ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] You Belong to Me [พีรวิชญ์ x ก้องบดินทร์]

    ลำดับตอนที่ #3 : You Belong to me 03

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ย. 52


    » Title : You Belong to me

    » Category : Fiction from drama "พรุ่งนี้ก็รักเธอ"

    » Pairing : พีรวิชญ์ x ก้องบดินทร์

    » Rate : PG13

    » Author : Hades

     
    -03-

    นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกนี้...

    ความรู้สึกที่ว่า...วันแต่ละวันช่างน่าเบื่อ

     

    ช่วงเวลาไม่นานที่ผมได้รู้จักกับก้อง ทำให้ผมหลงลืมไปเสียสนิทว่า...ที่จริงแล้วผมเคยชินกับการอยู่คนเดียวมากขนาดไหน ผมเคยอยู่ได้โดยไม่มีใครมาตั้งหลายปี...แต่วันนี้ ผมกลับรู้สึกแย่ที่จะต้องเดินกลับไปสู่ความรู้สึกเดิมๆ

     

    เช้าวันเสาร์...นาฬิกาดิจิตอลหัวโต๊ะบอกอย่างนั้น

     

    ผมถอนใจกับตัวเองพลางขยับตัวลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยมีกะจิตกะใจ โทรศัพท์ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีไฟใดๆกระพริบให้ผมใจชื้นว่าจะมีใคร miss call เข้ามา ซึ่ง...มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไร

     

    หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย ผมต้องกินยาระงับอาการปวดเข่าที่มันเริ่มจะมากขึ้น คงเพราะเกิดจะบ้าอาบน้ำเย็นขึ้นมามันเลยปวดแปลบๆอยู่อย่างตอนนี้ ช่วยไม่ได้...ก็มันไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ผมรู้สึกสงบใจที่ว้าวุ่นได้นี่... ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างยากลำบากก่อนจะเอื้อมมือไปนวดคลึงบริเวณหัวเข่า พอนึกถึงว่าเพราะอะไรถึงต้องมานั่งปวดอยู่อย่างนี้แล้วก็ได้แต่สมน้ำหน้าตัว เอง

     

    ถ้าตอนนั้นเอาขาซ้ายเตะก็ดีไปแล้ว

     

    ‘ถ้าคุณปวดขึ้นมาอีก รีบกินยาระงับปวดแล้วทำแบบนี้ นวดๆคลึงๆตรงนี้เป็นการกายภาพเบื้องต้น ถ้ายังรู้สึกไม่ดี ให้ไปที่โรงพยาบาล'

     

    เสียงคุ้นเคยดังมาในโสต ประสาท ชัดเจนเสียจนผมเผลอคิดว่าเจ้าของเสียงกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าโดยมีมือคู่นั้น กำลังสาละวนช่วยบรรเทาอาการให้ผมอย่างคล่องแคล่ว มิหนำซ้ำผมยังยิ้มรับรอยยิ้มในความนึกคิดอีกนะ สงสัยผมคงใกล้ๆบ้าเต็มทน แต่สุดท้ายมโนภาพผมก็ต้องหายวับไปกับตาเมื่อความเป็นมือสมัครเล่นของผมกำลัง ทำร้ายตัวเองจนต้องร้องลั่น

     

    "โอ๊ย!!!" แทนที่จะหายเจ็บกลับกลายเป็นปวดจี๊ดขึ้นไปถึงขมับก่อนจะชาร้าวไปทั้งขาแทน อย่างน่าอนาถ...ให้มันได้อย่างนี้สิ!!...ไม่รู้จะระบายออกกับอะไร ก็ได้แต่ทุบกำปั้นลงกับโซฟาอย่างหงุดหงิด ให้ตายเหอะ อะไรๆ มันไม่ได้ดั่งใจเลยจริงๆ

     

    /////-----/////-----/////-----/////-----/////

     

    "พี...ไหวแน่นะ?" แอนนาถามผมเป็นครั้งที่สี่ และคงเป็นครั้งสุดท้ายเพราะผมกำลังจะเตรียมตัวลงแข่งในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า เธอเดินไปเดินมาอย่างกังวลกับอาการปวดที่ขาของผมที่ยังเป็นๆหายๆ จนผมต้องโด๊ปยาเข้าไปอีกรอบ ผมยิ้มให้เธอ แม้จะรู้ดีว่ารอยยิ้มผมมันคงดูฝืดเฝื่อนเต็มทน

     

    "สบาย ฝนมันเพิ่งตกน่ะ ขาผมมันเลยฝืดๆ" ผมก็แก้ตัวไปได้...ใครเชื่อก็มีลูกเป็นแมวแล้ว แต่เวลานี้ผมไม่มีอารมณ์มานั่งหาเหตุผลอะไรที่มันจะดีกว่านี้หรอก เพราะสมาธิผมมันมัวแต่จะจดจ่ออยู่ที่อัฒจรรย์ตรงลานแข่งโน่น

     

    "พีมองหาใครอยู่รึเปล่า ให้แอนนาตามให้มั๊ย?" ผมยอมรับว่าบางครั้งแอนนาก็ช่างตื้อจนน่ารำคาญ แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้สึกรำคาญเธอเลยแม้แต่น้อย ความเป็นห่วงผมที่เธอแสดงออกชัดในแววตาช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

     

    ผมดึงมือเธอมากุมไว้เบาๆ ยิ้มให้พร้อมกับวางโทรศัพท์ลงไป

     

    "ไม่ต้องห่วงหรอกน่าแอนนา เอ้านี่! ฝากไว้หน่อยแล้วกัน ผมขี้เกียจเดินไปที่ล็อคเกอร์แล้ว" ให้พูดตรงๆ ก็คือถ้าเดินไปถึงโน่นได้ก็คงไม่ต้องลงแข่งกันล่ะ แค่เดินธรรมดาตอนนี้มันก็ฝืดจนจะเหมือนหุ่นยนต์ขึ้นสนิมอยู่รอมร่อ

     

    ผมค่อยๆ เดินไปที่รถของตัวเองพลางมองไปที่อัฒจรรย์พลางสลับกันอยู่อย่างนี้ แต่สิ่งที่ผมคาดหวังก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น ความหงุดหงิดแล่นเข้ามาในความรู้สึกของผมอีกครั้งก่อนจะถูกระบายออกไปที่ตัวถังรถเต็มแรง

     

    ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไงดี

     

    /////-----/////-----/////-----/////-----/////

     

    สุดท้ายผมก็ไม่ได้ลงแข่ง...

     

    เพราะสมาธิที่กระเจิดกระเจิงและร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ผมจึงต้องเปลี่ยนมือให้แม็คเพื่อนในทีมลงไปแข่งแทนเพื่อไม่ให้ทีมพลาดคะแนนในรายการนี้ ส่วนตัวผม ก็เข้ามานั่งพักดูการแข่งขันอยู่หน้ามอนิเตอร์กับฝ่ายเทคนิค

     

    เพราะเมื่อเช้าฝนตก วันนี้สนามแข่งเลยค่อนข้างลื่นและอันตรายมากกว่าปกติ แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคสำหรับแม็คเพราะเขาเป็นมืออาชีพที่ชนะรางวัลจากต่างประเทศมาหลายรายการ เช่นเดียวกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่รอบจัดพอตัวกันทั้งนั้น ผมมองดูแม็คนำรถของผมเบียดขึ้นมาเป็นที่สองอย่างพอใจ ถ้าแซงคันหน้าได้ภายในโค้งนี้เขาก็จะนำและน่าจะเข้าที่หนึ่งได้ไม่ยาก ในมอนิเตอร์ ผมเห็นแอนนายืนเชียร์สุดตัวอยู่ตรงริมสนาม เห็นเธอว่าไม่ได้เชียร์ผม เชียร์รถผมก็ยังดี เอากับเธอสิ

     

    ไม่นานแม็คก็ขึ้นเทียบอันดับ หนึ่งได้ สองคันขับเคี่ยวกันไปมาน่าหวาดเสียวเพราะช่วงสุดท้ายเต็มไปด้วยโค้งอันตราย สามสี่โค้งติดกัน ผมมองดูอย่างไม่สบายใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าแม็คเข้าโค้งได้ไม่ดีนักอาจจะเป็น เพราะไม่คุ้นรถทั้งสนามก็ลื่น ก่อนที่จะชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นว่ารถคันที่ขับบี้กันมาเกิดเสียหลักกระแทก เข้ากับรถผมในโค้งสุดท้ายทำให้รถเสียการทรงตัวบิดเป็นวงกลมก่อนจะพุ่งชนเข้า กับยางกันกระแทกกลางสนามเต็มแรง

     

    "กรี๊ดดดดดด!!!!" เสียงกรีดร้องของสาวๆข้างสนามดังขึ้นทันที พร้อมกับที่ทุกคนลุกขึ้นด้วยอาการตื่นตัว หน่วยกู้ภัยผวาวิ่งไปคว้าอุปกรณ์วิ่งตรงไปทางสนามอย่างไม่รีรอ เช่นเดียวกันกับผมที่วิ่งออกไปที่สนามอย่างตกใจสุดขีด

     

    "แม็ค!!! แม็ค!!!!" หน่วยกู้ภัยที่ช่วยกันหามร่างของแม็คที่นอนนิ่งไม่ได้สติออกมาจากสนามทำเอาผมใจเสีย ผมตะโกนถามอาการเขาจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างร้อนใจ

     

    "เขาเป็นไรมากมั๊ยครับ!!"

     

    "ไม่เป็นไรมากครับ เดี๋ยวทางเราจะนำคนเจ็บไปตรวจเช็คอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลอีกที" คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ผมรู้สึกเบาใจลงไปได้เล็กน้อย แอนนากับเพื่อนๆที่ยืนขวัญเสียกันอยู่ข้างสนามต่างก็กรูกันมาหาทันทีที่เห็นหน้าผม ผมลูบหลังเธอให้คลายตกใจอยู่สองสามที ก่อนจะฝากให้เธอช่วยตามไปดูอาการแม็คต่อที่โรงพยาบาล ซึ่งเธอก็รับคำ

     

    "ได้ค่ะ เอ่อ...พี"

     

    "หือ?" ผมเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นเธอยังไม่ยอมขยับไป แถมทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูด แอนนาชี้มือสั่นๆ ของตัวเองไปทางหนึ่งให้ผมมองตาม

     

    "ก้อง..." ผมอุทานชื่อของคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอแล้วในวันนี้อย่างงงงัน ก่อนจะได้สติสาวเท้าพุ่งตรงไปหาเขาที่ยังยืนหน้าซีดอยู่คนเดียว แววตาที่มองมาที่ผมสั่นไหวจนคล้ายกับจะร้องไห้

     

    "คุณมาที่นี่ได้ยังไง" ผมถามด้วยอาการเหนื่อยหอบ พอหายตกใจความรู้สึกปวดหนึบๆที่ขามันก็กลับมาเล่นงานผมอีกจนต้องหยุดก่อนที่จะถึงตัวเขา

     

    "นี่คุณ...คุณ...ไม่ได้อยู่ในรถคันนั้นหรอกเหรอ" น้ำเสียงที่ถามนั้นสั่นจนรู้สึกได้ ผมส่ายหน้าแรง

     

    "เปล่า วันนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิเลยให้เพื่อนขับแทน" ผมว่าพลางไล่สายตาไปทั่วใบหน้าซีดของเขา "คุณเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย"

     

    ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาตั้งแต่ตอนไหน แต่คงจะตกใจไม่น้อยกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เขาทำสีหน้าแปลกๆ เมื่อได้ยินผมถามอย่างนั้นก่อนจะเดินหนีกันไปดื้อๆ

     

    /////-----/////-----/////-----/////-----/////

     

    "ก้อง!! ก้อง!!" ผมไม่เข้าใจสีหน้าและอาการนั้น รู้อย่างเดียวคือสมองผมสั่งให้วิ่งตามเขาไปแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะอาการรบกวนที่เข้าขวา กว่าจะไปทันคว้าแขนเขาไว้ได้ ผมก็เกือบหมดแรงยืนแล้ว

     

    "ก้อง!! เป็นอะไร??!!"

     

    "ปล่อย!!" แต่เขากลับสะบัดผมสุดแรงจนผมเซตาม น้ำเสียงรำคาญที่โดนตามตื้อนั้นทำให้ผมที่ยังอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกตินักฉุนกึกขึ้นมา

     

    "จะไปไหน!!" ผมขึ้นเสียงใส่เขาอย่างลืมตัว ซึ่งก้องก็แว้ดผมกลับเช่นกัน

     

    "ผม...!!!" เขาพูดได้แค่นั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างพยายามจะตั้งสติเมื่อเห็นว่าเรากำลังจะแรงทั้งคู่ ก่อนจะตอบผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

     

    "ผมจะกลับบ้าน"

     

    "เดี๋ยวก่อน!!!" ผมฉุดเขาเอาไว้อีกครั้งเมื่อเขาตั้งท่าจะเดินหนี ผมบีบที่ข้อมือเขาไม่เบานักจนก้องถึงกับนิ่วหน้า เขากัดริมฝีปากหลุบตามองข้อมือที่โดนบีบไม่พูดอะไรออกมาอีก จนผมต้องยอมปล่อยเขาในที่สุด

     

    ส่วนผมเองก็พยายามตั้งสติ ต่างคนต่างกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเพราะสถานการณ์แบบนี้มันดูไม่ค่อยจะเหมาะเลยที่เราจะเคลียร์กัน แต่ผมก็ปล่อยให้เขาเดินหนีไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

     

    "คุณคิดว่าผมอยู่ในรถคันนั้นใช่มั๊ย?" ผมพยายามจะเริ่มดีๆ แม้จะอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ไปหน่อย แต่ผมก็อดดีใจลึกๆไม่ได้ที่เห็นเขาเป็นห่วงผมจนหน้าซีดเซียวแบบนี้ แต่ปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกกลับตรงข้าม เขาตวัดสายตาขึ้นมองผมก่อนจะมองเมินอย่างไม่อยากจะพูดด้วยอีก

     

    นั่นสิทำให้หน้าอกข้างซ้ายผมเจ็บหนึบขึ้นมาอีกแล้ว บางทีผมอาจจะสำคัญตัวเองผิดมาตลอดว่าเขาเองก็มีใจให้ก็ได้

     

    "ทำไม ผิดหวังเหรอ?" จบคำถามประชดประชันเพราะความน้อยใจของผม เขาก็เงยหน้ามองหน้าผมด้วยความโมโหก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปทันที ชั่วขณะที่เห็นแววตาตัดพ้อส่งมา ความเจ็บชาที่หัวใจมันก็คลายลง

     

    เขาแค่ปากแข็ง ไม่อยากยอมรับว่าเป็นห่วงผม...ผมเข้าใจอย่างนี้ได้ใช่ไหม

     

    "เดี๋ยว" ผมตามไปคว้าแขนเขาไว้ "ผมเองก็ตกใจเหมือนกัน ถ้าผมตัดสินใจผิดไปนิดเดียวนะ คนที่อยู่บนรถคันนั้นอาจจะเป็นผมก็ได้..."

     

    "จะพูดทำไม?!" เขาพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบด้วยสีหน้าไม่พอใจ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นอย่างฉุนเฉียว

     

    "ผมก็แค่อยากจะบอกคุณ ว่าชีวิตคนเรามันเอาแน่นอนอะไรไม่ได้หรอก ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่!!" ความแน่นอนมันหาไม่ได้ในโลกนี้จริงๆ ผมเคยแล้วเมื่อสมัยเด็กๆ เมื่อครั้งที่ต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไป ครั้งนั้น...ผมไม่มีโอกาสที่จะได้กอดท่านก่อนจากกันตลอดกาลด้วยซ้ำ

     

    "ฉะนั้นถ้ามีอะไรที่อยากจะทำ..."

     

    ผมถอนหายใจมองดวงตาสีน้ำตาลที่เต้นไหวระริกตรงหน้านิ่ง ได้แต่หวังว่าสายตาของผมจะสามารถส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปถึงเขาได้

     

    "ก็ต้องรีบทำ"

     

    ความรู้สึกของผมมันไม่ใช่สิ่งฉาบฉวยจอมปลอม

    ความรู้สึกที่ผมมีให้เขา มันไม่ใช่แค่รัก...

    แต่มันรวมถึงมิตรภาพ...ความห่วงใย...และความหวังดี

    รวมทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะมีให้ได้...เพื่อเขา

     

    "นี่...คุณจะพูดอะไรน่ะ..." ดวงตาสีน้ำตาลนั้นมีแต่คำถาม และความไม่มั่นใจ ผมสบตาเขานิ่งคิดไปสักพักก่อนจะเรียบเรียงทุกความรู้สึกของผมอธิบายออกมาเป็นคำพูด

     

    "ไอ้เรื่องที่ผมบอกคุณว่าผม เป็นห่วงพี่ปอ...มันไม่ใช่เพราะว่าเค้าเป็นญาติผมนะ แต่เพราะว่าพี่ปอกับพี่แก้วเค้ารักกัน แต่เค้ากลับรักกันไม่ได้ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดของเค้า" พูดมาถึงตรงนี้ ก้องก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันทันที ผมรู้...ว่าเขาก็รู้ว่าระหว่างพี่แก้วกับพี่ปอมันไม่เคยมีคำว่าไม่รักมาคั่น กลางเลย ความขัดแย้งระหว่างครอบครัวต่างหากที่ทำให้สองคนนั้นต้องแยกจากกันทั้งที่ ยังรัก

     

    "เรื่องของพี่ปอกับพี่แก้ว...ก็ไม่ต่างกับเรื่องของเรา" ผมพูดประโยคนี้ออกมาอย่างยากลำบาก เพราะมันก็ไม่ต่างกับการสารภาพรักโดยความหมาย

     

    เขาเป็นคนฉลาด...ย่อมเข้าใจความหมายที่ผมพูดถึง

    แต่ผมไม่รู้ว่าก้อง...จะยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ได้มั๊ย...

     

    "นี่คุณ..." เขาครางออกมาอย่างอับจนหนทางที่จะตอบ แต่กลับมีความลังเลที่ฉายอยูในแววตานั้น...แม้จะริบหรี่...แต่มันก็เป็นแสง แห่งความหวังเดียวที่ผมยอมแลกด้วยเดิมพันทั้งหมดที่มี

     

    ได้เขามา...หรือเสียเขาไป...

     

    "ผมกับพี่ปอ...ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่...คุณเข้าใจผมใช่มั๊ย?"

     

    เพราะผมไม่เคยคาดเดาความรู้สึกของเขาได้เลยตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเป็นเพียงความคาดหวังของผมเพียงคนเดียว คิดไปเองคนเดียวว่าเขาอาจจะคิดเช่นเดียวกันกับผม แต่ไม่เคยมีคำพูดหรือการกระทำใดๆที่จะยืนยันชัดเจน ดังนั้น...ไม่แปลกเลยที่ผมกำลังรู้สึกว่า ‘ความไม่แน่นอน' กำลังเข้ามาสั่นคลอนความรู้สึกมั่นใจของผมให้หดหาย เหมือนอากาศรอบตัวจะเบาบางลง...เมื่อความเงียบเริ่มเข้ามาแทนที่ระหว่างเรา ริมฝีปากอิ่มนั้นถูกเม้มแน่นจนขาว เขาเบือนหน้าหลบสายตาผมก่อนจะค่อยๆหมุนตัวหันหลังช้าๆ

     

    มันจบแล้ว...ผมแทบจะหมดแรงยืนกับคำตอบที่เขามีให้ หัวใจเจ็บจนชา ทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับคำตอบของเขาเท่านั้น

     

    ปึ่ก!!

     

    "โอ๊ย!!"

     

    เสียงอะไรสักอย่างชนกันพร้อมกับเสียงร้องของก้องเรียกสติผมให้เงยหน้ามองทันที สองเท้าผมไวเท่าความคิดเมื่อผมเห็นเขาโดนชนจนเซแทบจะล้ม

     

    "ก้อง!! ระวัง!!" แรงชนทำให้เขาถอยเข้ามาในอ้อมแขนผมก่อนจะหมุนเข้ามาปะทะกับผมทั้งตัว ผมผวารับเขาไว้ พร้อมกับกระชับสองแขนรอบเอวเขาแน่นเพื่อไม่ให้เสียหลักล้มลงไปทั้งคู่ หากนั่นกลับทำให้เราอยู่ในสภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็น...ผมกำลังกอดเขา...

     

    เสียงขอโทษขอโพยเจ้าหน้าที่กู้ภัยสองคนต้นเหตุดังตามมาหลังจากที่พวกเขารีบวิ่งสวนไปทางสนามแข่ง หากมันแทบจะไม่เข้าหูผมเลยสักนิดเพราะเสียงหัวใจของผมมันกำลังดังกลบจนรู้สึกหูอื้อเพราะสัมผัสที่ได้รับโดยไม่ตั้งใจ จังหวะที่ดัง ตุบ...ตุบ...ตุบ...ดังเต้นต่อเนื่องที่หน้าอกข้างซ้ายไม่ต่างกับหน้าอกข้างขวา...

     

    ข้างขวา...??

     

    ผมชะงักค้างไปเมื่อกำลังสัมผัสได้ถึงจังหวะกระตุกที่มาจากใครอีกคนในอ้อมกอดผม จังหวะที่เต้นดัง ตุบ...ตุบ...ตุบ...ไม่ต่างกันกันนั้นคล้ายกับจะเร่งเร้าให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นไปอีก

     

    "อะ...เอ่อ..." เป็นก้องที่รู้สึกตัวขึ้นมาก่อน ผมรีบกอดกระชับเขาไว้ให้แน่นขึ้นก่อนที่เขาจะดันตัวออก

     

    ...ขออยู่อย่างนี้อีกสักพักเถอะ...ผมอยากกระซิบบอกเขาแบบนั้น แต่กลับไม่สามารถพูดมันออกไปได้จึงปล่อยให้เสียงหัวใจทำหน้าที่เป็นทูตสื่อสาร...

     

    หากเขาปฏิเสธผมเพราะลังเล และไม่แน่ใจ

    ผมก็อยากใช้เสียงหัวใจของผมพูดแทนทั้งหมด

     

    ...เพราะหัวใจไม่โกหก...

     

     เช่นกันกับหัวใจเขา...ที่กำลังบอกรักผมอย่างอ่อนหวานเช่นในตอนนี้

     

    ไม่นานก้องก็ค่อยๆขืนตัวออก ซึ่งคราวนี้ผมยอมคลายอ้อมกอดอย่างอ้อยอิ่ง...แม้จะเสียดายเพราะผมอยากฟังเสียงบอกรักจากหัวใจเขาให้นานกว่านี้ แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาอายจนพาลหลบหน้าผมไปเหมือนกัน ใบหน้าน่ารักนั้นแดงไปทั้งหน้าทั้งหู ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนที่ก่อขึ้นอย่างรวดเร็วในแววตาเขาทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

     

    ...ผมรักเขาจริงๆ...

     

    "ยิ้มอะไร?" เขาถามออกมาแก้เขิน น้ำเสียงดุดันปนแง่งอนนั้นทำลายบรรยากาศขมุกขมัวระหว่างเราให้หายไปได้อย่างประหลาด ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะคว้ามือเขาให้เดินตาม

     

    "คุณจะพาผมไปไหน!!"

     

    "ปวดหัวเข่า นวดให้หน่อยนะ"

     

    "ก็ปล่อยสิ ไม่ต้องจูง!!" ผมอมยิ้มแกล้งบีบมือให้แน่นเข้า เสียงต่อล้อต่อเถียงดื้อดึงของเขา เป็นสิ่งที่ผมอยากให้มันเกิดขึ้นที่สุดระหว่างเรา เพราะนั่นหมายถึงเรายังได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไม่แยกจากกันไปไหน

     

    ขอเพียงแค่เสียงหัวใจเขายังเต้นจังหวะเดียวกับผม

    แม้จะโดนสะบัดมือออก ก็ไม่เป็นไร...เพราะผมจะเป็นฝ่ายไล่ตามไปจับไว้เอง...

     

    /////-----/////-----/////-----/////-----/////

     

    "โอ๊ย! เบาหน่อยสิก้อง!" ถึงจะรัก แต่ผมก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าถ้าหากเขายังใช้ความรุนแรงกับหัวเข่าผมอยู่แบบนี้ เส้นเอ็นผมจะไม่กระตุกจนเผลอไปเตะเขาเข้า

     

    "ทนหน่อยสิ" ภายใต้สีหน้านิ่งน้ำเสียงราบเรียบ คิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าเขากำลังสนุกแค่ไหนที่ได้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าอยู่อย่างตอนนี้ ผมร้องเสียงหลงออกมาอีกระรอก เมื่อเขาจับขาผมดัดขึ้นไม่บอกไม่กล่าว

     

    "โอ๊ยยยยยย"

     

    "ดีครับ" รอยยิ้มจากคุณนักกายภาพของผมนั้นช่างยียวนชวนให้ลงโทษนัก ผมจ้องมองเขาอย่างหมายมาด ตั้งใจจะโจมตีที่แก้มป่องๆ ตรงหน้าเป็นที่แรก

     

    "อ๊ะ!!!!" แต่ยังไม่ทันจะถึงเป้าหมาย ผมก็โดนสันมือเขาสับเข้าที่เข่าเสียก่อนจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นดัง ‘กร๊อบ' ตามมา ผมอ้าปากค้างด้วยความเจ็บไปทันที ในขณะที่มือสังหารกลับเอียงคอยิ้มน่ารัก

     

    "เข้าที่แล้วล่ะ" เขาว่าพลางลอยหน้ายิ้มสมน้ำหน้าผมอย่างสะใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมเงยหน้ามองเขาอย่างเข่นเขี้ยว

     

    "ใจร้าย" เขายักคิ้วรับคำตัดพ้อของผมแต่โดยดี ซ้ำยังกอดอกหัวเราะอย่างชอบใจ

     

    "คุณให้ผมนวดเองนะ ถ้าให้คนอื่นทำให้ที่โรงพยาบาลเมื่อวันก่อนก็ดีไปแล้ว" ร้ายกาจใช่มั๊ยก้องของผม ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าผมไปรักษาแต่ก็ยังใจแข็งไม่ยอมออกมาดูดำดูดี ผมพับขากางเกงลงก่อนจะลุกขึ้นตามไปยืนขวางหน้าเขา

     

    "ไม่ดีหรอก ใครทำให้เจ็บ คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบสิ" ผมยกยิ้มตอบบ้างพร้อมกับสืบเท้าเข้าไปใกล้ การยื่นหน้าเข้าไปหาทำให้เขาถึงกับผงะถอยออกไปทีเดียว

     

    "อะ...อะไร ผมไปทำอะไรคุณ?"

     

    "ไม่รู้จริงเหรอ?" ผมหรี่ตาถามพลางวางเท้าลงไปทับรอยแทนเขาที่ถอยหนี

     

    "นี่คุณ..."

     

    "ไม่รู้จริงๆน่ะ ว่าทำผมเจ็บตรงไหนบ้าง?" ผมยังคงเดินหน้าถามต่อสบายๆ หากก้องหน้าเสียไปแล้วทันทีที่รู้ตัวว่าถูกผมไล่จนถอยไปชนเข้ากับผนังห้อง ทั้งยังไม่สามารถหนีได้เพราะผมชิงยื่นแขนซ้ายไปกันเอาไว้ซะก่อน แน่นอนว่าคนฉลาดอย่างเขาไม่คิดจะหันไปอีกข้างแน่นอน เพราะถ้าทำอย่างนั้น...ผมก็จะยกแขนขวาไปกันไว้ แล้วมันก็จะไม่ต่างอะไรกับการถูกผมกอดดีๆนี่เอง

     

    ผมไม่ได้คิดจะแกล้งให้เขาอาย จึงหยุดเท้ารักษาระยะห่างไว้พอที่จะไม่ให้อยู่ในสภาพน่าเกลียด แต่ถึงอย่างนั้น หน้าเขาก็ซับสีเลือดขึ้นมาแล้ว ผมเลยอดที่จะชะโงกเข้าไปมองใกล้ๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้ เขาเบิกตาโตมองผม พร้อมกับยกมือที่บีบขาผมจนเจ็บเมื่อกี้ขึ้นมาดันหน้าผมเอาไว้ทันที หน้าตาตกใจราวกับจะโดนผมปล้นสวาทกลางวันแสกๆ นั่นทำให้ผมหมดอารมณ์แกล้งหลุดหัวเราะออกมาทันตา นี่เขาเห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย

     

    "ไม่แกล้งแล้ว" ผมว่าพร้อมกับถอยเท้าออกมาให้ห่างมากกว่าเดิมให้เขาสบายใจ แต่ก็ขยับกันๆไว้ไม่ให้เขาเดินหนี

     

    "หลายวันนี่ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะก้อง" ผมสารภาพตรงๆอย่างไม่อาย เพราะเขาเล่นงานผมหนักจนผมทำงานทำการไม่ได้ไปหลายวัน เขาฟังแล้วก็ทำเป็นเมินหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็แอบอมยิ้มให้ผมพอใจชื้น...

     

    "ขอโทษ" เขาพูดเบาๆ แม้จะไม่สบตาแต่ผมก็ไม่คิดจะถือสาหาความ แค่นี้เขาก็ยอมให้ผมมากแล้ว...ก็น่ารักแบบนี้...แล้วจะไม่ให้ผมใจอ่อนได้ยังไง

     

    "สัญญากับผมนะก้อง...ว่าถ้ามีอะไรเราจะพูดกันดีๆ ไม่หนีอีก" ครั้งนี้ผมเอ่ยขอร้องเขาอย่างจริงจัง การวิ่งหนีไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา มีแต่จะทำให้เรื่องมันยิ่งยากมากขึ้น ซึ่งก้องก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขามองหน้าผมพร้อมกับอมยิ้มเต็มแก้ม

     

    "อืม...ผมสัญญา"

     

    ผมไม่รู้ว่าผมยิ้มตอบเขาออก ไปแบบไหน รู้เพียงแต่หัวใจมันพองคับอก เราหัวเราะให้กันเบาๆ กับท่าทางเขินอายของอีกฝ่าย ก่อนที่จะหยุดลงพร้อมเสียงกระแอมไอของใครบางคนที่ประตูห้อง

     

    "แอนนา" ผมเอ่ยเรียกชื่อเธอ ในขณะที่ก้องกระโดดเด้งออกไปยืนห่างผมสามก้าวเป็นอย่างต่ำด้วยความว่องไว ผมพยายามที่จะไม่ขำเขา แต่แอนนาเธอกลับหัวเราะออกมาชัดเจนทีเดียว

     

    "แอนนาเข้ามากวนรึเปล่า" เธอชะโงกหน้ามากระซิบถามผม แววตาล้อเลียนที่มองมาทำให้ผมอึดอัดใจนิดหน่อยที่ต้องยิ้มตอบเธอไปว่าเธอเข้าใจไม่ผิด เธอยิ้มเศร้าให้ผมเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นร่าเริงตามเดิม เธอโตมากับวัฒนธรรมตะวันตกที่ค่อนข้างอิสระเรื่องความรัก เธอจึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ง่ายกว่าเด็กตะวันออกทั่วไป

     

    "แอนนาเอาโทรศัพท์มาคืน เห็นมีคนโทรเข้ามาหลายครั้งแล้ว แอนนาไม่กล้ารับแทน" เธอบอกพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้ก้อง ก่อนจะโบกมือลาผมสองคน ผมกดโทรศัพท์ในมือดูชื่อคนที่โทรเข้ามากว่าห้าสายแล้วก็ต้องประหลาดใจ...พี่ ตุ่ม...?

     

    "ก้อง คุณไม่ได้เอามือถือมาเหรอ" ผมหันไปถามคนที่ยืนจ้องกลับมาที่ผมเขม็ง ก้องตีหน้าเรียบใส่ผมก่อนจะย้อนถามเสียงเย็นชา

     

    "ทำไม?"

     

    หือ?...น้ำเสียงแบบนี้นี่เหมือนครั้งก่อนที่ถูกผมแหย่เรื่องแอนนาไม่มีผิดเลยนะเนี่ย ผมหัวเราะกับท่าทางนั้น แล้วก็อดที่จะแหย่ออกไปอีกไม่ได้

     

    "หึงอีกแล้ว"

     

    "ใครหึง?" แล้วเขาก็สวนเสียงเขียวขึ้นมาทันที ผมหัวเราะยั่วหน้ายั่วตาเขาพร้อมกับพูดแบบไม่มีเสียงพอให้เข้าใจกันสองคนว่า

     

    "ก็คนแถวนี้แหละ" รางวัลที่ผมได้รับคืออาการเมินหน้าหนีและเสียง ฮึ่ย!! อย่างขัดใจที่เถียงไม่ได้ลอยมาตามลม ผมหัวเราะชอบใจที่แหย่เขาได้ ในขณะที่มือถือของผมก็สั่นขึ้นมาอีก

     

    "พี่ตุ่ม?" ยังคงเป็นเบอร์เดิมที่โทรเข้ามา ผมกวักมือเรียกก้องให้พักรบชั่วครู่พร้อมกับบอกว่าพี่ตุ่มโทรมา ใบหน้าน่ารักนั้นทำหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที พร้อมกับเร่งให้ผมรีบรับสาย

     

    "สวัสดีครับพี่ตุ่ม"

     

    "น้องพี น้องก้องอยู่กับน้องพีรึเปล่าคะ?" ปลายสายถามกลับมาร้อนรนทันทีที่ได้ยินเสียงผม ผมเหลือบไปมองหน้าก้องเล็กน้อยพร้อมกับตอบรับ

     

    "ครับ...อยู่กับผม มีอะไรรึเปล่าครับพี่ตุ่ม"

     

    "ป้าฟองค่ะ...ป้าฟองตกบันได ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล"

     

    /////-----/////-----/////-----/////-----/////

     

    To be continue

    สารภาพ ว่าตอนนี้แต่งแล้วเหนื่อยมาก...ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกของพีออกมายังไง... ลงท้ายได้ออกมาอย่างนี้ ดีไม่ดียังไงแสดงความเห็นได้เลยนะคะ (ยิ้ม)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×