ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : New students
Chapter 2
New students
เวลา 08:30น.
โรงเรียนไอโบกาคุเอ็น
แผนกมัธยม
เมื่อมาถึงที่ห้องแล้ว ทาสุคุพาเธอเข้าห้องและนั่งที่นั่งประจำของเธอที่อยู่ข้างเขาพอดี เขาจำได้ดีว่าเขาชอบให้เธอนั่งข้างเขาเพราะตอนที่ทั้งคู่ย้ายมาเรียนที่นี่ทั้งคู่ก็นั่งมุมห้องเรียนและได้คุยสื่อสารเรื่องต่างๆได้บ้าง
ขณะที่ทาสุคุจะถามเรื่องราวเกี่ยวกับเธอที่ผ่านมา เด็กสาวสองคนที่อยู่ห้องเดียวกันกับเขาได้เข้ามาทักพอดี
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ทะ...ทาสุคุ...คุง”หญิงสาวคนหนึ่งทักทายท่าทางเอียงอาย
“ครับ อรุณสวัสดิ์ครับ”ทักทายทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม
“ว่าแต่ทาสุคุคุง เด็กคนนั้นใครเหรอคะ”หญิงสาวอีกคนถามเขาด้วยความสงสัย
“อ้อ!เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของผมเอง เธอชื่อมิโดริครับ”ทาสุคุหันกลับไปมองเด็กสาวผมเงินด้วยรอยยิ้ม
“เด็กคนนั้นชื่อมิโดริจังเหรอ แต่ว่าเธอคงเป็นเด็กใหม่มั้งเนอะ”คำพูดของหญิงคนหนึ่งทำให้เขาหันกลับมา หมายความว่ายังไงที่ว่ามิโดริของเขาเป็นเด็กใหม่
“จริงด้วย หรือว่าเด็กคนนั้นก็เป็นเพื่อนใหม่ของทาสุคุคุงเองเหรอคะเนี่ย”หญิงสาวอีกคนพูดขึ้น ทำให้เขาสับสนและไม่เข้าใจในสิ่งที่พูดและเขาคิดว่าพวกเธอจำเธอไม่ได้หรือไม่ทุกคนอาจจะจำเธอไม่ได้ แล้วทำไมเด็กสาวตอนที่เจอตอนเช้าที่ชื่อเหมยลี่ถึงรู้จักเธอแล้วทำไมมิโดริถึงรู้จักเธอได้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!
“เออคือไม่ใช่ครับคือว่าเธอ----”
“เอาล่ะทุกคนเงียบหน่อย วันนี้จะมีนักเรียนใหม่เข้ามา เชิญเลยครับ”เสียงของอาจารณ์ดังขึ้นก่อนจะบอกเรื่องสำคัญแก่นักเรียนและเรียกนักเรียนใหม่เข้ามาในห้อง
“ไงสวัสดีเจ้าพวกเบื๊อก!! ฉันชื่อมุราซากิ สุมิเระ ก็ไม่มีอะไรนะ แต่ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนก็แล้วกัน”เด็กสาวผมม่วงทรงทวินเทลทักทายคนอื่นด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมยืนเท้าเอวด้วย นักเรียนทุกคนในห้องที่ได้ยินการทักทายทำสีหน้าไม่ถูกเพราะไม่คิดว่านักเรียนใหม่จะดูแปลกๆ
“ซุบซิบอะไรกันย่ะ หรือว่าอยากโดนเจื่อนหรือไง”เธอตวาดนักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้าแถมทำเสียงดุอีก
“ปะ...เปล่าฮับ/ค่ะ”นักเรียนกลุ่มนั้นส่ายหน้าพรืบใหญ่
“เออ...คือใจเย็นๆนะ งั้นเอาเป็นว่าหนูสุมิเระนั่งข้างหลังตรงนั้นนะ”
“หือ! อาจาร์ณกำลังไล่หนูเป็นหมางั้นเหรอคะ”เอาอีกแล้ว...คราวนี้เธอทำเสียงดุใส่อาจาร์ณอีก
“มะ...ไม่ใช่นะ ถ้างั้นคุณสุมิเระเชิญนั่งตามสบายเลยนะ”อาจาร์ณได้แต่ยิ้มแห้งและให้เธอนั่งที่นั่งของตนเอง
“นี่ ยัยนั่นดูโหดแปลกๆเนอะว่าไหม”
“ใช่ๆแถมตอนที่พูดกับอาจาร์ณเมื่อกี้นี้อีกอ่ะ”
นักเรียนกลุ่มเดิมซุบซิบเบาๆแต่เสียงนั่นไม่รอดพ้นคนที่โดนว่าไม่ได้ แถมเธอยังทำสายตาอาฆาตและสื่อทางสายตาว่า 'ถ้ายังมาซุบซิบหรือนินทาอะไรอีกให้ฉันอีกน่ะก็ พวกแกได้ตายดีแน่!!' กลุ่มนั้นเห็นสายตาแบบนั้นหันกลับไปนั่งที่เดิม
“เอ๊ะ!มิโดรินี่หน่า ที่แท้เธอเรียนแผนกมัธยมนี่เองเหรอเนี่ย”สุมิเระทักทายก่อนถามเธอด้วยน้ำเสียงปกติไม่เหมือนตอนแรก
“ค่ะ ฉันเองไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าคุณสุมิเระจะเรียนห้องเดียวกัน นึกว่าจะเรียนคนละชั้นกันซะแล้วนะคะ”มิโดริตอบเธอและยิ้มบางๆ
“นั่นน่ะซินะ แต่ว่าอีกสามคนน่ะเห็นว่าเรียนอยู่ชั้นเดียวกันแต่เรียนคนละห้องกันนะ”สุมิเระบอกเธอ มิโดริพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหยิบอุปกรณ์การเรียนในกระเป๋าขึ้นมา แต่ว่าการกระทำและคำพูดเมื่อกี้ทำให้ทาสุคุตกใจยิ่งกว่าที่ว่านอกจากเหมยลี่แล้วยังไม่คนที่ชื่อมุราซากิ สุมิเระอีกคนที่รู้จักเธอ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะดูแปลกซะแล้วซิ
แผนกประถม
ห้องคานาตะ
“เอาแนะนำตัวหน่อยนะคะ”อาจาร์ณสาวบอกนักเรียนใหม่ให้แนะนำตัวเอง
“นั่นซินะ”เด็กสาวตอบรับก่อนจะพูดต่อ
“สายลมแห่งซากุระของฉันน่ะคือสายลมที่ไร้มลทิน แล้วพวกคุณรู้ไหมคะว่าสายลมของคุณจะเป็นแบบไหน”
เหมือนคำเปรยหรือบทกลอน ทุกคนที่อยู่ในห้องเงียบเชียบและบรรยากาศภายในห้องดูหนักอึ้งแปลกๆ อาจเป็นเพราะการพูดเมื่อกี้หรือรังสีที่เธอแผ่ออกมา แต่ดูเหมือนว่าเด็กชายคนหนึ่งดูจะสนใจมากกับคำพูดของเธอ
“คือว่า...หนูช่วยแนะนำตัว---”
“จริงด้วยซินะคะ....ฉันชื่อโทโมเอะ ซากุระ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ”ชาโร่กล่าวก่อนจะก้มหัวลงเป็นการทักทาย แต่นั่นทำให้บรรยากาศหนักอึ้งไปอีก
“งะ...งั้นซากุระนั่งตรง---”
“เรียกเอวาก็ได้ค่ะเซนเซย์”
อาจาร์ณสาวยิ้มแห้งๆก่อนจะบอกเธอ
“งั้นเอวาจังนั่งตรงนั่---”
บอกยังไม่จบซากุระเดินเข้าไปนั่งที่ของตนเอง ตอนนั้นเองมือของชายคนหนึ่งถูกยื่นออกมา เธอหันกลับไปพบว่าชายคนนั้นคือโอโซระ คานาตะ ไฟท์เตอร์ไร้ดาเมจคนนั้น แถมการที่เขาทำแบบนี้รู้เลยว่าเขาอยากรู้จักกับเธอ ฝันไปเถอะ!
“ไงฉันชื่อ---”
“นายเนี่ยบ้าหรือไงที่มาทักทายคนอย่างฉันแบบนี้ โอโซระ คานาตะ”น้ำเสียงของซากุระเปลี่ยนไปจากตอนแรก น้ำเสียงเรียบนิ่งกลายเป็นดุดัน แววตานั่นแสดงถึงความไม่พอใจ
“เอ๊ะ! เธอรู้จักฉันด้วยก็ค่อยเย็นชั่วหน่อย ยังไงก็ขอฝากตัว---”
“อย่าทำไปได้ใจไปเลย เพราะฉันไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับนาย...จำไว้”
พูดจบเธอนั่งลงที่นั่งตนเองก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติ คานาตะได้แต่ยิ้มแห้งและคิดในใจว่า 'นี่เราทำอะไรผิดไปงั้นเหรอครับ'
ห้องเรียนของกาโอ
“นักเรียนใหม่อย่างงั้นเหรอ”เสียงของเด็กหนุ่มผมแดงน้ำเงินหรือมิคาโดะ กาโอทวนคำพูดเมื่อเพื่อนสาวผมม่วงอ่อนคนหนึ่งพูดถึงเรื่องนักเรียนใหม่
“ใช่แล้วล่ะ แล้วฉันได้ยินว่านักเรียนที่เข้ามาเนี่ยมาจากต่างประเทศด้วยนะ”อุกิ คุกุรุบอกกาโอด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะ แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่สนหรอกน่ะจะมาจากที่ไหนก็ช่างฉันก็ไม่สนอยู่แล้ว”เด็กชายผมเหลืองหรือโคโด โนโบรุพูดขึ้นแถมยังทำเป็นไม่สนใจเรื่องนี้ซักด้วยซิ
“เอาล่ะทุกคนนั่งที่ได้ วันนี้ห้องเราจะมีนักเรียนใหม่เข้ามาสองคนด้วยกัน เอาล่ะเชิญครับ”เสียงของอาจาร์ณเนกิโนะยามะ(อาจาร์ณชาวต่างชาติ)พูดขึ้นก่อนจะเรียกนักเรียนใหม่สองคนจากประตูอีกฝั่งเข้ามาในห้อง
“นี่ๆบาคุจังสองคนนี้ดูคุ้นๆนะว่าไหม”คุกุรุกระซิบเบาๆข้างเพื่อนอีกคน
“อย่างงั้นเหรอ”แต่ดูเหมือนว่าบาคุจะเริ่มไม่สนใจก่อนจะรีบเอาหนังสือเล่มหนึ่งในตู้ลิ้นชักกางออกแล้วเอาของกินมากินด้วยซิ
“ไงทุกคน ฉันชื่อฮวา เหมยลี่และก็ๆฉันน่ะนะ...ก็เป็นบัดดี้ไฟท์เตอร์ด้วยล่ะ!”เสียงของเด็กสาวผมชมพูเริ่มแนะนำตนเองด้วยสีหน้าที่ร่าเริง เสียงของทุกคนในห้องร้องด้วยความตกใจว่านักเรียนใหม่จะเป็นบัดดี้ไฟท์เตอร์ แต่ว่า...
“เอ๊ะ มะ...เหมยลี่คนนั้นน่ะเหรอ”คุกุรุทำสีหน้าตกใจไปใหญ่ที่ได้ยินชื่อของนักเรียนใหม่คนนั้น
“นี่อูมะจังยังร่าเริงกับทุกคนเหมือนเดิมเลยนะจ๊ะ อ้อ!ฉันชื่อคัตสึกิ ยูกิจ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ”เด็กสาวอีกคนแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ใช่จริงๆด้วยสองคนนี้น่ะเป็นบัดดี้ไฟท์เตอร์ระดับท๊อปของโลกนิหน่า”
“เอ๊ะ!”
บนด่านฟ้าของแผนกประถม ช่วงพักเที่ยง
“เอ๊ะ! ห้องคานะตาก็มีนักเรียนใหม่ด้วยงั้นเหรอ”กาโอถามคานาตะด้วยความตกใจ
“ใช่แล้วล่ะ ได้ยินว่าเธอชื่อ...โทโมเอะ ซากุระล่ะนะ”คานาตะตอบไปโดยที่สีหน้านั้นดูครุ่นคิดกับเรื่องที่เขาโดนเด็กสาวที่ชื่อซากุระนั่นต่อว่านั่นไม่หาย
“โทโมเอะ ซากุระคนนั้นน่ะเหรอ”คุกุรุทวนชื่อที่คานาตะพูดด้วยความตกใจไม่น้อย
“แล้วคนที่ชื่อซากุระเนี่ยทำไมเหรอ”โนโบรุถามด้วยความสงสัย
“นี่ไม่รู้เเลยเหรอ โทโมเอะ ซากุระน่ะเธอก็เป็นบัดดี้ไฟท์เตอร์ระดับท๊อปของอเมริกาเลยนะ”
“จริงเหรอเนี่ย!!”ชายหนุ่มทั้งสามพูดมาพร้อมกัน
“ที่จริงฉันก็ได้ยินมาจากแผนกมัธยมนะว่ามีนักเรียนเข้ามาใหม่เหมือนกันนะ รู้สึกว่าเธอจะชื่อมุราซากิ สุมิเระนี่แหละ”คานาตะที่คิดได้อีกเรื่องก็ได้พูดขึ้นเช่นกัน
“คุณสุมิเระ! มุราซากิ สุมิเระบัดดี้ไฟท์เตอร์ที่เป็นระดับท๊อปคนนั้นด้วยเหรอ”คุกุรุถามด้วยสีหน้าตกใจเข้าไปใหญ่
“ใช่! เห็นว่าเธอจะเรียนห้องเดียวกันกับรุ่นพี่ทาสุคุนะ”
“บัดดี้ไฟท์เตอร์ระดับท๊อปตั้งสี่คนเข้ามาเรียนในโรงเรียนของเราอย่างงั้นเหรอ น่าแปลกเหมือนกันนะเนี่ย”เสียงของชายหนุ่มผมน้ำเงินหรือคิราซากิ ซันยะพูดขึ้นข้างเขามีชายผมกล้วยสีเหลืองหรือคุโดทาเคะ เท็ตสึยะมาด้วย
“นั่นซินะ ฉันไม่อยากจะเชื่อจริงๆแต่แปลกตรงที่ว่าทำไมสี่คนนี่ถึงมาที่โรงเรียนนี้ได้”โนโบรุออกปากเห็นด้วยกับคำพูดของซันยะ
“ไม่เห็นแปลกนิ ว่าที่พวกหล่อนเข้ามาที่โรงเรียนนี้อาจเป็นเพราะว่าที่นี่เป็นโรงเรียนที่เน้นเรื่องบัดดี้ไฟท์ล่ะมั้งโย่ว”เท็ตสึยะพูดขึ้น
“ก็อาจใช่นะ แต่ฉันรู้สึกยังไงไม่รู้ ถ้ายังไงฉันลองปรึกษากับรุ่นพี่ทาสุคุก็น่าจะได้นะ”กาโอพูดก่อนจะรีบไปที่อาคารมัธยมด้วยความเร่งรีบ
ด้านหลังอาคารแผนกมัธยม
กลุ่มนักเรียนสาวมองซ้ายขวาก่อนจะมารวมกลุ่ม เพื่อไม่ให้นักเรียนคนอื่นๆตามมาได้ เมื่อไม่มีใครแล้วก็สบายหายห่วงแล้วล่ะ
“ทางนั้นเป็นไงบ้าง”มุราซากิถามหญิงสาวในกลุ่มอีกสามคน
“อืม ทางนี้ไม่มีปัญหาอะไร”ซากุระตอบ
“แต่ว่าๆดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นน่ะจะเจอหมอนั่นด้วยล่ะนะ สุมิจังน่าจะเจอตอนที่เข้าห้องแล้วนิ”เหมยลี่ถามมุราซากิ
“อื้ม...ก็เห็นอยู่ล่ะนะ แต่ว่าฉันก็จะปกป้องท่านมิโดริเอง”
“แหมๆดูเป็นอัศวินสาวดีนะจ๊ะ สมแล้วละนะสุมิจังของพวกเรา”ยูกิพูดขึ้น
“นี่!พวกเธอเลิกเรียกชื่อแบบนั้นได้ไหมย่ะ”มุราซากิโวยวายที่พวกเพื่อนเรียกด้วยชื่อแบบนี้ก่อนที่จะพูดต่อ“แต่ว่าภารกิจเราก็ยังเหมือนเดิม ยังไงพวกเธออย่าลืมไปซะล่ะ”
“ค่ะๆไม่ลืมแน่นอนสุมิจัง” เหมยลี่พูดเรียกชื่อมุราซากิว่าสุมิจังอีกแล้ว
“ก็บอกว่าอย่าเรียกฉันแบบนี้ไงเล่า!!!”มุราซากิโวยวายใส่อีกแล้วทั้งที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยหงุดหงิดแบบนี้
“แต่ว่าที่เรามารวมตัวกันแบบนี้อีกครั้งก็เพราะท่านผู้นั้นแหละนะ”เสียงของซากุระพูดขึ้น ทำให้เพื่อนอีกสามคนพยักหน้าเห็นด้วย
“อาจจะใช่อย่างที่เธอพูดนั่นแหละนะ แต่สิ่งที่ทำให้เรามารวมตัวกันก็เพราะโชคชะตา...แล้วก็...”
“พวกเจ้าสี่คนตื่นได้แล้ว”
เสียงนั่น...เสียงของผู้ชายอย่างงั้นหรือ ร่างของทั้งสี่ค่อยๆพยุงตัวขึ้น มองรอบตัว ที่นี่คือห้องอะไรซักอย่างที่พวกเธอทั้งสี่ไม่รู้ แต่สามารถเห็นบรรยากาศข้างนอกได้ แต่ที่รู้คือมีชายท่านหนึ่งผมยาวสีเขียวใบหน้างดงามที่ดูแล้วร่างกายซูบผอมจากการอดอาหารสวมจีวรสีแดงนั่งอยู่บนแท่นเถาวัลย์สีเขียว ด้านหลังนั่นมีของทรงโค้งสีทองและด้านบนเป็นเส้นโค้งสีทองเป็นรูปใบโพธิ์สีทอง ท่านนั่งขัดสมาธิ ดวงตานั่นกำลังมองทั้งสี่คนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ทั้งสี่เมื่อมองชายคนนั้นถึงกับตัวสั่นแปลกๆ จนในที่สุดทั้งสี่รู้ถ่องแท้ว่าชายคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงหน้าพวกเธอคือ....
ท่านพระพุทธเจ้า!!(ของญี่ปุ่นนะซึ่งไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไรและอยู่ลัทธิไหนนะ)
(เราเอารูปท่านมาคงไม่เป็นไรเนอะ ก็ไม่มีบอกเนอะว่าอย่าเอารูปท่านมาลงนิยายด้วยนิเนอะ(ฮิๆ)แล้วจะบอกว่าอธิบายร่างของท่านไม่ถูกแต่ผิดตรงไหนก็ขอโทษด้วยค่ะ...)
“ที่นี่คือ...ที่ใดกันเจ้าคะ”เสียงของหญิงสาวผมยาวรวบหางม้าในชุดกิโมโนสีเขียวอ่อนเอ่ยถามท่านที่อยู่ตรงหน้า
“ที่นี่ก็คือเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งการพิพากษายังไงล่ะ”ท่านกล่าวสาวทั้งสี่คนด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งการพิพากษา?”ทั้งสี่ทวนคำพูดของท่านด้วยความสับสน ที่นี่คือเมืองศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นหรือ แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าคือท่านพระพุทธเจ้าผู้นั้นอีก
“ใช่แล้ว...ที่นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่จะพิพากษาพวกมนุษย์ที่ตายแล้วอย่างพวกเจ้าว่าจะขึ้นสวรรค์ ลงนรกหรือเกิดใหม่ใช้เวรกรรมทดแทนบุญคุณอย่างไง”พระองค์ท่านกล่าว
หญิงสาวทั้งสีเบิกตากว้างด้วยความตกใจว่าความจริงที่ว่าพวกเธอนั้นในเสียชีวิตและต้องเจอกับพระเจ้าที่ตามนิทานต่างๆที่ได้ยินมาแต่ที่ไหนพระพุทธเจ้าท่านเป็นคนตัดสินพวกเธอทั้งสี่ด้วยตนเอง ท่านที่เห็นสีหน้าและท่าทางทั้งสี่ที่ดูประหม่าก็อดถอนหายใจไม่ได้ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ว่าชาติที่แล้วพวกเจ้าแต่ละคนทำบุญกรรมไว้เยอะ เพราะฉะนั้นพวกเจ้า---”
“ให้ทั้งสี่คนลงไปยังโลกมนุษย์ได้ไหมเจ้าคะ”
เสียงใสของหญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจให้หญิงสาวทั้งสี่และท่านพระเจ้าสูงสุด โดยเฉพาะหญิงสาวทั้งสี่คนตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงนั้น เสียงที่พวกเธอคุ้นเคยมาก
“แม่นางน้อย...ท่านคิดจะให้ทั้งสี่ส่งไปที่โลกมนุษย์อย่างงั้นหรือ?”
หญิงสาวที่ท่านถามปรากฏต่อหน้าทั้งสี่คน หญิงสาวคนนั้นเป็นเด็กหญิงตัวเล็กอายุสิบปีได้ สวมชุดกิโมโนสีเงินเหมือนผมของเธอ ดวงตากลมโตสีฟ้ามองมาที่ทั้งสี่ ซึ่งนั่นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก...เจ้านายของตนหรือก็คือองค์หญิงมิโดริ หลานสาวของโยชิดะ โชโยและบุตรสาวของตระกูลทากาสุงินั่นเอง
“ท่านหญิง/นายหญิง”
ทั้งสี่ลุกลี้ลุกลนเดินเข้าไปตรงหน้าเจ้านายตนเอง
“ไม่ได้เจอพวกเจ้าตั้งนานมาหลายปีนัก ไม่นึกเลยนะว่าพวกเจ้าจะ...”
“นายหญิง เออ พวกข้า...คือ....”
พวกเธอร้องไม่ได้พูดไม่ออกเพราะการที่พวกเธอทั้งสี่มาเจอที่นี่ดีนัก แต่ก็พูดถึงเรื่องที่ตนเองมาที่นี่ไม่ได้เลย
“ไม่ต้องพูดสิ่งใดแล้ว...เพราะข้ามองเห็นการกระทำของพวกเจ้าผ่านท่านผู้นี้แล้วอย่างไร”เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน คนฟังถึงกลับจะร้องไห้ออกมาและกล่าวถึงคำพูดมากมายที่เก็บไว้ในใจ
“ท่านพระพุทธเจ้า ข้าขอท่านได้หรือไม่ ข้าขอให้ทั้งสี่คนนี้ลงไปยังโลกมนุษย์จะได้หรือไม่เจ้าคะ”ถามท่านด้วยสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงดุดัน ท่านเห็นแววตาของแม่นางตัวน้อยที่ดูจริงจังนั่นเหมือนคราวนั้นอีกและสิ่งที่แม่นางขออีกคราวนี้ดูจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว
“อืม ข้าตกลงแล้วแม่นางน้อย...ข้าจะให้ทั้งสี่คนเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ก็แล้วกัน”
สิ้นคำพูด หญิงสาวอิ่มอกอิ่มใจกับคำพูดของท่านที่ทั้งสี่สาวจะได้เกิดใหม่บนโลกอีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะซามูไร แต่ในฐานะมนุษย์ธรรมดา
“แต่ว่า...ข้าเองมีภารกิจให้พวกเจ้าทั้งสี่คนนั่นก็คือ...เมื่อถึงโลกมนุษย์แล้วจะต้องดูแลมนุษย์หญิงคนหนึ่งด้วยจะได้หรือไม่”
มิโดริบอกหญิงสาวทั้งสี่คน พวกเธอชงักกับคำขอร้องของนายหญิง แต่ว่าทั้งสี่ไม่ได้ขัดอะไรเพราะว่ายังไงพวกเธอก็ทำตามคำสั่งและปฏิบัติตามสิ่งที่นายสั่งไว้อยู่แล้ว แต่ว่าทั้งสี่ไม่เข้าใจเรื่องหนึ่ง
“อืม...มนุษย์หญิงคนหนึ่งงั้นเหรอ ว่าแต่คนๆนั้นคือใครกันหรือท่านหญิง”หญิงสาวคนหนึ่งในชุดจีนสีแดงเอ่ยถามด้วยความสงสัย อีกสามคนสงสัยตาม
“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเหมยหลิน ถ้าพวกเจ้าไปยังโลกมนุษย์แล้วก็รู้เอง และนี่คือของที่ข้าให้พวกท่านทั้งสี่”เธอบอกหญิงสาวที่ชื่อเหมยหลินให้เข้าใจ สายตาของเธอสะดุดกับแขนข้างซ้ายที่ขาดหายไปจึงเอ่ยถามเธอ
“ว่าแต่เหมยหลิน เรื่องแขนข้างซ้ายของเจ้าเองข้าก็รับรู้เหมือนกัน”
“!!!!”
พอได้ยินเรื่องแขนข้างซ้ายเธอก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ กระทั่งน้ำตาใสไหลจากดวงตาเป็นเม็ดแห่งความเจ็บปวด
“ตอนนั้นเจ้ากับโคยูกิกำลังจะหยุดอุซึโร่พร้อมกับพวกกินโทกิ แต่พวกเจ้าทั้งสองพลาดท่าแขนซ้ายของเจ้าถูกทำลายและก็โคยูกิ....เจ้าเองใช้พลังเวทย์ของเจ้าปราบแล้วแต่ไม่เป็นผลแล้วพวกเจ้าก็----”
“ข้ามันอ่อนแอเองเจ้าค่ะ!! แต่ว่าไม่คิดว่าอุซึโร่จะแข็งแกร่งเกินไป พวกข้าก็เลย....ฮึก....พวกข้าสองคนถึงได้...”
ทั้งสองก้มลงขอโทษทั้งน้ำตา การตายในครั้งนั้นถือเป็นการแสดงว่าตัวเองอ่อนแอ่มากแค่ไหน ไม่ว่ายังไงก็จะให้อภัยไม่ได้
มือเรียวเล็กของผู้เป็นนายจับไหล่ทั้งสองอย่างอ่อนโยน แขนข้างซ้ายของหญิงสาวเหมยหลินโดยทำผ้าพันแผลสร้างส่วนแขนที่ขาดหายไปแทน หญิงสาวทั้งสองก้มหัวลงอีกเพราะยังไงคงไม่ให้อภัยแน่
“พวกเจ้าไม่ได้อ่อนแอหรอก แต่เป็นเพราะข้าเองที่ทำให้พวกเจ้าทั้งสี่คนต้องถูกโซ่พันธนาการกักขังพวกเจ้าไว้ ถ้าตอนนั้นข้าให้อิสละพวกเจ้าตั้งแต่ตอนที่ข้าตาย พวกเจ้าคงไม่...”
“ไม่ใช่เพราะท่านหญิงหรอกค่ะ!”
“การที่พวกข้าทั้งสี่มาเจอกับท่านให้ได้รับใช้และต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พวกข้าก็พร้อมได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ”
หญิงสาวอีกสองคนกล่าวอย่างหนักแน่นและหญิงอีกสองคนเงยหน้าขึ้น เหล่าหญิงสาวทั้งสี่ซามูไรนั่งคุกเข่า มือข้างหนึ่งยกไว้บนหัวเข่าข้างหน้า
“ไม่ว่ายังไง พวกข้าทั้งสี่ก็จะนอบน้อมตามคำบัญชาของท่านหญิง/นายหญิงสั่งทุกอย่างค่ะ/เจ้าค่ะ”
ทั้งสี่เอ่ยพร้อมกันอย่างหนักแน่น ผู้เป็นนายได้ยินก็หุบยิ้มไม่ได้ การที่ได้เจอทั้งสี่คนนี้ไม่ให้เธอคิดผิดจริงๆ
จากนั้นมิโดริใช้พลังของตนเองเสกของบางอย่างขึ้นมาและส่งให้หญิงสาวทั้งสี่ สิ่งนั่นคือการ์ดที่ด้านบนเขียนตัวอักษรว่า'บัดดี้ไฟท์'และสิ่งของอีกหนึ่งชิ้นที่เป็นเหมือนเครื่องประดับหรือไอเท็มที่ทั้งสี่ได้ไป
“นี่คือ...”
“สิ่งที่พวกท่านทั้งสี่ได้นั่นคือการ์ดของพวกเจ้ารู้สึกว่าบนโลกมนุษย์จะเรียกบัดดี้ไฟท์ ข้าได้ยินมาว่าสิ่งนั้นแทนการต่อสู้ทุกอย่างโดยใช้การ์ดบัดดี้ไฟท์”อธิบายให้ทั้งสี่ได้เข้าใจ
“บัดดี้...ไฟท์”
“เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลาแล้วพวกท่านทั้งสี่คือQuatre Knights เป็นเหล่าอัศวินแห่งซามูไรที่คอยปกป้องมนุษย์หญิงคนหนึ่งและเป็นเหล่าผู้พิพากษาแห่งการลงทันต์ และจงอย่าลืมว่าเมื่อใดที่ภารกิจของพวกท่านเสร็จสิ้น ตอนนั้นพวกเจ้าก็จะหลุดพ้นพันธนาการและใช้ชีวิตตามที่พวกท่านปรารถนาทันใด...”
ทั้งสี่พยักหน้าด้วยสีหน้าหนักแน่น
“และแน่นอนว่าพวกเจ้าทั้งสี่คนต้องใช้ชีวิตในชื่อใหม่รวมทั้งวิธีการพูดด้วย เข้าใจหรือไม่”
“ค่ะ!!”
“ขอฝากพวกเจ้าด้วยล่ะ อัศวินทั้งสี่ของข้า”
จากนั้นร่างของทั้งสี่ได้หายไปจากตรงนั้น เพื่อลงจุติที่โลกใบใหม่ที่ต้องทำภารกิจที่ว่า
“ว่าแต่แม่นางน้อย แล้วงานของท่านเสร็จแล้วหรือถึงได้มาที่นี่ได้”ท่านพระพุทธเจ้าเอ่ยถามเด็กหญิงตัวน้อย
“ยังเจ้าค่ะ เพราะว่าถ้าเด็กคนนั้นยังทำสิ่งนั้นไม่บรรลุ ตัวข้าเองแน่ที่คงเป็นคนจัดการเอง”เธอประนมมือและเอ่ยบอกท่าน
“อย่างงั้นหรือ แต่คงรู้ใช่ไหมว่าถ้าหนุ่มคนนั้นกับสาวคนนั้นทำสำเร็จแล้วตัวเจ้าจะเป็นเช่นไร”
“ข้ารู้ดีตั้งแต่พบท่านครั้งแรกเจ้าค่ะ แต่ว่าถึงแบบนั้นข้าก็อยากทำให้มันสำเร็จ ถ้างั้นตัวข้าขอตัวเจ้าค่ะ”เธอตอบก่อนจะกล่าวลาท่านก่อนจะหายไปจากตรงนั้น ท่านพระพุทธเจ้าผ่อนลมหายใจเบาๆก่อนจะทำสมาธิและคิดในใจ
'เฮ้อ...นี่คงเป็นกรรมที่พวกเจ้าสองคนที่ได้กระทำมาซินะ ทำให้พวกเจ้าต้องแยกออกจากกันแบบนี้ ริวเอ็นจิ ทาสุคุและโยชิดะ มิโดริ ถ้าทั้งสองมีกรรมดีที่ทำมาติดตัวตั้งแต่ชาติก่อน...
ข้าขอให้ทั้งสองรอดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายที่ขว้างไว้ก็แล้วกันนะ'
ฟึบ!!!!
ทั้งสี่ค่อยๆลืมตาและใช้แขนพยุงตัวขึ้นเพราะพวกเธอได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกพื้นถึงจะได้ไม่มากก็เถอะ มองซ้ายขวาแต่ก็พบแต่ต้นไม้ล้อมรอบ แถมดูจากท้องฟ้าแล้วคงจะเป็นตอนกลางคืน หมู่ดวงดาวเรียงรายล้อมและกระจัดกระจายอย่างสวยงาม ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้เต็มดวงและสว่างมาก
“อ้า!ที่นี่ที่ไหนอีกเนี่ย”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงอื่นนอกจากเหมยหลินในชุดกระโปรงสั้นจีนสีแดงบางคนร้องตะโกนดังไปจนนกที่อยู่แถวนั้นตกใจ อีกสามคนเอามือปิดหูสองข้างและคิดในใจว่า 'มาไม่ทันไรเสียงดังแล้วเหรอเนี่ย'
“ดูเหมือนว่าที่นี่คือโลกของพวกเราซินะคะ”หญิงสาวอีกคนในชุดกิโมโนสีเขียวพูดขึ้น ทว่าร่างและใบหน้าของทั้งสี่ถูกเพื่อนคนที่เหลือเห็นซะแล้ว ดูเหมือนทุกคนจะช็อกมากซะด้วยและคิดในใจว่า 'นี่ร่างที่เกิดใหม่จริงเหรอเนี่ย...ร่างเด็กมาก!!แถมใบหน้า ความสูงก็เปลี่ยนไปจากกับคนล่ะคนเลย สุดค่ะ!!'
“ว่าแต่ทำไมต้องให้พวกเรามาที่นี่นะ”หญิงสาวผมยาวอีกคนพูดขึ้นด้วยความสงสัยแต่เสียงนั่นทำให้รู้ว่าคนที่พูดคือคัตสึกิ โคยูกิ บุตรสาวบุญธรรมของ แต่ว่าทำให้อีกสามคนคิดตาม จากนั้นทั้งสี่ก็เดินตามทางแต่พอเดินไปเรื่อยๆก็เจอแต่ต้นไม่ตลอดทาง กระทั่งฝีเท้าของทั้งสี่หยุดที่ทางออก แต่เดิมไปด้วยหลุมฝังศพมากมายเรียงรายและห่างไปไม่มากก็พบกับโบสท์สีขาวตั้งอยู่ ทั้งสี่เดินหน้าต่อไปยังโบสท์แห่งนั้นเพราะบางอย่างนั้นชวนให้พวกเธอไปที่แห่งนั้น แต่ดูเหมือนว่าอีกคนดูตื้นเต้นสุดๆเพราะถ้าเจอผีหรือปีศาจแล้วเธอจะคุยและสื่อสารเป็นมิตรทันที (ตัวออริเราชอบเรื่องผีๆแหละจ้า)
ประตูโบสถ์ถูกเปิดออกอย่างง่ายได้ ภายในโบสท์มีรูปภาพมากมายวาดไว้ไม่มาก ด้านซ้ายขวาเป็นเก้าอี้ไม้ยาว ตรงกลางเป็นแท่นที่ปกคลุมด้วยผ้าสีขาวบนแท่นนั้นมีร่างของคนนอนในหีบศพแบบใส
ทว่าทั้งสี่เดินไปถึงหีบนั้นก็พากันตกใจไปอีกนั่นก็เพราะ...
“นี่มัน...ร่างของ...”
ความจริงแล้ว...คนที่อยู่ในนั้นคือร่างของเจ้านายของตนเองในร่างเด็กสวมชุดกิโมโนสีขาวเหมือนสีผม ผิวของเธอซีดขาวแต่ร่างกายของเธอยังเหมือนเดิม ริมฝีปากนั่นไม่ซีดลงแต่กลับเป็นริมฝีปากสีสวยอยู่เหมือนมีใครค่อยช่วยดูแลรักษาร่างนี้ดี หญิงสาวสองคนค่อยๆเปิดฝาหีบออก ทั้งสี่ยังคงไม่เชื่อว่าคนที่นอนอยู่ในนี้คือร่างของเจ้านายตนเอง แต่ว่าทำไมกัน!
'หญิงสาวคนนั้นคือร่างของนายหญิงของพวกท่านทั้งสี่กลับมาเกิดนั่นแหละ'
เสียงของท่านพระพุทธเจ้าดังเข้ามาในหัวทั้งสี่คน ทำให้ทั้งสี่ตกใจเข้าไปอีก นายหญิงของพวกเธอกลับมาเกิดแต่ทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้
'นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอเสียชีวิตลงก่อนวัยอันควรยังไงล่ะ เธอโดนรถบรรทุกคันหนึ่งชนเข้าจากกการช่วยเด็กน้อยและแมวตัวหนึ่งไว้ แต่ว่าหนุ่มคนหนึ่งขอร้องไม่ให้เผาศพเธอและให้เธอนอนในที่แบบนี้ยังไงล่ะ'
ทั้งสี่ที่ได้ยินแบบนั้นทำให้ใจนั้นตกลงกับพื้น นายของเธอช่างอ่อนโยนจริงๆแต่ไม่คิดว่าจะมาจบชีวิตลงแบบนี้ได้
'แต่ว่าพวกเจ้าทั้งสี่คนยังสามารถฟื้นคืนชีพเด็กคนนี้ได้อยู่'
ได้ยินเรื่องนั้นก็ตกใจและดีใจที่ยังสามารถฟื้นคืนชีพนายหญิงของพวกเธอได้ ว่าแต่จะใช้วิธีการใดกัน
“หรือว่า...”
เสียงของมุราซากิพูดขึ้นก่อนหยิบบางสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมา สิ่งนั้นคือดาบเล็กขนาดเท่าจี้สร้อยคออันหนึ่งตรงกลางนั้นมีผลึกสีม่วง พอเอาเข้าไปใกล้ๆผลึกสีม่วงนั่นสว่างขึ้นมาเป็นแสงสีม่วงแม้กระทั่งตัวเธอเองก็มีแสงสีม่วงห่อหุ้มอยู่
“เจ้านี่กำลังสว่างอยู่”
แน่นอนว่าสิ่งของของอีกสามคนก็กำลังเปร่งแสงอยู่เหมือนกันแต่เป็นคนละสีกับเธอ แสงนั่นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนทั้งสี่ทนกับแสงนั่นไม่ได้จึงใช้มือข้างหนึ่งปังตาและปิดตาจนสนิท
แสงนั่นได้หายไป พวกเธอค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆและมองไปที่โลงศพใสนั่นว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่
กระทั่งเปลือกตาบางค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆและลุกขึ้นนั่ง พวกเธอสี่คนไม่อยากเชื่อในสายตาตนเองว่าเด็กคนนี้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ จากคนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมา ใบหน้าของเธอแสดงถึงความสับสนบางอย่างก่อนริมฝีปากจะขยับขึ้น
“ที่นี่...คือไหนกัน” เธอถามทั้งสี่คนก่อนจะถามคำถามต่อ “แล้วพวกคุณคือใครเหรอคะ”
“เออ...คือ...”
“อ้อ!พวกเราเป็นเพื่อนของเธอไงล่ะ”เหมยหลินเข้าไปบอกกเธอด้วยสีหน้าร่าเริง
“เพื่อน...คืออะไรคะ”
“ขนาดคำว่าเพื่อนไม่รู้ แล้วชื่อของเธอล่ะ”
มุราซากิถาม แต่ทว่าคำตอบนั้นคือการส่ายหน้าแทน
“จะ...จำชื่อตนเองก็ไม่ได้เหรอ”
คำตอบนั่นทำให้ทั้งสี่เอะใจและยิ่งสงสัยเข้าไปอีก คำว่าเพื่อนก็ไม่รู้ ชื่อตนเองก็จำไม่ได้ หรือว่าเธอคนนี้...
“ความจำเสื่อม...”
“!!!!”
คำพูดของหญิงสาวผมยาวคนหนึ่งพูดขึ้นเป็นจังหวะที่ความคิดอีกสี่คนจะผุดเรื่องนี้ขึ้น
“แค่คิดว่าน่ะ แต่ไม่นึกเลยนะว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“นี่เธอน่ะจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”มุราซากิถามเธอด้วยความสงสัย และคำตอบที่ได้คือการพยักหน้า
“คงจะเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะนะ ว่าแต่จะเอายังไงล่ะกับเด็กคนเนี่ย”เหมยหลินถามทั้งสามคนด้วยความสงสัย
“อืม...เราก็น่าจะต้องดูแลตามนี่นายหญิงบอกแหละนะคะ”หญิงสาวชุดกิโมโนแนวคิดตนเองและยกมือขึ้นข้างหนึ่ง
“ถ้าอย่างงั้นโกซุยกับโคยูกิ เธอสองคนช่วยไปสืบข้อมูลของเธอคนนี้ด้วยล่ะ”มุราซากิบอกหญิงสาวสองคน
“รับทราบจ้า มุราซากิจัง”
“แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราไม่คิดจะเปลี่ยนชื่อของพวกเราตามที่ท่านหญิงบอกไว้เหรอ”เหมยหลินถามเด็กหญิงผมม่วงที่ชื่อมุราซากิด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“เรื่องนั้นเอาไว้ที่หลังก็ได้น่ะเหมยหลิน เพราะก่อนอื่นเราต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กคนนี้ก่อน”
“อา...อย่างงั้นฉันไม่ขัดก็ได้”
หลังจากนั้นไม่นานพวกเธอสี่และเด็กสาวอีกหนึ่งคนก็ย้ายมาอยู่ที่โรงงานร้างแห่งหนึ่งที่ตอนนั้นเคยเป็นที่อยู่อาศัยในขณะนั้น ทุกคนต่างดูแลเด็กสาวคนนี้เป็นอย่างดี จนกระทั่งเด็กสาวสองคนที่สืบข้อมูลนั้นหาข้อมูลมาได้และรู้ว่าเธอชื่อโยชิดะ มิโดริ หญิงสาว(โลลิ)แห่งบัดดี้โพลิสนั่นเอง
“นี่...มุราซากิจัง...เรามาตั้งชื่อพวกเรากันเถอะ”เหมยหลินถามอีกฝ่ายเสียงงวงเหงย
“เรื่องนั่นมันจำเป็นด้วยเหรอไง”
“ง่า!!!ก็มันเป็นเรื่องสำคัญนี่น่ะ”อีกฝ่ายทำเสียงงอแงใหญ่ อีกฝ่ายเองก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พรางเอาปิดกุมหน้าผากและคิดในใจว่า'ทำตัวเป็นเด็กไปได้นะเธอเนี่ย...'
“ฉันว่าสิ่งที่เหมยหลินพูดก็เป็นเรื่องจริงล่ะนะเพราะว่านี่เองก็เป็นคำสั่งของท่านผู้นั้นล่ะนะ”โกซุยแสดงความคิดเห็นของตนเองก่อนจะหันกลับไปอ่านหนังสือของตนเอง
“เอ๊ะ!โกซุย เธอกำลังอ่านอะไรอยู่เหรอ”เหมยหลินฟุบนอนเหงยหน้าและมองไปที่เด็กหญิงผมยาวที่ชื่อโกซุยกำลังหนังอ่านหนังอ่านหนังสืออะไรบางอย่างและเดินเข้าไปหาเธอ
“หนังสือสื่อความดอกไม้เหรอ?”เหมยหลินตอบด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว พอดีเห็นว่ามันน่าสนใจก็เลยลองเอามาอ่านอยู่น่ะ แถมพวกมันสื่อความหมายของมันได้ด้วยน่ะ”โกซุยตอบทันทีโดยที่ไม่วางตาจากรูปภาพและตัวอักษรภายในหนังสือเล่มนี้
“ไหนๆดูด้วยๆ”โคยูกิเข้าร่วมกลุ่มทันทีเมื่อได้ยินถึงเรื่องนั้นด้วย
“อันนี้คือดอกสุมิเระ ส่วนนี้ก็ซากุระ”โกซุยชี้ไปที่รูปภาพดอกไม้แต่ละรูปซึ่งมันดูจะเป็นที่น่าสนใจของทั้งสามคนยกเว้นคนคนหนึ่งที่มัวแต่นั่งนอนเฉยๆและเขียนบางอย่างในสมุดเล่มหนึ่งซึ่งเป็นงานอดิเรก
“อืม...ดอกสุมิเระนี่เหมือนมุราซากิเลยเนอะ”คำพูดของเหมยหลินทำให้เด็กหญิงผมม่วงทวินเทลเหงยหน้าแล้วขมวดคิ้วอย่างสงสัยจากสมุดเล่มนั้นและคิดในใจว่า'ดอกสุมิเระนั่นเหมือนกับฉันงั้นเหรอ?'
“ก็นี่ไง ดอกสุมิเระเนี่ยมีสีม่วงเหมือนมุราซากิจังเลย”
“จริงด้วย!!!งั้นเราเอาชื่อตามดอกไม้นี่เลยดีไหม”
“ว่าไงนะ!”
ร่างผมม่วงเด้งตัวขึ้นนั่งทันที นี่หูไม่ได้ฟาดใช่ไหม คิดจะเอาชื่อไหนไม่ตั้งแต่กลับเอาชื่อดอกไม้มาเนี่ยนะ!
“งั้น...ชื่อของมุราซากิจังก็...มุราซากิ สุมิเระ แถมมีความหมายว่าดอกไวโอเลตสีม่วงด้วยไงเนอะ”
“จริงด้วย!เป็นชื่อที่ดีด้วยนะจ๊ะ”
“เดี๋ยวซิพวกเธอ!!!”
เด็กสาวทั้งสามไม่สนใจเธอเลย แต่คนที่โดนตั้งชื่อใหม่เสร็จถึงกับกุมขมับอย่างช่วยไม่ได้
“งั้นเหมยหลินจังก็...ฮวา เหมยลี่ดีไหม”เหมยหลินทำหน้าสงสัยขึ้นมากับคำพูดของเพื่อน
“นี่ไงๆฮวาในภาษาจีนแปลว่าดอกไม้ ส่วนเหมยลี่แปลว่าดอกบ๊วย แล้วก็ดอกบ๊วยเนี่ยก็เป็นดอกไม้ของจีนด้วยไง”โคยูกิหยิบแผ่นบางสีขาวที่เรียกว่า'แท็ปแล็ต'ออกมาและพิมพ์ตัวอักษรแต่ละคำ เด็กสาวเข้าใจก็แสดงสีหน้าดีใจเข้าไปใหญ่
“งั้นฉันก็...โทโมเอะ ซากุระซินะ”ดูเหมือนโกเซนจะได้ชื่อใหม่ของตนเองได้แล้วเหมือนกันซึ่งเธอใช้ชื่อว่าซากุระนั้นก็เพราะเธอชอบต้นซากุระมากตั้งแต่ยังเด็ก
“เป็นชื่อที่ดีนะเนี่ย”ดูเหมือนว่าเพื่อนอีกสองคนจะดูชอบชื่อใหม่ของเพื่อนมากเลยทำตาเป็นประกายเชียว
“ให้ตายซินะ” เมื่อไม่มีใครสนใจมุราซากิแล้ว ก็ทำเป็นงอนและไม่ยอมหันหน้ามามองเพื่อนอีก
“แล้วเธอล่ะเอาชื่ออะไรไหม”ซากุระถามหญิงสาวอีกคน เธอพยักหน้าก่อนจะครุ่นคิดชื่อของตนเอง
“อืม...คัตสึกิ คิคุ...คัตสึกิ ริโกะ”
“เธอไม่จำเป็นต้องตั้งตามชื่อดอกไม้ก็ได้นะ”ในที่สุดก็เริ่มเสนอข้อขัดแย้ง ใครบ้าที่ไหนจะเอาชื่อดอกไม้มาเป็นชื่อกัน!
“แต่คำว่าคิคุเนี่ยคือดอกเบญจมาศสินะ เบญจมาศขาวเป็นดอกไม้สูงศักดิ์ แสดงถึงความซื่อสัตย์ซินะ”ดวงตาสีชมพูของโทโมเอะ ซากุระมองตามพรางนิ้วเรียวไล่ไปตามตัวอักษรจากในหนังสือเล่มที่ถืออยู่
“แต่ว่าเธอใช้ชื่อตระกูลคัตสึกินี่น่ะ แต่ว่าถ้าใช้ชื่อพี่ชายของเธอน่ะจะดีมั้งนะ”ฮวา เหมยลี่เสนอความคิดเห็นด้วยอย่างจริงจัง ความจริงตัวคัตสึกิ โคยูกินั้นคือคนในตระกูลคัตสึกิอยู่แล้วแต่ยังมีสายเลือดตระกูลคัตสึระอยู่ ถึงจะใช้ชื่อไหนก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเท่านั้น
“นั่นซินะ แต่ว่าฉันจะเอาชื่อไหนดีล่ะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่เนื่อนนานกินเวลาเกือบสามสิบนาที
“คัตสึกิ ยูกิ ชื่อนี้เป็นไง”เสียงของมุราซากิพูดขึ้น สายตาของเพื่อนทั้งสามคนจับจ้องมองคนที่พูดท่ามกลางความเงียบ
“อื้ม...เป็นชื่อที่ดีเหมือนกันนะจ๊ะ แต่ไม่ใช่ชื่อของดอกไม้นะ”เจ้าของชื่อใหม่พูดขึ้นก่อนจะถามเธอด้วยความสงสัย
“ก็ดีกว่าใช้ชื่อตามดอกไม้ล่ะนะ แล้วก็ยูกิน่ะแปลว่าหิมะ ตระกูลคัตสึกิเดิมก็เคยอาศัยที่ภูเขาหิมะนิเนอะ”
เธอพยักหน้าเห็นด้วยและคิดว่าตนเองควรจะใช้ชื่อตระกูลคัตสึกิเหมือนเดิมจะดีที่สุด ถึงตระกูลคัตสึกิและตระกูลคัตสึระถึงจะเป็นคนตระกูลเดียวกัน แต่เพราะสงครามครั้งหนึ่งทำให้ทั้งสองเป็นศัตรูกัน
ตระกูลคัตสึระขึ้นชื่อเรื่องซามูไร แต่ตระกูลคัตสึกิขึ้นชื่อเรื่องเวทย์มนต์
ซามูไรกับเวทย์มนต์ไม่น่าเข้ากันอย่างเหลือเชื่อเลยและมันขัดกันมากเสียด้วย
“ก็นั่นซินะ แต่ว่าเป็นชื่อที่เข้าท่านะขอบใจมากนะจ๊ะสุมิจัง”ยิ้มด้วยรอยยิ้ม สุมิเระดูเหมือนจะหน้าแดงกับคำขอบคุณแต่ว่าถ้าไม่ติดตรงที่เรียกชื่อแปลกๆ
“มะ...ไม่ต้องขอบคุณหรอก แต่เอ๊ะ!เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าสุมิจังงั้นเหรอ!!”
ไม่ทันขาดคำมุราซากิเริ่มตวาดขึ้นด้วยความโมโหนิดๆ
“นี่ไม่ต้องโกรธขนาดนั้นก็ได้นะสุมิจัง”
คราวนี้ยูกิเป็นฝ่ายแหย่ด้วย มุราซากิเริ่มหัวร้อนขึ้นไปอีก
“ไม่ต้องมาเรียกฉันแบบนี้เลยนะ!!ก็ได้ๆงั้นพวกเราเอาชื่อตามนี้ก็แล้วกั---”
“คือว่า....อาหารเสร็จแล้วนะคะ”
ดั่งเสียงสวรรค์จากฟากฟ้าดังขึ้นก่อนที่เหตุการ์ณบางอย่างจะปะทุมากไปกว่านี้ เสียงของเด็กสาวผมเงินพูดขึ้นพร้อมกับผ้ากันเปื้อนสีชมพูอ่อนลายแมวตัวเล็กทับชุดกระโปรงสีขาวแขนยาวน่ารัก ทั้งสี่พอได้ยินคำว่าอาหารก็สงบศึกและเก็บข้าวของให้เรียบร้อยและลุกขึ้นยืน
“โอ้ว!เอาล่ะทุกคนไปกินข้าวกันเถอะ ไปกินข้าวกัน!!!”
สิ้นเสียงของเหมยลี่ก็เดินพากันไปรับประทานอาหารกันและเมื่อมื้ออาหารจบลงพวกเธอสี่คนก็บอกให้เธอนอนพักผ่อนที่ฟูกนอนไปก่อน แต่ความจริงคือการปรึกษากันเรื่องของมิโดริ จนกระทั่งคัตสึกิ ยูกิ ผู้สืบข้อมูลเสนอถึงเรื่องหนึ่งคือโรงเรียน ถึงแม้ตอนแรกเพื่อนอีกสามจะไม่สนใจแต่พอได้ยินชื่อของชายหนุ่มคนหนึ่งพวกเธอยอมตกลงกันแล้วจากนั้นทั้งสี่นั้นใช้พลังของตนเองปรับเปลี่ยนความทรงจำของทุกคนบนโลกทั้งหมด
และดูเหมือนว่าเรื่องราวในคราวนี้จะมีอีกคนเข้ามาด้วยซะแล้ว
ริวเอ็นจิ ทาสุคุ เจ้าชายแห่งบัดดี้โพลิส
หรืออีกชื่อในอดีตของชายคนนี้คือ...
ทาสุคุ องค์ชายแห่งแค้วนจันทรา ผู้เคยสู้รบในสงครามขับไล่ต่างแดนในอดีตชาติและคนที่....
ต้องให้โปรดติดตามตอนต่อไป
นิยายเกิดใหม่ของท่านอื่นเจอพระเจ้าหรือยมฑูตหรือนางเอกในภพอดีต(แต่สวมมากเจอแต่พระเจ้านะ)
...แต่นิยายเราเจอท่านพระพุทธเจ้ากับนางเอกในภพอดีตจ้า แถมผู้เกิดใหม่ไม่ใช่ใครที่ไหน ออริของเราเอง(งิๆ)
จบไปอีกตอนแล้วน้อ...แต่ที่จริงไอ้เราก็ไม่อยากให้มีคานาตะนะ เพราะว่า....ค่ะ(ที่เว้นวรรคอันนั้นคนอ่านคิดเอาเน้อ)
อ้อ!!ที่จริงอันนี้เราไม่ได้บอกในบทนำ...แล้วก็อีกเรื่องคือฟิคนี้เป็นภาคแยกออกมาจากอนิเมะบัดดี้ไฟท์เอ็กซ์ตอนที่52 แล้วไรท์จะเขียนตอนที่53จะอยู่ในอีกฟิคหนึ่งและแน่นอนว่าไรท์แปลเป็นไทยมาอีกรอบ(ซึ่งมันคงไม่เหมือนในไทยหรอก) เอาเป็นว่าติดตามนิยายอีกเรื่องของไรท์---(???:: ไม่ต้องขายของแล้วเว้ย)
เอาเป็นว่าผู้อ่าน(เงา)ช่วยคอมเม้น กดติดตาม และกดให้กำลังใจให้ไรท์มีกำลังใจในการเขียนด้วยนะเออและจะบอกว่า...
(ลุงกินอีซี่กับสิ่งนี้(มั้ง))
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น