ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] You Belong to Me [พีรวิชญ์ x ก้องบดินทร์]

    ลำดับตอนที่ #2 : You Belong to me 02

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ย. 52


    » Title : You Belong to me

    » Category : Fiction from drama "พรุ่งนี้ก็รักเธอ"

    » Pairing : พีรวิชญ์ x ก้องบดินทร์

    » Rate : PG13

    » Author : Hades


     

    -02-

     
    มื้อ เย็นวันนี้ผมก็ยังไม่ได้พบพี่แก้ว แต่การได้กินข้าวกับป้าฟอง พี่ตุ่ม และเจ๋งก็สนุกไปอีกแบบ ที่สำคัญ...คนที่ผมคิดว่าจะขึ้นไปนอนกลับมานั่งสัปหงกอยู่บนโต๊ะกินข้าวด้วย ซะอย่างนั้น คงเป็นเพราะเขาเกรงใจป้าฟองที่อุตส่าห์ลงมือทำมื้อเย็นเองละมั๊ง
     

    ผมนั่งมองเขากลั้นหาวไปกินข้าวไปเงียบๆไม่พูดไม่จาแล้วก็ส่ายหน้าขำ ที่จริงจะขึ้นไปนอนก่อนแล้วค่อยลงมากินผมว่าป้าฟองก็คงจะไม่ว่าหรอก แต่อย่างว่าแหละ...นิสัยแบบนี้คือส่วนน่ารักของก้องเขา...ความอ่อนโยน และการเอาใจใส่คนรอบข้าง ว่าแต่...แล้วเมื่อไหร่เขาจะเอาใจใส่ผมบ้างนะ

     
    “ก้อง ผัดเปรี้ยวหวานอร่อยมากเลย” ผมแสดงวิธีการเอาใจใส่เขาให้ดูเป็นตัวอย่างด้วยการตักอาหารให้ แต่ผลที่ได้ก็อย่างที่เคยเป็น เขาแยกเขี้ยวใส่ผมทันทีที่ช้อนผมกระทบจานเขา ผมเลยแยกเขี้ยวล้อเลียนกลับแต่กลายเป็นว่าได้สายตาสงสัยจากพี่ตุ่มมาแทน ผมหัวเราะแหะๆ ก่อนจะเสตักผัดเปรี้ยวหวานเข้าปากตัวเองบ้าง

     
    “อร่อยก็กินเยอะๆนะพ่อพี” กลายเป็นป้าฟองที่ร่าเริงกว่าใคร ส่วนไอ้เจ๋งไม่ต้องพูดถึง มันอร่อยไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว

     
    “กินเยอะแบบนี้ทุกวันผมต้องอ้วนแน่เลยครับ” ผมไม่ได้ประจบแต่พูดไปตามความจริง ป้าฟองมีฝีมือเรื่องทำกับข้าวเรียกว่าเข้าขั้นแม่ครัวเอกทีเดียว แต่เห็นพี่ตุ่มเล่าว่าตั้งแต่แกไม่สบาย แกก็ไม่ค่อยจะเข้าครัวอีกแล้ว และเพราะวันนี้กับป้าฟองแกลงมือเองในรอบหลายเดือนนี่แหละ ก้องถึงได้ยอมนั่งปรือตากินข้าวอยู่แบบนี้

     
    ป้าฟองหัวเราะชอบใจที่ผมตอบอย่างนั้น “พ่อพีน่ะไม่อ้วนหรอก กินเข้าไปเถอะ โน่น..คนที่จะอ้วนน่ะ นั่งสัปหงกอยู่โน่น”

     
    “แม่...” ก้องถึงกับครางออกมาเมื่อนั่งอยู่ดีๆก็โดนแซวเฉย เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบโต๊ะ ผมรีบพยักหน้าเห็นด้วย ก็หลังๆมานี่ผมว่าเขาดูจะเต็มอิ่มไปสักหน่อย และ...อีกแล้ว...เขาแยกเขี้ยวขึงตาใส่ผมอีกแล้ว วันนี้ดูเขาจะดุใส่ผมเสียจริง ที่ผมเห็นด้วยไม่ได้หมายความว่าไม่ดีสักหน่อย ผมว่าก็ดูน่าหมั่นเขี้ยวดีไปอีกแบบต่างหาก

     
    “ง่วงก็ไปนอนเถอะก้อง ไม่ได้นอนทั้งคืนไม่ใช่เหรอเรา” ป้าฟองเตือนด้วยรอยยิ้มจนก้องต้องละสายตาจากผมไปยิ้มให้แม่เขา

     
    “งั้นก้องขอตัวแล้วกันนะครับแม่ อิ่มแล้วพอดีเลย”

     
    “ไปเถอะ นานกว่านี้เดี๋ยวจะได้หลับหน้าทิ่มอายพ่อพีเขาเปล่าๆ”

     
    ผมละชอบสำนวนป้าฟองจริงๆ ก็รู้ว่าแกไม่ได้คิดอะไร...แต่ไอ้การแซวแบบนี้ก็ทำให้ลูกชายคนเก่งของแกทำ หน้าไม่ถูกไปเหมือนกัน จะค้อนใส่ผมก็ทำไม่ได้ แต่ไอ้ครั้นจะยิ้มรับมันก็ไม่ใช่อีก ตอนนี้ก้องเลยทำหน้าตลกน่าดู ผมหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างอดไม่อยู่

     
    “ไม่ต้องขำเลย” เขายังอุตส่าห์จะเค้นเสียงรอดไรฟันมาสั่งผมได้อีก ผมยักไหล่รับทราบคำสั่งก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้พี่ตุ่มที่เอาแต่มองหน้าผมกับ ก้องสลับไปมาอย่างกับเก็บข้อมูลอะไรอยู่ ที่จริงถ้าพี่เขาเกิดจะถามสิ่งที่เขาอยากรู้ขึ้นมา ผมว่าผมก็กล้าตอบอยู่นะเพราะผมไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังอยู่แล้ว ว่าแต่พี่เขาเถอะ จะกล้าถามออกมารึเปล่า หึๆ

     
    “งั้นผมไปนอนละ ไม่ส่งนะ...พี” ผมเลิกคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองออกมาจากปากเขา โห...ฟ้าจะผ่าจิ้งจกเหอะ! ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาเคยเรียกผมด้วยชื่อนี้ซะที่ไหน ทุกทีถ้าไม่ใช่ “คุณ” ก็จะเป็น “คุณพีรวิชญ์” เต็มยศ แต่พอเงยหน้าขึ้นไปเห็นสีหน้าปั้นยากปุเลี่ยนๆ ของเขาแล้วก็พอจะเข้าใจ สงสัยคงจะเกรงใจป้าฟอง

     
    แต่เอาน่ะ ก็ยังดี แค่นี้ผมก็กินอิ่มนอนหลับแล้ว

     
    “อื้อ ฝันดีนะก้อง” ผมโบกมือบ๊ายบายเขาพลางยักคิ้วให้เมื่อเห็นเขาแอบเบะหน้าตอบกลับ ที่จริงผมอยากจะเดินขึ้นไปส่งเขาถึงห้องนอนด้วยซ้ำเพราะกลัวเขาจะหลับใน กลิ้งตกบันไดลงมาซะก่อน แต่มันก็คงดูไม่เหมาะนักถ้าจะแสดงออกอะไรมากเกิน ผมเลยได้แต่มองตามว่าเขาเดินหายขึ้นไปบนชั้นสองอย่างปลอดภัยดีเท่านั้น ก่อนจะหันกลับมาคุยเล่นกับทุกคนต่อ กว่าผมจะได้ขอตัวกลับก็หลังจากอิ่มของหวานสักพักใหญ่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าผมได้ขนมติดมือกลับไปกินเล่นที่ห้องอีกหนึ่งถุงใหญ่ๆ อีกด้วย

     
    และถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองหรือโดนผีหลอก ผมคิดว่าตอนที่ผมสตาร์ทรถออกมา ผมเห็นเงาผู้ชายที่หน้าต่างห้องชั้นสองกำลังยืนมองลงมาที่รถผม

     
    “น่ารักเกินไปแล้ว” ผมเปรยเบาๆ พลางยิ้มอย่างเหนื่อยใจกับตัวเองที่ใจเต้นจนรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า ก็เป็นซะอย่างนี้ แล้วจะมาโทษว่าผมละเมอไปข้างเดียวได้ยังไง

     
    /////-----/////-----/////-----/////-----/////

     

    “อืม วันเสาร์...ว่างๆ โอเคไม่ลืมแล้วน่า ลงชื่อไปเลย...บาย” ผมกดตัดสายหลังจากที่ตกลงเรื่องวันแข่งรอบถัดไปกับเพื่อนในทีมได้เรียบร้อย ผมยกตารางงานของก้องขึ้นเทียบดูแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ ครั้งนี้ผมจะชวนเขาไปไม่ใช่บังคับไปอีก แต่ก็คงต้องมีลูกเล่นนิดหน่อย ก็คุณก้องบดินทร์ที่น่ารักน่ะข้ออ้างออกจะเยอะสารพัด ถ้าผมไม่ให้เหตุผลที่ดีพอคงยากที่เขาจะยอมไป

     
    ว่าแล้วก็คิดถึงจังนะ...นี่ผมไม่ได้เจอเขามากี่วันแล้วเนี่ย


    “คุณเพิ่งจะเจอกับผมเมื่อเที่ยงจนถึงเย็นของวันศุกร์” เสียงปลายสายตอบกลับมาชัดเจนหลังจากที่ผมโทรไปตื้อชวนเขาไปหามื้อเที่ยง อร่อยๆ กินกันในวันนี้...วันอาทิตย์

     
    “ใจคอคุณจะมากวนผมวันเว้นวันเลยรึยังไง”
     

    “อันที่จริงถ้าได้ทุกวันจะดีมาก” ผมย้อนพร้อมหัวเราะร่วน ผมได้ยินเสียงพ่นลมจิ๊จ๊ะอย่างอ่อนใจของเขาแล้วก็เสียงบ่นอะไรบางอย่าง คล้ายๆกับว่า...กวนประสาทชะมัด...อะไรทำนองนั้นลอยตามสายมา

     
    “ไม่งั้นจะไปหาที่บ้านนะ”

     
    “จะมาทำไมบ่อยๆ” เขาดุขึ้นมาทันทีเพราะรู้ๆกันอยู่ว่าเขาเองก็ไม่ค่อยจะอยากให้ผมโผล่ไปที่ บ้านเขาบ่อยนัก ทั้งๆที่ไปทีไรผมก็ไปคุยเล่นกับป้าฟองเสียเป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้คุยกับเขา สักหน่อย เอ...หรือจะน้อยใจที่ผมไม่ค่อยคุยด้วยเลยพาลไม่อยากให้ไปหา หึๆ

     
    “ให้ผมมีเวลาสงบๆบ้างเหอะ” พอได้ยินเสียงผมหัวเราเบาๆ เขาก็ยอมผ่อนเสียงบ่นให้อ่อนลงมาบ้าง น้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยน้อยๆ ของเขาสะกิดใจจนผมต้องเอ่ยถาม
     

    “เหนื่อยเหรอที่อยู่กับผม” คือ...ถ้าคิดว่าผมจะถามซีเรียสจริงจังก็ผิดไปถนัด ผมก็ยังคงเป็นผม ถ้าไม่ได้ยียวนกวนประสาทมันก็ดูจะเสียยี่ห้อไปหน่อย เช่นเดียวกับก้องที่ก็ไม่ยอมน้อยหน้ากัน

     
    “ใช่ เหนื่อยมาก” เรื่องปากไวนี่ไม่มีใครเกินจริงๆ มีการมาย้ำคำลากเสียง ผมหัวเราะตามเมื่อพอจะนึกได้ว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่...นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะจับปากมาบีบซะให้เข็ด

     
    “ไม่ได้ชวนออกกำลังจะอะไรจะเหนื่อยได้ไง หรือว่าเหนื่อยใจ หัวใจทำงานหนักล่ะสิ”

     
    “บ้ารึไง!!” เขาคงค้อนอยู่แน่ๆเลยตอนนี้ เถียงฉับจนผมอดแซวไม่ได้

     
    “แน่ะ...อะไร? คิดอะไรอยู่?”
     

    “ผมไม่คุยกับคุณแล้ว” เหอะ พอเถียงไม่ได้ก็อย่างนี้ทุกที ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าถึงผมจะเป็นพวกวอแวตื้อเขาแค่ไหน...แต่ลงท้ายผมก็ต้องยอม เขาจนได้นั่นแหละ

     
    “ก็ได้ๆ ไม่กวนก็ได้ เพราะผมไม่อยากให้คุณเหนื่อยหรอกนะ วันนี้ผมกินข้าวคนเดียวก็ได้” ถึงจะคุยกันแบบกวนๆแบบนี้ แต่ผมก็พอจะจับความรู้สึกจากน้ำเสียงเขาได้อยู่บ้างว่าเขากำลังมีเรื่องต้อง คิด ซึ่งผมก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไรถ้าเขาไม่บอกผม

     
    “แต่ถ้ามีอะไร...คุณโทรหาผมได้ตลอดนะก้อง”

     
    “.....” ปลายสายเขาเงียบไปเมื่อได้ยินผมบอกอย่างนั้น ผมได้แต่หวังว่าอาการเงียบของเขาคือการยอมรับในความเป็นห่วงของผม หวังว่าเขาจะเข้าใจว่ายังมีผมอยู่อีกคนที่จะอยู่ข้างๆทุกเวลาที่เขาต้องการ

     
    “โอเค งั้นผมไม่กวนแล้ว ไว้คุณหายเหนื่อยแล้วค่อยเจอกันนะ” ผมยอมจำนนเมื่อเขาเงียบไปพักใหญ่ แต่ก่อนที่ผมจะวางสายลง เขาก็ส่งเสียงอึกๆอักๆกลับมาเบาๆ
     

    “วัน....วันอังคารเช้าผมจะพาแม่ไปฉีดยา”

     
    “หือ?”

     
    “แค่นี้แหละ”
     

    ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...

     
    ผมนั่งงงกับเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ตัดไปรวดเร็วอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ พักหนึ่ง ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้...นี่เขานัดผมเดทรึเปล่าเนี่ย?
     

    “หึ..หึหึ” มันมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะก้อง ผมไม่รู้จะรักคุณมากกว่านี้ไปได้ยังไงแล้ว
    /////-----/////-----/////-----/////-----/////

     

    วัน อังคารก้องอยู่เวรทั้งวัน...ถ้าอย่างนั้นผมชวนป้าฟ้องไปกินข้าวกลางวันที่ ร้านเดิมข้างๆโรงพยาบาลของเขาคงจะเป็นแพลนที่เหมาะที่สุดแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง

     
    หลังจากที่ใช้เวลาทั้งวันของวันจันทร์กับงานอื่นที่ผมทำนอกเหนือจากการแข่ง รถรีบเคลียร์งานส่วนของเช้าวันอังคารให้หมด เพื่อที่ผมจะได้มีเวลาให้ครอบครัวของก้องเต็มที่ วันนี้ผมก็ตื่นแต่เช้าโดยหวังว่าจะทันเห็นหน้าเขาก่อนที่จะเข้าเวรช่วงแปด โมงครึ่ง ซึ่งก็ไม่ผิดแผนเท่าไหร่นัก ผมมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งด้วยซ้ำไป

     
    ผมฮัมเพลงครึ้มใจระหว่างเดินออกจากลานจอดรถ เมื่อวานทั้งวันผมไม่ได้โทรหาเขาเลยเพราะตั้งใจจะให้เขารู้สึกคิดถึงผม มากกว่าปกติในวันนี้ เอ่อ...มันก็แค่ความประสาทคิดไปเองของผมคนเดียวนั่นแหละว่าเขาจะคิดถึงผม เพราะอันที่จริงแล้วคงเป็นผมนั่นแหละ ที่เริ่มจะคิดถึงมากเกินปกติไปทุกวันๆ คิดถึงรอยยิ้มเขินๆ คิดถึงหน้าบึ้งๆ จนแทบจะทนไม่ไหว...ผมคงจะเป็นเอามากจริงๆ

     
    ผมมายืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ที่โถงกลางเพราะไม่รู้ว่าป้าฟองไปฉีดยาที่ชั้น ไหน ที่จริงไม่ยากเลยที่จะโทรไปถาม แต่ไม่หรอก...เพราะเราไม่ได้นัดกันเป็นทางการ ที่จริงวันนั้นเขาก็แค่พูดลอยๆเท่านั้นเอง และผมก็ไม่ได้ตกปากรับคำอะไร ในเมื่อก้องเขาอยากที่จะเล่นโชคชะตาฮาเฮกับผม ผมก็จะลองพยายามหาเขาด้วยตัวเอง ฟังดูน้ำเน่าไปหน่อยแต่ผมเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองนะ

     
    ผมเชื่อ...ว่าผมจะหาเขาเจอเสมอ ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่

     
    แล้วโชคชะตาก็เข้าข้าง เมื่อผมหันไปเจอแผ่นหลังคุ้นเคยกำลังยืนโบกมือให้ใครบางคนอยู่ที่ประตูหน้า โรงพยาบาล ผมยิ้มกับตัวเองก่อนจะสาวเท้าตรงไปหาเขาทันที

     
    “ก้อง” ผมร้องทักอย่างดีใจที่ใช่เขาจริงๆ ใบหน้าน่ารักนั้นเงยขึ้นมามองอย่างตกใจไม่น้อยที่เห็นผม

     
    “คุณมานี่ได้ไงน่ะ” 

     
    เอ้า! ฟังพูดเข้า ผมหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น “ก็คุณบอกว่าจะพาคุณป้ามาฉีดยา ผมก็เลยมาหาที่นี่ไง”

     
    ผมว่าผมก็พูดไปตามความจริงนะ แต่ไหงเขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจได้ก็ไม่รู้ อีกทั้งยังดูเขาอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย หรือว่าจะมีใครเป็นอะไร

     
    “เป็นอะไรน่ะก้อง หรือว่า...ป้าฟองอาการไม่ดี?” หรือว่าผมถามอะไรผิด? เพราะพอได้ยินอย่างนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินหนีผมกลับเข้า ไปในโรงพยาบาล ผมตามไปคว้าแขนเขาไว้ทันที

     
    “ก้อง! มีอะไร” ผมทอดเสียงอ่อนอย่างเป็นห่วงเขาจริงๆ เพียงแค่เห็นเขาไม่สบายใจ ผมก็เริ่มที่จะกระวนกระวายใจยิ่งกว่า ก้องกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยอมตอบผม

     
    “ผมเพิ่งรู้ว่าพี่แก้วกลับไปทำงานกับพี่ปอ” ผมพยักหน้ารับรู้ อืม...เรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย เพราะเท่าที่รู้...ป้าฟองค่อนข้างแอนตี้ครอบครัวปอรวมถึงครอบครัวผมมากที เดียว

     
    “แล้วเมื่อวานนี้พี่แก้วก็โดนคุณปัทมาศทำร้าย”

     
    “พี่ปัท? พี่ปัทออกจากคุกแล้วเหรอ?” ผมถามอย่างแปลกใจทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น นี่มันถึงกำหนดพ้นโทษของพี่สะใภ้ผมแล้วเหรอ

     
    “นี่คุณไม่รู้จริงๆเหรอ” น้ำเสียงก้องถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อผมนัก ผมถอนใจเบาๆเมื่อได้ยินคำถามนั้น

     
    “เอ้า! ก็ผมบอกคุณไปแล้วไงว่าผมไม่ได้สนิทกับพี่พัฒน์ นี่คุณไม่เชื่อผมเลยเหรอ”

     
    “ผมก็แค่ถามดู” ก้องเมินหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อโดนผมย้อนถามแบบนั้น ผมยิ้มเอ็นดูกับท่าทางกัดริมฝีปากเหมือนเด็กๆ

     
    “ที่คุณเครียดแบบนี้ เพราะคุณเป็นห่วงพี่แก้วใช่มั๊ย” ผมว่าผมรับรู้ได้นะว่าตอนนี้ก้องกำลังรู้สึกยังไง เขาเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านและพยายามเป็นหลักให้ทุกคนมาโดยตลอด แต่อยู่ๆเมื่อเกิดเรื่องที่เกินกำลังตัวเองจะช่วยเหลือได้ เขาก็คงคิดมากไม่น้อยว่าจะแก้สถานการณ์ยังไง
     

    “เฮ้อ...แต่พี่ปัทออกมาแบบนี้พี่แก้วกับพี่ปอคงลำบาก น่าสงสารพี่แก้วกับพี่ปอ” ผมพูดออกไปตามความรู้สึกเพราะรู้ดีอยู่ว่าพี่สะใภ้ของตัวเองเป็นคนแบบไหน ที่จริงผมไม่อยากจะพูดเลยว่าพี่พัฒน์น่ะซวยจริงๆ ที่มาลงเอยกับพี่ปัท แต่ก็นะ...จะว่าไปสมกันดีอยู่หรอก เพราะพี่ชายผมก็ร้ายไม่ได้น้อยหน้ากันเลย

     
    “นี่คุณจะเข้าข้างพี่ปอทำไมน่ะ” ก้องหันขวับกลับมาจ้องหน้าผมทันทีที่ได้ยินชื่อพี่ปอออกจากปากผม ทำเอาผมสะดุ้งไปเหมือนกัน

     
    “เฮ้ย?! ผมเปล่านะ”

     
    “ใช่สิ พี่ปอเค้าเป็นญาติคุณนี่ คุณก็ต้องเห็นใจเค้าอยู่แล้ว” โห...ประโยคอาร์ตตัวแม่เลยไงล่ะ ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ไปกันใหญ่แล้วก้อง
     

    “เห็นใจอะไร? ผมก็แค่พูดไปตามเหตุการณ์ หรือว่าคุณจะให้พี่ปัทไปอาละวาดใส่พี่แก้ว แล้วพี่ปอนอนตีพุงอยู่บ้านสบายใจงั้นเหรอ?” พี่ปอนั่นแหละที่จะลำบากทั้งขึ้นทั้งล่อง ผมว่า...ดีไม่ดีเขาจะซวยกว่าใครทั้งหมดด้วยซ้ำมั๊ง

     
    “ใครจะไปรู้ เค้าเป็นญาติคุณนี่ ก็ลองไปถามเค้าสิ” ก้องไม่ได้ขำไปกับคำพูดติดตลกของผมเลยแม้แต่น้อย เขายังคงยอกย้อนแกมเหน็บ สีหน้าและแววตาของเขาตอนนี้มันมากกว่าความประชดประชันจนกลายมาเป็นเหมาผมไป รวมเป็นหนึ่งในคนผิดในเรื่องนี้กันดื้อๆ รอยยิ้มเยาะที่ผุดขึ้นบนมุมปากก้องดึงให้อารมณ์โกรธของผมให้ปะทุขึ้นมาอย่าง ช่วยไม่ได้ ผมคว้าแขนเขาเอาไว้ทันทีที่เขาสะบัดเสียงใส่และเดินหนี

     
    “ก้อง! อย่าพาลแบบนี้” ผมพยายามกดเสียงลงต่ำพร้อมกับสะกดความรู้สึกของตัวเองอย่างยากเย็น แววตาเอาเรื่องที่เขามองตอบกลับมาทำให้ผมต้องสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะปล่อยแขน เขาอย่างหงุดหงิด

     
    “ผมว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า” ต้องยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมผมโกรธเขา โกรธ...ที่เขาไม่ยอมเข้าใจเหตุผล แต่ในขณะเดียวกันผมก็เข้าใจว่าที่เขาเป็นแบบนี้ ก็เพราะปัญหาเลวร้ายมากมายที่พี่ชายและพี่สะใภ้ของผมก่อไว้นั่นเอง จะโทษเขาฝ่ายเดียวมันก็ไม่ได้ แต่ดูเหมือนก้องจะไม่พยายามเข้าใจความรู้สึกของผมเอาเลย

     
    “ที่คุณให้ผมเลิกพูดเรื่องนี้เพราะคุณกลัวจะอดเข้าข้างพวกเดียวกันเองไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

     
    “มีเหตุผลหน่อยก้อง ที่ผมให้คุณเลิกพูด เพราะผมไม่อยากให้เรามาทะเลาะกันเพราะเรื่องคนอื่น” ผมพยายามที่จะประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้มันเลวร้ายกว่านี้ พยายามเตือนสติเขาว่า เรา ไม่ได้มีปัญหากัน แต่เป็นคนรอบข้างต่างหากที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่ก้องก็ทำให้ผมอดกลั้นต่อไปไมได้

     
    “สำหรับคุณน่ะคนอื่น แต่นั่นน่ะพี่สาวผม!!” เขาตะคอกออกมาอย่างโมโหทันทีที่ผมพูดจบ แววตาแข็งกร้าวเหมือนครั้งนั้น...ครั้งที่ประตูลิฟท์ปิดลงในวันที่เขารู้ว่า ผมเป็นน้องชายของใคร

     
    “ก้อง!!! ผมบอกแล้วไงว่าอย่าพาล” ผมเผลอตวาดเขาอย่างลืมตัวเมื่อไม่สามารถทำให้เขาควบคุมสติได้ ใบหน้าน่ารักนั้นผงะอึ้งไปนิดด้วยไม่คิดว่าผมจะตวาดเขาเสียงดังแบบนี้ ก่อนจะเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

     
    “ใช่สิ ผมมันทั้งพาล ทั้งไม่มีเหตุผล ถ้าคุณไม่ชอบใจผม คุณก็เลิกคุยกับผมสิ!!”

     
    แววตา คำพูด และน้ำเสียงแบบนั้น หยุดอารมณ์ทุกอย่างของผมให้วูบลงทันที ความรู้สึกปวดหนึบที่หน้าอกซ้ายหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างของร่างกาย ผมไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะเดินตามไปรั้งเขาไว้ได้อีก แม้จะเปล่งเสียงก็ยากเต็มที

     
    “ก้อง”

     
    “ผมต้องเข้าเวร ไม่ต้องตาม” เขาหันมาสำทับอีกครั้งก่อนที่จะเปิดประตูเดินหายเข้าไปในโรงพยาบาลโดยไม่หัน กลับมามองผมอีกเลย อกข้างซ้ายผมเต้นหน่วงลงจนปวดชาอย่างที่ไม่เคยเป็น
     

    ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยไล่ผม...แต่...มันไม่ใช่อย่างนี้
     

    “อะไรวะ!!! ฮึ้ย!!!!” เมื่อไม่รู้จะลงกับอะไรได้ ผมก็ระบายเอากับเสาหินอ่อนใกล้ๆตัว พลาดไปเล็กน้อยที่เอาขาขวาที่เพิ่งหายดีไปกระแทกของแข็งแบบนั้น แต่ความเจ็บที่แล่นริ้วขึ้นมาตามขากลับไม่สามารถกลบความรู้สึกปวดหนึบใน หัวใจได้เลย
     

    นี่มันบ้าอะไรกัน!!!
    /////-----/////-----/////-----/////-----/////


     
    เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี๊....
     

    แม่สาวเสียงหวานโอเปอเรเตอร์ประจำเครือข่ายบอกผมอย่างนี้กี่ร้อยรอบแล้วก็ ไม่อยากจะนับ ผมเหวี่ยงโทรศัพท์ลงกับโซฟาอย่างหงุดหงิดหลังจากเพียรอดทนฟังเสียงรอสายจน มันตัดเข้าเสียงโอเปอเรเตอร์ซ้ำๆแบบนี้มาหลายวัน วันละหลายสิบครั้ง และวันนี้ผมจะไม่ทนแล้ว

     
    “หนีได้หนีไปนะก้อง” ผมสบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย คว้าเสื้อแจ๊กเก็ตพร้อมกุญแจรถก้าวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

     
    ที่จริงผมไม่ใช่พวกความอดทนสูงอะไรมากและไม่มีใครมาขัดใจผมได้ เพิ่งมีคนเดียวที่ทำให้ผมทำอะไรไมได้ ซ้ำยังต้องมานั่งหงุดหงิดงุ่นง่านเหมือนอย่างวันนี้ หลังจากวันนั้นที่ทะเลาะกันก้องก็ไม่รับโทรศัพท์ผมอีกไม่ว่าจะเป็นมือถือ หรือที่บ้าน รวมไปจนถึงเปลี่ยนตารางเวรให้วุ่นไปหมดจนผมคลาดกับเขาทุกครั้งที่ไปหาที่โรง พยาบาล ขนาดผมไปขอรับการกายภาพบำบัดเพราะอาการปวดเข่ากำเริบโดยระบุชื่อนักกายภาพไป ทางโรงพยาบาลยังไม่สามารถเอาตัวเขามาทำเคสให้ผมได้เลย คนอะไรใจแข็งจริงๆ
     

    ใจแข็งจนเรียกว่าใจร้าย

     
    แต่วันนี้ผมจะไม่ยอมแล้ว ถ้าเขาไม่ยอมออกมาพบผมดีๆ ผมจะเข้าทางป้าฟองให้แกช่วยให้เขายอมคุยกับผมให้ได้ ต่อให้แทบจะต้องง้างปากพูดผมก็จะทำ เพราะในเมื่อเราไม่เข้าใจกัน ถ้าไม่คุยกัน...แล้วอะไรๆมันจะดีขึ้นไปได้ยังไง ผมยอมให้เขาดื้อได้ แต่เขาก็ควรจะดื้ออย่างมีขอบเขต

     
    ถึงหน้าบ้านก้องแล้ว ผมหันไปหยิบรังนกชุดใหญ่ที่แวะซื้อก่อนเข้าบ้านก้อง เพราะถึงจะอยากเจอก้องเป็นหลักก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะละเลยผู้ใหญ่ที่ผมเคารพ โดยเฉพาะเมื่อป้าฟองไม่ค่อยสบายแกก็ควรที่จะทานอะไรบำรุงให้ร่างกายแข็งแรง ขึ้น

     
    ทันทีที่ปิดประตูรถ พี่ตุ่มก็ยิ้มหน้าบานออกมาต้อนรับ

     
    “อ้าว น้องพี”
     

    “สวัสดีครับ” ผมยิ้มตอบพลางยื่นกระเช้ารังนักให้ ชวนพี่ตุ่มคุยเล่นถามเรื่องสารทุกข์สุกดิบและอาการป้าฟองอยู่พักหนึ่งแล้วผม ก็ต้องแห้วจนได้ ก็ผู้ใหญ่ที่จะช่วยผมได้ท่านกำลังไปเฝ้าพระอินทร์ซะแล้ว (ก็พี่ตุ่มเขาว่าอย่างนั้น) งานนี้สงสัยว่าตนคงได้เป็นที่พึ่งแห่งตนจริงๆ
     

    “เอ่อ..แล้วก้องละครับ”
     

    “หือ? ก็รดน้ำต้นไม้อยู่...อ้าว??? ไปไหนซะแล้วล่ะ?” พี่ตุ่มแกชี้ไปข้างหลังก่อนจะร้องเสียงแหลมออกมาเมื่อหาก้องไม่เจอ ผมเลิกคิ้วมองตามก่อนจะไปหยุดสายตาอยู่ที่สายยางที่เปิดน้ำทิ้งไว้ เสียงพี่ตุ่มบ่นเรื่องก้องไม่น่าจะสะเพร่าลืมปิดน้ำแต่ถ้าเป็นเจ๋งก็ว่าไป อย่าง ซึ่งผมก็เห็นว่าจริงอย่างที่พี่ตุ่มพูดว่าก้องไม่ใช่คนสะเพร่า ที่สายยางมันมานอนแอ้งแม้งพ่นน้ำอยู่อย่างนี้คิดได้อย่างเดียวแหละ...เขารีบ ทิ้งมันแล้วหลบหน้าผม แล้วก็คงหลบอยู่แถวๆนี้ด้วย เพราะถ้าเขาวิ่งเข้าบ้านไปก็คงสวนกับพี่ตุ่มที่วิ่งออกมารับผมไปแล้ว
     

    ความตั้งใจที่จะคุยกันให้รู้เรื่องหดหายลงไปทันตา ความรู้สึกเจ็บที่อกข้างซ้ายเริ่มจะเล่นงานผมอีกครั้งเมื่อการกระทำของก้อง มันบอกว่าเขาไม่อยากที่จะเจอหน้าผมจริงๆ

     
    ผมสูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดอารมณ์ ฝากข้อความด้วยเสียงดังกว่าปกติ “งั้นผมก็ฝากพี่ตุ่มถามเขาด้วยแล้วกันครับ ว่าโทรศัพท์เขาเป็นอะไรรึเปล่า? ผมโทรหาเขาหลายวันแล้วไม่ติดเลย”
     

    “หือ? โทรศัพท์น้องก้อง? ก็เห็นใช้ได้ปกตินี่คะ” พี่ตุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรตอบผมงงๆ ผมยิ้มเยาะตัวเอง ก็แหงอยู่แล้ว เพราะเขาเลือกที่จะไม่รับโทรศัพท์ผมคนเดียวนี่

     
    “อ๋อ งั้นเข้าก็คงไม่อยากรับโทรศัพท์ผม”

     
    “นี่...โกรธอะไรกันรึเปล่าคะ?” พี่ตุ่มย่นคิ้วถามอย่างไม่แน่ใจนัก ได้ฟังอย่างนั้นผมก็ยักไหล่
     

    “เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นคนที่จะโกรธอะไรก้องเค้าอยู่แล้วครับ ผมไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องของอีกคนมาพาลโกรธกับอีกคนหรอกครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะประชดประชันฝากลมฟ้าอากาศไปถึงใครอีกคน พี่ตุ่มหัวเราะแหะๆ กับคำพูดของผม ก่อนจะเอ่ยชวนให้เข้าไปรอก้องในบ้าน ซึ่งคำชวนนั้นทำให้ผมต้องปฏิเสธออกมาเสียงแผ่ว
     

    “ไม่เป็นไรครับ คือ...ถ้าก้องเค้าอยากเจอผม..เค้าคงออกมาแล้ว” พี่ตุ่มยิ้มเห็นใจผมขึ้นมาทันที ผมถอนใจยอมรับชะตาของตัวเอง ยอมรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ ก่อนจะเอ่ยฝากเรื่องสำคัญที่ผมตั้งใจจะชวนเขาตั้งแต่วันอาทิตย์

     
    “ถ้ายังไงผมฝากบอกก้องเค้าด้วยแล้วกันครับ วันเสาร์นี้ผมมีแข่งรถ...แล้ว...เข่าผมมันเจ็บอีกแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เค้าไปดูผมแข่งรถหน่อยน่ะครับ เผื่อว่าเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ให้เขานวดให้”

     
    “ห๊ะ?” พี่ตุ่มแกทำเสียงแปลกๆ ขัดขึ้นมาทันที ผมเลิกคิ้วมองหน้าแกพลางบอกว่าที่ต้องเป็นก้องเพราะก้องเป็นนักกายภาพบำบัด ของผม แกถึงได้ทำหน้าโล่งใจ เอ้า! นี่แกคิดอะไรของแกเนี่ย

     
    “ที่จริงพี่ว่าถ้ายังไม่หายดีก็ไม่น่าจะไปลงแข่งเลยนะคะ” ผมยิ้มรับที่แกเป็นห่วงผม แต่...ผมก็มีเหตุผลของผมเหมือนกัน
     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ” ผมบอกพลางเหลือบตามองไปทางพุ่มไม้ที่มีเสียงกรอบแกรบ “ไม่ว่าจะดื้อขนาดไหน ผมก็จะเอาชนะให้ได้”

     
    ผมมั่นใจว่าผมจะทำได้ตามนั้น พี่ตุ่มแกทำหน้าเหวอขึ้นมาทันทีก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนยิ้มแห้งให้กำลังใจ ผม ผมหัวเราะเขินๆ พลางขอตัวกลับ
     

    อะไรที่อยากบอกผมก็บอกไปหมดแล้ว...
    ผมได้แต่หวังว่าเขาอาจจะใจอ่อนโทรมาหาผมบ้าง
    แต่มันคงเป็นคำขอที่มากไป
    เพราะผม...ไม่ได้สัญญาณตอบรับใดๆจากเขาเลยจนตอนนี้

     
    /////-----/////-----/////-----/////-----/////

    To be continue...


    ตอน นี้ตั้งใจจะเขียนให้ยาวกว่านี้ แต่เพื่อความเหมาะสมเพราะเราเรื่อยเปื่อยไปสองซีน เลยต้องตัดเอาไว้แค่นี้อย่างที่เห็นค่ะ (หัวเราะ) อย่างที่บอกว่าเราแต่งโดยอิงเนื้อหาละครเป็นเกณฑ์ ดังนั้นซีนที่แต่งเพิ่มเลยเป็นอะไรที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ในส่วนที่ ละครไม่มีมากกว่าค่ะ (ก็เขาไม่ได้เป็นคู่หลักนี่นะ) ทั้งหมดเป็นการตีความบุคลิกคุณพีรวิญช์เอาเอง ดังนั้นหากถูกใจหรือไม่ยังไงก็สามารถติชมได้เต็มที่ค่ะ (ยิ้ม)

    และเพราะ เป็นฟิคจากละคร ดังนั้นหากใครไม่เคยดูละครแล้วบังเอิญมาอ่านเข้าอาจจะไม่เข้าใจ ก็สามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากคลิปต่างๆที่เหล่าแฟนคลับของ พีก้อง อัพไว้ในยูทูปได้นะคะ

    http://www.youtube.com/user/KUNMEKUNG


    ขอขอบคุณ คุณเม่คุง มา ณ ที่นี้ค่ะ ^^

    และอันนี้เป็นบลอคน่ารักๆรวมทุกคลิปเช่นกันของคุณ bee boa ค่ะ

    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=bee-zeen&group=4

     

    เจอกันตอนหน้าค่ะ ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×