คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : You Belong to me 04
» Title : You Belong to me
» Category : Fiction from drama "พรุ่งนี้ก็รักเธอ"
» Pairing : พีรวิชญ์ x ก้องบดินทร์
» Rate : PG13
» Author : Hades
-04-
เพราะผมอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมขับรถนัก เราจึงตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลแทน ส่วนรถผม...ผมให้แอนนายืมไปจัดการเรื่องแม็คให้เรียบร้อย และเธออาสาจะขับไปคืนให้ที่คอนโดหลังจากนั้น
ตลอดทางไปโรงพยาบาล ใบหน้าน่ารักนั้นมีร่องรอยของความวิตกตลอดเวลา...สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ คือคอยเอื้อมมือไปตบที่หลังมือเขาเบาๆ เป็นครั้งคราวเพื่อให้กำลังใจ และให้เขารู้ว่ายังมีผมอีกคนที่ยังอยู่เคียงข้างเขา ซึ่งทุกครั้งที่ผมทำเช่นนั้น เขาก็จะเกี่ยวมือตอบและบีบมือผมกลับ
คนเราสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด...ยังมีอีกหลายภาษาที่เราจะสื่อถึงกันได้
“ว่ายังไงบ้าง?” ผมถามทันทีที่เขาวางสายจากพี่ตุ่ม ก้องก็ส่ายหน้าน้อยๆ สีหน้าหม่นหมอง
“ยังไม่ถึงโรงพยาบาลเหมือนกัน ถามพี่เจ๋ง...ก็พูดไม่รู้เรื่อง” ได้ยินอย่างนั้นผมระบายลมหายใจออกมาเบาๆเพื่อผ่อนคลายความเครียด ได้แต่หวังว่าป้าฟองจะปลอดภัยและไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ป้าฟองจะไม่เป็นไรก้อง” ผมบีบมือให้กำลังใจเขาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นคลอไปด้วยหยาดน้ำใสที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไว้
“ก้อง...” ผมไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่าบีบมือเขาเอาไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เรายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลยด้วยซ้ำ ทำใจให้สบายนะ ป้าฟองจะไม่เป็นไร” ผมพูดย้ำคำเดิม ที่จริงแล้วผมอยากดึงเขาเข้ามากอดปลอบด้วยซ้ำแต่มันคงจะดูไม่ดีนักในที่ที่ ไม่ได้มีแค่เราสองคนเช่นนี้ ผมได้ยินเสียงสูดหายใจลึกของก้องพร้อมกับที่เขาบีบมือผมตอบกลับมา น้ำตาไม่มีแล้วแต่ดวงตายังดูแดงๆ เขาคงต้องกลั้นไว้น่าดู
“ต้องเข้มแข็งไว้นะ โอเคมั๊ย” จริงอยู่ว่าการไม่รู้อะไรเลยทำให้ความกลัวเข้าครอบงำได้โดยง่าย แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเอาสติชนะความกลัวเพื่อให้สามารถก้าวผ่านความรู้สึก ที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ ก้องพยักหน้ารับคำผมเบาๆ แต่คำพูดกลับสวนทาง
“ผมจะเข้มแข็ง แต่ตอนนี้ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่” เขาสารภาพเสียงแหบ คำพูดเขาทำให้ผมเผลอขำออกมาอย่างเอ็นดู นึกดีใจที่เขาไว้ใจผมพอที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่มี
“ไม่เป็นไร คุณจะโอเคเพราะผมจะอยู่ข้างๆคุณ” ผมตบหลังมือเขาสองสามทีและปล่อยให้มือตัวเองเกาะกุมให้ความอบอุ่นกับเขาไป ตลอดทาง แม้ใบหน้านั้นจะยังหม่นหมองไปด้วยความกังวล แต่เขาก็ยิ้มได้แล้ว
“ขอบคุณ”
ลงจากรถได้ก้องก็แทบจะถลาไปที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งผมก็ไม่รั้ง ผมจัดการเรื่องค่าแท็กซี่ก่อนจะค่อยๆวิ่งเหยาะๆตามไป ใจน่ะวิ่งไปทันเขา แต่ขาน่ะไม่ค่อยจะอำนวยเสียเลย ความโมโหครั้งเดียวทำให้เกิดความลำบากได้หลายทอดขนาดนี้ ผมรู้แล้วว่าสติเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
ผมวิ่งลัดเลาะตามคนที่ชำนาญพื้นที่ไปจนเห็นหลังพี่ตุ่มอยู่ไม่ไกล ท่าทางที่แกกำลังโวยวายอะไรอยู่ทำให้ผมต้องไล่สายตามองตามก่อนที่ภาพที่เห็น จะทำให้ทั้งผมและก้องหยุดเท้าที่กำลังวิ่งอยู่ทันทีจนแทบจะชนกัน
ผู้ชายร่างสูงที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆพี่ตุ่มคนนั้น....คนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี
“พี่พิพัฒน์?!” อุทานออกมาได้แค่นั้นก้องก็ฉุดข้อมือผมดึงกึ่งลากให้ผมตามเขาไปหลบที่มุม หนึ่งของโรงพยาบาลทันที ผมที่เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถลาตามเขาโดยง่าย
“ทำไมพี่พัฒน์มาอยู่ที่นี่?” ผมชะโงกไปดูอีกครั้งให้แน่ใจ ซึ่งต่อให้กระพริบตาอีกกี่ครั้งก็ยังเห็นว่าพี่ชายผมยืนยิ้มแฉ่งอยู่เหมือน เดิม ผมมองหน้าก้องอย่างกังวล ลางสังหรณ์บางอย่างเริ่มเข้ามาเกาะกินภายในจิตใจของเราทั้งคู่...หวังว่า เรื่องนี้คงจะไม่เกี่ยวอะไรกับพี่สะใภ้ผมหรอกนะ
สีหน้าครุ่นคิดของก้องทำให้เดาทางได้ไม่ยาก แล้วผมก็เดาแม่นเสียด้วย “ คุณกลับไปก่อนเหอะ เดี๋ยวผมโทรหา”
“แต่ว่า! ผม...”
“กลับไปก่อนเถอะ” เขาไม่ปล่อยให้ผมได้ต่อรองอะไรมากไปกว่านั้น ผมมองหน้าเขาอย่างอึดอัดก่อนที่จะยอมแพ้กับสายตาที่มองมา มันไม่ได้มีแค่ความลำบากใจ แต่มันยังแฝงไปด้วยความกลัวอยู่ลึกๆ เขาคงกลัวว่าจะมีใครรู้ว่าพี่พัฒน์กับผมเป็นอะไรกัน...แต่นอกเหนือจากนั้น มันยังมีความกลัวอื่นที่ซ่อนอยู่...ความกลัว...ที่ผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว เขากลัวอะไรอยู่กันแน่
“ได้...แล้วผมจะรอโทรศัพท์คุณนะ” ผมบีบไหล่เขาเบาๆ เพื่อส่งผ่านความรู้สึกของผมไปให้เขาอีกครั้ง ก้องเพียงแต่พยักหน้ารับเบาๆ แม้จะไม่อยากปล่อยให้เขาต้องเดินเข้าไปคนเดียว แต่ผม...ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของเขา
หลังจากที่แยกจากก้องแล้ว ผมก็ยังวนเวียนอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนักด้วยความกังวล และเดินหลบมาหากาแฟดื่มแก้เครียดอยู่ในแคนทีนของโรงพยาบาล อย่างน้อยถ้าจะมีคนรู้จักหรือพี่พัฒน์ตาดีโผล่มาเจอเข้าผมก็พอจะอ้างได้ว่า ผมมาเข้ารับกายภาพบำบัดที่นี่
ผมหมุนโทรศัพท์ในมือไปมาอย่างกระวนกระวาย เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปช้ากว่าช้า และก็ไม่มีวี่แววว่าก้องจะโทรมาเสียที จะโทรไปหาตอนนี้ก็รู้สึกว่ามีแต่จะวุ่นวายเปล่าๆ ผมจึงได้แต่นั่งถอนใจผุดลุกผุดนั่งอยู่คนเดียวเหมือนเป็นคนบ้าอยู่แบบนี้
ปัญหาหนึ่งที่รบกวนจิตใจคือ พี่พัฒน์มาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ และจะเกี่ยวกับพี่ปัทไหม?
ระหว่างที่กำลังคิดมาก สายตาผมก็เหลือบไปเห็นพี่พัฒน์ถูกคนคุ้นหน้าอีกคนดึงให้หลบมุมมาคุยไม่ไกล จากที่ที่ผมนั่งอยู่เท่าไหร่นัก คนคุ้นหน้าคนนั้นคือคนที่เป็นหนึ่งในต้นเรื่องที่ทำให้ผมกับก้องต้องทะเลาะ กันอยู่หลายวัน...พี่ปอ...
ท่าทางฉุนเฉียวที่แสดงออกของทั้งคู่นั้น ดูท่าว่าเรื่องที่คุยคงจะไม่ใช่การทักทายกันประสาพี่เขยน้องเมียกันธรรมดา แล้ว ผมขยับเดินตามไปทันทีด้วยความอยากรู้ เสียงคุยของสองคนนั้นไม่เบานักจึงไม่ยากที่จะฟังในระยะไกล ผมนิ่งฟังอยู่สักพักก่อนที่จะอึ้งไปนานกับคำถามที่ผมกำลังอยากได้คำตอบกับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับป้าฟองวันนี้
พี่ปัท...พี่สะใภ้ผมพาแฟนใหม่พี่ปอไปอาละวาดทำร้ายป้าฟองถึงบ้านจนแกตกบันได!!
ซ้ำร้าย...พี่ชายผมรู้ แต่ไม่เข้าไปห้าม กลับรอให้ถึงโอกาสของตัวเองก่อนจะแสดงตัวเข้าไปช่วย!!
นี่มันบ้าอะไรกัน!!?? ผมถอยเท้ากลับมาพิงเสาต้นหนึ่งอย่างหมดแรง
ภาพวันแรกๆที่ก้องต่อว่าและพูดใส่หน้าว่าเกลียดผมเพราะเรื่องราวเดิมๆเมื่อ หกปีก่อนวิ่งวนเข้ามาในความคิด ครั้งนี้ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรก้องถึงได้พูดกับผมอย่างนั้น ทั้งๆที่ในแววตาเขาไม่ได้มีคำว่าเกลียดผมอย่างที่เขาพูดเลยสักนิด...
เพราะพี่ชายและพี่สะใภ้ผมร้ายยิ่งกว่าร้ายจริงๆ...
ผ่านไปหลายชั่วโมงกับการจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
แม้จะยืนยันมาเสมอว่า ผม..ก็คือผม ไม่เกี่ยวกับพี่พัฒน์
แต่แท้จริงแล้วปัญหาระหว่างเราสามครอบครัวที่เกิดขึ้น มันทำให้ผมไม่เกี่ยวข้องไม่ได้
ตัวอย่างเห็นได้ชัดจากกรณีของพี่ปอและพี่แก้ว
ความบาดหมางรุนแรงนั้นมันยิ่งกว่าแก้วร้าวที่จะหาน้ำยาใดๆมาประสาน เพราะชีวิตคนมันไม่ใช่แค่เหรียญสองด้าน คือมีแค่...เรา...กับ....คนของเรา แต่มันเป็นโลกกลมๆ ที่หมุนได้รอบตัว ยังมีคนรอบข้างที่เรารักและรักเรามากมายที่ต้องแคร์
สายตาก้องที่บอกให้ผมหลบเหตุวุ่นวายที่หน้าห้องฉุกเฉินออกมาก่อนนั้นมันทั้ง หวั่นไหว กังวล และหวาดกลัว...น่าหัวเราะตัวเองที่ในเวลาอย่างนั้น ผมกลับไม่สามารถยืนเคียงข้างเขาได้อย่างที่ใจอยากจะทำ
เพราะปัญหาของไอ้โลกกลมๆที่ว่านั่นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ว่ายังไงผมก็เลิกรักเขาไม่ได้...ไม่ใช่เพราะว่า อยากจะเอาชนะ แต่เพราะว่าผมรู้หัวใจตัวเองดีว่าในวินาทีนี้ มันกำลังเต้นเพื่อใคร
มันจะหยุดก็ต่อเมื่อเขาพูดมา...ว่าไม่ต้องการผมแล้วเท่านั้น...
RRRRRRRR
“ก้อง!! เป็นยังไงบ้าง” ผมผวารับโทรศัพท์ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าที่ผมตั้งเอาไว้เฉพาะสำหรับ เขา เสียงปลายสายเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อผมออกมาเสียงอ่อนระโหย
“พี...” น้ำเสียงที่เคยสดใสยั่วเย้านั้นแหบแผ่วจนผมใจหาย เสียงสะอึกคล้ายกลั้นสะอื้นทำให้ผมถึงกับขบกรามแน่นเมื่อเผลอนึกไปถึงตัวต้น เหตุที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้
“ไม่เป็นไรก้อง...ใจเย็นๆ ป้าฟองเป็นยังไงบ้าง” ผมพยายามข่มความโกรธที่ปะทุลงคอ เวลานี้คนที่ผมควรใส่ใจคือก้องและครอบครัวของเขาต่างหาก ซึ่งพอได้ยินผมถามอย่างนั้น เขาก็หลุดสะอื้นออกมาหากก็พยายามตอบอย่างมีสติ
“ปลอดภัย...แล้ว...แต่ยัง...อยู่ในห้องฉุกเฉิน”
“แล้วตอนนี้คุณอยู่กับใคร” ผมต้องเป็นฝ่ายตั้งคำถามเพื่อให้เขาตอบ เพราะรู้ว่าเขาคงไม่สามารถที่จะเล่าอะไรได้ปะติดปะต่อนัก เสียงปลายสายตอบแผ่วว่าเขาอยู่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ กำลังกลับบ้านไปเตรียมของเพื่อมาเฝ้าป้าฟองคืนนี้ คำตอบของเขาทำให้ผมผุดลุกขึ้นทันทีด้วยความกังวล...ก้องอยู่คนเดียว...
“โอเค อีกห้านาทีผมจะไปเจอคุณ รอผมนะ”
รอผม...ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณต้องรู้สึกว่าโดดเดี่ยวเหมือนอย่างที่กำลังเป็น...ก้องบดินทร์...
ป้าฟองที่กำลังหลับเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่กลับเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ทำให้ผมใจหาย...นี่พี่สะใภ้ผมทำอะไรลงไป...
“ก้อง...” ผมเอ่ยเรียกก้องที่กำลังนั่งตัวสั่นกุมมือป้าฟองแน่นด้วยความรู้สึกที่ยากจะ บรรยาย...เขาหันกลับมามองผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา และทันทีที่เห็นหน้าผม เขาก็ผวาลุกขึ้นมากอดผมไว้ทั้งตัวอย่างขวัญเสีย เสียงสะอื้นเหมือนเด็กนั้นทำให้ผมตกใจก่อนจะยกสองแขนขึ้นกอดตอบเขาพร้อมลูบ หลังไปมาเพื่อปลอบให้เขาหยุดร้อง...เสียงสะอื้นของเขามันทรมานผมเกินไป
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรนะ...คุณป้าจะต้องไม่เป็นอะไร” ผมไม่แน่ใจนักว่าคำพูดนั้นผมปลอบตัวเองด้วยหรือเปล่า เพราะขนาดผม ยังอดที่จะสะเทือนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แล้วก้องล่ะจะรู้สึกยังไง...จะเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องเห็นแม่นอนเจ็บอยู่แบบ นี้ ผมปล่อยให้เขาสะอื้นอยู่กับไหล่ผม และระบายความเจ็บปวดผ่านสองมือที่กำหลังเสื้อผมเอาไว้แน่นอย่างเต็มที่ หากมันจะช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นได้...ต่อให้เขาจิกเนื้อเถือหนังผมก็ยอม
ไม่นานเขาก็ผละออกจากอ้อมกอดของผม สองมือที่ยกขึ้นปาดน้ำตานั้นเหมือนเด็กๆ ผมไม่ได้เอื้อมมือไปปาดน้ำตาให้เขาเพราะยังไงซะเขาก็เป็นผู้ชายและคงไม่อยาก จะรู้สึกอ่อนแอมากไปกว่านี้ ผมยิ้มบางเมื่อเขาเอ่ยปากบอกให้ผมกลับ
“ผมว่า...คุณกลับไปเถอะ”
“ไม่เป็นไร ผมบอกคุณแล้วไงว่าวันนี้ผมว่าง...ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนนะ” ผมเอื้อมมือไปบีบมือเขาเบาๆเพื่อส่งผ่านกำลังใจ หากเขากลับบิดมือออกด้วยท่าทางอึดอัด
“กลับไปแล้วไม่ต้องมาอีก” คำพูดแหบแผ่วนั้นสะกิดใจผมให้รีบเงยหน้าขึ้นสบตาเขา หากเขาก็เสหลบไปอีกทางพลางแม้มริมฝีปากแน่น “ต่อไปนี้...เราสองคนไม่ต้องเจอกันอีก”
“อะไรน่ะก้อง” ผมครางอย่างไม่เข้าใจที่ได้ยินประโยคที่คล้ายกับจะไล่ผมให้ออกไปจากชีวิตเขา หยดน้ำใสกลิ้งลงมาจากตาของเขาอีกครั้งพร้อมแรงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
“ผมกลัวน่ะพี..ผมกลัวว่าถ้าแม่รู้ว่าคุณเป็นใครแล้ว...แม่จะเป็นอะไรไปอีก” เขาสะอื้นบอกอย่างสับสน แววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวนั้นบีบหัวใจผมให้เจ็บจนชา อะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด...วงล้อแห่งโชคชะตานั้นกำลังหมุนกลับไปซ้ำ รอยพี่ปอกับพี่แก้วอีกครั้ง
“เราอย่าเจอกันเลยนะ” น้ำเสียงนั้นไม่มีความหนักแน่นที่จะไม่อยากเจอผมเลยแม้สักนิด สองมือที่เขายกขึ้นมาผลักไสผมไม่มีแรงพอจนผมต้องออกแรงต้านกลับเพื่อให้เขา มีแรงยืนด้วยซ้ำ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว...คิดเหรอ...ว่าผมจะปล่อยให้เขาทำอย่างปากพูด
“ก้อง...ก้อง...” ผมปลดมือเขาออกมากุมไว้ บีบกระชับแน่นเพื่อให้เขารู้ว่าผมยังอยู่ตรงนี้ แม้น้ำตาจะทำให้ภาพของผมพร่าเลือนแต่ผมก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ไปไหน...
“คุณจะให้ผมทิ้งคุณไปได้ยังไง....คุณอย่าไปกังวลกับเรื่องที่มันยังไม่เกิดขึ้นสิ”
เขาสะอื้นขึ้นมาอีกครั้งที่ได้ยินอย่างนั้น น้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายนั้นบ่งบอกได้ดีว่าเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัว เองได้อีกต่อไป ความหวาดกลัวที่แสดงออกมาในทุกคำพูดและแววตาของเขา...รวมถึงป้าฟองที่นอน เจ็บอยู่ใกล้ๆ ทำให้ผมต้องกลั้นใจพูดในสิ่งที่ไม่อยากจะพูดเลยออกมา
“จะไม่มีใครรู้เรื่องของเรา” ผมกลืนความรู้สึกเจ็บปวดลงไปอย่างยากลำบาก สำหรับผมแล้ว...ผมไม่เคยคิดอยากปิดบังเรื่องของผมกับก้องเลยแม้สักนิด...ผม อยากจะบอกทุกคนอย่างผ่าเผยด้วยซ้ำว่าผมรักเขาเพราะอะไรและมากแค่ไหน แต่ในเมื่อมันจะทำให้เขาไม่สบายใจ...ผมก็ยินดีที่จะเก็บมันเอาไว้ไม่พูดให้ ใครฟังนอกจากเขาตลอดชีวิต
“แต่ยังไง สักวันก็ต้องมีคนรู้อยู่ดี” ถึงอย่างนั้นความกังวลของเขาก็ยังไม่คลาย หากนั่นเป็นสัญญาณที่ดี...การที่เขากลัวว่าจะมีใครรู้เรื่องของ ‘เรา’ นั่นหมายถึงเขายอมรับให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาแล้ว ผมทอดมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาอย่างรักใคร่
“ถ้าถึงวันนั้น...ทุกคนเค้าก็จะเข้าใจ”
ถึงวันนั้นผมจะเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า...ปกป้องและคุ้มครองเขาไว้จนสุดกำลัง...
ผมจะทำให้ทุกๆคนเข้าใจว่าความรักของเราไม่ใช่เรื่องผิดแปลกตรงไหน...
สิ่งที่ผิดปกติคงมีเพียงอย่างเดียว คือ ผมรักใครอื่นไม่ได้นอกจากเขาเท่านั้น...
“แต่...ผมกลัว...ผมกลัวพี”
“ไม่ต้องกลัวก้อง...ไม่ต้องกลัวนะ” ผมดึงเขาเข้ามากอดเพื่อให้ภาษากายตอบทุกอย่างแทนคำพูด ตัวเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่กำลังหลงทางและโดดเดี่ยว ขอเพียงอย่างเดียวให้เขาเชื่อผมและยอมให้ผมอยู่เคียงข้าง...ผมจะไม่มีวัน ปล่อยให้เขาต้องร้องไห้คนเดียวแน่นอน
“ผมจะไม่มีวันปล่อยให้ใครมาทำร้ายคุณ มาทำร้ายครอบครัวคุณเป็นอันขาด...ผมจะอยู่กับคุณ ผมสัญญา”
คำสัญญามีค่ามากกว่าคำสาบาน...เพราะคำสัญญามันผูกพันยาวนานและลึกซึ้งกว่ามากนัก
ผมจะไม่มีวันปล่อยให้วงล้อแห่งโชคชะตาหมุนกลับไปเหมือนเมื่อหกปีก่อน...
ผมจะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนแม้กระทั่งคนที่มีเชื้อสายเดียวกับผมมาทำร้ายพวกเขาได้อีกแล้ว
วงล้อแห่งโชคชะตาของผม...ผมจะเป็นคนหมุนเอง...
จากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ป้าฟองต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่เป็นอาทิตย์ โดยผมแวะเข้าไปเยี่ยมและคุยกับแกทุกวันไม่ได้ขาด เรื่องวุ่นวายระหว่างพวกพี่ๆผมยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่น่าแปลกที่ผมไม่เคยได้เจอพวกเขาเลยสักครั้งที่มาเยี่ยมป้าฟอง คนที่ผมเจอ ก็มีแค่พี่ตุ่ม เจ๋ง และก้องเหมือนปกติ ซึ่งมันคงดีแล้วที่เป็นแบบนี้
“เอาอันนี้ด้วยแล้วกันนะ” ผมว่าพร้อมกับหยิบอาหารบำรุงอีกชุดใหญ่ลงตะกร้า ก้องที่กำลังยืนเลือกผลไม้ไม่ห่างนักหันมาย่นคิ้วใส่ผมพลางบ่น
“พอแล้ว ของเมื่อวานยังไม่หมดเลย” เขาว่าพลางหยิบออก แล้วใส่ผลไม้ในมือลงไปแทน ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ว่าแต่ผม...ไอ้ผลไม้ที่เขาเพิ่งวางไปน่ะ เมื่อวานก็เพิ่งซื้อไปตั้งสามกิโล แล้วผมก็เห็นไอ้เจ๋งกินอยู่คนเดียว
“ครับๆ” แต่ผมก็ไม่อยากจะเถียงให้เสียบรรยากาศ เพราะการได้มองดูก้องเลือกซื้อนั่นนี่ก็เป็นความเพลินอย่างหนึ่งของผมไม่น้อย
นับตั้งแต่วันที่ผมเอ่ยสัญญากับเขาไปในวันนั้น ก้องก็ไม่มีทีท่าที่จะปฏิเสธผมอีก ตรงข้าม...ความอ่อนโยนในแววตาที่เขามักมีให้ครอบครัวตอนนี้มันกลับมีเหลือ เผื่อแผ่มาถึงผมด้วยเสมอ จนผมใจอดเต้นทุกครั้งที่สบตาเขาไม่ได้ รอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทำให้ผมรู้สึกคุ้มค่าเหลือเกินที่จะยอมงัดข้อกับ โชคชะตาที่ไม่รู้ว่าจะเล่นตลกอะไรกับเราอีกเมื่อไหร่
“ยิ้มอะไร?” น้ำเสียงห้วนๆ ถามขึ้นเมื่อเห็นผมเอาแต่ยืนจ้องเขาอยู่อย่างนั้นนานจนเขาเริ่มจะอาย ผมยักคิ้วยักไหล่ตอบง่ายๆ
“มีความสุขก็ยิ้มสิ” คำตอบผมคงไม่ถูกใจเขาเท่าไหร่ เขาถึงได้ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์อยู่ในลำคอ หึๆ แต่ถ้าผมตอบตรงตัวว่ายิ้มเพราะแฟนน่ารัก เขาก็ได้อารมณ์เสียเอาแตงฮะมีกัวล์ในมือทุบผมให้เจ็บตัวอยู่ดี มีค่าไม่ต่างกัน งั้นก็เพลย์เซฟดีกว่า
“ก้อง...ป้าฟองกลับพรุ่งนี้ใช่มั๊ย” ผมรีบเข็ญรถตามไปหาเขาที่เดินนำไปแคชเชียร์ ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ
“งั้นผมไปรับกลับนะ อย่าให้ใครมาแย่งหน้าที่ผมล่ะ” ผมยิ้มทะเล้นบอก เรื่องทำคะแนนนี่ไม่ต้องไปเข้าคอร์สเรียนที่ไหนหรอกครับ มันมากับจิตวิญญาณโดยแท้ ผมพลาดไปทีหนึ่งแล้วเรื่องค่ารักษาพยาบาลเพราะที่ทำงานพี่แก้วจะออกให้ จะว่าไปบริษัทเอกชนสมัยนี้ก็ใจป้ำดีเหมือนกันนะ
“คุณว่างนักหรือไง?” ผมล่ะรักไอ้ประโยคยอกย้อนประชดประชันของเขาเสียจริง ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นพวกเอสพวกเอ็มชอบถูกทำร้ายทางวาจาใจอะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่เพราะหน้าตาเขาเวลาถามกวนตอบกวนแบบนี้มันดูดีกว่าเวลาที่เขาร้องไห้เป็น ไหนๆ
“ว่าง” ผมตอบไปโดยไม่ต้องคิด ไอ้งานการที่ผมบอกว่ามีทำ มันก็แค่โทรไปเช็คกับโบรกเกอร์ว่าวันนี้จะเทซื้อหรือเทขายหุ้นตัวไหนบ้าง เท่านั้นแหละ แล้วมันก็ใช่ว่าจะต้องโทรเช็คทั้งวันเสียหน่อย
“คนไร้สาระ” เขาเบ้หน้าเปรยตอบอย่างหมั่นไส้ผมพร้อมกับเดินหนี ผมหัวเราะกับคำเหน็บแนมนั้นพร้อมกับทำปากขมุบขมิบล้อเลียนอยู่คนเดียว
“คนไร้สาระ...หึๆ แต่ก็น่า ‘รัก’ ใช่มั๊ยล่ะ”
กว่าจะตรวจเช็คร่างกายของป้าฟองเรียบร้อย ก็กินเวลาไปจนถึงบ่ายสอง ผมและก้องที่วันนี้ลางานมาจัดการธุระต่างๆพร้อมทั้งอยู่เป็นเพื่อนป้าฟอง ต่างก็ช่วยกันเก็บข้าวของให้เรียบร้อยในขณะที่ป้าฟองนั่งยิ้มมองพวกเราด้วย อาการเหนื่อยๆ ผมว่าเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ป้าฟองดูจะซึมลงไปเยอะทีเดียว
“คุณป้าครับ...เย็นนี้คุณป้าอยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ จะได้แวะซื้อก่อนกลับบ้าน” ผมเอ่ยถามเพื่อไม่ให้แกจมอยู่กับความคิดของตัวเองมากเกินไปนัก ได้ยินอย่างนั้นป้าฟองแกก็ยิ้มบางตอบผมเสียแผ่ว
“อะไรก็ได้ลูก ป้าน่ะกินอะไรไม่ค่อยจะลงอยู่แล้วแหละ แล้วแต่พีกับก้องก็แล้วกันนะลูกนะ” คำตอบของแกทำให้ผมต้องหันไปยิ้มอย่างขอความเห็นก้องทันที ซึ่งแทนที่ก้องจะช่วยผมคิด กลับมายิ้มหวานใส่ผมซะได้นี่...แล้วกัน...เขาจะรู้รึเปล่าว่ายิ้มแบบนี้มัน ทำให้ภาวะผู้นำของผมหดหายน่ะ
เสียงเปิดประตูทำให้ผมต้องชะโงกหน้าไปมองว่าใครมา ก่อนที่สายตาจะไปพบกับผู้หญิงตัวเล็กที่มีเค้าหน้าคล้ายก้องอยู่ไม่น้อย ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าเป็นใคร...พี่แก้วที่คลาดกันไปคลาดกันมาหลายครั้ง นั่นเอง
ผมรีบลุกขึ้นสวัสดีพี่แก้วตามมารยาทไทยอันดีทันที ซึ่งพี่แก้วก็ยกมือไว้ตอบผมรวดเร็ว
“สวัสดีครับ”
“พี่แก้ว นี่เพื่อนก้อง...ชื่อพี” เป็นก้องที่รีบเอ่ยปากแนะนำตัวผมขึ้นมาก่อน น้ำเสียงมั่นคงที่เขาแนะนำว่าผมคือ ‘เพื่อน’ เขานั้นฟังแล้วอยากจะยิ้มให้แก้มฉีกเสียจริงๆ แต่ผมก็ต้องเก็บอาการไว้ ไม่อย่างนั้นมันคงจะดูน่าเกลียดพิลึก ส่วนพี่แก้วพอรู้ว่าผมเป็นใครก็พยักหน้ายิ้มรับทันที
“ได้เจอกันซักที เห็นเจ๊ตุ่มกับเจ๋งพูดถึงอยู่บ่อยๆ ขอบคุณมากนะที่มาช่วยดูแลแม่” ครั้งนี้ผมอดหัวเราะไม่อยู่ แสดงว่าผมเรตติ้งดีใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย
“ไม่เป็นไรครับ” ผมว่าพลางรีบหยุดหัวเราะเพราะมีมือหนึ่งเอื้อมมาหยิกหมับเข้าแถวๆเอวผม หันไปมองหน้าตัวการแล้วเขาก็เบะปากใส่น้อยๆ อย่างหมั่นไส้ หือ...จะให้ผมรับความดีความชอบบ้างไม่ได้รึไง
พี่แก้วคงเห็นท่าทางแปลกๆของผมเลยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะมองหน้าผมแล้วนิ่งไปอย่างครุ่นคิด
“พี...พี่เคยเจอกับพีมาก่อนรึเปล่า คือ...พี่ว่าพีคุ้นๆ เหมือนใครสักคนที่พี่รู้จัก” คำถามนั่นทำให้ผมกับก้องสะดุ้งขึ้นมาพร้อมกันแทบจะทันที ก้องยกมือขึ้นมาแตะหลังผมแผ่วๆ แต่มันก็สั่นจนรู้สึกได้
“ไม่เคยนะครับ” ผมทำใจดีสู้เสือส่ายหน้าตอบกลับไป พยายามจะไม่ฉีกยิ้มอีกเพราะกลัวว่ามันจะไปคล้าย ‘ใคร’ คนนั้นที่พี่แก้วว่า ซึ่งได้ยินอย่างนั้นก้องก็รีบสำทับ
“เพื่อนก้องมันหน้าโหลน่ะพี่แก้ว เหมือนคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยแหละ” ถ้าไม่ติดว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างนี้ล่ะก็ ผมละอยากจะเถียงก้องเสียจริงๆว่าถึงผมจะหน้าโหล แต่ผมโหลแบบหายากนะ ใช่ว่าจะหามาครอบครองได้ง่ายๆที่ไหน แต่ขืนเถียงขึ้นมาตอนนี้ผมคงได้โดนเขาเหวี่ยงใส่แบบกู่ไม่กลับแหงๆ
“แม่คะ แม่จะลงเหรอคะ เดี๋ยวแก้วช่วย” ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงด้วยดีเมื่อพี่แก้วหันไปเห็นป้าฟองกำลังจะ ขยับลงจากเตียง แต่กลับกลายเป็นเกิดบรรยากาศชวนอึดอัดไม่น้อยเมื่อป้าฟองปฏิเสธที่จะรับความ ช่วยเหลือจากพี่แก้วแล้วเรียกหาก้องแทน ส่วนผมก็กุลีกุจอเอารถเข็ญมารอท่า
ผมมองพี่แก้วที่หน้าเสียไปหน่อยอย่างเห็นใจ ที่จริงจะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของพี่แก้วก็ดูจะใจร้ายเกิน ไป ถ้าจะหาคนผิดทั้งหมดจริงๆ มันก็คงจะเป็น ‘ใคร’ ที่หน้าคล้ายผมคนนั้นนั่นล่ะ
นั่นทำให้ผมต้องหลบตาพี่แก้วอย่างรู้สึกผิดไปด้วย แม้จะไม่อยากยอมรับแต่สายเลือดในร่างกายของผมมันก็ยืนยัน...ยังไงผมก็มีสาย เลือดเดียวกันกับเขาอยู่ดี...
“วันนี้ไปหาไม่ได้เหรอ...” ผมถามคำถามนี้เป็นรอบที่สาม แต่ก้องก็ยังยืนยันคำตอบเดิมกลับมา
“ไม่ต้องมาแล้วเบื่อหน้า” ผมอมลมพองแก้มใส่โทรศัพท์อย่างขัดใจที่ได้ยินคำตอบเดิมๆ แต่ครั้งนี้พอจะน่ารับฟังขึ้นมาบ้างเมื่อมีเสียงหัวเราะตามมา
“วันนี้คุณนุติจะมากินข้าวที่บ้าน พี่ผึ้งก็มา...”
“นั่นล่ะผมยิ่งต้องไป” ผมสวนขึ้นมาก่อนเขาจะพูดจบ คนเยอะแยะคึกคักขนาดนั้น แล้วทำไมผมต้องเป็นคนเดียวที่ไม่มีสิทธิ์ไปร่วมโต๊ะด้วยเล่า
“คุณพูดเองว่าจะไปเยี่ยมแม็ค แล้วก็มีประชุมเรื่องแข่งรายการหน้าต่อนะพี” เสียงปลายสายตอบกลับมาหน่ายๆ ที่ผมตื้อไม่เลิก คิดแล้วก็น่าโมโหตัวเองที่ไปตกปากรับคำว่าว่างประชุมวันนี้จริงๆ งานรวมญาติบ้านก้องน่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ
“ก็ได้ๆ ว่าแต่นุตินี่ใครเหรอก้อง?” ผมถามขึ้นมาอย่างแปลกใจเพราะหลังๆมานี่ได้ยินชื่อนี้บ่อยๆเหมือนกันจากพี่ ตุ่มหรือไม่ก็เจ๋ง แต่พอได้ยินคำถามผมก้องกลับถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะเงียบไปสักพัก
“แฟนพี่แก้วน่ะ”
“หือ?” คำตอบเขาทำให้ผมกระเด้งตัวออกมาจากพนักโซฟาทันที แฟนพี่แก้วอย่างนั้นเหรอ? ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆพิกลแฮะ
“ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร...ผมก็รู้สึกแปลกๆเหมือนคุณนั่นแหละ” เป็นก้องที่รู้ใจผมชิงตัดหน้าบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาก่อน เราเงียบกันไปสักพักก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยให้มันร่าเริง
“แปลกๆยังไง? รู้เหรอว่าผมคิดอะไร” ผมถามพร้อมกับยิ้มกริ่ม แต่กลับกลายเป็นว่าครั้งนี้เขาตามผมไม่ทันซะอย่างนั้น
“แล้วคุณไม่ได้คิดอย่างที่ผมคิดเหรอ?” เขาถามพาซื่อ
“ผมว่าไม่”
“แล้วคุณคิดอะไร” หึหึ...แบบนี้ก็ลงล็อคสิครับคุณก้องบดินทร์
“คิดว่าคุณน่ะอย่ายิ้มหรือคุยให้มากแล้วกันนะวันนี้”
“ทำไมล่ะ?” เขาย้อนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงงงมาก น้ำเสียงนั้นทำให้ผมต้องพยายามทำเสียงจริงจังตอบโดยไม่ให้หลุดขำแทบตาย
“ก็เพราะเวลากินข้าวคุณจะน่ารักกว่าปกติน่ะสิ ผมกลัวว่าแฟนพี่แก้วเขาจะตักกับข้าวลงผิดจาน แล้วมันจะงานเข้าน่ะ”
ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย เขาคงอ้าปากค้างไปสักพักนั่นแหละ “ฮึ่ย!!! ประสาท!! ผมไม่คุยกับคุณแล้ว”
เขาว่าพลางกดตัดสายกันไปดื้อๆ ทิ้งผมให้หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว ก็บอกแล้วว่าผมชอบที่จะได้ยินเสียงเขาหงุดหงิดมากกว่า แบบนี้น่ารักดีออกจะตายไป
To be continue
หาย ไปสองวันเพราะรอเก็บฉากค่ะ ไม่งั้นฉากไม่พอแต่ง (หัวเราะ) นั่งดูเมื่อคืนหัวใจจะวาย ตัวอย่างตอนต่อไปทำร้ายแฟนคลับเสียจริงๆ คืนนี้อย่าพลาดชมกันนะคะ (เป็นไดแฟนจริงๆ ฮา)
ส่วน ตอนนี้ก็คิดซะว่าอ่านทวนเรื่องราวก่อนไปอิ๊อ๊างที่ทะเลแล้วกัน หวังว่าจะชอบกันค่ะ (เตือนไว้ก่อนถึงจะเป็นตอนดรามาแต่คนแต่งอดไม่ไหว เพิ่มตอนพี่พีแอบรั่วลงไปจนได้ค่ะ ^^")
แล้ว ก็...ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์มากๆค่ะ อ่านแล้วก็ดีใจที่ทุกคนชอบกัน
แนะนำคลิปต่างๆที่เหล่าแฟนคลับของ พีก้อง อัพไว้ในยูทูปเช่นเดิม เผื่อใครไม่ได้ดูละครค่ะ ^^
http://www.youtube.com/user/KUNMEKUNG
ขอขอบคุณ คุณเม่คุง มา ณ ที่นี้ค่ะ ^^
และอันนี้เป็นบลอคน่ารักๆรวมทุกคลิปเช่นกันของคุณ bee boa ค่ะ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=bee-zeen&group=4
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ ^^
ความคิดเห็น