คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : The Beginner
เมื่อ 3 ปีก่อน ไอรดา น้องสาวของไอรวิณป่วยเป็นโรคกระดูกที่ขาเสื่อมสภาพ จึงไม่สามารถเดินเหินได้เหมือนคนปกติ และแปลกมากที่การรักษาไม่ส่งผลอะไรกับตัวเธอได้เลย ไอด้าจึงต้องทนป่วยแบบนั้นตลอด 3 ปีเต็มๆ
จากเด็กสาวที่น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ กลับกลายเป็นเด็กสาวที่มีใบหน้าอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา พ่อแม่ของเธอทนเห็นสภาพของไอรดาไม่ไหวจึงร่วมกันคิดหาทางรักษาด้วยวิธีการทางอื่นบ้าง
อเนกพงศ์ผู้เป็นพ่อ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ ได้ร่วมกันกับภรรยาของเขาก็คือ ทัศนีย์ผู้ซึ่งเป็นหมอทางด้านเส้นประสาท ทำการศึกษาค้นคว้าและประดิษฐ์เครื่องช่วยเดินผ่านการรับคำสั่งจากระบบประสาทขึ้นมา
สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนั้นใช้เวลาถึง 2 เดือนเต็มๆ ในการสร้าง ซึ่งนับว่ารวดเร็วมากๆ ที่สามารถคิดค้นเครื่องมือที่นับว่าพลิกประวัติศาสตร์วงการแพทย์และคอมพิวเตอร์กันเลยทีเดียว แต่เรื่องนี้รู้กันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น จึงไม่มีบุคคลภายนอกรับรู้และไม่โด่งดัง
ไอรดาได้ทำการทดลองใช้มันครั้งแรก เธอรู้สึกดีที่ได้กลับมาเดินอีกครั้ง แต่ปัญหาก็ตามมาอีก ด้วยเครื่องที่มีขนาดใหญ่และต้องเชื่อมต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์ตลอดจึงทำให้ไม่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกนัก จนในที่สุดเมื่อเวลาผ่านพ้นไปนานๆเข้า สิ่งประดิษฐ์นั้นก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้แบบจริงๆจังๆและทุกคนก็ลืมมันไป
อิทธิพลคือชื่อจริงของไมค์ เขาเป็นหลานชายของอเนกพงศ์ เป็นคนหนึ่งที่บังเอิญเข้าไปในโกดังเก็บของที่คุณอาของเขาเก็บสิ่งประดิษฐ์นั้นไว้ เนื่องจากการรักษาไอด้าเป็นที่รู้กันอยู่แล้วในครอบครัวและญาติพี่น้องว่ารักษากันอย่างไรมาแล้วบ้าง ทำให้ไมค์สนใจเจ้าเครื่องที่ถูกทิ้งไว้นี้เป็นพิเศษ
“เสียดาย น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้” เขาจับคางตัวเองเหมือนกำลังใช้ความคิด
เอ มันเชื่อมต่อกับประสาทของเราได้สินะ ดีล่ะ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็จัดการ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของคุณอาอเนกพงศ์เพื่อขอเอาสิ่งประดิษฐ์นั้นไปศึกษาต่อ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของก็ไม่ได้ว่าอะไรและยอมให้ไปแบบฟรีๆ เพราะยังไงแล้วคนที่เอาไปก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล
ไมค์เรียนจบการสร้างเกมมาจากประเทศเกาหลีใต้ ประเทศที่เรารู้ดีกันอยู่ว่ามีเกมออนไลน์มากมายให้เล่นจนเลือกไม่ถูก เขาได้เข้าทำงานที่บริษัทเกมของประเทศเกาหลีและเคยสร้างเกมที่เป็นที่นิยมมาแล้ว นับว่าเป็นคนที่มีฝีมือทางด้านนี้เข้าขั้นอัจฉริยะเลยก็ว่าได้
ตอนนี้ไมค์ลาออกจากงานที่เกาหลีและบินกลับมาตั้งบริษัทเองที่ไทย โดยเริ่มจากนำเกมออนไลน์มาเปิดก่อน 2-3 เกมเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทหน้าใหม่ จากนั้นก็มีการวางโครงการกันว่าจะสร้างเกมขึ้นมาใหม่โดยฝีมือของคนไทยเอง แต่แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะการจะทำเกมที่มีกลิ่นไอของประเทศตัวเองได้นั้น ยากเอาเรื่องเลยทีเดียว
เมื่อได้สิ่งประดิษฐ์นั้นมาแล้ว เขาใช้เวลาในการศึกษาและร่างแบบแผนของเกมออนไลน์ตัวใหม่อยู่ได้สักครึ่งปี โครงการในการสร้างเกมก็เริ่มต้นขึ้น ไมค์และทีมงานทุกคนต่างก็ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ถือว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เสี่ยงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ถ้าโครงการนี้ไม่สำเร็จ หรือต้นทุนไม่พอ เขาคงมีหวังได้ล้มละลายกันง่ายๆ
ด้วยเหตุนั้นเอง การเจรจาเพื่อขอทุนในการสร้างจึงเริ่มต้นขึ้น ทีแรกไมค์ยื่นเรื่องไปที่บริษัทเดิมของเขา แต่กลับถูกปฏิเสธ เขาจึงลองยื่นไปที่บริษัทในญี่ปุ่นที่เคยไปทำงานให้มาแล้วครั้งหนึ่งดู และก็ได้ผลตอบรับที่ดีกลับมาด้วยเงินทุนกว่า ห้าร้อยล้านบาท แต่ถึงอย่างนั้นก็มีข้อแม้ว่า ถ้าโปรเจคนี้เกิดไม่สำเร็จขึ้นมา ไมค์ต้องเอาสิ่งประดิษฐ์นั้นมาให้กับทางบริษัทและตัวเขาเองก็ต้องไปทำงานกับบริษัทด้วย
ในเวลา 2 ปีของการสร้างเกมเมต้าเวอร์สออนไลน์ ทุกอย่างประสบผลสำเร็จไปด้วยดี ทางบริษัทจากญี่ปุ่นพึงพอใจในผลงานนั้น และชื่นชมในตัวไมค์เอามากๆ ไมค์เองก็ปลื้มปิติในผลงานของเขาและเหล่าทีมงานที่ร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันอุปสรรคกันมา 2 ปีกว่า บัดนี้เกมออนไลน์แรกที่จะทำให้ผู้เล่นสัมผัสสิ่งต่างรอบตัวได้อย่างสมจริงได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว
ไมค์ส่งมอบอุปกรณ์ในการเล่นเกมชิ้นแรกให้กับไอด้า เด็กสาวผู้ที่เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของเกม เธอควรได้ใช้มันคนแรกอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อมันสมบูรณ์พร้อม
เมื่อภาพแรกปรากฏขึ้นต่อสายตาของไอรดา เป็นพื้นที่สวยงามที่เขียวชอุ่มไปด้วยพรรณไม้ เธอสามารถเดินและวิ่งบนพื้นหญ้าเขียวขจีได้อย่างสดใสร่าเริง ดอกไม้ริมทางส่งกลิ่นหอมฟุ้งเหมือนกับของจริง แถมยังจับสัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ กระต่ายตัวน้อยผุดออกมาจากหลุมก่อนจะวิ่งหนีเธอที่กำลังหมายตาจ้องจะจับมัน ไอรดาเล่นจนพอใจก็พบกับข้อความแนะนำบางอย่างในการออกจากโลกแห่งนี้ เพียงแค่กดตามคำสั่งไม่กี่อึดใจโลกใบนั้นของเธอก็หายวับไปกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงตามเดิม
“ขอบคุณนะคะพี่ไมค์ ไอด้าชอบมันมากๆเลยค่ะ” นี่คือคำพูดแรกจากปากของไอรดาเมื่อเธอได้สัมผัสเข้ากับบรรยากาศภายในเกมแล้ว
“รออีก 3 วันนะไอด้า แล้วค่อยใช้เจ้านี่ใหม่ ไว้พี่จะโทรมาบอกนะ” ไมค์ลูบหัวไอด้าอย่างเอ็นดู
“ค่ะ ไอด้าจะรอวันที่เกมเปิดครั้งแรกของโลกนะคะ” ไอด้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเมื่อ 3 ปีก่อนอีกครั้ง อเนกพงศ์และทัศนีย์ผู้เป็นพ่อและแม่เมื่อได้เห็นภาพนั้นต่างก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ลูกสาวคนเดิมของพวกเขากลับมาแล้ว
...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด วาตารุนายทำอะไรบ้างสิยะ” เสียงของมิ้นต์ร้องลั่นไปทั่วบริเวณทุ่งหญ้าที่มีมอนสเตอร์ระดับเลเวล 5-7 มาอยู่กันอย่างชุกชุม เนื่องจากพวกเขาเดินเก็บเลเวลกันมาตั้งแต่หน้าเมืองจนถึงที่นี่ แต่ละคนต่างก็มีเลเวลถึง 6 กันแล้ว ทำให้อนิสาที่พึ่งดรอปได้ดาบระดับ Common มาหมาดๆ เกิดอาการติดลมในการทำลายล้างเหล่า
สไลม์จนฟันมอนสเตอร์มั่วไปหมด โดยหารู้ไม่ว่ามอนสเตอร์รูปร่างเหมือนหมูตัวที่กำลังไล่เธอมาเป็นฝูงอยู่นั้น เป็นมอนสเตอร์ที่รักพวกพ้อง เมื่อเพื่อนของมันถูกทำร้าย มอนสเตอร์แบบเดียวกันในบริเวณใกล้เคียงจะเข้ามาโจมตีทันที
“จะให้ทำอะไรเล่า ก็เธอเล่นฟันมั่วไม่เลือกแบบนั้นน่ะ” วาตารุยืนแคะขี้มูกสบายอารมณ์มองดูมิ้นต์ที่วิ่งหนีฝูงหมูนามว่า Bad Pig อย่างอลหม่าน แต่ดูเหมือนยิ่งเธอวิ่งเท่าไร ฝูงหมูก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นนะ
“กรี๊ดดดดดดด ช่วยด้วยค่า” มิ้นต์ที่ดูท่าทีของวาตารุแล้วว่าคงไม่ช่วยเธอแน่ๆ รีบวิ่งไปอีกทางที่มีกลุ่มผู้เล่นคนอื่นพร้อมส่งเสียงขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเธอเลยสักคน
ไอ้พวกผู้ชายเฮงซวย ขอให้แกอดกินหมูไปตลอดชีวิต ฮือๆๆๆ
“ก...กรี๊ดดดดด มันจะฆ่าหนูแล้ววววว” มิ้นต์ที่วิ่งจนเหนือยรู้สึกหมดแรง และแถมยังไปสดุดก้อนหินจนล้มลงไปกับพื้นอีกกำลังเปล่งเสียงร้องสุดท้ายที่เธอคิดว่าในไม่อีกกี่นาทีข้างหน้า คงได้มีสภาพไม่ต่างจากตอนโดนเสือเขี้ยวดาบตะปบเป็นแน่แท้
ฉันยังไม่อยากตายยยยยยยย
“ขออัญเชิญ ภูติแห่งลม ลินท์” สิ้นเสียงนั้น เหมือนภาพรอบด้านจะหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง สักพักก็เกิดลมแรงๆพัดขึ้นมาจากร่างของผู้มาใหม่ เขามีใบหูยาวแหลมรูปร่างสูงผมสีทองและนัยน์ตาสีเขียวมรกต และเมื่อลมหยุดพัดแล้ว ก็ปรากฏร่างของภูติขนาดจิ๋วบินอยู่ใกล้ๆกับเขา มันสูดลมเข้าปอดทีหนึ่งก่อนจะพ่นออกมาทำความเสียหายแบบหมู่ให้กับเหล่า Bad Pig
34 !! 34 !! 34 !! 34 !! 34 !! 34 !! 34 !! 34 !! 34 !! 34 !! 34 !! 34 !!
หมูแต่ละตัวมีเลือด 120 ซึ่งดาเมจที่ทำได้นั่นมัน...
เบาชิบ...
วาตารุกับมิ้นต์ถึงกับเหงื่อตกกันเลยทีเดียว
“ฮะๆ สงสัยพลังเวทย์จะน้อยไปหน่อยนะ ฮะๆ” ไลท์เอลฟ์ผู้สวมมาดเจ้าชายขี่ม้าขาวยิ้มแห้งๆมาให้ ซึ่งไม่รู้ว่ากำลังยิ้มให้กับมิ้นต์ หรือกับหมู หรืออาจจะเป็นชะตาของตัวเองที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้ากันแน่
“อู๊ดดดดดดด!!” แล้วเหล่า Bad Pig ก็วิ่งไล่ตามเป้าหมายใหม่ทันที เอลฟ์หนุ่มผงะเล็กน้อยก่อนจะตั้งสติ ปีนขึ้นต้นไม้ใกล้ๆนั้นอย่างชำนาญ เมื่อขึ้นไปได้แล้วเขาก็หยิบอะไรบางอย่างมาจากช่องไอเท็ม เป็นลูกแก้วกลมๆขนาดพอๆกับลูกฟุตบอล แต่ดูไม่น่าจะมีพิษภัยอะไรมากนัก
ตึ้งๆๆ !!
เหล่าหมูไม่ยอมแพ้ พวกมันเอาหัวโหม่งต้นไม้กะโค่นให้ตกลงมา วาตารุกับมิ้นต์ที่เห็นการกระทำของหมูก็อดทึ่งไม่ได้ที่โปรแกรมของเกมใส่ใจรายละเอียดกันขนาดนี้เชียว…
เดี๋ยวๆ นี่ใช่เวลามาชื่นชมเกมหรอฮะ !!
“เจ้าพวกหมู ไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร หึหึ” เอลฟ์หนุ่มคนนั้นที่มีชื่อขึ้นอยู่บนหัวว่า Smiley หัวเราะในลำคอมองพวกหมูอย่างเวทนา เพราะสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่อาจจะทำให้เหล่าหมูกลายเป็นสเต๊กเนื้อชั้นดีเลยก็ได้
อืม... แล้วจะใช้คำว่า อาจจะ ทำไมกัน...
“ขออัญเชิญภูติเสือแห่งเพลิง ทาทารัน” เมื่อกล่าวจบ ก็ปรากฏร่างของภูติที่มีรูปร่างเป็นเสือรอบล้อมไปด้วยเปลวเพลิงขึ้นมาแทนที่ภูติลมเด็ก ผู้เล่นคนนั้นออกคำสั่งให้ภูติของตนเข้าไปสิงอยู่ในลูกแก้วนั่น จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นบนกิ่งไม้ทอดสายตามองไปยังเบื้องล่าง “ปรับน้ำหนักเป็น 10 กิโลกรัม”
วิ๊ง !!
เสียงที่บ่งบอกถึงการปรับน้ำหนักของลูกแก้วสำเร็จแล้วดังขึ้น ผู้เล่นนาม Smiley ยิ้มแสยะมุมปาก ข่มขวัญเหล่าหมูที่ดูท่าทางแล้วไม่ได้เกรงกลัวรอยยิ้มนั่นกันเลย แล้วจะยิ้มไปทำไมกันนะ = =a
“Meteor Jam !!” ผู้เล่นคนนั้นอยู่ๆก็กระโดดลงมาจากกิ่งไม้พร้อมกับทำท่าเหมือนกำลังดังค์ลูกบาสลงห่วงอากาศ พอเขาปล่อยลูกแก้วนั่น มันก็พุ่งลงไปยังเหล่าหมูเหมือนกับลูกอุกกาบาตสร้างความเสียหายให้กับพวกมัน
113 !! 113 !! 113 !! 113 !! 113 !! 113 !! 113 !! 113 !! 113 !! 113 !! 113 !! 113 !!
แน่นอนว่าดาเมจขนาดนี้ พวกหมูทุกตัวก็กลายร่างเป็นสเต๊กเรียบร้อยไปแล้วแน่ๆ
“ขอบคุณที่ช่วยนะ” อนิสากล่าวด้วยใบหน้าชื่นชม
หึ ผู้ชายคนนี้คงได้กินหมูอิ่มไปตลอดชาติแน่ๆ เธอคิด
“ไม่เป็นไรครับ จริงๆผมก็เกือบแย่เหมือนกัน ฮะๆ” ผู้เล่นคนนั้นนำเอาลูกแก้วที่เพิ่งทุ่มใส่เหล่าหมูไปเมื่อสักครู่มาเดาะเล่นระหว่างนั้นก็คุยกับมิ้นต์ไปด้วย
“นายเล่นดูพึ่งพาได้กว่าคนในปาร์ตี้ฉันซะอีก เฮ้อ” มิ้นต์ทำเป็นพ่นลมถอนหายใจไปทางวาตารุที่กำลังเดินไปเก็บไอเท็มจากหมูหน้าตาเฉย
ให้ตายเหอะ หมอนี่มันหน้าด้านชัดๆ ช่วยก็ไม่ช่วยยังจะไปลูทไอเท็มคนอื่นอีก
“หืม นายจะทำอะไรน่ะครับ ลูทไอเท็มของผมหรอ ?” สไมล์ลี่หันไปมองวาตารุที่กำลังก้มๆเงยๆเก็บไอเท็ม แต่มันทะลุผ่านมือเขาไปตลอด คงยังไม่ถึงเวลาที่คนอื่นจะเก็บได้สินะ
“เปล่า ก็แค่หวังดีจะเก็บมาให้นายเท่านั้นแหละน่า คิดมากไปได้”
“งั้นหรอครับ เอ พวกนิสัยเกรียนๆนี่ชอบมีข้ออ้างแบบนี้กันสินะ” เห็นหน้ายิ้มๆแบบนี้ แต่คำพูดนี่เรียกว่าด่ากันตรงๆเลยดีกว่า
“เฮ้ นายพูดดีๆหน่อย” วาตารุที่ถูกพูดแทงใจดำ แกล้งทำเป็นเสียงเข้มใส่ นี่ถ้าระบบไม่ออกแบบมาให้พวกที่เลเวลยังไม่ถึง 10 อย่างเขา PK ได้ล่ะก็ นายสไมล์ลี่คงได้กลับจุดเซฟไปแล้ว...
“ก็ไม่ได้พูดไม่ดีอะไรนี่ครับ หรือว่ามันแทงใจดำคุณหรือไง” อึก หมอนี่มันชักจะมากไปแล้วนะเว้ย
“อ่า เอาน่าๆ อย่ามีเรื่องกันเลย” มิ้นต์ที่เห็นว่าทั้งคู่เหมือนกำลังจะทะเลาะกันกลายๆ เดินเข้ามายกมือปางห้ามญาติเสมอหน้าอกของทั้งสองฝ่าย สูงพอๆกันเลยแฮะ แต่ไม่แน่นายพวกนี้ที่จริงอาจจะเตี้ยก็ได้
“เห็นแกเธอหรอกนะมิ้นต์” วาตารุทำเป็นพยักพเยิดหันหน้าไปอีกทาง นิสัยสาวน้อยชัดๆเลยแกเอ๋ย
“ฮะๆ เพื่อนคุณนี่นิสัยยังกับผู้หญิงเลยนะครับ” สไมล์ลี่อดแซวไม่ได้
นั่นไง ไม่วาย เดี๋ยวก่อนเหอะ เวล 10 เมื่อไร พ่อจะเอาหินกากในกระเป๋าผ่าหัวกระบาลให้ คอยดูเถอะ วาตารุคิด
“ฉันชื่อมิ้นต์นะคะ แล้วคุณชื่ออะไรคะเนี่ย” มิ้นต์ถามเปลี่ยนประเด็น เพราะเธอเห็นวาตารุที่กำลังแยกเขี้ยวใส่นายเอลฟ์คนนี้อยู่จากคำพูดที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ กลัวว่าจะทะเลาะกันไม่เลิก
“บิวครับ” สไมล์ลี่ตอบ
“กร๊ากกกกก ชื่อบิว ใช่บิวตี้หรือเปล่า กร๊ากกกก” วาตารุหัวเราะพรืดทันทีที่ได้ยินชื่อของเอลฟ์หนุ่ม ทำเอาเส้นเลือดตรงบริเวณขมับของคู่กรณีบวมขึ้นมานิดๆ จนมิ้นต์ที่อยู่ใกล้ๆยังสังเกตเห็นได้
“นายหาว่าฉันชื่อเหมือนกะเทยอ่อนแอปวกเปียกอย่างงั้นหรอฮะ!!” บิวพูดเสียงเขียว ดูท่าจะโกรธจริงๆ
“ไม่ได้พูดขนาดนั้นเลยนะเฟ้ย” วาตารุถึงกับผวาเล็กน้อยที่อีกฝ่ายดูเปลี่ยนเป็นคนละคนกับเมื่อสักครู่ หมอนี่ต้องไม่ชอบให้ใครมาล้อชื่อแน่ๆเลย
เสร็จตูล่ะ ฮ่าๆๆๆ วาตารุคิดในใจ
“ผมขอตัวก่อนแล้วกันครับ ไอเท็มพวกนี้ผมถือว่าทำบุญทำทานให้คนยากไร้แล้วกัน ไปแล้วนะครับคุณมิ้นต์” บิวมองไปที่วาตารุเมื่อพูดคำว่าคนยากไร้จากนั้นก็เดินจากไปด้วยใบหน้าที่ปั้นกลับมาเป็นยิ้มแย้มแบบเดิมส่งไปให้มิ้นต์ แต่ทั้งสองยังคงเห็นเส้นเลือดปุดๆตรงขมับของเขาอยู่เลย
“แล้วเจอกันใหม่นะจ๊ะ บิวตี้จัง” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกไปไกลแล้ว วาตารุก็ตะโกนไล่หลังไปให้อีกฝ่ายอารมณ์เดือดเล่นๆ
“ไปตายซะ อย่าได้เจอกันอีกเลย” ท่าทางบิวคงจะได้ยินจึงตะโกนสวนกลับมาแทบจะทันที
“นายนี่นิสัยไม่ดีเลย” มิ้นต์ไม่ตำหนิเปล่า เธอฟาดมือเบาๆไปที่ไหล่ของวาตารุ แต่อีกคนดันทำสำออยร้องเจ็บปวดราวกับถูกมีดแทงเสียอย่างนั้น “โอเวอร์แอคติ้งจริงเลยนะนาย”
โชคดีหน่อยที่ไอเท็มจากหมูป่า มีขวานระดับ Great ดรอปมาด้วยชิ้นหนึ่ง วาตารุจึงถือวิสาสะเก็บมาใช้เป็นอาวุธทันทีหลังจากที่ดูดค่าประสบการณ์ของมิ้นต์มาตั้งแต่เลเวล 1 ถึง 6 โดยไม่ได้ช่วยอะไรเลย อ้อไม่สิ อย่างน้อยก็ช่วยเตะสไลม์แถวๆนั้นไปพลางๆได้ล่ะนะ
ถึงจะมีดาบระดับ Common ที่ดูจะใช้ง่ายกว่าดรอปมาด้วยก็ตาม แต่วาตารุก็ยังไม่ทันได้ริปมันมาใช้ ก็ถูกมิ้นต์คว้าเก็บเข้ากระเป๋าไปก่อนเรียบร้อยแล้ว เป็นคนที่เรียนรู้อะไรได้ไวจริงๆ ให้ตาย
“นายคิดจะไม่บอกชื่อของนายกับฉันจริงๆหรอเนี่ย อุตส่าห์ช่วยเก็บเลเวลมาตั้งนาน” มิ้นต์อดบ่นไม่ได้ที่ยังไม่ได้รู้เลยว่าหัวหน้าปาร์ตี้ของเธอมีชื่อเรียกจริงๆว่าอะไรกันแน่ ปล่อยให้เรียกวาตารุอยู่ตั้งนาน
“ผมมีความจำเป็นจริงๆ ขอโทษด้วยที่บอกเธอไม่ได้นะ” วาตารุยิ้มเรียบๆตอบกลับไป
ก็ไม่รู้หรอกว่าจำเป็นอะไรมากมายขนาดไหน แต่แค่บอกชื่อเล่นมันคงไม่มีอะไรเลวร้ายถึงขั้นโลกแตกหรอกมั๊ง มิ้นต์คิด
“ก็แล้วแต่นายละกัน ฉันก็จนปัญญาที่จะถามแล้วล่ะ เฮ้อ” มิ้นต์ถอนหายใจออกอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร
“น่าๆ ไปเก็บเลเวลกันดีกว่า” วาตารุเอ่ยชวน “คราวนี้ผมมีอาวุธแล้ว คงไม่นั่งดูเธอตีมอนสเตอร์คนเดียวแล้วล่ะ”
“ก็ลองนายนั่งดูฉันตีมอนสเตอร์คนเดียวดูสิ ฉันจะเอาดาบแยกกระบาลนายแน่ๆ” มิ้นต์ยื่นดาบไปชี้หน้าขู่ ทำให้วาตารุยกมือขึ้นเหมือนทำท่ายอมแพ้
แล้วทั้งคู่ก็เดินทางต่อทันที ที่ที่ทั้งสองเดินมานั้นเป็นส่วนในฝั่งของเขตเวทมนตร์ ซึ่งจะมีมอนมสเตอร์เยอะกว่าในฝั่งของเขตเทคโนโลยี ทำให้มีผู้เล่นเยอะตามไปด้วย แต่ในระหว่างนี้พวกเขาก็เก็บเลเวลกันได้อย่างเพลิดเพลินเพราะยังมีเลเวลไม่ถึง 10 ซึ่งเป็นระดับที่สามารถถูกผู้เล่นอื่นโจมตีได้
อาจจะดูเป็นระดับที่ต่ำเกินไปก็จริง แต่เกมก็ออกแบบมารองรับเรื่องการถูกคนเลเวลสูงกว่าเข้ามาโจมตีอยู่แล้ว สมมติว่าวาตารุที่เลเวล 10 พอดีถูกมิ้นต์ที่เลเวล 40 โจมตี ค่าสเตตัสทั้งหมดของวาตารุจะถูกคูณด้วยเลเวลของผู้ที่เข้ามาโจมตีทันที นั่นหมายความว่า พวกเลเวลต่ำกว่าจะเก่งขึ้นอย่างมากเมื่อถูกกดนั่นเอง แต่ถ้าผู้ที่เลเวลต่ำกว่าไปโจมตีใส่ผู้ที่เลเวลสูงกว่าแล้วล่ะก็ เงือนไขจะไม่แสดงผล เพราะถือว่าทำตัวเอง อย่างไรก็ตามถ้าเลเวลห่างกันไม่ถึง 8 เลเวล เงื่อนไขนี้ก็จะไม่แสดงผลเช่นกัน
อีกอย่าง ไหวพริบเป็นปัจจัยหลักในการเล่นเกมมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ใครที่มีไหวพริบที่ดี ย่อมจะชนะศัตรูได้เสมอ การชนะด้วยกำลังจึงไม่เป็นผลสำเร็จเสมอไปเสียทีเดียว
“คิดไว้หรือยังว่าจะเป็นสายอะไร อาชีพอาไร” วาตารุถามขึ้นในขณะที่พวกเขาเดินทางเก็บเลเวลกันมาได้จนจะอัพเลเวลที่ 8 กันอยู่แล้ว ซึ่งการจะเปลี่ยนอาชีพได้นั้นก็ต้องมีระดับเลเวลที่ 10 เสียก่อน
“ฉันเรียนฟันดาบมาจากที่บ้านอยุธยาน่ะนะ ก็คงจะอาชีพนักดาบนั่นแหละ” มิ้นต์ตอบ เธอเคยเล่าให้วาตารุฟังว่าได้ร่ำเรียนวิชากระบี่กระบอง แม่ไม้มวยไทย และการฟันดาบมาจากค่ายแถวๆบ้านที่จังหวัดอยุธยาของเธอ จึงทำให้มิ้นต์ใช้ดาบได้ค่อนข้างดี แต่ก็นานมาแล้วสัก 4 ปีเห็นจะได้ที่เธอเลิกฝึกไป
“งั้นหรอ อาชีพสายการใช้ดาบนี่ก็มีเยอะเลยด้วยสิ ผมคงแนะนำอะไรได้ไม่มาก แต่ถ้าดูตามที่เธอถนัดแล้ว น่าจะเป็นแนวนักดาบคู่ล่ะมั๊งนะ” วาตารุจับคางตัวเองมองดูมิ้นต์ที่ยืนถือดาบสองเล่มในมือ ตอนแรกเธอก็ใช้แค่เล่มเดียวแหละนะ แต่พอได้ดาบเล่มใหม่มาอีกเล่มเธอก็หันมาใช้การโจมตีด้วยดาบคู่แทน และดูเหมือนจะทะมัดทะแมงกว่าเดิมด้วย
“ตกลง เอาตามที่นายว่านั่นแหละ” มิ้นต์โพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้รับคำแนะนำ
“เฮ้ เดี๋ยวๆ ผมแค่แสดงความคิดเห็นเฉยๆ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจสิ คิดผิดนี่ต้องลบตัวเล่นกันใหม่เลยนะ” วาตารุห้ามปรามความคิดหุนหันพลันแล่นนั่น
“ไม่หรอกๆ ฉันว่ามันต้องเป็นอาชีพที่เหมาะกับฉันแน่ๆ แบบยังไงล่ะ พอนายพูดว่าดาบคู่ใช่ไหม ฉันก็รู้ว่า เฮ้ย นี่ละอาชีพที่ฉันจะต้องเป็นในเกมนี้ อาจจะฟังดูเวอร์ แต่ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ” คำพูดที่แน่วแน่เปล่งออกมาจากปากของอนิสา เธอทำให้วาตารุรู้สึกชื่นชมในความแน่วแน่นั้นนิดนึง ก่อนที่เขาจะกลับมาคิดถึงอาชีพของตัวเองบ้างเมื่อถูกมิ้นต์ถามกลับ
“แล้วนายล่ะ จะเปลี่ยนอาชีพอะไร”
ปกติตามเกมอื่นๆที่วาตารุเคยเล่นแล้วล่ะก็ เขามักจะเล่นเป็นเหล่านักบวช ไม่ก็อาชีพแนวซัพพอร์ตช่วยเหลือผู้อื่น แต่กับเกมเมต้าเวอร์สแห่งนี้ เขารู้สึกว่าคงเล่นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว ไม่งั้นชีวิตมันคงจะต้องซ้ำซากจำเจอยู่แบบเดิมแน่ๆ จึงเหมือนเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกเล่นเผ่ามนุษย์แทนเผ่าเอลฟ์ที่ดูจะมีความสามารถด้านซัพพอร์ตมากกว่า
“ยังไม่รู้เลย ตอนนี้ผมก็เก็บพ้อยไว้อัพทีหลังด้วยสิ ไว้ถ้าเจออาชีพที่ถูกใจคงค่อยอัพสเตตัสอีกที” วาตารุตอบ ก่อนจะเปิดหน้าต่างค่าสถานะของตัวเองขึ้นมาดู “ว่าแต่ เธอเอาพ้อยที่ได้มาตอนเลเวลอัพไปลงสเตตัสอะไรมาแล้วบ้างล่ะ”
“ฉันลงพละกำลังไปหมดทุกพ้อยเลย” มิ้นต์ตอบมานิ่งๆ แบบคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร
“อืม... ห...หา!! ถึงว่าสิ ทำไมเธอถึงตบไอ้หมาป่าเลเวล 7 นั่นตั้งทีละ 80” นี่เองคงจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เลเวลอัพไวและไอเท็มที่แชร์กันนั้นเข้ากระเป๋าของวาตารุบ่อยเหลือเกิน
“มันไม่ดีหรอ ?”
“ก็ไม่เชิงอ่ะ ถ้าเธอแบ่งสเตตัสต่างๆให้เป็นสเตตัสหลักกับสเตตัสรองมันก็จะรับมือกับมอนสเตอร์ได้หลายรูปแบบ แต่ถ้าเธอลงไปที่พละกำลังอย่างเดียวแบบนี้อีกหน่อยก็คงโดนมอนสเตอร์ตัวโหดๆตบทีเดียวตายเพราะเธอไม่มีค่าพลังชีวิตเลย” วาตารุอธิบายถึงเหตุผลที่ไม่ควรอัพสเตตัสแบบเทหมดหน้าตักอย่างที่มิ้นต์ทำ “แต่ก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง ถ้าผู้เล่นมีพื้นฐานในชีวิตจริงและไหวพริบที่ดี ต่อให้อัพสเตตัสมั่วๆ เธอก็จะสามารถเก่งได้ เพราะยังไงแล้วระบบของเกมก็พึ่งการเคลื่อนไหวจากจิตสำนึกของเราเป็นหลัก นั่นหมายความว่า ถ้าเธอเก่งในโลกจริง ในโลกของเกมแห่งนี้เธอก็จะเก่งไปด้วย”
“งั้นก็สรุปว่าฉันยังอัพพละกำลังต่อไปได้สินะ” อนิสาพูด ดูเธอจะมั่นใจในความสามารถของตัวเองเอามากๆ
“เอ่อ แบ่งไปอัพพลังชีวิตบ้างก็ดีนะ” วาตารุตอบเหงื่อตก นี่มิ้นต์คงจะติดใจดาเมจหนักๆที่เธอทุ่มใส่หัวมอนสเตอร์สินะ
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ว่าไงว่าตาม” มิ้นต์ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไอ้นิสัยว่าไงว่าตามนี่ไม่น่าเป็นของผู้หญิงหน้าตาน่ารักแบบเธอได้เลย
เมื่อพักผ่อนกันจนพอใจ ก็ได้เวลากลับไปเก็บเลเวลกันอีกครั้ง เวลาตอนนี้ก็จะ 5 โมงเย็นแล้ว เล่นต่ออีกสักชั่วโมงต่างฝ่ายต่างก็คงต้องขอตัวกลับไปในโลกจริง เพราะยังไงเสียก็ต้องกลับไปกินอาหารในโลกจริงกัน ถึงแม้อาหารในเกมจะให้รสชาติที่เหมือนได้สัมผัสกับของจริง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อิ่มสักหน่อยนึง
ไม่น่าเชื่อว่า ภายในหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองจะสามารถเก็บเลเวลจนถึง 10 ได้ คงต้องยกความดีความชอบให้กับมิ้นต์ล่ะนะที่พอเข้าเลเวล 9 เธอก็ตบมอนทีเดียวตายเอาๆ จนค่าประสบการณ์ไหลเป็นน้ำกันเลยทีเดียว
“ไว้หลังพักรอบนี้ค่อยมาเปลี่ยนอาชีพแล้วกัน ค่อยเจอกันใหม่นะมิ้นต์” วาตารุบอกเมื่อทั้งคู่ใช้ไอเท็มวาร์ปตัวเองกลับมายังจุดเซฟในเมืองเซนทาโมไรแล้ว
“โอเค แล้วเจอกันวาตารุ” แล้วมิ้นต์ก็โบกมือลาจากนั้นก็ล็อคเอาท์ออกจากระบบทันที ส่วนวาตารุนั้นขอตัวเอาไอเท็มไปขายและแวะดูตลาดในเมืองสักหน่อย
เสียงพ่อค้าแม่ค้าในย่านธุรกิจของเมืองนั้นดังโหวกเหวกไปทั่วเมื่อวาตารุย่างกายเข้ามาในเขตการค้านั่นแล้ว เขามองดูลิสไอเท็มที่ขึ้นเป็นหน้าต่างเมื่อจ้องไปที่ป้ายชื่อของร้านจากผู้เล่นที่ตั้งขายของอยู่ มีไอเท็มมากมายให้เลือกซื้อหา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เนื่องจากเงินไม่มี ถึงมีเงินก็คงไม่เจียดไปซื้อไอเท็มระดับ Common และ Great ที่วางขายกันเกลือนตลาดพวกนี้หรอก
“ฟี้...” เสียงผ่อนลมหายใจเข้าออกของใครบางคนเรียกความสนใจของวาตารุได้เป็นอย่างดี เขาเดินมาถึงตรงมุมร่มไม้ที่เงียบสงบ และมีเพียงร้านค้าของผู้เล่นนามว่า AmSleep เท่านั้นที่ตั้งร้านขายของอยู่
หน้าคุ้นๆแฮะหมอนี่ วาตารุคิด
วาตารุมองดูชื่อร้านนั้นก่อนมันจะปรากฏหน้าต่างรายชื่อของไอเท็มในร้านขึ้นมา มีอาวุธระดับ Unique มากมายให้เลือกสรร แต่ก็มีไอเท็มอาวุธบางชนิดที่มีตัวอักษร B ขึ้นมาหน้าชื่อปะปนมาอยู่ในนั้นด้วย
“ช...ชะ ไอ้หมอนี่ เอาไอเท็มแตกหักมาหลอกขายคนอื่นหรอเนี่ย” วาตารุหลี่ตามองเจ้าของร้านที่มีใบหน้าออกไปทางตี๋ๆ แบบลูกชาวจีน คุ้นหน้าจริงๆ ให้ตาย แต่นึกไม่ออกว่าเหมือนใคร...
อาวุธหรืออุปกรณ์ที่ขึ้นหน้าด้วยตัว B นั้น ย่อมาจากคำว่า Broken เป็นระดับอาวุธต่ำสุดของเกม สามารถนำมาใช้ได้ แต่เมื่อนำไปโจมตีมอนสเตอร์แล้วมันจะมีพลังโจมตีที่ 1 เสมอ ต่อให้คุณบ้าอัพพละกำลังอย่างเดียวมาแบบมิ้นต์ก็ตาม
ฟ้องพี่ไมค์มาจัดการดีไหมนะ
ไม่ได้ๆ เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเราใช้เส้น
ปล่อยหมอนี่ไปละกัน
พอคิดได้ดังนั้นก็ไม่สนใจผู้เล่นคนนั้นอีก เอ่อ ว่าแต่ ขนาดในเกมแม่มยังหลับลงได้อีกหรอเนี่ย
เอ๊ะ เดี๋ยวๆ ไอ้อาการชอบหลับแบบนี้มัน...
…
เฮ้ย !!
“เช๊ดดดด เชี่ยอิน” วาตารุหันหลังกลับไปกระโดดกอดผู้เล่นคนนั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายเหมือนจะตกใจตื่นขึ้นมา และทำหน้าเหลอหลามองไปยังมนุษย์ตัวผู้ที่กำลังกระทำชำเลาร่างกายของเขาอยู่
“ห...ห๊ะ สวัสดีครับคุณลูกค้า ใจเย็นก่อนคร๊าบ”
...
ความคิดเห็น