คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ♀♂ 1886 ≈Vampire's Theory
Title : The Vampire’s Theory
Paring : Hibari x Haru (1886)
Rating : PG 15
Author : Enjoy Xiah (KimJoysu)
Author Notes : ทักทายกันกับฟิคแรกในคาเฟ่ชอร์ทฟิคหลังนี้ด้วยฮิบาริฮารุที่แฟนฟิคหน้าเก่าแต่ไม่แก่ของจอยทุกคนก็คงพอเดาออกว่าต้องเป็นคู่นี้ ฮา จอยเปิดรีเควสรูมไว้ด้วยล่ะ แต่อันนี้ตัวเองรีเควสเอง ขอสนองนี้ดตัวเองหน่อยนะ แหะ ๆ ช่วงนี้กระแสแวมไพร์กำลังแรง เลยเอามาเป็นพล็อตซะเลย ๕๕๕ แต่รับรองไม่มีทางเหมือนทไวไลท์แน่นอนจ่ะ จะออกแนวเหมือนที่เล่ากันเป็นตำนานอ่ะแหละ อ่านแล้วรับรองว่าหลงรักแวมไพร์หน้านิ่งคน เอ๊ย ตนนี้ชัวร์จ้า :D
PS. ดูชื่อเมืองกะชื่อแคว้นก็คงรู้แล้วนะว่าเพี้ยนมาจากอะไร :P อ้อ อย่าหาว่าเรตล่ะ นี่มันหนังแวมไพร์นะยะ >///<
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสีแดงฉานดั่งเลือดครั้งหนึ่งในรอบเก้าทศวรรษนั้น
มีตำนานเล่าขานว่าท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมโดยรอบ แวมไพร์รูปงามจะปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้า
โฉบลงลักตัวหญิงงามที่ออกจากบ้านในเวลานั้น...และหายไปในรัตติกาล...
ราตรีกาลหม่นมืด ไร้แสง
จันทราสีชาดแดง แจ่มจ้า
แวมไพร์หนุ่มปรากฏแจ้ง โฉบไพล่
ลักไป่หญิงเลอข้า สาบสิ้น สูญหาย
ณ เมืองเจปรัส แคว้นโทล์กา
เสียงจอแจจ้อกแจ้กของผู้คนในเมืองยามเที่ยงวันดังไปทั่วจัตุรัสแดนดีไลอ้อน ทั้งเสียงพูดคุยพบปะกันของเพื่อนบ้าน เสียงเรียกลูกค้าเข้าร้าน เสียงต่อราคา และแม้แต่เสียงตะโกนพนันต่อสู้ก็ยังมี
หากเมื่อยามหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวครึ่งเข่าสูงศักดิ์ผู้มีใบหน้างดงามหยาดย้อยคนหนึ่งเยื้องย่างเข้ามา เสียงที่เคยดังเซ็งแซ่ก็พลันเงียบกริบลงทันที
เพราะทุกคนต่างใช้สมาธิจดจ้องไปที่ตัวเธอซึ่งกำลังเดินตัดผ่านจตุรัสด้วยทีท่าสง่าผ่าเผย ทว่าดวงหน้างดงามกลับสอดส่ายมองดูร้านรวงต่าง ๆ ที่มาตั้งขายของอย่างสนอกสนใจ คิ้วเรียวเข้มตวัดโค้งสวยขมวดเข้าหากันนิด ๆ เมื่อรู้ตัวดีว่าบรรยากาศคึกคักเมื่อครู่นี้หายวับไปเพราะเธอเป็นต้นเหตุ กลีบปากบางจึงเอ่ยขึ้นว่า
“หยุดทำไมล่ะ ทำต่อสิ” แทบจะทันทีที่สุ้มเสียงหวานกล่าวจบ ชาวบ้านทุกคนในจัตุรัสก็รีบหันกลับไปสานกิจกรรมของตนต่ออย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มบางฉายขึ้นบนใบหน้าสวยหวานอย่างพึงพอใจ ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเดินชมงานต่อ...ทั้ง ๆ ที่ยังมีผู้ติดตามตัวใหญ่สองคนเดินตามขนาบสองข้างนั่นแล
ไม่มีใครในแคว้นนี้ (หรือไม่แน่อาจจะเป็นเมืองนี้) ที่ไม่รู้จักท่านหญิงสูงศักดิ์ผู้มีใบหน้าสวยชวนตะลึงผู้นี้แน่ เพราะด้วยประการหนึ่งเธอเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลขุนนางและเสนาบดีใหญ่เก่าแก่ที่รับใช้บ้านเมืองมานานนับศตวรรษ ‘ตระกูลมิอุระ’ แต่อีกประการหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักกันดีที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ...ความงามหมดจดของเธอ...
ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเรียวเข้มเรียงตัวสวยเป็นธรรมชาติ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลฮาเซลเป็นประกายรับกับขนตางอนยาว จมูกโด่งเล็กเชิดขึ้นนิด ๆ อย่างคนหัวรั้น ริมฝีปากบางสีแดงสดดุจลูกเชอร์รี่ก็มิปาน...ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำให้เธอถูกยกย่องว่าเป็นสาวที่งดงามที่สุดของเมืองเจปรัสก็ว่าได้
หากแต่...ความงดงามนั้นมิใช่ว่าจะนำมาให้ซึ่งเคราะห์ดีเสมอไปหรอกนะ...
วิ้ว...วิ้ว...
ตกดึกคืนนั้น วันที่ฟ้าโปร่งไร้เมฆบดบัง แต่กลับไม่มีดวงดาวแม้แต่ดวงเดียว และยิ่งไปกว่านั้น...ดวงจันทร์ที่เคยส่องแสงสุกสกาวสีเหลืองนวลชวนมองได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำดั่งโลหิต บ่งบอกถึงสัญญาณแห่งลางร้าย ผู้คนในเมืองจึงไม่มีใครออกมาจากบ้านเลยสักคน หากท่ามกลางความเงียบสงบอันแสนวังเวง กลับมีร่างบางในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้านางหนึ่งเดินทอดกายอยู่บนระเบียงทางเชื่อมภายในคฤหาสน์มิอุระ...
ระเบียงนั้นไม่มีหลังคา จึงเปิดโล่งทำให้มองเห็นดวงจันทร์และท้องฟ้าชัดเจน ดวงตากลมโตมองไปยังดวงจันทร์อย่างสงสัย
“ทำไมวันนี้ดวงจันทร์ถึงได้เป็นสีแดงดูน่ากลัวอย่างนี้นะ”
ทันใดนั้น บนผินฟ้าอันมืดมิดไร้ขอบเขตก็ปรากฏเงาดำทะมึนทาบทับจันทราสีชาดทันทีที่เธอกล่าวจบ ท่านหญิงมองไปที่เงานั้นอย่างตกใจระคนหวดกลัว เพราะไม่มีทางที่คนธรรมดาจะสามารถ ‘มีปีก’ และ ‘บินบนฟ้า’ ได้
ทว่าเธอสงสัยได้เพียงครู่เดียว เงาที่ว่าซึ่งเป็นเงาของผู้ชายนั้นก็บินถลาพุ่งตรงมาทางเธอ
ตึก
เสียงปลายเท้าวางลงบนขอบระเบียง ระยะห่างระหว่างเธอกับเขาที่หดลงสั้นเหลือแค่ศอกทำให้เธอมองเห็นเขาได้ชัดขึ้น
เขาเป็นชายที่จัดได้ว่ามีใบหน้าหล่อเหลาที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้ เพียงแต่เขาไม่น่าจะใช่มนุษย์ เขามีดวงตาเรียวคมสีนิล จมูกโด่งรับกับโครงหน้า ริมฝีปากบางสีแดงสด ทุก ๆ อย่างบนใบหน้าของเขาช่างน่าหลงใหล รูปร่างหรือก็น่าสัมผัส เพราะเสื้อแขนยาวสีขาวบาง ๆ นั้นมีคอเสื้อที่แหวกลงมาเกือบถึงหน้าท้อง แผงอกกำยำไร้ขนสักเส้นจึงประจักษ์แก่สายตาเธอ อีกทั้งเขายังเป็นคน...หรืออะไรสักอย่างที่สูงชะลูดประมาณเกือบสองเมตรได้ หากทว่า...สิ่งที่ทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวก็คือปีกสีดำใหญ่ทั้งสองข้างที่ตัดกับชุดสีขาวสะอาดนั้น เพราะมันแสดงให้รู้ว่าเขานั้น ‘ไม่ใช่คน’
แสงจันทร์ที่สาดส่องมาทำให้ท่านหญิงเห็นองค์ประกอบรูปร่างและหน้าตาที่น่าหลงใหลของเขาได้ชัดเจน
“ทะ...ท่านเป็นใคร” เสียงใสเอ่ยถามเบา ๆ มือของเธอสั่น ร่างทั้งร่างก็แทบจะลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว
เขาไม่ตอบ เพียงแต่พิจารณาเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ซึ่งเธอไม่ชอบสายตาแบบนั้นเอาเสียเลย
สักพักเสียงทุ้มก็เอ่ยสั้น ๆ “แวมไพร์”
คำเพียงสั้น ๆ คำเดียวตรงเข้ากระแทกท่านหญิงจนสมองขาวโพลนไปหมด ขาทั้งสองข้างทรงตัวไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ร่างบางของเธอกำลังจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น หากแต่มือเรียวที่ทั้งเย็นเฉียบและขาวซีดก็เอื้อมมารับตัวเธอไว้ก่อน
“ไปกับฉัน” สิ้นเสียงคำพูดเอาแต่ใจนั้น เธอก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสเย็นเยียบที่หน้าผาก และเสียงท่องอะไรสักอย่างแผ่วเบาจากปากของคนที่โอบร่างเธอไว้ ก่อนที่ภาพทั้งหมดที่เคยเห็นชัดเจนจะกลายเป็นสีดำสนิท
แสงแดดอันอบอุ่นสาดเข้ามาทางผ้าม่านที่แง้มไว้เล็กน้อย ทำให้ร่างบางที่กำลังนอนสลบไสลอยู่รู้สึกตัวและลืมตาตื่นขึ้น เธอขยี้ตาเบา ๆ และหาวอีกหวอดใหญ่ พลางมองไปรอบห้อง
...ที่นี่มันที่ไหนกันนี่...
เธอนึกสงสัยตั้งแต่ผ้าปูที่นอนสีขาวและหมอนใบใหญ่สี่ใบที่ไม่มีทางมีในห้องนอนของเธอแน่ ๆ เพราะจำได้ว่ามันเป็นสีชมพูอ่อนทั้งหมดนี่นา แล้วเจ้าตุ๊กตาสิงโตน้อยของเธอไปไหนเสียล่ะ เธอนอนไม่หลับถ้าไม่มีมันนะ! แล้วนั่นก็อีก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องขนาดใหญ่ห้องนี้วางผิดที่ผิดทางกับของในห้องนอนเธอทั้งหมด และเธอก็ยังจำได้อีกว่า...ในห้องนอนของเธอถึงจะมีหน้าต่างบานใหญ่อยู่สามบานติด ๆ กัน แต่ไม่มีระเบียงชมวิวแบบห้องนี้
ห้องห้องนี้ตกแต่งเรียบ ๆ แต่ทว่ากลับหรูหรา สังเกตได้จากข้าวของเครื่องใช้ที่มีเหมือนที่คฤหาสน์ของเธอ แต่ติดที่ว่าหรูกว่า เพราะมันเคลือบทองไว้บางที่ด้วย ผ้าม่านสีดำขลิบสีทองผืนใหญ่ยักษ์ที่อยู่หน้ากระจกระเบียงใหญ่ ๆ นั่นก็เช่นกัน
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!
สมองน้อย ๆ ของเธอรีบประมวลหาความทรงจำที่มีอยู่เมื่อคืนทันที และก็ต้องใจหายวาบเมื่อนึกย้อนไปแล้ว เธอกลับเห็นภาพแวมไพร์รูปงามผู้นั้นชัดเต็มตา!
“ตืนแล้วหรือ” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ใบหน้างามรีบหันไปทางทิศต้นของเสียงอย่างรวดเร็ว แล้วก็พบว่าเธอไม่น่าหันไปเลย เพราะ ‘เขา’ ที่เป็นคนพาเธอมากำลังยืนกอดอกพิงประตูห้องที่อ้าแง้มไว้อยู่
“เธอชื่ออะไร” เขาถาม ถึงแม้เธอจะกลัว แต่เสียงใสก็ตอบกลับไปโดยยังคงรักษาระดับน้ำเสียงไว้ให้ดูเหมือนไม่มีอะไร
“ฮารุค่ะ มิอุระ ฮารุ” เขาจ้องหน้าเธออยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมา “ฉันชื่อฮิบาริ”
มือบางกระชับเข้าหากันแน่น ก่อนที่ฮารุจะตัดสินใจถามคำถามที่ค้างคาใจออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ท่าน...จับฉันมาทำไมหรือคะ” เขาเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ พลางกระตุกรอยยิ้มแสนบางเบาที่มุมปาก แต่เพียงแค่เธอกระพริบตา มันก็หายไป ราวกับ...สายลมที่จับต้องไม่ได้
“ทำไมน่ะหรือ...” เขาค้างเสียงไว้ และสืบเท้าเข้ามาใกล้กับเตียงนอนของฮารุ เท้าแขนกับหัวเตียง จ้องหน้าเธอนิ่ง ก่อนจะตอบคำถาม
“เพื่อเพิ่มอายุขัยให้ตัวเอง” สิ่งที่ได้รับกลับมาจากการที่เขาเฉลยให้ฟังคือดวงตางุนงงของอีกฝ่าย
“อย่าเพิ่งถาม ฉันให้คนเตรียมเสื้อผ้าไว้แล้ว ห้องน้ำอยู่ทางนั้น อาบเสร็จแล้วจะมีคนขึ้นมาตามลงไปทานข้าวเช้ากับฉัน” ฮิบาริขัดขึ้นทันทีที่เห็นฮารุอ้าปากจะถาม ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเลย
“อะไรของเขานะ...ทำตัวมีความลับอยู่ได้” เธอบ่นเบา ๆ ก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ความหวาดกลัวที่มีในตอนแรกลดลงไปกว่าครึ่ง เมื่อเห็นว่าฮิบาริไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายเธอเลย
...จับฉันมาแล้วจะอธิบายให้กระจ่างหน่อยไม่ได้รึไงนะ...
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฮารุในชุดกระโปรงหญิงสูงศักดิ์ยาวกรอมเท้าสีน้ำเงินก็เดินลงมาที่ห้องรับประทานอาหารตามคนรับใช้มา เมื่อเห็นฮิบารินั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะอยู่แล้ว และที่ข้าง ๆ ก็จัดเตรียมอาหารไว้พร้อม ร่างบางก็ไม่รีรอเลยที่จะเดินไปนั่งที่ที่ของเธอ
“ท่านน่าจะรู้ว่าฉันอาบน้ำเองได้” ระหว่างที่คนใช้ในชุดแปลก ๆ นำอาหารมาจัดเรียงบนโต๊ะ ฮารุก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา
“มันเป็นธรรมเนียม ผู้หญิงทุกคนที่มาที่นี่จะต้องมีคนอาบน้ำให้” เขาเอ่ยตอบเบา ๆ เช่นกัน เมื่อรู้ว่าที่เธอพูดเบา ๆ เช่นนี้เป็นเพราะความอาย
ฮารุทำหน้ามุ่ยขณะคิดไปถึงเรื่องในห้องอาบน้ำเมื่อกี้ที่เธอถูกคนใช้ผู้หญิงจับขัดสีฉวีวรรณด้วยสมุนไพรอะไรไม่รู้มากมายจนผิวแทบจะลอกตามหินขัดผิวอยู่แล้ว ถึงออกมาจากห้องแล้วผิวจะเนียนและขาวเหมือนส่องประกายก็เถอะ ถ้าเลือกได้ เธอก็ยังไม่ต้องการมันอยู่ดีล่ะ
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเมื่ออาหารทั้งหมดมาครบแล้ว ทั้งสองลงมือทานทันที ดูเหมือนว่าฮารุจะหิวมาก แต่ทว่าเธอก็ยังคงรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารได้อย่างไม่มีที่ติ
“เอ่อ...ฉันขอถามอะไรท่านสักอย่างได้ไหมคะ” หลังจากที่วางช้อนส้อมเรียบร้อยแล้ว ฮารุก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไมแน่ใจ
“...” เขาไม่ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“ท่านเป็นแวมไพร์ แล้ว...ปกติดื่มเลือดแทนอาหารไม่ใช่หรือคะ” เธอกลั้นใจถามออกไป
“ก็จริง แต่ฉันไม่ดื่มเลือดก็ไม่ได้ตายอย่างที่พวกมนุษย์เข้าใจหรอก”
“...งั้นหรือคะ” ฮารุพึมพำเบา ๆ ตอบรับ ฮิบาริจ้องหน้าสวยงามนั้นนิ่ง ไม่ยอมละสายตาไปไหน จนคนถูกจ้องเริ่มจะทนไม่ไหว
“นะ...นี่ท่านฮิบาริ หน้าฉันมีอะไรติดหรือคะ”
“เหตุผลหนึ่งที่ฉันพาเธอมาก็เพราะเธอสวย...มาก” เขาตอบเลี่ยงประเด็นอย่างตรงไปตรงมา จนฮารุเริ่มรู้สึกว่าหน้าของตนร้อนขึ้น
“ค่ะ”
“เธอสวยที่สุดในเมืองหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิคะ เพราะไม่มีการจัดอันดับ แต่ประชาชนหลายกลุ่มบอกฉันว่าฉันสวยที่สุดในเมือง” เธอตอบตามความจริง ไม่ได้คิดจะยกยอตัวเองแต่อย่างใด
“โชคดีจริง ๆ ที่จับเธอมา” เขาพึมพำเบามากจนเธอฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะบอกให้เขาพูดอีกครั้ง เขาก็เอ่ยชวนเธอขึ้นเสียก่อน
“ไปเดินชมปราสาทของฉันกัน”
ผ่านมาได้สามวันแล้วนับจากคืนแรกที่เขาพาเธอมาที่นี่ ฮารุพบว่าที่นี่นั้นสวยงามไม่ต่างจากโลกมนุษย์เลย ต่างกันที่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่เท่านั้น
ปราสาทฮิบารินั้นใหญ่โตและงดงาม ด้านหน้าปราสาทเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีพืชพรรณนานาชนิดเรียงตัวกันสวยงาม ด้านหลังเป็นทะเลสาบซึ่งมีสีเงินระยับเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์
ฮารุไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน รู้แต่เพียงว่าไม่ใช่แดนมนุษย์เป็นแน่
ตอนนี้เข้าเวลากลางดึกได้แล้ว เธอกำลังนั่งหวีผมยาว ๆ สีน้ำตาลเข้มของเธออยู่ วันนี้เธอเหนื่อยมาทั้งวัน เพราะฮิบาริเล่นพาเธอเดินเสียรอบบริเวณปราสาทของเขาเลย ขาของเธอก็ปวดหนึบไปหมด ดีที่ได้ยาดีจากเขา ตอนนี้เลยไม่ปวดมากเท่ากับตอนแรก
วิ้ว...วิ้ว...
เสียงลมพัดหวีดหวิวและเสียงผ้าม่านโบกสะบัดทำให้ฮารุหันไปมอง และก็พบว่าหน้าต่างระเบียงเปิดอยู่ เธอนึกฉงน เมื่อกี้นี้หน้าต่างระเบียงนั่นมันยังปิดอยู่ดี ๆ เลยนี่ แล้วทำไมตอนนี้มันถึงได้เปิดล่ะ...
และร่างสูงที่ปรากฏตัวขึ้นตรงริมระเบียงก็คลายข้อสงสัยในใจของเธอ ฮิบารินั่นเอง เขากำลังเดินเข้ามาหาเธอในห้องและปิดกระจกนั้น
“ท่านทำให้ฉันตกใจ” ฮารุกล่าวบริภาษเขา
ฮิบาริไม่พูดอะไร เพียงแต่หยิบหวีมาจากมือฮารุและลงมือหวีให้แทน ซึ่งฮารุก็ยอมให้เขาหวีอย่างเต็มใจ
ใช่...เธอยอมรับ ตอนนี้เธอไม่รู้สึกรังเกียจเขาแม้สักนิด กลับยินดีด้วยซ้ำที่เขาปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้
“เธออยากรู้ไหมว่าฉันจับเธอมาทำไม” ระหว่างที่เขากำลังหวีผมให้เธอ เขาก็เอ่ยออกมาเบา ๆ
“ค่ะ ฉันอยากรู้ ท่าน...บอกว่าเพื่อเพิ่มอายุขัยให้ตัวเอง...มันหมายความว่าอะไรหรือคะ”
“การเพิ่มอายุไขของแวมไพร์นั้น...ทำได้โดยการดื่มเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์ชาวมนุษย์ที่มีความรู้สึกผูกพันกัน”
“...” ฮารุนิ่ง รู้สึกตะลึงงันกับสิ่งที่เขาพูด
“แต่ดื่มวันละนิดหน่อยเท่านั้น ให้ดื่มไปเรื่อย ๆ จนครบหนึ่งแก้ว” คำพูดประโยคต่อมาของเขาทำให้ฮารุคลายความหวาดกลัวลง แต่ตัวเธอยังคงแข็งเกร็งจนฮิบาริต้องเอื้อมมือไปลูบหลังเธอเบา ๆ
ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายเธอเกร็งมากขึ้น มันยังทำให้เลือดลมของเธอสูบฉีดดีเสียจนแก้มทั้งสองข้างแดงปลั่งอีกด้วย
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่กัดเธอหรอกน่า” สุ้มเสียงเย็นชาเอ่ยเบา ๆ แต่ฮารุที่เริ่มจะชินกับวิธีการพูดแบบนี้ของเขารู้สึกเหมือนเขากำลังพยายามทำให้เธอหายกลัวอยู่ แม้หน้าจะนิ่งก็ตามที
แวมไพร์ตนนี้เย็นชาเหลือเกิน แต่ลึก ๆ แล้วเธอก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของเขาที่มอบให้เธอ จนความรู้สึกบางอย่างในตัวเธอมันเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่เธอกลัว...คงกำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้ และแน่นอน...ตัวแปรสำคัญของสิ่งที่ว่าก็คือเขา
ฮิบาริหยิบมีดเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ ฮารุมองมันด้วยดวงตาหวาดหวั่น แต่ฮิบาริก็ปลอบโยนเธอให้หายกลัวได้ไม่ยาก
“ไม่เจ็บหรอก นิดเดียวเอง เชื่อฉันสิ” จบคำ เขาก็นั่งลงบนเตียง ข้าง ๆ เธอ จับผมยาว ๆ อ่อนนุ่มของเธอรวบไปข้างหนึ่ง ประคองหน้าเธอให้หันมาทางเขา
เขาไล้มือบนแก้มของเธอแผ่วเบา โน้มหน้าลงไปใกล้เธอช้า ๆ หยุดรอนิดหนึ่งเผื่อเธอจะไม่ต้องการ แต่เธอก็นิ่ง ริมฝีปากบางสีสดจึงตรงเข้าครอบครองริมฝีปากนุ่มทันที
เขารุกไล่มอบความหอมหวานให้เธออย่างค่อยเป็นค่อยไป ตักตวงความหวานละมุนจากเธออย่างเอาแต่ใจจนเธอเคลิ้ม ฮิบาริจุมพิตไล่มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปลายคางจนถึงชีพจรตรงลำคอที่เต้นแรงจนเขารู้สึกได้ เขาจรดริมฝีปากลงบนลำคอยาวระหง สูดดมกลิ่นกายหอมหวนชวนหลงใหล พอได้จังหวะที่เธอไม่รู้สึกตัว เขาก็กดใบมีดลงที่คอขาวของเธอทันที ฮารุสะดุ้งสุดตัว กระเถิบจะถอยหนี ทว่าเขากลับไม่ยอม มือเรียวตวัดโอบหลังของฮารุไว้ และฮิบาริก็ก้มลงเลียเลือดที่ทะลักออกมาจากบาดแผลของเธอทันที
ลิ้นนุ่มตวัดไปมาบริเวณลำคอของเธอส่วนที่เป็นบาดแผล แต่แทนที่เธอจะรู้สึกเจ็บ เธอกลับรู้สึก...วาบหวาม ฮารุไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว
ความรู้สึกร้อนไปทั่วทั้งตัวนี่มันอะไรกัน แล้วทำไมทั้ง ๆ ที่มือเขาเย็นเฉียบแบบนั้น แต่อ้อมกอดของเขากลับอบอุ่นเพียงนี้... ท่ามกลางสติอันเลือนราง เสียงในความคิดของฮารุดังก้องขึ้น หากแต่เธอก็สลัดมันทิ้ง โหยหาความอบอุ่นและความสุขที่ได้จากการกระทำของบุรุษตรงหน้า
หญิงสาวเบียดตัวเข้าหาแวมไพร์หนุ่ม กระหวัดแขนเรียวเล็กรอบคอเขา มือบางที่เหลืออยู่อีกข้างทาบทับลงบนแผ่นอกกว้าง เธอค่อย ๆ ปลดกระดุมของเขาทีละเม็ด ๆ และแหวกเสื้อเขาออกให้กว้าง ลูบแผงอกเขาเบา ๆ ฮารุต้องการสัมผัสความแข็งแกร่งของเขาให้มากกว่านี้
เธอครางออกมาเบา ๆ ระหว่างที่ฮิบาริยังสาละวนอยู่กับเลือดของเธอที่ตอนนี้เกล็ดเลือดเริ่มจะทำงาน มันค่อย ๆ ใหลน้อยลงเรื่อย ๆ
ในที่สุดฮิบาริก็เงยหน้าขึ้นจากซอกคอของเธอ เลือดหยุดใหลลงแล้ว และเขาก็กำลังจะป้ายยาอะไรสักอย่างที่คอเธอเหมือนกัน
“อ๊ะ...ท่าน...” ฮารุอุทาน ลดมือที่กำลังป่ายปัดไปมาบนอกแกร่งของเขาลง
“ยาน่ะ จะได้ไม่เป็นแผลเป็น” เขาตอบเบา ๆ พร้อมกับเลียริมฝีปากหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันมาพูดกับเธอ
“เลือดเธอหวานดีจริง นี่สินะเลือดสาว”
“นะ...นี่ท่าน...” ฮารุหน้าแดง เธออายมากจนแทบจะมุดลงใต้เตียงอยู่แล้ว
“ไม่เจ็บเลยใช่ไหมล่ะ เพราะน้ำลายของแวมไพร์มีสารบางอย่างที่ทำให้สารอะดรีนาลีนของมนุษย์หลั่งออกมาได้ และยังสามารถยับยั้งความเจ็บปวดได้ด้วย”
“มิน่า...ถึงได้ไม่เจ็บ” แถมยังรู้สึกหวิว ๆ อีกต่างหาก เธอพึมพำเบา ๆ เมื่อเขาอธิบายให้ฟัง
ฮารุแอบคิดในใจพลางก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาของแวมไพร์หนุ่ม แต่แล้วก็ได้พบว่ากระดุมชุดนอนของเธอถูกปลดลงไปหลายเม็ดจนเกือบจะถึงสะดืออยู่แล้ว!
“ว้าย!” เธอร้องเสียงดังและรีบกลัดกระดุมให้เข้าที่ทันที ดวงตากลมโตตวัดมองคนทำด้วยความขุ่นเคือง
“ก็เท่า ๆ กันไม่ใช่หรือไง” แต่เขากลับตอบหน้าตาย และชี้ไปที่เสื้อของเขาที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากเธอเท่าไรนัก
...กรี๊ดดดดดด...
ฮารุกรีดร้องในใจอย่างอับอายในการกระทำที่อยู่เหนือสติยั้งคิดของตน ก่อนจะเอ่ยปากไล่ฮิบาริทางอ้อม
“ฉันง่วง ท่านกลับไปได้แล้ว”
“แน่ใจหรือ ไม่ใช่ว่าเธอตาสว่างแล้วหรอกเรอะ”
“ท่าน!”
“ก็ได้ กลับก็ได้” เขาหัวเราะในลำคอ มองหน้าหญิงสาวเพียงแวบหนึ่งแล้วกระโจนออกไปทางระเบียง
ฮารุยังสงสัยอยู่ว่าทางเข้าทางประตูมีดี ๆ ทำไมเขาถึงได้อุตริเข้ามาทางระเบียง
แล้วเมื่อกี้...มันเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจของเธอกันนะ...ทำไมถึงได้เต้นแรงไม่หยุดเลย...
...และหลังจากนั้นมันก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นจนเธอรู้สึกได้...
ทั้งเสียงหัวใจเต้นตึกตักเวลาอยู่กับเขา
ความสุขมากมายยามที่เขาสัมผัส
ความรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตจนแน่นคับอกเมื่อเขาคอยห่วงใยเอาใจใส่
...และสิ่งนี้ใช่หรือไม่ที่พวกผู้ใหญ่ในแดนมนุษย์เรียกกันว่า ‘ความรัก’
เธอมิอาจปฏิเสธมันได้อีกเมื่อรู้ดีอยู่แก่ใจ...ใช่ เธอตกหลุมรักเขาเข้าไปแล้วเต็ม ๆ
เวลาหนึ่งเดือนดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อเธอมีเขาคอยอยู่เคียงข้าง...แต่ถ้าพูดให้ถูก ต้องเป็นเขาต่างหากที่มีเธออยู่เคียงข้างภายในปราสาทที่ใหญ่โตหากแสนเงียบเหงาไร้สีสันเช่นนี้
แต่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกราเสมอ...
ฮิบาริยืนมองฮารุที่กำลังทอดสายตามองไปยังที่ไกลแสนไกลซึ่งเขารู้ดีว่าคือที่ไหนด้วยแววตาหม่นหมอง หนึ่งเดือนที่ผ่านมาถึงแม้เธอจะดูมีความสุขดี แต่หากความทรงจำเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า...ไม่ว่าจะเป็นคนหรือแวมไพร์ ต่างก็มีครอบครัวของตนให้รักและห่วงหา เขาจับเธอมาโดยลืมนึกถึงความเป็นจริงข้อนี้ไปเสียสนิท...
สายตาของเธอ...มีทั้งความคิดถึงและห่วงหา...
เขาจับเธอมาเพื่อเพิ่มอายุขัยให้กับตน ตอนนี้พิธีการได้จบลงแล้วกว่าสัปดาห์ แล้วเขายังจะกักขังเธอไว้ที่นี่เพื่ออะไรอีกเล่า เพื่อทรมานเธออย่างนั้นหรือ? ถ้าแม้นตัวเขาจะมีความสุขเมื่ออยู่กับท่านหญิง หากแต่เธอไม่แล้วล่ะก็ เขาคงจะต้องปล่อยเธอไป
แม้นั่น...จะเป็นการกระชากก้อนเนื้อที่เต้นตุบ ๆ อยู่ภายในอกของเขาไปก็ตามที
แต่เขาก็จะทำ
“ฮารุ” ฮิบาริเอ่ยเรียกชื่อเธอเบา ๆ
ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะขานรับ “คะ ท่านฮิบาริ”
“อยากกลับบ้านไหม ฉันจะพาเธอกลับก็ได้นะ”
“...!”
“พรุ่งนี้...ฉันจะพาเธอกลับคฤหาสน์ของเธอเอง” เขาพูดก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ฮารุทำได้เพียงนิ่ง เธออยากอยู่กับเขาต่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคิดถึงท่านพ่อ ท่านแม่ และคนที่คฤหาสน์มากเพียงไร
...พรุ่งนี้แล้วงั้นหรือ...
ฮิบาริพาฮารุกลับมาที่คฤหาสน์ได้ด้วยประตูบานหนึ่งในปราสาทของเขา และตอนนี้เท้าของเธอก็เหยียบอยู่บนระเบียงห้องนอนในคฤหาสน์ที่เธอเติบโตมาแล้ว ฮารุหันหลังกลับไปหาฮิบาริที่ยังคงยืนนิ่ง ไม่ยอมปริปากพูดอะไรกับเธอสักคำมาตั้งแต่เช้า
“ท่านรอสักครู่ได้ไหมคะ” เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยเป็นเชิงถาม ก่อนจะเงียบไปพักใหญ่ และพยักหน้ารับ
ฮารุรีบวิ่งเข้าห้องของตนไปทันที ก่อนจะเปิดประตูออกไปสู่ห้องโถงกลางคฤหาสน์ซึ่งครอบครัวของเธอนั่งหน้าเครียดบรรยากาศอึมครึมอยู่กันพร้อมหน้า
“ทุกคน ฮารุกลับมาแล้วค่ะ!” ทันทีที่สิ้นเสียงของเธอ สายตาทุกคู่ก็หันมามองอย่างตกตะลึง
“ฮารุ!” ผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่ของเธอรีบวิ่งมากอดเธอไว้แน่นอย่างคิดถึง เธอเองก็คิดถึงพวกเขาเช่นกัน
ทั้งคู่ชวนเธอไปนั่งและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบและรวมถึงสาเหตุที่ว่าทำไมเธอถึงได้หายไปร่วมเดือนอย่างนี้ด้วย ซึ่งเธอก็ได้แต่อึกอัก ๆ เฉไฉไปเรื่อย จะให้เธอตอบว่า ‘โดนแวมไพร์จับไปค่ะ’ คงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไรกระมัง
สักพักฮารุก็ขอปลีกตัวออกมาได้สำเร็จ เธอพาร่างบาง ๆ ของเธอไปที่ระเบียงห้องนอนของเธออีกครั้ง แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อคนที่เธอเคยสั่งเอาไว้ว่าให้รออยู่ที่นี่กลับหายวับไปเหมือนไม่เคยอยู่
“ทะ...ท่านฮิบาริ ท่านอยู่ที่ไหนน่ะ อย่ามาเล่นซ่อนแอบตอนนี้นะ ออกมาเร็ว ๆ ก่อนที่ฉันจะโกรธ” เธอเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่น พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นความหวาดกลัวที่เริ่มคืบคลานเข้ามาในใจเธอช้า ๆ
“นี่ ท่านอย่ามาล้อเล่นนะ ก็ไหนบอกจะรอกันไง แล้วตอนนี้ท่านไปอยู่ที่ไหนล่ะ” มือของเธอสั่น เช่นเดียวกับใจดวงน้อยของเธอ เมื่อออกปากเรียกหลายครั้งแล้วยังไม่มีวี่แววที่เขาจะปรากฏตัว ร่างเล็กก็ทรุดลงนั่งกอดเข่ากับพื้นระเบียง และร่ำไห้ออกมาเสียงดังอย่างไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน
ไม่น่าเลย...ไม่น่าจริง ๆ เธอน่าจะบอกเขาก่อนที่จะไปหาท่านพ่อท่านแม่...
ไม่อย่างนั้น...ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจเช่นนี้...
ความจริงที่ว่าเธอรักเขา และจะอยู่กับเขาที่ปราสาทตลอดไป...
เธอรู้ว่าเพียงแค่เธอขอ เขาก็จะพาเธอมาเยี่ยมครอบครัวที่คฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่ถ้าเธอขอ ท่านพ่อท่านแม่ของเธอจะพาเธอไปยังปราสาทของเขาได้หรือไม่
...ไม่มีทาง...ฉันคิดผิดไปจริง ๆ...
...ท่านฮิบาริ...
มือบางยกขึ้นสัมผัสกับจี้ที่ห้อยอยู่ที่คอเบา ๆ มันเป็นสร้อยที่เขาสวมให้เธอตอนพาเธอไปล่องเรือเล่นในทะเลสาบหลังปราสาท อัญมณีเพชรน้ำงามสีดำดูลึกล้ำเหมือนดวงตาของเขา เธอยังจำประโยคนั้นได้ดี
‘ฉันให้เธอเพราะนี่คือค่าตอบแทนที่เธอให้เลือดฉันตั้งแก้วหนึ่ง’
คำพูดอวดดีน่าหมั่นไส้ที่มาพร้อมกับใบหน้าหยิ่ง ๆ ของเขายังทำให้เธอยิ้มได้ทุกคราที่นึกถึง หากแต่ตอนนี้เขาจะยังจำมันได้อยู่ไหม...ว่าของสิ่งหนึ่งของเขายังอยู่กับเธอ
และเขาจะรู้ไหม...ว่าใจของเธออยู่ที่เขาเช่นกัน
15 วันผ่านไป
คนทั้งคฤหาสน์ต่างรู้สึกฉงนงงงวยกันเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ดี ๆ ท่านหญิงของพวกเขาที่ปกติแล้วจะร่าเริงได้ทั้งวันกลับซึมเศร้าขึ้นมาเสียดื้อ ๆ อาหารที่ยกขึ้นไปให้ก็แทบจะไม่แตะเลย เธอปฏิเสธงานเลี้ยงทุกงานและเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง แต่น่าแปลกที่คนสวนของคฤหาสน์บอกว่าตอนดึก ๆ เขาเห็นเธอออกมายืนที่ระเบียงทางเดินเชื่อมภายในคฤหาสน์ทุกวัน มันเกิดอะไรขึ้นกับท่านหญิงอันเป็นที่รักของพวกเขากันนะ?
...วันนี้พระจันทร์เจ็มดวงงั้นหรือ...
...แต่เสียดายจังที่ไม่ใช่สีแดง...
ท่านหญิงฮารุที่วันนี้ออกมายืนที่ระเบียงเชื่อมในคฤหาสน์ตอนดึกดื่นอีกแล้วคิดขณะเหม่อลอยไปเรื่อย แต่สิ่งที่เห็น ณ ตอนนี้ทำให้ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง
...ท่านฮิบาริ!...
ฮิบาริกำลังกระพือปีกสีดำคู่ใหญ่บินตรงไปยังระเบียงห้องนอนของเธอ เขาหยุดยืนอยู่ตรงริมระเบียง สอดส่ายสายตาเข้าไปยังห้องนอนที่มืดสนิทของเธอ
“ท่านฮิบาริ!!” ชั่วพริบตานั้น ฮารุตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดังอย่างแทบไม่เชื่อสายตา แต่เมื่อเขารู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น...ที่ที่เขาเคยพบกับเธอครั้งแรก เขากลับกางปีกขึ้นอีกครั้ง และทำท่าจะบินหนีไป
“หยุดนะ!” ฮารุตะโกนเสียงดัง ทว่าฮิบาริไม่แม้แต่จะหันมามอง
“ถ้าท่านไม่หยุด ฉันจะกระโดด!” ฮารุขู่
เมื่อเห็นว่าทำยังไงเขาก็ไม่ยอมหันมาเสียที ฮารุจึงตัดสินใจปีนขอบระเบียง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปในความว่างเปล่าบริเวณนั้นเสีย
เธอหลับตาลง เดิมพันกับเขาครั้งสุดท้ายด้วยชีวิตของเธอ
ในขณะที่แรงโน้มถ่วงโลกกำลังนำพาฮารุลงไปยังพื้นดินที่สามารถปลิดชีวิตเธอทิ้งได้นั้น ฮารุรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอม ๆ แบบบุรุษที่คุ้นเคย...และอ้อมแขนแข็งแรงที่โหยหามาตลอดครึ่งเดือนที่เธอทุกข์ระทม
...เดิมพันครั้งนี้...ฉันชนะนะคะท่านฮิบาริ...
ฮารุคิดและยิ้มออกมาบาง ๆ เธอเงยหน้ามองแวมไพร์ตนที่กำลังทำหน้าบูดบึ้งด้วยความรัก ทันใดนั้นน้ำตามากมายก็ใหลทะลักออกมาจากดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลของเธอ
“ในที่สุด...ท่านก็มา” เธอว่าเสียงสั่น
“ไม่ต้องมาพูดเลย ฉันโกรธเธออยู่นะ”
“ก็เรียกยังไงท่านก็ไม่ยอมหันมานี่ รู้ไหมว่าฉันเสียใจแค่ไหนที่ท่านทำเหมือนไม่ไยดีฉันแบบนี้”
“...” เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่วางเธอลงกับพื้นห้องนอนของเธออย่างเบามือ
“ฉันแค่มาเพื่อแอบดูเธอเงียบ ๆ ไม่คิดว่าเธอจะออกมาข้างนอกเวลาแบบนี้”
“ฉันมาเพื่อรอท่าน”
“...”
“ทำไมวันนั้นท่านผิดสัญญา ทำไมท่านถึงไม่รอฉันล่ะ”
“ฉัน...” เขายังพูดไม่ทันจบประโยค เธอก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันรักท่าน”
“...!”
“ฉันพร้อมที่จะทิ้งทุกอย่างที่ฉันมี ทั้งฐานะ โลกมนุษย์ และครอบครัว หรือแม้แต่ความเป็นมนุษย์ของฉัน...เพื่อที่ฉันจะได้อยู่กับท่านตลอดไป”
“...ฮารุ”
“นะคะ ท่านฮิบาริ ให้ฉันได้กลับไปที่ปราสาทของท่านเถอะ ฉันขอ...” ปลายนิ้วเรียวถูกยกขึ้นมาปิดปากของเธอไว้ ก่อนที่เสียงทุ้มจะตามมา
“ปราสาทของเราต่างหาก”
“อา...” น้ำตาแห่งความตื้นตันใหลออกมาอีกครั้ง หลังจากที่เขารั้งเธอเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นของเขา
“ฉันรักเธอ ไปอยู่กับฉันนะ ฮารุ”
...นี่คือสิ่งที่ฉันรอคอย...คำคำนี้...เขาคนนี้...
...และฉันก็ไม่ลังเลเลยที่จะบอกเขา...
“ฉันก็รักท่านค่ะ ท่านฮิบาริ” คำรักที่มาพร้อมกับจุมพิตแสนหวานจากแวมไพร์แสนเย็นชาตนนี้ทำให้ฮารุแทบจะลงไปกองกับพื้น ถ้าไม่มีท่อนแขนแข็งแกร่งของเขาคอยประคองอยู่
“กลับปราสาทของเรากันเถอะ ฮารุ”
...ใช่ ปราสาทของเรา...
...และฉันก็ดีใจที่สุดเลยที่ได้เป็นหญิงสาวในตำนานที่เคยได้ยินตอนเด็ก ๆ คนที่สอง...
...ฉันคือเจ้าสาวของแวมไพร์สุดหล่อตนนี้ล่ะ ❤...
FIN.
[Joysu] จำได้ว่าฟิคนี้ปั่นไว้นานมากกว่าจะเอามาลง. ใช้เวลาหลายวันค่ะ. เพราะต้องมานั่งเครียดกับตอนจบว่าจะเอาไงดี, ฮ่ะฮ่ะ. กระแสแวมพ์กำลังแรง. แต่เรื่องความเหมาะสมของบทกับสองคนนี้นี่ยกนิ้วให้. แอบมีซีนเรทเรทนิดหน่อยเนอะ, ฮี่ฮี่. เจอกันฟิคหน้าค่า, จุ้บจุ้บ.
Thanks Theme : Qreaz. 10
ความคิดเห็น