ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : You Belong to me 03
» Title : You Belong to me
» Category : Fiction from drama "พรุ่งนี้ก็รักเธอ"
» Pairing : พีรวิชญ์ x ก้องบดินทร์
» Rate : PG13
» Author : Hades
-03-
นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกนี้...
ความรู้สึกที่ว่า...วันแต่ละวันช่างน่าเบื่อ
ช่วงเวลาไม่นานที่ผมได้รู้จักกับก้อง ทำให้ผมหลงลืมไปเสียสนิทว่า...ที่จริงแล้วผมเคยชินกับการอยู่คนเดียวมากขนาดไหน ผมเคยอยู่ได้โดยไม่มีใครมาตั้งหลายปี...แต่วันนี้ ผมกลับรู้สึกแย่ที่จะต้องเดินกลับไปสู่ความรู้สึกเดิมๆ
เช้าวันเสาร์...นาฬิกาดิจิตอลหัวโต๊ะบอกอย่างนั้น
ผมถอนใจกับตัวเองพลางขยับตัวลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยมีกะจิตกะใจ โทรศัพท์ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีไฟใดๆกระพริบให้ผมใจชื้นว่าจะมีใคร miss call เข้ามา ซึ่ง...มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย ผมต้องกินยาระงับอาการปวดเข่าที่มันเริ่มจะมากขึ้น คงเพราะเกิดจะบ้าอาบน้ำเย็นขึ้นมามันเลยปวดแปลบๆอยู่อย่างตอนนี้ ช่วยไม่ได้...ก็มันไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ผมรู้สึกสงบใจที่ว้าวุ่นได้นี่... ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างยากลำบากก่อนจะเอื้อมมือไปนวดคลึงบริเวณหัวเข่า พอนึกถึงว่าเพราะอะไรถึงต้องมานั่งปวดอยู่อย่างนี้แล้วก็ได้แต่สมน้ำหน้าตัว เอง
ถ้าตอนนั้นเอาขาซ้ายเตะก็ดีไปแล้ว
‘ถ้าคุณปวดขึ้นมาอีก รีบกินยาระงับปวดแล้วทำแบบนี้ นวดๆคลึงๆตรงนี้เป็นการกายภาพเบื้องต้น ถ้ายังรู้สึกไม่ดี ให้ไปที่โรงพยาบาล'
เสียงคุ้นเคยดังมาในโสต ประสาท ชัดเจนเสียจนผมเผลอคิดว่าเจ้าของเสียงกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าโดยมีมือคู่นั้น กำลังสาละวนช่วยบรรเทาอาการให้ผมอย่างคล่องแคล่ว มิหนำซ้ำผมยังยิ้มรับรอยยิ้มในความนึกคิดอีกนะ สงสัยผมคงใกล้ๆบ้าเต็มทน แต่สุดท้ายมโนภาพผมก็ต้องหายวับไปกับตาเมื่อความเป็นมือสมัครเล่นของผมกำลัง ทำร้ายตัวเองจนต้องร้องลั่น
"โอ๊ย!!!" แทนที่จะหายเจ็บกลับกลายเป็นปวดจี๊ดขึ้นไปถึงขมับก่อนจะชาร้าวไปทั้งขาแทน อย่างน่าอนาถ...ให้มันได้อย่างนี้สิ!!...ไม่รู้จะระบายออกกับอะไร ก็ได้แต่ทุบกำปั้นลงกับโซฟาอย่างหงุดหงิด ให้ตายเหอะ อะไรๆ มันไม่ได้ดั่งใจเลยจริงๆ
"พี...ไหวแน่นะ?" แอนนาถามผมเป็นครั้งที่สี่ และคงเป็นครั้งสุดท้ายเพราะผมกำลังจะเตรียมตัวลงแข่งในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า เธอเดินไปเดินมาอย่างกังวลกับอาการปวดที่ขาของผมที่ยังเป็นๆหายๆ จนผมต้องโด๊ปยาเข้าไปอีกรอบ ผมยิ้มให้เธอ แม้จะรู้ดีว่ารอยยิ้มผมมันคงดูฝืดเฝื่อนเต็มทน
"สบาย ฝนมันเพิ่งตกน่ะ ขาผมมันเลยฝืดๆ" ผมก็แก้ตัวไปได้...ใครเชื่อก็มีลูกเป็นแมวแล้ว แต่เวลานี้ผมไม่มีอารมณ์มานั่งหาเหตุผลอะไรที่มันจะดีกว่านี้หรอก เพราะสมาธิผมมันมัวแต่จะจดจ่ออยู่ที่อัฒจรรย์ตรงลานแข่งโน่น
"พีมองหาใครอยู่รึเปล่า ให้แอนนาตามให้มั๊ย?" ผมยอมรับว่าบางครั้งแอนนาก็ช่างตื้อจนน่ารำคาญ แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้สึกรำคาญเธอเลยแม้แต่น้อย ความเป็นห่วงผมที่เธอแสดงออกชัดในแววตาช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
ผมดึงมือเธอมากุมไว้เบาๆ ยิ้มให้พร้อมกับวางโทรศัพท์ลงไป
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่าแอนนา เอ้านี่! ฝากไว้หน่อยแล้วกัน ผมขี้เกียจเดินไปที่ล็อคเกอร์แล้ว" ให้พูดตรงๆ ก็คือถ้าเดินไปถึงโน่นได้ก็คงไม่ต้องลงแข่งกันล่ะ แค่เดินธรรมดาตอนนี้มันก็ฝืดจนจะเหมือนหุ่นยนต์ขึ้นสนิมอยู่รอมร่อ
ผมค่อยๆ เดินไปที่รถของตัวเองพลางมองไปที่อัฒจรรย์พลางสลับกันอยู่อย่างนี้ แต่สิ่งที่ผมคาดหวังก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น ความหงุดหงิดแล่นเข้ามาในความรู้สึกของผมอีกครั้งก่อนจะถูกระบายออกไปที่ตัวถังรถเต็มแรง
ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไงดี
สุดท้ายผมก็ไม่ได้ลงแข่ง...
เพราะสมาธิที่กระเจิดกระเจิงและร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ผมจึงต้องเปลี่ยนมือให้แม็คเพื่อนในทีมลงไปแข่งแทนเพื่อไม่ให้ทีมพลาดคะแนนในรายการนี้ ส่วนตัวผม ก็เข้ามานั่งพักดูการแข่งขันอยู่หน้ามอนิเตอร์กับฝ่ายเทคนิค
เพราะเมื่อเช้าฝนตก วันนี้สนามแข่งเลยค่อนข้างลื่นและอันตรายมากกว่าปกติ แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคสำหรับแม็คเพราะเขาเป็นมืออาชีพที่ชนะรางวัลจากต่างประเทศมาหลายรายการ เช่นเดียวกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่รอบจัดพอตัวกันทั้งนั้น ผมมองดูแม็คนำรถของผมเบียดขึ้นมาเป็นที่สองอย่างพอใจ ถ้าแซงคันหน้าได้ภายในโค้งนี้เขาก็จะนำและน่าจะเข้าที่หนึ่งได้ไม่ยาก ในมอนิเตอร์ ผมเห็นแอนนายืนเชียร์สุดตัวอยู่ตรงริมสนาม เห็นเธอว่าไม่ได้เชียร์ผม เชียร์รถผมก็ยังดี เอากับเธอสิ
ไม่นานแม็คก็ขึ้นเทียบอันดับ หนึ่งได้ สองคันขับเคี่ยวกันไปมาน่าหวาดเสียวเพราะช่วงสุดท้ายเต็มไปด้วยโค้งอันตราย สามสี่โค้งติดกัน ผมมองดูอย่างไม่สบายใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าแม็คเข้าโค้งได้ไม่ดีนักอาจจะเป็น เพราะไม่คุ้นรถทั้งสนามก็ลื่น ก่อนที่จะชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นว่ารถคันที่ขับบี้กันมาเกิดเสียหลักกระแทก เข้ากับรถผมในโค้งสุดท้ายทำให้รถเสียการทรงตัวบิดเป็นวงกลมก่อนจะพุ่งชนเข้า กับยางกันกระแทกกลางสนามเต็มแรง
"กรี๊ดดดดดด!!!!" เสียงกรีดร้องของสาวๆข้างสนามดังขึ้นทันที พร้อมกับที่ทุกคนลุกขึ้นด้วยอาการตื่นตัว หน่วยกู้ภัยผวาวิ่งไปคว้าอุปกรณ์วิ่งตรงไปทางสนามอย่างไม่รีรอ เช่นเดียวกันกับผมที่วิ่งออกไปที่สนามอย่างตกใจสุดขีด
"แม็ค!!! แม็ค!!!!" หน่วยกู้ภัยที่ช่วยกันหามร่างของแม็คที่นอนนิ่งไม่ได้สติออกมาจากสนามทำเอาผมใจเสีย ผมตะโกนถามอาการเขาจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างร้อนใจ
"เขาเป็นไรมากมั๊ยครับ!!"
"ไม่เป็นไรมากครับ เดี๋ยวทางเราจะนำคนเจ็บไปตรวจเช็คอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลอีกที" คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ผมรู้สึกเบาใจลงไปได้เล็กน้อย แอนนากับเพื่อนๆที่ยืนขวัญเสียกันอยู่ข้างสนามต่างก็กรูกันมาหาทันทีที่เห็นหน้าผม ผมลูบหลังเธอให้คลายตกใจอยู่สองสามที ก่อนจะฝากให้เธอช่วยตามไปดูอาการแม็คต่อที่โรงพยาบาล ซึ่งเธอก็รับคำ
"ได้ค่ะ เอ่อ...พี"
"หือ?" ผมเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นเธอยังไม่ยอมขยับไป แถมทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูด แอนนาชี้มือสั่นๆ ของตัวเองไปทางหนึ่งให้ผมมองตาม
"ก้อง..." ผมอุทานชื่อของคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอแล้วในวันนี้อย่างงงงัน ก่อนจะได้สติสาวเท้าพุ่งตรงไปหาเขาที่ยังยืนหน้าซีดอยู่คนเดียว แววตาที่มองมาที่ผมสั่นไหวจนคล้ายกับจะร้องไห้
"คุณมาที่นี่ได้ยังไง" ผมถามด้วยอาการเหนื่อยหอบ พอหายตกใจความรู้สึกปวดหนึบๆที่ขามันก็กลับมาเล่นงานผมอีกจนต้องหยุดก่อนที่จะถึงตัวเขา
"นี่คุณ...คุณ...ไม่ได้อยู่ในรถคันนั้นหรอกเหรอ" น้ำเสียงที่ถามนั้นสั่นจนรู้สึกได้ ผมส่ายหน้าแรง
"เปล่า วันนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิเลยให้เพื่อนขับแทน" ผมว่าพลางไล่สายตาไปทั่วใบหน้าซีดของเขา "คุณเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย"
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาตั้งแต่ตอนไหน แต่คงจะตกใจไม่น้อยกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เขาทำสีหน้าแปลกๆ เมื่อได้ยินผมถามอย่างนั้นก่อนจะเดินหนีกันไปดื้อๆ
"ก้อง!! ก้อง!!" ผมไม่เข้าใจสีหน้าและอาการนั้น รู้อย่างเดียวคือสมองผมสั่งให้วิ่งตามเขาไปแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะอาการรบกวนที่เข้าขวา กว่าจะไปทันคว้าแขนเขาไว้ได้ ผมก็เกือบหมดแรงยืนแล้ว
"ก้อง!! เป็นอะไร??!!"
"ปล่อย!!" แต่เขากลับสะบัดผมสุดแรงจนผมเซตาม น้ำเสียงรำคาญที่โดนตามตื้อนั้นทำให้ผมที่ยังอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกตินักฉุนกึกขึ้นมา
"จะไปไหน!!" ผมขึ้นเสียงใส่เขาอย่างลืมตัว ซึ่งก้องก็แว้ดผมกลับเช่นกัน
"ผม...!!!" เขาพูดได้แค่นั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างพยายามจะตั้งสติเมื่อเห็นว่าเรากำลังจะแรงทั้งคู่ ก่อนจะตอบผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"ผมจะกลับบ้าน"
"เดี๋ยวก่อน!!!" ผมฉุดเขาเอาไว้อีกครั้งเมื่อเขาตั้งท่าจะเดินหนี ผมบีบที่ข้อมือเขาไม่เบานักจนก้องถึงกับนิ่วหน้า เขากัดริมฝีปากหลุบตามองข้อมือที่โดนบีบไม่พูดอะไรออกมาอีก จนผมต้องยอมปล่อยเขาในที่สุด
ส่วนผมเองก็พยายามตั้งสติ ต่างคนต่างกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเพราะสถานการณ์แบบนี้มันดูไม่ค่อยจะเหมาะเลยที่เราจะเคลียร์กัน แต่ผมก็ปล่อยให้เขาเดินหนีไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
"คุณคิดว่าผมอยู่ในรถคันนั้นใช่มั๊ย?" ผมพยายามจะเริ่มดีๆ แม้จะอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ไปหน่อย แต่ผมก็อดดีใจลึกๆไม่ได้ที่เห็นเขาเป็นห่วงผมจนหน้าซีดเซียวแบบนี้ แต่ปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกกลับตรงข้าม เขาตวัดสายตาขึ้นมองผมก่อนจะมองเมินอย่างไม่อยากจะพูดด้วยอีก
นั่นสิทำให้หน้าอกข้างซ้ายผมเจ็บหนึบขึ้นมาอีกแล้ว บางทีผมอาจจะสำคัญตัวเองผิดมาตลอดว่าเขาเองก็มีใจให้ก็ได้
"ทำไม ผิดหวังเหรอ?" จบคำถามประชดประชันเพราะความน้อยใจของผม เขาก็เงยหน้ามองหน้าผมด้วยความโมโหก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปทันที ชั่วขณะที่เห็นแววตาตัดพ้อส่งมา ความเจ็บชาที่หัวใจมันก็คลายลง
เขาแค่ปากแข็ง ไม่อยากยอมรับว่าเป็นห่วงผม...ผมเข้าใจอย่างนี้ได้ใช่ไหม
"เดี๋ยว" ผมตามไปคว้าแขนเขาไว้ "ผมเองก็ตกใจเหมือนกัน ถ้าผมตัดสินใจผิดไปนิดเดียวนะ คนที่อยู่บนรถคันนั้นอาจจะเป็นผมก็ได้..."
"จะพูดทำไม?!" เขาพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบด้วยสีหน้าไม่พอใจ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นอย่างฉุนเฉียว
"ผมก็แค่อยากจะบอกคุณ ว่าชีวิตคนเรามันเอาแน่นอนอะไรไม่ได้หรอก ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่!!" ความแน่นอนมันหาไม่ได้ในโลกนี้จริงๆ ผมเคยแล้วเมื่อสมัยเด็กๆ เมื่อครั้งที่ต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไป ครั้งนั้น...ผมไม่มีโอกาสที่จะได้กอดท่านก่อนจากกันตลอดกาลด้วยซ้ำ
"ฉะนั้นถ้ามีอะไรที่อยากจะทำ..."
ผมถอนหายใจมองดวงตาสีน้ำตาลที่เต้นไหวระริกตรงหน้านิ่ง ได้แต่หวังว่าสายตาของผมจะสามารถส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปถึงเขาได้
"ก็ต้องรีบทำ"
ความรู้สึกของผมมันไม่ใช่สิ่งฉาบฉวยจอมปลอม
ความรู้สึกที่ผมมีให้เขา มันไม่ใช่แค่รัก...
แต่มันรวมถึงมิตรภาพ...ความห่วงใย...และความหวังดี
รวมทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะมีให้ได้...เพื่อเขา
"นี่...คุณจะพูดอะไรน่ะ..." ดวงตาสีน้ำตาลนั้นมีแต่คำถาม และความไม่มั่นใจ ผมสบตาเขานิ่งคิดไปสักพักก่อนจะเรียบเรียงทุกความรู้สึกของผมอธิบายออกมาเป็นคำพูด
"ไอ้เรื่องที่ผมบอกคุณว่าผม เป็นห่วงพี่ปอ...มันไม่ใช่เพราะว่าเค้าเป็นญาติผมนะ แต่เพราะว่าพี่ปอกับพี่แก้วเค้ารักกัน แต่เค้ากลับรักกันไม่ได้ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดของเค้า" พูดมาถึงตรงนี้ ก้องก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันทันที ผมรู้...ว่าเขาก็รู้ว่าระหว่างพี่แก้วกับพี่ปอมันไม่เคยมีคำว่าไม่รักมาคั่น กลางเลย ความขัดแย้งระหว่างครอบครัวต่างหากที่ทำให้สองคนนั้นต้องแยกจากกันทั้งที่ ยังรัก
"เรื่องของพี่ปอกับพี่แก้ว...ก็ไม่ต่างกับเรื่องของเรา" ผมพูดประโยคนี้ออกมาอย่างยากลำบาก เพราะมันก็ไม่ต่างกับการสารภาพรักโดยความหมาย
เขาเป็นคนฉลาด...ย่อมเข้าใจความหมายที่ผมพูดถึง
แต่ผมไม่รู้ว่าก้อง...จะยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ได้มั๊ย...
"นี่คุณ..." เขาครางออกมาอย่างอับจนหนทางที่จะตอบ แต่กลับมีความลังเลที่ฉายอยูในแววตานั้น...แม้จะริบหรี่...แต่มันก็เป็นแสง แห่งความหวังเดียวที่ผมยอมแลกด้วยเดิมพันทั้งหมดที่มี
ได้เขามา...หรือเสียเขาไป...
"ผมกับพี่ปอ...ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่...คุณเข้าใจผมใช่มั๊ย?"
เพราะผมไม่เคยคาดเดาความรู้สึกของเขาได้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเป็นเพียงความคาดหวังของผมเพียงคนเดียว คิดไปเองคนเดียวว่าเขาอาจจะคิดเช่นเดียวกันกับผม แต่ไม่เคยมีคำพูดหรือการกระทำใดๆที่จะยืนยันชัดเจน ดังนั้น...ไม่แปลกเลยที่ผมกำลังรู้สึกว่า ‘ความไม่แน่นอน' กำลังเข้ามาสั่นคลอนความรู้สึกมั่นใจของผมให้หดหาย เหมือนอากาศรอบตัวจะเบาบางลง...เมื่อความเงียบเริ่มเข้ามาแทนที่ระหว่างเรา ริมฝีปากอิ่มนั้นถูกเม้มแน่นจนขาว เขาเบือนหน้าหลบสายตาผมก่อนจะค่อยๆหมุนตัวหันหลังช้าๆ
มันจบแล้ว...ผมแทบจะหมดแรงยืนกับคำตอบที่เขามีให้ หัวใจเจ็บจนชา ทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับคำตอบของเขาเท่านั้น
ปึ่ก!!
"โอ๊ย!!"
เสียงอะไรสักอย่างชนกันพร้อมกับเสียงร้องของก้องเรียกสติผมให้เงยหน้ามองทันที สองเท้าผมไวเท่าความคิดเมื่อผมเห็นเขาโดนชนจนเซแทบจะล้ม
"ก้อง!! ระวัง!!" แรงชนทำให้เขาถอยเข้ามาในอ้อมแขนผมก่อนจะหมุนเข้ามาปะทะกับผมทั้งตัว ผมผวารับเขาไว้ พร้อมกับกระชับสองแขนรอบเอวเขาแน่นเพื่อไม่ให้เสียหลักล้มลงไปทั้งคู่ หากนั่นกลับทำให้เราอยู่ในสภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็น...ผมกำลังกอดเขา...
เสียงขอโทษขอโพยเจ้าหน้าที่กู้ภัยสองคนต้นเหตุดังตามมาหลังจากที่พวกเขารีบวิ่งสวนไปทางสนามแข่ง หากมันแทบจะไม่เข้าหูผมเลยสักนิดเพราะเสียงหัวใจของผมมันกำลังดังกลบจนรู้สึกหูอื้อเพราะสัมผัสที่ได้รับโดยไม่ตั้งใจ จังหวะที่ดัง ตุบ...ตุบ...ตุบ...ดังเต้นต่อเนื่องที่หน้าอกข้างซ้ายไม่ต่างกับหน้าอกข้างขวา...
ข้างขวา...??
ผมชะงักค้างไปเมื่อกำลังสัมผัสได้ถึงจังหวะกระตุกที่มาจากใครอีกคนในอ้อมกอดผม จังหวะที่เต้นดัง ตุบ...ตุบ...ตุบ...ไม่ต่างกันกันนั้นคล้ายกับจะเร่งเร้าให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นไปอีก
"อะ...เอ่อ..." เป็นก้องที่รู้สึกตัวขึ้นมาก่อน ผมรีบกอดกระชับเขาไว้ให้แน่นขึ้นก่อนที่เขาจะดันตัวออก
...ขออยู่อย่างนี้อีกสักพักเถอะ...ผมอยากกระซิบบอกเขาแบบนั้น แต่กลับไม่สามารถพูดมันออกไปได้จึงปล่อยให้เสียงหัวใจทำหน้าที่เป็นทูตสื่อสาร...
หากเขาปฏิเสธผมเพราะลังเล และไม่แน่ใจ
ผมก็อยากใช้เสียงหัวใจของผมพูดแทนทั้งหมด
...เพราะหัวใจไม่โกหก...
เช่นกันกับหัวใจเขา...ที่กำลังบอกรักผมอย่างอ่อนหวานเช่นในตอนนี้
ไม่นานก้องก็ค่อยๆขืนตัวออก ซึ่งคราวนี้ผมยอมคลายอ้อมกอดอย่างอ้อยอิ่ง...แม้จะเสียดายเพราะผมอยากฟังเสียงบอกรักจากหัวใจเขาให้นานกว่านี้ แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาอายจนพาลหลบหน้าผมไปเหมือนกัน ใบหน้าน่ารักนั้นแดงไปทั้งหน้าทั้งหู ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนที่ก่อขึ้นอย่างรวดเร็วในแววตาเขาทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
...ผมรักเขาจริงๆ...
"ยิ้มอะไร?" เขาถามออกมาแก้เขิน น้ำเสียงดุดันปนแง่งอนนั้นทำลายบรรยากาศขมุกขมัวระหว่างเราให้หายไปได้อย่างประหลาด ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะคว้ามือเขาให้เดินตาม
"คุณจะพาผมไปไหน!!"
"ปวดหัวเข่า นวดให้หน่อยนะ"
"ก็ปล่อยสิ ไม่ต้องจูง!!" ผมอมยิ้มแกล้งบีบมือให้แน่นเข้า เสียงต่อล้อต่อเถียงดื้อดึงของเขา เป็นสิ่งที่ผมอยากให้มันเกิดขึ้นที่สุดระหว่างเรา เพราะนั่นหมายถึงเรายังได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไม่แยกจากกันไปไหน
ขอเพียงแค่เสียงหัวใจเขายังเต้นจังหวะเดียวกับผม
แม้จะโดนสะบัดมือออก ก็ไม่เป็นไร...เพราะผมจะเป็นฝ่ายไล่ตามไปจับไว้เอง...
"โอ๊ย! เบาหน่อยสิก้อง!" ถึงจะรัก แต่ผมก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าถ้าหากเขายังใช้ความรุนแรงกับหัวเข่าผมอยู่แบบนี้ เส้นเอ็นผมจะไม่กระตุกจนเผลอไปเตะเขาเข้า
"ทนหน่อยสิ" ภายใต้สีหน้านิ่งน้ำเสียงราบเรียบ คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าเขากำลังสนุกแค่ไหนที่ได้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าอยู่อย่างตอนนี้ ผมร้องเสียงหลงออกมาอีกระรอก เมื่อเขาจับขาผมดัดขึ้นไม่บอกไม่กล่าว
"โอ๊ยยยยยย"
"ดีครับ" รอยยิ้มจากคุณนักกายภาพของผมนั้นช่างยียวนชวนให้ลงโทษนัก ผมจ้องมองเขาอย่างหมายมาด ตั้งใจจะโจมตีที่แก้มป่องๆ ตรงหน้าเป็นที่แรก
"อ๊ะ!!!!" แต่ยังไม่ทันจะถึงเป้าหมาย ผมก็โดนสันมือเขาสับเข้าที่เข่าเสียก่อนจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นดัง ‘กร๊อบ' ตามมา ผมอ้าปากค้างด้วยความเจ็บไปทันที ในขณะที่มือสังหารกลับเอียงคอยิ้มน่ารัก
"เข้าที่แล้วล่ะ" เขาว่าพลางลอยหน้ายิ้มสมน้ำหน้าผมอย่างสะใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมเงยหน้ามองเขาอย่างเข่นเขี้ยว
"ใจร้าย" เขายักคิ้วรับคำตัดพ้อของผมแต่โดยดี ซ้ำยังกอดอกหัวเราะอย่างชอบใจ
"คุณให้ผมนวดเองนะ ถ้าให้คนอื่นทำให้ที่โรงพยาบาลเมื่อวันก่อนก็ดีไปแล้ว" ร้ายกาจใช่มั๊ยก้องของผม ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าผมไปรักษาแต่ก็ยังใจแข็งไม่ยอมออกมาดูดำดูดี ผมพับขากางเกงลงก่อนจะลุกขึ้นตามไปยืนขวางหน้าเขา
"ไม่ดีหรอก ใครทำให้เจ็บ คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบสิ" ผมยกยิ้มตอบบ้างพร้อมกับสืบเท้าเข้าไปใกล้ การยื่นหน้าเข้าไปหาทำให้เขาถึงกับผงะถอยออกไปทีเดียว
"อะ...อะไร ผมไปทำอะไรคุณ?"
"ไม่รู้จริงเหรอ?" ผมหรี่ตาถามพลางวางเท้าลงไปทับรอยแทนเขาที่ถอยหนี
"นี่คุณ..."
"ไม่รู้จริงๆน่ะ ว่าทำผมเจ็บตรงไหนบ้าง?" ผมยังคงเดินหน้าถามต่อสบายๆ หากก้องหน้าเสียไปแล้วทันทีที่รู้ตัวว่าถูกผมไล่จนถอยไปชนเข้ากับผนังห้อง ทั้งยังไม่สามารถหนีได้เพราะผมชิงยื่นแขนซ้ายไปกันเอาไว้ซะก่อน แน่นอนว่าคนฉลาดอย่างเขาไม่คิดจะหันไปอีกข้างแน่นอน เพราะถ้าทำอย่างนั้น...ผมก็จะยกแขนขวาไปกันไว้ แล้วมันก็จะไม่ต่างอะไรกับการถูกผมกอดดีๆนี่เอง
ผมไม่ได้คิดจะแกล้งให้เขาอาย จึงหยุดเท้ารักษาระยะห่างไว้พอที่จะไม่ให้อยู่ในสภาพน่าเกลียด แต่ถึงอย่างนั้น หน้าเขาก็ซับสีเลือดขึ้นมาแล้ว ผมเลยอดที่จะชะโงกเข้าไปมองใกล้ๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้ เขาเบิกตาโตมองผม พร้อมกับยกมือที่บีบขาผมจนเจ็บเมื่อกี้ขึ้นมาดันหน้าผมเอาไว้ทันที หน้าตาตกใจราวกับจะโดนผมปล้นสวาทกลางวันแสกๆ นั่นทำให้ผมหมดอารมณ์แกล้งหลุดหัวเราะออกมาทันตา นี่เขาเห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย
"ไม่แกล้งแล้ว" ผมว่าพร้อมกับถอยเท้าออกมาให้ห่างมากกว่าเดิมให้เขาสบายใจ แต่ก็ขยับกันๆไว้ไม่ให้เขาเดินหนี
"หลายวันนี่ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะก้อง" ผมสารภาพตรงๆอย่างไม่อาย เพราะเขาเล่นงานผมหนักจนผมทำงานทำการไม่ได้ไปหลายวัน เขาฟังแล้วก็ทำเป็นเมินหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็แอบอมยิ้มให้ผมพอใจชื้น...
"ขอโทษ" เขาพูดเบาๆ แม้จะไม่สบตาแต่ผมก็ไม่คิดจะถือสาหาความ แค่นี้เขาก็ยอมให้ผมมากแล้ว...ก็น่ารักแบบนี้...แล้วจะไม่ให้ผมใจอ่อนได้ยังไง
"สัญญากับผมนะก้อง...ว่าถ้ามีอะไรเราจะพูดกันดีๆ ไม่หนีอีก" ครั้งนี้ผมเอ่ยขอร้องเขาอย่างจริงจัง การวิ่งหนีไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา มีแต่จะทำให้เรื่องมันยิ่งยากมากขึ้น ซึ่งก้องก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขามองหน้าผมพร้อมกับอมยิ้มเต็มแก้ม
"อืม...ผมสัญญา"
ผมไม่รู้ว่าผมยิ้มตอบเขาออก ไปแบบไหน รู้เพียงแต่หัวใจมันพองคับอก เราหัวเราะให้กันเบาๆ กับท่าทางเขินอายของอีกฝ่าย ก่อนที่จะหยุดลงพร้อมเสียงกระแอมไอของใครบางคนที่ประตูห้อง
"แอนนา" ผมเอ่ยเรียกชื่อเธอ ในขณะที่ก้องกระโดดเด้งออกไปยืนห่างผมสามก้าวเป็นอย่างต่ำด้วยความว่องไว ผมพยายามที่จะไม่ขำเขา แต่แอนนาเธอกลับหัวเราะออกมาชัดเจนทีเดียว
"แอนนาเข้ามากวนรึเปล่า" เธอชะโงกหน้ามากระซิบถามผม แววตาล้อเลียนที่มองมาทำให้ผมอึดอัดใจนิดหน่อยที่ต้องยิ้มตอบเธอไปว่าเธอเข้าใจไม่ผิด เธอยิ้มเศร้าให้ผมเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นร่าเริงตามเดิม เธอโตมากับวัฒนธรรมตะวันตกที่ค่อนข้างอิสระเรื่องความรัก เธอจึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ง่ายกว่าเด็กตะวันออกทั่วไป
"แอนนาเอาโทรศัพท์มาคืน เห็นมีคนโทรเข้ามาหลายครั้งแล้ว แอนนาไม่กล้ารับแทน" เธอบอกพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้ก้อง ก่อนจะโบกมือลาผมสองคน ผมกดโทรศัพท์ในมือดูชื่อคนที่โทรเข้ามากว่าห้าสายแล้วก็ต้องประหลาดใจ...พี่ ตุ่ม...?
"ก้อง คุณไม่ได้เอามือถือมาเหรอ" ผมหันไปถามคนที่ยืนจ้องกลับมาที่ผมเขม็ง ก้องตีหน้าเรียบใส่ผมก่อนจะย้อนถามเสียงเย็นชา
"ทำไม?"
หือ?...น้ำเสียงแบบนี้นี่เหมือนครั้งก่อนที่ถูกผมแหย่เรื่องแอนนาไม่มีผิดเลยนะเนี่ย ผมหัวเราะกับท่าทางนั้น แล้วก็อดที่จะแหย่ออกไปอีกไม่ได้
"หึงอีกแล้ว"
"ใครหึง?" แล้วเขาก็สวนเสียงเขียวขึ้นมาทันที ผมหัวเราะยั่วหน้ายั่วตาเขาพร้อมกับพูดแบบไม่มีเสียงพอให้เข้าใจกันสองคนว่า
"ก็คนแถวนี้แหละ" รางวัลที่ผมได้รับคืออาการเมินหน้าหนีและเสียง ฮึ่ย!! อย่างขัดใจที่เถียงไม่ได้ลอยมาตามลม ผมหัวเราะชอบใจที่แหย่เขาได้ ในขณะที่มือถือของผมก็สั่นขึ้นมาอีก
"พี่ตุ่ม?" ยังคงเป็นเบอร์เดิมที่โทรเข้ามา ผมกวักมือเรียกก้องให้พักรบชั่วครู่พร้อมกับบอกว่าพี่ตุ่มโทรมา ใบหน้าน่ารักนั้นทำหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที พร้อมกับเร่งให้ผมรีบรับสาย
"สวัสดีครับพี่ตุ่ม"
"น้องพี น้องก้องอยู่กับน้องพีรึเปล่าคะ?" ปลายสายถามกลับมาร้อนรนทันทีที่ได้ยินเสียงผม ผมเหลือบไปมองหน้าก้องเล็กน้อยพร้อมกับตอบรับ
"ครับ...อยู่กับผม มีอะไรรึเปล่าครับพี่ตุ่ม"
"ป้าฟองค่ะ...ป้าฟองตกบันได ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล"
To be continue
สารภาพ ว่าตอนนี้แต่งแล้วเหนื่อยมาก...ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกของพีออกมายังไง... ลงท้ายได้ออกมาอย่างนี้ ดีไม่ดียังไงแสดงความเห็นได้เลยนะคะ (ยิ้ม)
» Category : Fiction from drama "พรุ่งนี้ก็รักเธอ"
» Pairing : พีรวิชญ์ x ก้องบดินทร์
» Rate : PG13
» Author : Hades
-03-
นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกนี้...
ความรู้สึกที่ว่า...วันแต่ละวันช่างน่าเบื่อ
ช่วงเวลาไม่นานที่ผมได้รู้จักกับก้อง ทำให้ผมหลงลืมไปเสียสนิทว่า...ที่จริงแล้วผมเคยชินกับการอยู่คนเดียวมากขนาดไหน ผมเคยอยู่ได้โดยไม่มีใครมาตั้งหลายปี...แต่วันนี้ ผมกลับรู้สึกแย่ที่จะต้องเดินกลับไปสู่ความรู้สึกเดิมๆ
เช้าวันเสาร์...นาฬิกาดิจิตอลหัวโต๊ะบอกอย่างนั้น
ผมถอนใจกับตัวเองพลางขยับตัวลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยมีกะจิตกะใจ โทรศัพท์ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีไฟใดๆกระพริบให้ผมใจชื้นว่าจะมีใคร miss call เข้ามา ซึ่ง...มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไร
หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย ผมต้องกินยาระงับอาการปวดเข่าที่มันเริ่มจะมากขึ้น คงเพราะเกิดจะบ้าอาบน้ำเย็นขึ้นมามันเลยปวดแปลบๆอยู่อย่างตอนนี้ ช่วยไม่ได้...ก็มันไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ผมรู้สึกสงบใจที่ว้าวุ่นได้นี่... ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างยากลำบากก่อนจะเอื้อมมือไปนวดคลึงบริเวณหัวเข่า พอนึกถึงว่าเพราะอะไรถึงต้องมานั่งปวดอยู่อย่างนี้แล้วก็ได้แต่สมน้ำหน้าตัว เอง
ถ้าตอนนั้นเอาขาซ้ายเตะก็ดีไปแล้ว
‘ถ้าคุณปวดขึ้นมาอีก รีบกินยาระงับปวดแล้วทำแบบนี้ นวดๆคลึงๆตรงนี้เป็นการกายภาพเบื้องต้น ถ้ายังรู้สึกไม่ดี ให้ไปที่โรงพยาบาล'
เสียงคุ้นเคยดังมาในโสต ประสาท ชัดเจนเสียจนผมเผลอคิดว่าเจ้าของเสียงกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าโดยมีมือคู่นั้น กำลังสาละวนช่วยบรรเทาอาการให้ผมอย่างคล่องแคล่ว มิหนำซ้ำผมยังยิ้มรับรอยยิ้มในความนึกคิดอีกนะ สงสัยผมคงใกล้ๆบ้าเต็มทน แต่สุดท้ายมโนภาพผมก็ต้องหายวับไปกับตาเมื่อความเป็นมือสมัครเล่นของผมกำลัง ทำร้ายตัวเองจนต้องร้องลั่น
"โอ๊ย!!!" แทนที่จะหายเจ็บกลับกลายเป็นปวดจี๊ดขึ้นไปถึงขมับก่อนจะชาร้าวไปทั้งขาแทน อย่างน่าอนาถ...ให้มันได้อย่างนี้สิ!!...ไม่รู้จะระบายออกกับอะไร ก็ได้แต่ทุบกำปั้นลงกับโซฟาอย่างหงุดหงิด ให้ตายเหอะ อะไรๆ มันไม่ได้ดั่งใจเลยจริงๆ
/////-----/////-----/////-----/////-----/////
"พี...ไหวแน่นะ?" แอนนาถามผมเป็นครั้งที่สี่ และคงเป็นครั้งสุดท้ายเพราะผมกำลังจะเตรียมตัวลงแข่งในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า เธอเดินไปเดินมาอย่างกังวลกับอาการปวดที่ขาของผมที่ยังเป็นๆหายๆ จนผมต้องโด๊ปยาเข้าไปอีกรอบ ผมยิ้มให้เธอ แม้จะรู้ดีว่ารอยยิ้มผมมันคงดูฝืดเฝื่อนเต็มทน
"สบาย ฝนมันเพิ่งตกน่ะ ขาผมมันเลยฝืดๆ" ผมก็แก้ตัวไปได้...ใครเชื่อก็มีลูกเป็นแมวแล้ว แต่เวลานี้ผมไม่มีอารมณ์มานั่งหาเหตุผลอะไรที่มันจะดีกว่านี้หรอก เพราะสมาธิผมมันมัวแต่จะจดจ่ออยู่ที่อัฒจรรย์ตรงลานแข่งโน่น
"พีมองหาใครอยู่รึเปล่า ให้แอนนาตามให้มั๊ย?" ผมยอมรับว่าบางครั้งแอนนาก็ช่างตื้อจนน่ารำคาญ แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้สึกรำคาญเธอเลยแม้แต่น้อย ความเป็นห่วงผมที่เธอแสดงออกชัดในแววตาช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
ผมดึงมือเธอมากุมไว้เบาๆ ยิ้มให้พร้อมกับวางโทรศัพท์ลงไป
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่าแอนนา เอ้านี่! ฝากไว้หน่อยแล้วกัน ผมขี้เกียจเดินไปที่ล็อคเกอร์แล้ว" ให้พูดตรงๆ ก็คือถ้าเดินไปถึงโน่นได้ก็คงไม่ต้องลงแข่งกันล่ะ แค่เดินธรรมดาตอนนี้มันก็ฝืดจนจะเหมือนหุ่นยนต์ขึ้นสนิมอยู่รอมร่อ
ผมค่อยๆ เดินไปที่รถของตัวเองพลางมองไปที่อัฒจรรย์พลางสลับกันอยู่อย่างนี้ แต่สิ่งที่ผมคาดหวังก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น ความหงุดหงิดแล่นเข้ามาในความรู้สึกของผมอีกครั้งก่อนจะถูกระบายออกไปที่ตัวถังรถเต็มแรง
ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไงดี
/////-----/////-----/////-----/////-----/////
สุดท้ายผมก็ไม่ได้ลงแข่ง...
เพราะสมาธิที่กระเจิดกระเจิงและร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ผมจึงต้องเปลี่ยนมือให้แม็คเพื่อนในทีมลงไปแข่งแทนเพื่อไม่ให้ทีมพลาดคะแนนในรายการนี้ ส่วนตัวผม ก็เข้ามานั่งพักดูการแข่งขันอยู่หน้ามอนิเตอร์กับฝ่ายเทคนิค
เพราะเมื่อเช้าฝนตก วันนี้สนามแข่งเลยค่อนข้างลื่นและอันตรายมากกว่าปกติ แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคสำหรับแม็คเพราะเขาเป็นมืออาชีพที่ชนะรางวัลจากต่างประเทศมาหลายรายการ เช่นเดียวกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่รอบจัดพอตัวกันทั้งนั้น ผมมองดูแม็คนำรถของผมเบียดขึ้นมาเป็นที่สองอย่างพอใจ ถ้าแซงคันหน้าได้ภายในโค้งนี้เขาก็จะนำและน่าจะเข้าที่หนึ่งได้ไม่ยาก ในมอนิเตอร์ ผมเห็นแอนนายืนเชียร์สุดตัวอยู่ตรงริมสนาม เห็นเธอว่าไม่ได้เชียร์ผม เชียร์รถผมก็ยังดี เอากับเธอสิ
ไม่นานแม็คก็ขึ้นเทียบอันดับ หนึ่งได้ สองคันขับเคี่ยวกันไปมาน่าหวาดเสียวเพราะช่วงสุดท้ายเต็มไปด้วยโค้งอันตราย สามสี่โค้งติดกัน ผมมองดูอย่างไม่สบายใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าแม็คเข้าโค้งได้ไม่ดีนักอาจจะเป็น เพราะไม่คุ้นรถทั้งสนามก็ลื่น ก่อนที่จะชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นว่ารถคันที่ขับบี้กันมาเกิดเสียหลักกระแทก เข้ากับรถผมในโค้งสุดท้ายทำให้รถเสียการทรงตัวบิดเป็นวงกลมก่อนจะพุ่งชนเข้า กับยางกันกระแทกกลางสนามเต็มแรง
"กรี๊ดดดดดด!!!!" เสียงกรีดร้องของสาวๆข้างสนามดังขึ้นทันที พร้อมกับที่ทุกคนลุกขึ้นด้วยอาการตื่นตัว หน่วยกู้ภัยผวาวิ่งไปคว้าอุปกรณ์วิ่งตรงไปทางสนามอย่างไม่รีรอ เช่นเดียวกันกับผมที่วิ่งออกไปที่สนามอย่างตกใจสุดขีด
"แม็ค!!! แม็ค!!!!" หน่วยกู้ภัยที่ช่วยกันหามร่างของแม็คที่นอนนิ่งไม่ได้สติออกมาจากสนามทำเอาผมใจเสีย ผมตะโกนถามอาการเขาจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างร้อนใจ
"เขาเป็นไรมากมั๊ยครับ!!"
"ไม่เป็นไรมากครับ เดี๋ยวทางเราจะนำคนเจ็บไปตรวจเช็คอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลอีกที" คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ผมรู้สึกเบาใจลงไปได้เล็กน้อย แอนนากับเพื่อนๆที่ยืนขวัญเสียกันอยู่ข้างสนามต่างก็กรูกันมาหาทันทีที่เห็นหน้าผม ผมลูบหลังเธอให้คลายตกใจอยู่สองสามที ก่อนจะฝากให้เธอช่วยตามไปดูอาการแม็คต่อที่โรงพยาบาล ซึ่งเธอก็รับคำ
"ได้ค่ะ เอ่อ...พี"
"หือ?" ผมเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นเธอยังไม่ยอมขยับไป แถมทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูด แอนนาชี้มือสั่นๆ ของตัวเองไปทางหนึ่งให้ผมมองตาม
"ก้อง..." ผมอุทานชื่อของคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอแล้วในวันนี้อย่างงงงัน ก่อนจะได้สติสาวเท้าพุ่งตรงไปหาเขาที่ยังยืนหน้าซีดอยู่คนเดียว แววตาที่มองมาที่ผมสั่นไหวจนคล้ายกับจะร้องไห้
"คุณมาที่นี่ได้ยังไง" ผมถามด้วยอาการเหนื่อยหอบ พอหายตกใจความรู้สึกปวดหนึบๆที่ขามันก็กลับมาเล่นงานผมอีกจนต้องหยุดก่อนที่จะถึงตัวเขา
"นี่คุณ...คุณ...ไม่ได้อยู่ในรถคันนั้นหรอกเหรอ" น้ำเสียงที่ถามนั้นสั่นจนรู้สึกได้ ผมส่ายหน้าแรง
"เปล่า วันนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิเลยให้เพื่อนขับแทน" ผมว่าพลางไล่สายตาไปทั่วใบหน้าซีดของเขา "คุณเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย"
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาตั้งแต่ตอนไหน แต่คงจะตกใจไม่น้อยกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เขาทำสีหน้าแปลกๆ เมื่อได้ยินผมถามอย่างนั้นก่อนจะเดินหนีกันไปดื้อๆ
/////-----/////-----/////-----/////-----/////
"ก้อง!! ก้อง!!" ผมไม่เข้าใจสีหน้าและอาการนั้น รู้อย่างเดียวคือสมองผมสั่งให้วิ่งตามเขาไปแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะอาการรบกวนที่เข้าขวา กว่าจะไปทันคว้าแขนเขาไว้ได้ ผมก็เกือบหมดแรงยืนแล้ว
"ก้อง!! เป็นอะไร??!!"
"ปล่อย!!" แต่เขากลับสะบัดผมสุดแรงจนผมเซตาม น้ำเสียงรำคาญที่โดนตามตื้อนั้นทำให้ผมที่ยังอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกตินักฉุนกึกขึ้นมา
"จะไปไหน!!" ผมขึ้นเสียงใส่เขาอย่างลืมตัว ซึ่งก้องก็แว้ดผมกลับเช่นกัน
"ผม...!!!" เขาพูดได้แค่นั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างพยายามจะตั้งสติเมื่อเห็นว่าเรากำลังจะแรงทั้งคู่ ก่อนจะตอบผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"ผมจะกลับบ้าน"
"เดี๋ยวก่อน!!!" ผมฉุดเขาเอาไว้อีกครั้งเมื่อเขาตั้งท่าจะเดินหนี ผมบีบที่ข้อมือเขาไม่เบานักจนก้องถึงกับนิ่วหน้า เขากัดริมฝีปากหลุบตามองข้อมือที่โดนบีบไม่พูดอะไรออกมาอีก จนผมต้องยอมปล่อยเขาในที่สุด
ส่วนผมเองก็พยายามตั้งสติ ต่างคนต่างกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเพราะสถานการณ์แบบนี้มันดูไม่ค่อยจะเหมาะเลยที่เราจะเคลียร์กัน แต่ผมก็ปล่อยให้เขาเดินหนีไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
"คุณคิดว่าผมอยู่ในรถคันนั้นใช่มั๊ย?" ผมพยายามจะเริ่มดีๆ แม้จะอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ไปหน่อย แต่ผมก็อดดีใจลึกๆไม่ได้ที่เห็นเขาเป็นห่วงผมจนหน้าซีดเซียวแบบนี้ แต่ปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกกลับตรงข้าม เขาตวัดสายตาขึ้นมองผมก่อนจะมองเมินอย่างไม่อยากจะพูดด้วยอีก
นั่นสิทำให้หน้าอกข้างซ้ายผมเจ็บหนึบขึ้นมาอีกแล้ว บางทีผมอาจจะสำคัญตัวเองผิดมาตลอดว่าเขาเองก็มีใจให้ก็ได้
"ทำไม ผิดหวังเหรอ?" จบคำถามประชดประชันเพราะความน้อยใจของผม เขาก็เงยหน้ามองหน้าผมด้วยความโมโหก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปทันที ชั่วขณะที่เห็นแววตาตัดพ้อส่งมา ความเจ็บชาที่หัวใจมันก็คลายลง
เขาแค่ปากแข็ง ไม่อยากยอมรับว่าเป็นห่วงผม...ผมเข้าใจอย่างนี้ได้ใช่ไหม
"เดี๋ยว" ผมตามไปคว้าแขนเขาไว้ "ผมเองก็ตกใจเหมือนกัน ถ้าผมตัดสินใจผิดไปนิดเดียวนะ คนที่อยู่บนรถคันนั้นอาจจะเป็นผมก็ได้..."
"จะพูดทำไม?!" เขาพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบด้วยสีหน้าไม่พอใจ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นอย่างฉุนเฉียว
"ผมก็แค่อยากจะบอกคุณ ว่าชีวิตคนเรามันเอาแน่นอนอะไรไม่ได้หรอก ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่!!" ความแน่นอนมันหาไม่ได้ในโลกนี้จริงๆ ผมเคยแล้วเมื่อสมัยเด็กๆ เมื่อครั้งที่ต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไป ครั้งนั้น...ผมไม่มีโอกาสที่จะได้กอดท่านก่อนจากกันตลอดกาลด้วยซ้ำ
"ฉะนั้นถ้ามีอะไรที่อยากจะทำ..."
ผมถอนหายใจมองดวงตาสีน้ำตาลที่เต้นไหวระริกตรงหน้านิ่ง ได้แต่หวังว่าสายตาของผมจะสามารถส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปถึงเขาได้
"ก็ต้องรีบทำ"
ความรู้สึกของผมมันไม่ใช่สิ่งฉาบฉวยจอมปลอม
ความรู้สึกที่ผมมีให้เขา มันไม่ใช่แค่รัก...
แต่มันรวมถึงมิตรภาพ...ความห่วงใย...และความหวังดี
รวมทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะมีให้ได้...เพื่อเขา
"นี่...คุณจะพูดอะไรน่ะ..." ดวงตาสีน้ำตาลนั้นมีแต่คำถาม และความไม่มั่นใจ ผมสบตาเขานิ่งคิดไปสักพักก่อนจะเรียบเรียงทุกความรู้สึกของผมอธิบายออกมาเป็นคำพูด
"ไอ้เรื่องที่ผมบอกคุณว่าผม เป็นห่วงพี่ปอ...มันไม่ใช่เพราะว่าเค้าเป็นญาติผมนะ แต่เพราะว่าพี่ปอกับพี่แก้วเค้ารักกัน แต่เค้ากลับรักกันไม่ได้ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดของเค้า" พูดมาถึงตรงนี้ ก้องก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันทันที ผมรู้...ว่าเขาก็รู้ว่าระหว่างพี่แก้วกับพี่ปอมันไม่เคยมีคำว่าไม่รักมาคั่น กลางเลย ความขัดแย้งระหว่างครอบครัวต่างหากที่ทำให้สองคนนั้นต้องแยกจากกันทั้งที่ ยังรัก
"เรื่องของพี่ปอกับพี่แก้ว...ก็ไม่ต่างกับเรื่องของเรา" ผมพูดประโยคนี้ออกมาอย่างยากลำบาก เพราะมันก็ไม่ต่างกับการสารภาพรักโดยความหมาย
เขาเป็นคนฉลาด...ย่อมเข้าใจความหมายที่ผมพูดถึง
แต่ผมไม่รู้ว่าก้อง...จะยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ได้มั๊ย...
"นี่คุณ..." เขาครางออกมาอย่างอับจนหนทางที่จะตอบ แต่กลับมีความลังเลที่ฉายอยูในแววตานั้น...แม้จะริบหรี่...แต่มันก็เป็นแสง แห่งความหวังเดียวที่ผมยอมแลกด้วยเดิมพันทั้งหมดที่มี
ได้เขามา...หรือเสียเขาไป...
"ผมกับพี่ปอ...ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่...คุณเข้าใจผมใช่มั๊ย?"
เพราะผมไม่เคยคาดเดาความรู้สึกของเขาได้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเป็นเพียงความคาดหวังของผมเพียงคนเดียว คิดไปเองคนเดียวว่าเขาอาจจะคิดเช่นเดียวกันกับผม แต่ไม่เคยมีคำพูดหรือการกระทำใดๆที่จะยืนยันชัดเจน ดังนั้น...ไม่แปลกเลยที่ผมกำลังรู้สึกว่า ‘ความไม่แน่นอน' กำลังเข้ามาสั่นคลอนความรู้สึกมั่นใจของผมให้หดหาย เหมือนอากาศรอบตัวจะเบาบางลง...เมื่อความเงียบเริ่มเข้ามาแทนที่ระหว่างเรา ริมฝีปากอิ่มนั้นถูกเม้มแน่นจนขาว เขาเบือนหน้าหลบสายตาผมก่อนจะค่อยๆหมุนตัวหันหลังช้าๆ
มันจบแล้ว...ผมแทบจะหมดแรงยืนกับคำตอบที่เขามีให้ หัวใจเจ็บจนชา ทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับคำตอบของเขาเท่านั้น
ปึ่ก!!
"โอ๊ย!!"
เสียงอะไรสักอย่างชนกันพร้อมกับเสียงร้องของก้องเรียกสติผมให้เงยหน้ามองทันที สองเท้าผมไวเท่าความคิดเมื่อผมเห็นเขาโดนชนจนเซแทบจะล้ม
"ก้อง!! ระวัง!!" แรงชนทำให้เขาถอยเข้ามาในอ้อมแขนผมก่อนจะหมุนเข้ามาปะทะกับผมทั้งตัว ผมผวารับเขาไว้ พร้อมกับกระชับสองแขนรอบเอวเขาแน่นเพื่อไม่ให้เสียหลักล้มลงไปทั้งคู่ หากนั่นกลับทำให้เราอยู่ในสภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็น...ผมกำลังกอดเขา...
เสียงขอโทษขอโพยเจ้าหน้าที่กู้ภัยสองคนต้นเหตุดังตามมาหลังจากที่พวกเขารีบวิ่งสวนไปทางสนามแข่ง หากมันแทบจะไม่เข้าหูผมเลยสักนิดเพราะเสียงหัวใจของผมมันกำลังดังกลบจนรู้สึกหูอื้อเพราะสัมผัสที่ได้รับโดยไม่ตั้งใจ จังหวะที่ดัง ตุบ...ตุบ...ตุบ...ดังเต้นต่อเนื่องที่หน้าอกข้างซ้ายไม่ต่างกับหน้าอกข้างขวา...
ข้างขวา...??
ผมชะงักค้างไปเมื่อกำลังสัมผัสได้ถึงจังหวะกระตุกที่มาจากใครอีกคนในอ้อมกอดผม จังหวะที่เต้นดัง ตุบ...ตุบ...ตุบ...ไม่ต่างกันกันนั้นคล้ายกับจะเร่งเร้าให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นไปอีก
"อะ...เอ่อ..." เป็นก้องที่รู้สึกตัวขึ้นมาก่อน ผมรีบกอดกระชับเขาไว้ให้แน่นขึ้นก่อนที่เขาจะดันตัวออก
...ขออยู่อย่างนี้อีกสักพักเถอะ...ผมอยากกระซิบบอกเขาแบบนั้น แต่กลับไม่สามารถพูดมันออกไปได้จึงปล่อยให้เสียงหัวใจทำหน้าที่เป็นทูตสื่อสาร...
หากเขาปฏิเสธผมเพราะลังเล และไม่แน่ใจ
ผมก็อยากใช้เสียงหัวใจของผมพูดแทนทั้งหมด
...เพราะหัวใจไม่โกหก...
เช่นกันกับหัวใจเขา...ที่กำลังบอกรักผมอย่างอ่อนหวานเช่นในตอนนี้
ไม่นานก้องก็ค่อยๆขืนตัวออก ซึ่งคราวนี้ผมยอมคลายอ้อมกอดอย่างอ้อยอิ่ง...แม้จะเสียดายเพราะผมอยากฟังเสียงบอกรักจากหัวใจเขาให้นานกว่านี้ แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาอายจนพาลหลบหน้าผมไปเหมือนกัน ใบหน้าน่ารักนั้นแดงไปทั้งหน้าทั้งหู ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนที่ก่อขึ้นอย่างรวดเร็วในแววตาเขาทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
...ผมรักเขาจริงๆ...
"ยิ้มอะไร?" เขาถามออกมาแก้เขิน น้ำเสียงดุดันปนแง่งอนนั้นทำลายบรรยากาศขมุกขมัวระหว่างเราให้หายไปได้อย่างประหลาด ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะคว้ามือเขาให้เดินตาม
"คุณจะพาผมไปไหน!!"
"ปวดหัวเข่า นวดให้หน่อยนะ"
"ก็ปล่อยสิ ไม่ต้องจูง!!" ผมอมยิ้มแกล้งบีบมือให้แน่นเข้า เสียงต่อล้อต่อเถียงดื้อดึงของเขา เป็นสิ่งที่ผมอยากให้มันเกิดขึ้นที่สุดระหว่างเรา เพราะนั่นหมายถึงเรายังได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไม่แยกจากกันไปไหน
ขอเพียงแค่เสียงหัวใจเขายังเต้นจังหวะเดียวกับผม
แม้จะโดนสะบัดมือออก ก็ไม่เป็นไร...เพราะผมจะเป็นฝ่ายไล่ตามไปจับไว้เอง...
/////-----/////-----/////-----/////-----/////
"โอ๊ย! เบาหน่อยสิก้อง!" ถึงจะรัก แต่ผมก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าถ้าหากเขายังใช้ความรุนแรงกับหัวเข่าผมอยู่แบบนี้ เส้นเอ็นผมจะไม่กระตุกจนเผลอไปเตะเขาเข้า
"ทนหน่อยสิ" ภายใต้สีหน้านิ่งน้ำเสียงราบเรียบ คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าเขากำลังสนุกแค่ไหนที่ได้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าอยู่อย่างตอนนี้ ผมร้องเสียงหลงออกมาอีกระรอก เมื่อเขาจับขาผมดัดขึ้นไม่บอกไม่กล่าว
"โอ๊ยยยยยย"
"ดีครับ" รอยยิ้มจากคุณนักกายภาพของผมนั้นช่างยียวนชวนให้ลงโทษนัก ผมจ้องมองเขาอย่างหมายมาด ตั้งใจจะโจมตีที่แก้มป่องๆ ตรงหน้าเป็นที่แรก
"อ๊ะ!!!!" แต่ยังไม่ทันจะถึงเป้าหมาย ผมก็โดนสันมือเขาสับเข้าที่เข่าเสียก่อนจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นดัง ‘กร๊อบ' ตามมา ผมอ้าปากค้างด้วยความเจ็บไปทันที ในขณะที่มือสังหารกลับเอียงคอยิ้มน่ารัก
"เข้าที่แล้วล่ะ" เขาว่าพลางลอยหน้ายิ้มสมน้ำหน้าผมอย่างสะใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมเงยหน้ามองเขาอย่างเข่นเขี้ยว
"ใจร้าย" เขายักคิ้วรับคำตัดพ้อของผมแต่โดยดี ซ้ำยังกอดอกหัวเราะอย่างชอบใจ
"คุณให้ผมนวดเองนะ ถ้าให้คนอื่นทำให้ที่โรงพยาบาลเมื่อวันก่อนก็ดีไปแล้ว" ร้ายกาจใช่มั๊ยก้องของผม ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าผมไปรักษาแต่ก็ยังใจแข็งไม่ยอมออกมาดูดำดูดี ผมพับขากางเกงลงก่อนจะลุกขึ้นตามไปยืนขวางหน้าเขา
"ไม่ดีหรอก ใครทำให้เจ็บ คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบสิ" ผมยกยิ้มตอบบ้างพร้อมกับสืบเท้าเข้าไปใกล้ การยื่นหน้าเข้าไปหาทำให้เขาถึงกับผงะถอยออกไปทีเดียว
"อะ...อะไร ผมไปทำอะไรคุณ?"
"ไม่รู้จริงเหรอ?" ผมหรี่ตาถามพลางวางเท้าลงไปทับรอยแทนเขาที่ถอยหนี
"นี่คุณ..."
"ไม่รู้จริงๆน่ะ ว่าทำผมเจ็บตรงไหนบ้าง?" ผมยังคงเดินหน้าถามต่อสบายๆ หากก้องหน้าเสียไปแล้วทันทีที่รู้ตัวว่าถูกผมไล่จนถอยไปชนเข้ากับผนังห้อง ทั้งยังไม่สามารถหนีได้เพราะผมชิงยื่นแขนซ้ายไปกันเอาไว้ซะก่อน แน่นอนว่าคนฉลาดอย่างเขาไม่คิดจะหันไปอีกข้างแน่นอน เพราะถ้าทำอย่างนั้น...ผมก็จะยกแขนขวาไปกันไว้ แล้วมันก็จะไม่ต่างอะไรกับการถูกผมกอดดีๆนี่เอง
ผมไม่ได้คิดจะแกล้งให้เขาอาย จึงหยุดเท้ารักษาระยะห่างไว้พอที่จะไม่ให้อยู่ในสภาพน่าเกลียด แต่ถึงอย่างนั้น หน้าเขาก็ซับสีเลือดขึ้นมาแล้ว ผมเลยอดที่จะชะโงกเข้าไปมองใกล้ๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้ เขาเบิกตาโตมองผม พร้อมกับยกมือที่บีบขาผมจนเจ็บเมื่อกี้ขึ้นมาดันหน้าผมเอาไว้ทันที หน้าตาตกใจราวกับจะโดนผมปล้นสวาทกลางวันแสกๆ นั่นทำให้ผมหมดอารมณ์แกล้งหลุดหัวเราะออกมาทันตา นี่เขาเห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย
"ไม่แกล้งแล้ว" ผมว่าพร้อมกับถอยเท้าออกมาให้ห่างมากกว่าเดิมให้เขาสบายใจ แต่ก็ขยับกันๆไว้ไม่ให้เขาเดินหนี
"หลายวันนี่ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะก้อง" ผมสารภาพตรงๆอย่างไม่อาย เพราะเขาเล่นงานผมหนักจนผมทำงานทำการไม่ได้ไปหลายวัน เขาฟังแล้วก็ทำเป็นเมินหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็แอบอมยิ้มให้ผมพอใจชื้น...
"ขอโทษ" เขาพูดเบาๆ แม้จะไม่สบตาแต่ผมก็ไม่คิดจะถือสาหาความ แค่นี้เขาก็ยอมให้ผมมากแล้ว...ก็น่ารักแบบนี้...แล้วจะไม่ให้ผมใจอ่อนได้ยังไง
"สัญญากับผมนะก้อง...ว่าถ้ามีอะไรเราจะพูดกันดีๆ ไม่หนีอีก" ครั้งนี้ผมเอ่ยขอร้องเขาอย่างจริงจัง การวิ่งหนีไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา มีแต่จะทำให้เรื่องมันยิ่งยากมากขึ้น ซึ่งก้องก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขามองหน้าผมพร้อมกับอมยิ้มเต็มแก้ม
"อืม...ผมสัญญา"
ผมไม่รู้ว่าผมยิ้มตอบเขาออก ไปแบบไหน รู้เพียงแต่หัวใจมันพองคับอก เราหัวเราะให้กันเบาๆ กับท่าทางเขินอายของอีกฝ่าย ก่อนที่จะหยุดลงพร้อมเสียงกระแอมไอของใครบางคนที่ประตูห้อง
"แอนนา" ผมเอ่ยเรียกชื่อเธอ ในขณะที่ก้องกระโดดเด้งออกไปยืนห่างผมสามก้าวเป็นอย่างต่ำด้วยความว่องไว ผมพยายามที่จะไม่ขำเขา แต่แอนนาเธอกลับหัวเราะออกมาชัดเจนทีเดียว
"แอนนาเข้ามากวนรึเปล่า" เธอชะโงกหน้ามากระซิบถามผม แววตาล้อเลียนที่มองมาทำให้ผมอึดอัดใจนิดหน่อยที่ต้องยิ้มตอบเธอไปว่าเธอเข้าใจไม่ผิด เธอยิ้มเศร้าให้ผมเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นร่าเริงตามเดิม เธอโตมากับวัฒนธรรมตะวันตกที่ค่อนข้างอิสระเรื่องความรัก เธอจึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ง่ายกว่าเด็กตะวันออกทั่วไป
"แอนนาเอาโทรศัพท์มาคืน เห็นมีคนโทรเข้ามาหลายครั้งแล้ว แอนนาไม่กล้ารับแทน" เธอบอกพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้ก้อง ก่อนจะโบกมือลาผมสองคน ผมกดโทรศัพท์ในมือดูชื่อคนที่โทรเข้ามากว่าห้าสายแล้วก็ต้องประหลาดใจ...พี่ ตุ่ม...?
"ก้อง คุณไม่ได้เอามือถือมาเหรอ" ผมหันไปถามคนที่ยืนจ้องกลับมาที่ผมเขม็ง ก้องตีหน้าเรียบใส่ผมก่อนจะย้อนถามเสียงเย็นชา
"ทำไม?"
หือ?...น้ำเสียงแบบนี้นี่เหมือนครั้งก่อนที่ถูกผมแหย่เรื่องแอนนาไม่มีผิดเลยนะเนี่ย ผมหัวเราะกับท่าทางนั้น แล้วก็อดที่จะแหย่ออกไปอีกไม่ได้
"หึงอีกแล้ว"
"ใครหึง?" แล้วเขาก็สวนเสียงเขียวขึ้นมาทันที ผมหัวเราะยั่วหน้ายั่วตาเขาพร้อมกับพูดแบบไม่มีเสียงพอให้เข้าใจกันสองคนว่า
"ก็คนแถวนี้แหละ" รางวัลที่ผมได้รับคืออาการเมินหน้าหนีและเสียง ฮึ่ย!! อย่างขัดใจที่เถียงไม่ได้ลอยมาตามลม ผมหัวเราะชอบใจที่แหย่เขาได้ ในขณะที่มือถือของผมก็สั่นขึ้นมาอีก
"พี่ตุ่ม?" ยังคงเป็นเบอร์เดิมที่โทรเข้ามา ผมกวักมือเรียกก้องให้พักรบชั่วครู่พร้อมกับบอกว่าพี่ตุ่มโทรมา ใบหน้าน่ารักนั้นทำหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที พร้อมกับเร่งให้ผมรีบรับสาย
"สวัสดีครับพี่ตุ่ม"
"น้องพี น้องก้องอยู่กับน้องพีรึเปล่าคะ?" ปลายสายถามกลับมาร้อนรนทันทีที่ได้ยินเสียงผม ผมเหลือบไปมองหน้าก้องเล็กน้อยพร้อมกับตอบรับ
"ครับ...อยู่กับผม มีอะไรรึเปล่าครับพี่ตุ่ม"
"ป้าฟองค่ะ...ป้าฟองตกบันได ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล"
/////-----/////-----/////-----/////-----/////
To be continue
สารภาพ ว่าตอนนี้แต่งแล้วเหนื่อยมาก...ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกของพีออกมายังไง... ลงท้ายได้ออกมาอย่างนี้ ดีไม่ดียังไงแสดงความเห็นได้เลยนะคะ (ยิ้ม)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น