง

     

    สวนหลังมหาวิทยาลัยยังน่าชมเสมอทุกครั้งที่เคียวโกะแอบหลบ (ฮารุ) มานั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ คนเดียว เพราะถ้ามีเพื่อนแสนจ้อของเธออยู่ใกล้ ๆ เวลาอ่านหนังสือก็คงไม่ต้องหวังได้เกียรตินิยมกันพอดี เธอชอบที่นี่ ชอบหญ้านุ่ม ๆ ที่เวลานอนทับแล้วไม่รู้สึกเจ็บ ชอบบ่อน้ำเล็ก ๆ ที่มีเหล่าปลาน้อยเพื่อนรักของเธอว่ายไปมาอยู่ ชอบต้นสน ชอบต้นโอ๊ค ชอบต้นเมเปิ้ล ชอบแปลงดอกกุหลาบของที่นี่ และชอบที่ที่นี่มีลมเอื่อย ๆ พัดมาตลอดเวลา

    คงเพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ไม่รู้จักที่นี่ จึงมีคนอื่นนอกจากเคียวโกะมาที่สวนนี้เพียงสัปดาห์ละคนสองคน ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เธอปลื้มที่นี่เข้าไปใหญ่

    เคียวโกะเดินไปทรุดตัวลงข้างใต้ต้นโอ๊คต้นใหญ่แสนร่มรื่นซึ่งเป็นที่ประจำของเธอ มือเล็กเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนาปึ้กขึ้นมาและพลิกหน้าอ่านด้วยสีหน้าเรียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ถ้าเป็นคนอื่นอ่านเจ้าเทกซ์บุ๊คภาษาอังกฤษล้วนเล่มนี้คงทำหน้าแบบโลกจะพังทะลายลงต่อหน้าต่อตาไปแล้ว

    ตุบ!

    ในขณะที่กำลังอ่านหนังสือเพลิน ๆ เคียวโกะก็ถึงกับสะดุ้ง เนื่องจากวัตถุสีเหลืองหล่นตุ้บลงมาเฉียดแขนไปเพียงนิดเดียว เมื่อหันไปมองก็พบว่ามันคือเปลือกกล้วยนั่นเอง

    ...เปลือกกล้วย...อยู่บนต้นไม้...หรือว่า...

    ลิง!

    เคียวโกะเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบนด้วยความสงสัยว่าที่สวนแห่งนี้เลี้ยงลิงตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่ทว่าสิ่งที่เธอเห็นกลับเป็น...ผู้ชาย...

    สิ่งที่เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงก็คือ เครื่องแบบนักศึกษาของเขามันเป็นกางเกง ซึ่งเป็นยูนิฟอร์มของนักศึกษาชาย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่เธอสงสัยก็คือ...เขาขึ้นไปนอนบนต้นไม้ทำไม ?

    “นี่คุณ ได้ยินฉันหรือเปล่าคะ คุณคนที่นอนอยู่บนต้นไม้น่ะ!” เคียวโกะตะโกนเรียกเขา

    สิ่งมีชีวิตที่กำลังหลับสบายอยู่บนกิ่งไม้ขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกนั่งขึ้น และอยู่ดี ๆ ก็กระโดดพรวดลงมาตรงหน้าเคียวโกะโดยที่เธอไม่ได้ตั้งตัว!

    “ว้ายยย!” เคียวโกะเสียหลักและกำลังจะล้มลง ในขณะที่เธอคิดว่าต้องหน้าคะมำแน่ ๆ แล้วนั้น กลับมีมือคู่หนึ่งของใครบางคนรับตัวเธอไว้อย่างนิ่มนวล

    “ขอโทษที เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยก่อนที่เขาจะพลิกซ้ายพลิกขวาสำรวจตัวเธอ

    “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” เคียวโกะตอบเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา

    We were both young when I first saw you.

    เราต่างเยาว์วัยกันทั้งคู่ตอนที่ฉันพบคุณครั้งแรก

    …!”

    “…!”

    ทันทีที่ทั้งสองสบตากัน ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว เคียวโกะรู้สึกว่าผู้ชายที่มีผมและดวงตาสีไพลินคนนี้คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ในขณะที่เขาก็จด ๆ จ้อง ๆ เธออย่างวิเคราะห์ และก็เอ่ยถามเธอขึ้นมาว่า

    “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ ?”

    “ไม่ค่ะ ฉันไม่เคยเจอคุณ แต่...ฉันคุ้นหน้าคุณมาก ราวกับ...”

    “...”

    ...ราวกับว่าทั้งสองเคยเจอกันมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว...

    I close my eyes and the flashback starts.

    ฉันหลับตาลง และรำลึกความหลัง

    เคียวโกะหลับตาลง พยายามนึกให้ออกว่าคนตรงหน้าเป็นใคร...  

    วิ้วววว...วิ้ววว...

    ทว่าทันทีที่ลมพัดกรรโชกแรงผ่านร่างของทั้งสอง ภาพบางอย่างก็ฉายชัดขึ้นในหัวของชายหนุ่มและหญิงสาว

     

     

    A.D. 1591 @ Capulet’s Castle

    ราตรีที่มืดมิดไม่อาจบดบังแสงที่ส่องลอดออกมาจากคฤหาสน์คาปูเล็ตได้ เหล่าเคานต์และมาดามมากมายหลายท่านยืนจับกลุ่มคุยกันตามมุมต่าง ๆ ของโถงขนาดใหญ่ ภายในงานบอลเลิศหรูของตระกูลคาปูเล็ต...ตระกูลที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเวโรน่าก็ว่าได้

    I’m standing there, on a balcony in summer air.

    ฉันยืนอยู่ตรงนั้น ที่ระเบียงที่มีลมฤดูร้อนพัดผ่าน

    ทว่าท่ามกลางแสงสว่างและกลิ่นไอความหรูหราจากงานบอล ยังมีสาวน้อยคนหนึ่งออกมายืนอยู่ที่ระเบียงคฤหาสน์ที่มีเพียงแสงไฟสลัว ๆ จากตะเกียงที่แขวนไว้ด้านข้างเพียงคนเดียว ลมฤดูร้อนเอื่อย ๆ ที่พัดผ่านมาปะทะใบหน้าทำให้หญิงสาวระบายยิ้มออกมานิดหนึ่ง

    เธอเบื่องานเลี้ยง เบื่องานสังคมต่าง ๆ เบื่อที่จะต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน เบื่อความเป็นคาปูเล็ตนี่ หากเธอเลือกเกิดได้ ต่อให้เกิดมาเป็นเด็กยากจนอดมื้อกินมื้อ เธอก็ยังยอมรับได้อย่างเต็มใจ

    See the lights. See the party, the ball gowns

    ฉันมองเห็นแสงไฟ งานปาร์ตี้ และชุดราตรี

    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองเข้าไปในห้องโถงอีกครั้ง เธอถอนหายใจออกมา ภาพที่เธอเห็นจนชินตา ความหรูหราอู้ฟู่ แสงไฟสว่างจ้า หญิงสาวชนชั้นสูงศักดิ์ต่างลงทุนประทินโฉมกันมาด้วยชุดราตรีที่ไม่รู้ว่าหมดไปกับมันเท่าไร เหล่าชายหนุ่มที่หมายปองเธอ โลกแห่งการใส่หน้ากาก...สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเธอในตอนนี้คือสิ่งที่เธอเห็นมาตั้งแต่จำความได้

    หญิงสาวกวาดสายตาไปทั่วงาน จนไปสะดุดอยู่ที่มาดามคนหนึ่ง เธอกำลังสนทนากับท่านเคานต์ผู้แสนโด่งดังซึ่งเธอรู้จักเขาดี แต่...ในระหว่างการพูดคุย เธอแอบเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมองลอกแลกไปรอบ ๆ และเม้มปากอย่างหงุดหงิด ใช่...มาดามคนนั้นคือ แม่ ของเธอเอง แม่แท้ ๆ ที่คลอดเธอออกมา แต่กลับไม่เคยเลี้ยงดูเธอแม้สักนิด และถ้าเดาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา แม่ของเธอกำลังมองหาเธอเพื่อแนะนำสรรพคุณของเธอให้ชายหนุ่มคนนั้นอย่างแน่นอน

    ทั้ง ๆ ที่เสียงในหัวกำลังกรีดร้องห้ามไม่ให้เธอก้าวไปหาผู้เป็นแม่ แต่ด้วยหน้าที่ของลูกที่ดี และหน้าที่ของทายาทคาปูเล็ต ร่างบางจึงต้องจำใจเดินเข้าไปในโถงจัดงานอีกครั้ง

    เคียวโกะเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจะไปสะดุดตากับร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง...

    See you make your way through the crowd and say hello.

    เห็นคุณเดินผ่านฝูงชนและกล่าวทักทาย

    เขากำลังเดินเข้ามา ผ่านกลุ่มมาดามสูงวัยที่กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ แต่ละก้าวย่างของเขาช่างตรงกับเสียงหัวใจเต้นที่กำลังอื้ออึงอยู่ในหัวของเคียวโกะตอนนี้เหลือเกิน

    “สวัสดีครับ” เขากล่าวทักทายเธอหลังจากระยะห่างของทั้งสองลดลงเหลือเพียงแค่หนึ่งศอก

    “สะ...สวัสดีค่ะ” เธอตอบกลับเสียงสั่น

    “ไม่ทราบว่าคุณจะรังเกียจไหม ถ้าผมจะขอชวนคุณไปคุยธุระของเรา...เอ่อ ของผมกับคุณด้านนอกนั้น” เขาพูดและผายมือไปที่ระเบียงซึ่งเคียวโกะเพิ่งจากมาเมื่อกี้

    “ไม่มีปัญหาค่ะ” เธอตอบโดยแทบไม่ต้องคิด ตอนนี้ช่องท้องมันตีรวนไปหมด รู้สึกตื่นเต้นมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    เขาเบี่ยงตัวหลบให้เธอเดินนำไปก่อนและสาวเท้าตามไป

    “คุณมีธุระอะไรกับฉันหรือคะ” เคียวโกะถามขึ้นเมื่อชายหนุ่มปิดประตูระเบียงเรียบร้อยแล้ว

    “เคียวโกะ คาปูเล็ต ใช่ไหมครับ?” เขาไม่ตอบ แต่กลับถามเธอกลับ

     “ค่ะ...คุณล่ะคะ?”

    เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “เต้นรำกับผมสักเพลงก่อนนะครับ แล้วผมจะบอก”

    สำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก พูดกันยังไม่ถึงสิบประโยค เธอยังไม่รู้จักชื่อของเขาด้วยซ้ำ คำถามนี้ดูจะแปลกไปหน่อยสำหรับเคียวโกะ

    แต่...เธอกลับไม่ปฏิเสธ

    ซ้ำร้าย คำว่า ไม่ ไม่อยู่ในหัวของเธอเลยสักนิด

    เสียงเพลงคลาสสิคจากวงดนตรีชื่อดังดังลอดออกมาให้ได้ยินเบา ๆ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว สำหรับการเต้นรำที่เธอรู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่เธอประหม่าคู่เต้น

    “คุณเต้นรำได้ดีนี่” เขาเอ่ยในจังหวะที่จับเคียวโกะหมุนตัว

    “ค่ะ ท่านแม่สั่งให้อาจารย์มาสอนฉันตั้งแต่เด็ก”

    “ฮะ ๆ นั่นสินะครับ ผมไม่น่าลืมเลย คุณคือคุณหนูคาปูเล็ตแท้ ๆ” เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

    Little did I know…

    ฉันรู้เพียงนิดเดียวเท่านั้น

    “ดูคุณจะรู้เรื่องเกี่ยวกับฉันดี ทั้ง ๆ ที่แม้แต่ชื่อของคุณ ฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”

    “อืม...ผมเปิดโอกาสให้คุณได้ถามสิบคำถาม ผมจะตอบคุณทั้งหมดถ้าผมสามารถตอบได้” เขายิ้มออกมาบาง ๆ แต่แค่รอยยิ้มที่บางแสนบางเมื่อกะพริบตามันก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยมีของเขากลับทำให้ใจทั้งใจของเธอสั่นไหวอย่างรุนแรง

    “ดูไม่ค่อยแฟร์เท่าไรนะคะ แต่ก็ยอมรับได้ งั้นคำถามข้อแรก...คุณมีรักแรกรึยัง”

    “มีแล้ว แต่...ไม่สมหวัง” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตากลับสั่นระริก

    ทว่าผู้หญิงที่กำลังเต้นรำกับเขาอยู่ถึงกับนิ่งไปทีเดียว แค่คำถามแรกจบไป...เธอก็ไม่อยากจะถามต่อเสียแล้ว

    “คำถามที่สอง ถ้าคุณตอบได้...ชื่อของรักแรกของคุณ”

    ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา “โรซาลิน”

    “ทะ...ท่านพี่โรซาลิน?” ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ

    เขาพยักหน้าลงรับคำ เพียงเท่านี้เคียวโกะก็เริ่มรู้สึกห่อเหี่ยวทันที ฝ่ายนั้นเป็นถึงคนที่นโปเลียนหลงรัก ไม่แปลกที่เขาจะตกหลุมรักเธอด้วย...แล้วเธอล่ะ มีค่าพอให้เขาหันมาหาหรือเปล่า?

    เคียวโกะส่ายหัวไปมาเบา ๆ เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังคิดอะไรเพ้อเจ้อไปมากแล้ว

    เพียงเวลาไม่นาน เท่าที่บทเพลงหนึ่งจะนานได้ ทั้งสองก็ได้รู้จักกันอย่างเต็มที่ และแล้วเมื่อทั้งสองหยุดเต้นรำ เวลาแห่งคำถามสุดท้ายก็มาถึง

    “คุณมีจูบแรกเมื่อไหร่” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองสบไปที่ดวงตาสีไพลินตรง ๆ อย่างค้นหา

    “เมื่อไหร่...คุณจะให้ผมตอบจริง ๆ งั้นหรือ”

    “ค่ะ”

    “คำตอบก็คือ...กำลังจะมี...” สิ้นเสียงนุ่มทุ้มนั้น ริมฝีปากบางสีแดงสดของเขาก็ประทับลงที่ริมฝีปากอิ่มของเธอแผ่วเบา ทว่าเนิ่นนาน มันไม่ใช่จูบที่ร้อนแรง แต่เป็นจูบแรก และเป็นจูบเดียวของเธอที่คิดว่ามันอ่อนโยนและสวยงามที่สุด

    ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง พลางนึกเสียดายในใจ แต่ก็มิวายก้มลงกระซิบข้างหูของหญิงสาวว่า “ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเพิ่งมีเมื่อกี้แล้ว”

    คำพูดไม่กี่คำ...ประโยคประโยคเดียว...ชายคนหนึ่ง...แต่กลับทำให้ดวงใจของสาวน้อยแกว่งอย่างรุนแรง ใบหน้านวลขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนลืมอะไรไปบางอย่าง

    “คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าคุณชื่ออะไร” คำถามนี้ของเธอคงจะมีผลต่อเขามาก เพราะมันสามารถเปลี่ยนใบหน้ายิ้ม ๆ แบบหมาป่าเจ้าเล่ห์นั่นให้กลายเป็นเคร่งขรึมได้ในชั่วพริบตา

    “...”

    “คุณชื่ออะไรคะ” เคียวโกะถามซ้ำ ดวงตากลมโตมองแป๋วไปที่เขาอย่างใจจดใจจ่อ

    ในที่สุดร่างสูงก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ผมชื่อมุคุโร่”

    That you were Romeo, You were throwing pebbles.

    ว่าคุณคือโรมิโอ และคุณก็กำลังโยนก้อนกรวดเล่น

    ทั่วร่างของเธอชาวาบเหมือนมียาพิษแล่นพล่านไปทั่วกาย ริมฝีปากสั่นระริกขยับพูดเบามากจนเกือบไม่ได้ศัพท์ หากทว่าชายหนุ่มที่กำลังจดจ้องมาที่เธอก็ยังรับรู้ได้ว่าเธอพูดว่าอะไร

    “มุคุโร่...คุณคือมอนตากิว”

    “คุณรังเกียจผมไหม”

    “ไม่...ฉันไม่เคยรังเกียจคุณ และจะไม่มีวันด้วย”

    “แต่ทำไมคุณทำหน้าแบบนั้น”

    “ไม่...ฉันไม่...” เคียวโกะยกมือขึ้นนวดขมับ ส่ายหัวไปมาเหมือนคนไม่อยากยอมรับความจริง

    หลังจากเงียบไปสักพัก เธอก็เอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “ฉัน...ไม่น่าถามชื่อคุณเลย”

    “ผมเตือนคุณแล้ว” เขาพูดเบา ๆ และหยิบก้อนกรวดที่ตกอยู่แถวนั้นมาเดาะเล่น ก่อนจะขว้างไปไกล ๆ เหมือนต้องการระบายอารมณ์

    And my daddy said “Stay away from Juliet”

    คุณพ่อของฉันพูดว่า “ออกห่างจากจูเลียตซะ”

    “เคียวโกะ!” เสียงทุ้มห้าวของชายคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อเคียวโกะและมุคุโร่หันไปมองก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

    “ท่านพ่อ!

    “แล้วนั่นใครน่ะ...” ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของหญิงสาวหรี่ตามองมุคุโร่อย่างพิจารณา ก่อนที่จะเบิกตาโพลงแล้วพูดขึ้นว่า

    “แก...แกมันมอนตากิว! มุคุโร่!” เคียวโกะรีบเอาตัวเข้าบังชายหนุ่มทันที ก่อนจะละล่ำละลักพูดว่า

    “มะ...ไม่ใช่นะคะท่านพ่อ เขาไม่ใช่” ในขณะที่เธอกำลังปกป้องเขาแทบเป็นแทบตาย แต่มุคุโร่กลับทำเพียงแค่ยืนนิ่งเฉยเท่านั้น ดวงตาสีไพลินสบเข้ากับดวงตาแห่งความเกลียดชังนั้นอย่างไม่เกรงกลัว

    “แกมาที่นี่ทำไม” ลอร์ดคาปูเล็ตถามเสียงลอดไรฟัน

    “ผมเข้ามาโดยบังเอิญครับ”

    “แล้ว...แกมาป้วนเปี้ยนกับเคียวโกะทำไม!” ผู้เป็นพ่อถามเสียงกร้าว แววตาของท่านมองมาที่มุคุโร่อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

    “ผมชอบนี่” คำตอบแสนเอาแต่ใจของเขาทำให้เคียวโกะแอบหน้าแดง แต่เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาเขินอะไรไร้สาระ เธอเลยรีบปรับสีหน้าให้เหมือนเดิมโดยเร็ว

    ได้ยินดังนั้นลอร์ดคาปูเล็ตถึงกับกัดฟันกรอด ก่อนจะหายใจเข้าออกสะกดอารมณ์ แล้วพูดกับมุคุโร่เสียงเย็น “กลับไปซะ แล้วอย่ามายุ่งกับเคียวโกะอีก ไม่อย่างนั้นแกคงต้องสู้กับยามที่อยู่แถวนี้สักสิบยี่สิบคนก่อนนอนแน่”

    มุคุโร่ยักไหล่น้อย ๆ และหันมาส่งสายตากับหญิงสาว แววตาของเขามุ่งมั่นและน่าเชื่อถือ สิ่งที่สื่อผ่านดวงตาของเขาก็คงไม่พ้นการขัดคำสั่งพ่อของเธอหรอก แม้ว่ามันจะยากสักเท่าไร แต่เธอรู้ว่าเขาทำได้ เธอเชื่ออย่างนั้น

    ทันทีที่ร่างของชายหนุ่มลับสายตาไป แววตาโกรธเกรี้ยวก็หันมาทางหญิงสาวคนเดียวที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นทันที

    “ตามพ่อมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

     

     

    And I was crying on the staircase.

    ฉันกำลังนั่งร้องให้อยู่ตรงเชิงบันได

    ลมฤดูร้อนที่พัดอยู่บ่อยครั้งในเวลากลางดึกในวันนี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย ดวงหน้ามนซบลงกับเข่าที่ตั้งชันขึ้น เสียงสะอื้นไห้เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่เม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงเบา ๆ ขอบตาของเธอช้ำอย่างคนที่ผ่านการร้องไห้มานาน น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงกระทบฝ่ามือที่กำลังบีบเข้าหากันแน่น เสียงในใจกำลังกรีดร้องเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

    “ทำไม...ทำไมถึงไม่ได้” เสียงพูดปนสะอื้นของเธอดังขึ้น

    ในที่นี้มีเพียงแค่เธอเท่านั้น ตรงเชิงบันไดทางเข้าสวนหลังคฤหาสน์ที่ช่างเงียบเหงาและวังเวงเหลือเกิน

    ทำไมไม่ว่าเมื่อไรที่คนรอบข้างเธอสามารถทำอะไรที่สร้างความสุขให้แก่ตนได้ แต่เธอทำไม่ได้ ในขณะที่พวกเขากล้าที่จะขัดคำสั่งของคนอื่น แต่เธอทำได้แค่เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่างจำยอม...เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเสียใจมากขนาดนี้ ความรู้สึกพลุ่งพล่านและความรู่สึกแน่ชัดเวลาสบตาเขา...สิ่งที่เธอไม่เคยรู้จัก แต่เขากลับนำพาให้เธอได้พานพบมัน

    เสียงร้องไห้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน หญิงสาวไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไม่นานเท่าไร เธอรู้เพียงแค่อยากจะร้องไห้ออกมาให้สมกับความผิดหวังที่ได้รับเท่านั้น...แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เสียงที่เธอรอคอยมาทั้งคืน

    “ร้องไห้ทำไมล่ะเคียวโกะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนที่มาพร้อมกับอ้อมแขนอบอุ่นที่กอดปลอบประโลมเธอให้หยุดร้องไห้

    “มุคุโร่...ฮือ” เคียวโกะปล่อยโฮออกมาและกอดรัดร่างสูงไว้แน่น

    “ไม่เป็นไรนะ ผมอยู่ตรงนี้” เขากระซิบข้างหูของเธอเบา ๆ

    เวลาผ่านไปสักพัก ร่างบางที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการร้องไห้ นิ้วเรียวไล้คราบน้ำตาที่ติดอยู่บนผิวหน้าของเธอแผ่วเบา ก่อนจะอุ้มเธอไปนอนที่โซฟาในคฤหาสน์ จัดท่านอนที่คิดว่าน่าจะสบายที่สุดให้เธอ ในขณะที่เขากำลังจะเดินห่างออกจากโซฟานั้นเอง มือบางของคนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วกลับรั้งชายเสื้อของเขาไว้

    Begging you, please don’t go.

    อ้อนวอนคุณไม่ให้จากไป

    “อย่าไปนะ...” คำพูดที่มาพร้อมกับดวงตาอ้อนวอนของเธอทำให้เขาไม่กล้าปฏิเสธ

    And I said…

    และฉันก็พูดว่า

    ชายหนุ่มเดินมานั่งข้าง ๆ เธอที่ยันตัวลุกขึ้นมานั่งแล้ว เคียวโกะเอนกายลงในอ้อมกอดของเขาก่อนจะพูดขึ้นว่า

    Romeo, take me somewhere we can be alone.

    โรมิโอ พาฉันไปที่ที่มีเพียงเราสองคนที

    I’ll be waiting. All there’s left to do is run.

    ฉันจะรอนะ ที่เหลือที่ต้องทำก็คือหนี

    You’ll be the prince  and I’ll be the princess.

    คุณจะเป็นเจ้าชาย ส่วนฉันจะเป็นเจ้าหญิง

    It’s a love story. Baby, just say yes.

    มันคือนิยายรัก ตอบรับฉันนะที่รัก

    “มุคุโร่ พาฉันหนีไปที...ไปที่ที่เราจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสองคนได้ ไม่มีคาปูเล็ต ไม่มีมอนตากิว...มีแค่เราสองคน” แววตามุ่งมั่นและขอร้องถูกส่งไปที่ชายหนุ่มผมสีน้ำเงิน เขายังนิ่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ขรึมลง

    “ไม่ว่ายังไงฉันก็จะรออยู่ที่นั่น...ที่ที่เราพบกันครั้งแรก และเราจะหนีกัน” หญิงสาวยังคงพูดต่อเมื่อเห็นว่าเขาไม่ปฏิเสธ

    “และที่นั่น...คุณจะเป็นเจ้าชายที่หล่อที่สุด และฉันก็จะเป็นเจ้าหญิงที่สวยที่สุด...เหมือนในนิยายรักไง” เคียวโกะพูดด้วยใบหน้ามีความสุขที่มุคุโร่เห็นแล้วต้องยิ้มตาม และชายหนุ่มก็ตอบรับออกมาว่า

    “...ได้อยู่แล้วครับ เจ้าหญิงของผม”

     

     

    So I sneak out to the garden to see you.

    ฉันจึงแอบหนีไปที่สวนเพื่อพบคุณ

    กลางดึกคืนต่อมา หลังจากที่แน่ใจว่าไฟของทุกห้องดับหมดแล้ว เคียวโกะก็แอบลอบออกมาที่สวนหลังคฤหาสน์...ที่ที่มองมาจากระเบียงห้องโถงได้ชัดที่สุด

    หญิงสาวรอไปก็เก็บดอกไม้ไปเพื่อเป็นการค่าเวลา จนเมื่อถูกวงแขนแกร่งโอบรัดจากข้างหลังนั่นล่ะถึงได้รู้ตัว

    “รอนานไหม” เสียงทุ้มกระซิบถาม

    เธอส่ายหน้ายิ้ม ๆ และชูช่อดอกไม้ในมือให้ดู “สวยไหม”

    “สวย” เคียวโกะรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที เพราะตอนที่ชายหนุ่มตอบ แทนที่ดวงตาของเขาจะมองไปที่ดอกไม้ในมือเธอ แต่มันกลับจ้องมาที่เธอเสียนี่

    We keep quiet, cause we’re dead if they knew.

    เราต่างก็เงียบ เพราะพวกเราจะตายถ้าพวกเขารู้

    “ชู่ว์ เบา ๆ หน่อย ถ้ามีใครตื่นขึ้นมาเห็นสักคนล่ะก็ เราตายแน่” เคียวโกะขู่เบา ๆ กลบอาการเขิน และหลบสายตาพราวระยับที่เขาส่งมา

    So close your eyes…escape this town for a little while.

    เพราะงั้นหลับตาลงเถอะ หนีไปจากเมืองนี้สักพัก

    “อืม...งั้นหลับตาลงสิ เดี๋ยวผมจะพาคุณหนีไปจากที่นี่ ไปจากเมืองนี้เลยเอาไหม” เขาเย้าแหย่

    “ล้อเล่นไม่ดูสถานการณ์เลยนะคุณเนี่ย แค่แอบมาเจอกันแค่นี้ก็ตื่นเต้นจะตายแล้ว”

    “นั่นสิ” เขาพยักหน้ารับเบา ๆ และรัดวงแขนที่โอบเอวเธอไว้หลวม ๆ ให้แน่นยิ่งขึ้น

    Cause you were Romeo, I was a scarlet letter*,

    เพราะคุณคือโรมิโอ ส่วนฉันคือหญิงหลายใจ

    * Scarlet letter คือ เรื่องราวของหญิงสาวนางหนึ่งในศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีสัญลักษณ์ตัว A อยู่เหนือทรวงอก อักษร A ที่สลักอยู่เหนืออกของเธอนี้คือ Scarlet letter ซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงความอัปยศและมลทินของเธอ จากวรรณกรรมแนวโรมานซ์เรื่อง The Scarlet Letter    

    “ที่เราต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะโชคชะตาแท้ ๆ เพราะคุณคือมุคุโร่ ส่วนฉันก็คือเคียวโกะ เราสองคนจะรักกันไม่ได้ แถมตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่” หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ

    “ทำไมเหรอ”

    “ท่านแม่...ไม่ปฏิเสธคำขอของท่าเคานต์ปารีส ท่านตกลงให้ฉันหมั้นกับเขา” คำตอบของเธอที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเครียด ๆ ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

    “ผมรู้แล้วล่ะ เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เอง”

    And my daddy said “Stay away from Juliet”

    คุณพ่อของฉันพูดว่า “อยู่ห่าง ๆ จากจูเลียตซะ”

    “ท่านพ่อก็สั่งห้ามชัดเจนแล้วด้วยว่าไม่ให้คุณเข้ามาใกล้ฉัน เฮ้อ”

    “แล้วจะให้ทำตามคำสั่งของท่านหรือเปล่าล่ะ” เขากระเซ้า

    But you were everything to me.

    แต่คุณคือทุก ๆ อย่างสำหรับฉัน

    “ไม่ ยอมตายดีกว่า ก็คุณน่ะ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉันเลยนี่คะ”

    “ฮะ ๆ ดีใจจังเลยครับ” เขาก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากมนของเธอ ก่อนที่เธอจะเอ่ยขึ้นว่า

    Romeo, save me. They're trying to tell me how to feel.

    โรมิโอ ช่วยฉันด้วย พวกเขากำลังพยายามจะบอกฉันว่าควรรู้สึกสำนึกอย่างไร

    “มุคุโร่ ช่วยฉันที ปลดปล่อยฉันไปที ทั้งท่านพ่อ ท่านแม่ ทุก ๆ คน...พวกเขากำลังพยายามที่จะทำให้ฉันเกลียดคุณ และพยายามทำให้ฉันสำนึกถึงความผิดที่แอบติดต่อกับคุณ” คำพูดทั้งหมดพรั่งพรูออกมาพร้อมกับหยาดน้ำใส ๆ ที่รื้นเต็มขอบตาของเธอ แต่หญิงสาวก็กลั้นมันไว้ไม่ให้ใหลลงมา

    ชายหนุ่มรั้งตัวเธอให้เข้าสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง นิ้วเรียวไล้ไปตามขอบตาของเธอแผ่วเบา

    This love is difficult, but it’s real.

    รักครั้งนี้มันช่างยากเย็น แต่มันคือเรื่องจริง

    “แม้ความรักของเรามันจะยากเย็นก็จริง แต่คุณก็รู้อยู่แก่ใจใช่ไหมว่าเรารักกันจริง ๆ มันคือความจริงที่เราไม่สามารถห้ามเรื่องหัวใจได้ เราไม่สามารถบังคับตัวเองได้หรอกว่าจะต้องรักใคร เพราะถ้าคุณสามารถทำได้ ผมเชื่อว่าคุณเลือกที่จะรักเคานต์ปารีส...”

    “...” หญิงสาวสะอื้นแผ่วเบา

    “แต่ถ้าผมสามารถเลือกรักใครได้ คนที่ผมจะรักก็ยังคงเป็นคุณอยู่ดี...อ้อ ผมจะเลือกให้ตัวเองไม่รักโรซาลินด้วยนะ” ประโยคหลังเขาพึมพำขมุบขมิบเบา ๆ แต่หญิงสาวกลับได้ยิน เธอหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา

    Don’t be afraid, we’ll make it out of this mess.

    อย่ากลัวไปเลย พวกเราจะสามารถผ่านพ้นความยุ่งเหยิงเหล่านี้ไปได้

    “ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเรายังอยู่ด้วยกัน พวกเราจะต้องผ่านเรื่องงี่เง่า ๆ อย่างความแค้นระหว่างสองตระกูลไปได้แน่นอน” เขาให้สัญญาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน...ที่มาพร้อมกับสัมผัสนุ่มละมุนที่ริมฝีปากของเธอ

     

     

    เคียวโกะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ภายในห้องของเธอ นี่ก็ผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้วนับจากวันนั้น แผนการหนีของทั้งสองถูกเลื่อน หลังจากคืนนั้นเขาก็ไม่มาหาเธออีกเลย จนเธอกังวลว่าจะมีใครในคาปูเล็ตลอบทำร้ายเขาหรือเปล่า แต่ก็ไม่ ไม่มีข่าวคราวของเขาเลยสักนิด เธอจึงได้แต่นั่งนิ่ง ๆ นับวันรอวันที่ทุกคนในคฤหาสน์จะมีความสุข แต่เป็นวันที่เธอทุกข์ระทมที่สุด...วันหมั้นของเธอกับท่านเคานต์ปารีส

    “เฮ้อ นั่งอยู่อย่างนี้มันจะได้อะไรขึ้นมา ไปบ้านพักตากอากาศแถวชานเมืองดีกว่า” เธอพึมพำเบา ๆ และเรียกคนรับใช้มารับคำสั่ง ก่อนที่ครู่ต่อมารถม้าคันหรูจะออกจากคฤหาสน์คาปูเล็ตไป และมุ่งสู่บ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งของตระกูลที่แถบชานเมือง

    เมื่อเคียวโกะมาถึงที่บ้านพัก เธอก็พบว่ามันเป็นเวลาคล้อยบ่ายไปเสียแล้ว หญิงสาวเดินออกไปสูดอากาศที่สวนของบ้านซึ่งติดกับทุ่งหญ้าที่ไม่มีเจ้าของ โดยกำชับคนใช้ทั้งหมดของเธอว่าห้ามตามไป เนื่องจากเธอต้องการความเป็นส่วนตัว

    I got tired of waiting.

    ฉันเหนื่อยกับการรอคอยเต็มทีแล้ว

    “นี่ฉันจะต้องรอเขาต่อไปอย่างไร้จุดหมายในขณะที่วันหมั้นใกล้เข้ามาทุกทีอย่างนี้น่ะเหรอ” เธอรำพึงเบา ๆ ด้วยความอัดอั้น

    Wondering if you were ever coming around.

    สงสัยว่าคุณจะอยู่ใกล้ ๆ หรือเปล่า

    ...บางทีเขาอาจจะอยู่ใกล้ ๆ ฉัน เพียงแต่ฉันไม่รู้สึกตัว...

    ...บางทีเขาอาจจะกำลังเตรียมการอะไรบางอย่างที่ดูจะยุ่งยากมาก ๆ จนไม่มีเวลามาหาฉัน...

    ...หรือบางทีเขาอาจจะอยู่ไกลจากฉันไปสักพันไมล์เลยก็ได้...

    หญิงสาวคิดเรื่อยเปื่อยขณะสูดหายใจรับกลิ่นหญ้าอ่อนสีเขียวสดเต็มทุ่งให้เต็มปอด

    My faith in you was fading.

    ความเชื่อมั่นในตัวคุณกำลังจางหายไป

    “บางทีคุณอาจจะลืมไปแล้วว่าเราเคยสัญญาอะไรกันไว้ หรือไม่...คุณก็คงลืมฉันไปแล้ว” ความรู้สึกเชื่อมั่นในตอนแรกของเธอลดลงจนเหลือเพียงครึ่ง กับการที่เขาให้เธอรอคอยนานถึงเพียงนี้ และไม่แน่อาจจะนานกว่านี้ก็ได้

    “ผมไม่มีวันลืมคุณได้หรอกครับ” เสียงนุ่มทุ้มอันคุ้นเคยหยุดความคิดของเธอไว้ น้ำตามากมายเอ่อขึ้นที่ขอบตาอันร้อนผ่าว อยู่ดี ๆ ความรู้สึกทุกอย่างที่เก็บไว้มานานนับสัปดาห์ก็ตีตื้นขึ้นมาจนเธอมึนงงไปหมด ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ ทั้งห่วงหา รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาให้ดังที่สุด

    When I met you on the outskirts of town.

    และตอนที่ฉันเจอคุณที่ชานเมือง

    สองขาของเธอก้าวเดินไปหาเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงตัวก็ไม่รีรอที่จะกระโดดโผเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่นของเขาทันที มือน้อย ๆ ทุบไปที่หลังของเขาหลายทีเพื่อระบายความอัดอั้นและความน้อยใจของเธอตลอดหนึ่งสัปดาห์นี้ ในขณะที่น้ำตาก็ยังคงไหลไม่หยุด

    ชายหนุ่มลูบผมยาวสลวยของเธอเบา ๆ ยอมให้เธอทุบหลังเขาแต่โดยดี

    And I said…

    และฉันก็พูดว่า...

    เมื่อทุบจนพอใจแล้ว เคียวโกะก็เอ่ยออกมาเบา ๆ ราวกับกระซิบว่า

    Romeo, save me. I've been feeling so alone.

    โรมิโอ ช่วยฉันที ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน

    I keep waiting for you, but you never come.

    ฉันรอคอยคุณอยู่ แต่คุณก็ไม่มาหาสักที

    “มุคุโร่ ช่วยด้วย ฉันเหงาเหลือเกิน ฉันรอคุณอยู่ทุกวันทุกคืน แต่คุณก็ไม่เคยมาสักที ฉัน...ฉัน...” เสียงสะอื้นดังเข้ามาแทนที่เสียงพูดที่ขาดหายไป ชายหนุ่มก้มลงเอาแก้มแนบกับผมของเธอ ปล่อยให้น้ำตาของเธอไหลลงมาเปียกชุ่มบนใหล่ของเขา ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ

    “ผมขอโทษ...ขอโทษที่ทำให้คุณรอ ขอโทษที่ทิ้งคุณไว้คนเดียวนะเคียวโกะ แต่ตอนนี้ผมก็กลับมาแล้วนี่ไง หยุดร้องไห้เถอะนะ เดี๋ยวไม่สวยแล้วผมไม่รักนะ” เขาแกล้งพูดล้อเล่นให้เธอหยุดร้องไห้เสียที เขาไม่ชอบเวลาเธอร้องไห้ ยิ่งร้องไห้เพราะเขานี่ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงแม้น้ำตาของเธอจะงดงามเพียงใด แต่เขาก็เจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องเห็นมัน

    Is this in my head, I don’t know what to think.

    นี่มันอยู่ในหัวของฉันหรือเปล่า ฉันไม่รู้เลยว่าจะคิดอะไร

    ...นี่ฉันคงไม่ได้ฝันไปนะ มันไม่ใช่ภาพหลอนที่มันติดอยู่ในหัวของฉันใช่ไหม...

    ในระหว่างที่เคียวโกะจมอยู่กับความมึนงงนั้น มุคุโร่ก็ดันตัวเธอออก และทำสิ่งที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนทันที

    He knelts to the ground and pulled out a ring and said…

    เขาคุกเข่าลงกับพื้นและหยิบแหวนออกมา จากนั้นก็พูดว่า...

    ชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้น หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดมันออก และยื่นมาข้างหน้าเธอที่กำลังตื่นตะลึง จับมือที่เย็นเฉียบของเธอเอาไว้ พร้อมกับพูดขึ้นว่า

    Marry me Juliet, you’ll never have to be alone.

    แต่งงานกับผมนะจูเลียต คุณจะไม่มีวันที่จะต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว

    “แต่งงานกับผมนะครับเคียวโกะ ผมจะไม่ปล่อยให้คุณต้องอยู่คนเดียวอีก” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเธอด้วยแววตาแน่วแน่

    เคียวโกะกำลังรออยู่ รอคำคำนั้นของเขาอยู่ คำที่เธออยากได้ยินมาตลอด...และประโยคต่อมาของเขาก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง

    I love you and that’s all I really know.

    ผมรักคุณคนเดียว และนั่นคือทั้งหมดที่ผมรู้

    “ผมรักคุณนะ รัก รัก รัก และจะรักไปตลอดกาลด้วย ผมจะมีคุณคนเดียว คุณคนเดียวเท่านั้นที่ผมรัก...” เคียวโกะแทบจะปล่อยโฮออกมาอีกรอบเมื่อความรู้สึกตื้นตันและดีใจมาจุกอยู่ที่คอ หัวใจของเธอพองโตจนคับอกไปหมด

    I talked to your dad, go pick out a white dress.

    ผมคุยกับคุณพ่อของคุณเรียบร้อยแล้ว ไปเลือกชุดแต่งงานเถอะ

    “คุณพ่อของคุณอนุญาติแล้ว ทุกคนก็ยอมรับเราแล้ว สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือหาชุดแต่งงานให้คุณ” เขาพูดขณะที่เอื้อมมือไปหยิบแหวนขึ้นมา และสวมใส่ให้เธอที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างอ่อนโยน

    It’s a love story. Baby, just say yes.

    มันคือนิยายรัก ตอบรับผมนะที่รัก

    “เรื่องของเราจะเป็นเหมือนนิยายรัก และจะเป็นนิยายรักที่โด่งดังที่สุด เพราะฉะนั้น...รับรักของผมหน่อยนะครับ” เขามองเธอด้วยแววตาเป็นประกาย ซึ่งเคียวโกะก็ไม่ได้หลบสายตาของเขา เธอสบตาเขาด้วยแววตารักใคร่ ก่อนที่ริมฝีปากเอิบอิ่มสีชมพูจะเอ่ยออกมาว่า

    “ฉันก็รักคุณค่ะ มุคุโร่” จบคำหญิงสาว ร่างบางก็ถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดของคนตัวโตทันที

     

     

     

    สองหนุ่มสาวที่กำลังหลับตาลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะยิ้มให้แก่กัน

    “เราเคยเจอกันมาแล้ว” เสียงชายหนุ่มพูด

    “ที่ระเบียงห้องโถง...” หญิงสาวเริ่มเอ่ยขึ้นบ้าง

    “ที่สวนหลังคฤหาสน์...” ชายหนุ่มก็ต่อคำของเธอได้อย่างเหมาะเจาะ

    “ที่ทุ่งหญ้าแถบชานเมือง...” เมื่อเคียวโกะพูดจบ ทั้งสองก็ยิ้มให้กันอีกครั้ง

    'Cause We were both young when I first saw you.

    เพราะเราต่างเยาว์วัยกันทั้งคู่ตอนที่ฉันพบคุณครั้งแรก

    “ผมกำลังจะไปทานข้าวกลางวันพอดี ไม่ทราบว่าจะไปด้วยกันไหมครับ”

    “ด้วยความยินดีค่ะ”

    สิ้นคำหญิงสาว ร่างทั้งสองก็เดินหายลับไปจากสวนแห่งนั้น ทิ้งไว้แต่สายลมฤดูร้อนที่พัดมาเบา ๆ ราวกับเสียงโห่ร้องยินดีการกลับมาพบกันอีกครั้งของทั้งคู่เท่านั้น...

     

    FIN.

    Thanks Theme : © Tenpoints !



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×