คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Bouba/Kiki effect เป็นแบบนี้นี่เอง
Bouba/Kiki Effect
คำถามแบบนี้ฝรั่งเล่นกันมาตั้งแต่ปี 1929 แล้วล่ะแต่ใช้คำอื่น เพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็น bouba และ kiki ก็ปี 2001 นี้แหละ จากการทำวิจัยพบว่า คนทั่วไปจะแสดงปรากฏการณ์ bouba/kiki ไปในทางเดียวกันถึง 90 - 98% แม้กระทั่งเด็ก 2 ขวบครึ่งยังตอบเหมือนผู้ใหญ่เลย แต่กลับพบว่าคนที่เป็นออทิซึมจะตอบแบบนี้แค่ 20-60% เอง (คนเป็นออทิซึมมักมีความบกพร่องทางด้านภาษา)
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าปรากฏการณ์ kiki/bouba เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางด้านภาษา และมันยังพิสูจน์ให้เห็นอีกอย่างว่าสมองของคนเราสามารถดึงเอาคุณสมบัติทางนามธรรม (ดังเช่นวิธีการเรียกชื่อ) ออกมาจากเสียงที่ได้ยินและรูปร่างที่ได้พบเห็น มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกันได้ (ก็เหมือนกับการอุปมาอุปไมยนั่นแหละ)
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการตั้งชื่อสิ่งต่างๆนั้นไม่ได้เป็นแบบโมเมตามใจข้าซะทีเดียว อย่างคำถามนี้้ ในจิตใต้สำนึกของเราก็มักจะเลือกชื่อ bouba มาจับคู่กับอะไรก็ได้ที่มีรูปร่างกลมๆมนๆ เพราะว่ามันสอดคล้องกับการที่เราต้องทำปากจู๋กลมๆเพื่อสร้างเสียงนี้ออกมา แต่กับรูปร่างหยักๆทื่อๆนั่น ก็ไปสอดคล้องกับวิธีที่เราต้องเกร็งปากเป็นมุมมากกว่าเพื่อสร้างเสียงหนักๆทื่อๆอย่าง kiki
ปรากฏการณ์แบบนี้อาจเทียบเคียงได้ในสังคมเรา เช่น ถ้าเราไปเจอะเจอกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เราก็อาจเหมาเอาว่าเค้าเป็นคนแบบไหนจากรูปร่างหน้าตาที่เห็นนั่นแหละ (เอ๊ะ! เกี่ยวกันไหมเนี่ย)
สำหรับคนที่ตอบไม่เหมือนคนอื่นเค้า...อย่างที่บอก สมองคงมีอะไรพิเศษจริงจริ๊งงง...อิๆ
ลองเอาไปลองเล่นกับเพื่อนดูนะ
อ่านเพิ่มเติม
http://en.wikipedia.org/wiki/Bouba/kiki_effect
http://www.santiagoiniguez.com/2007/11/the-bouba-kiki.html
http://cbc.ucsd.edu/pdf/brokenmirrors_asd.pdf
http://net.educause.edu/ir/library/pdf/ffp0402s.pdf
ความคิดเห็น