ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -- Zeles -- สงครามศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #5 : ตำนานบทที่ IV : โบสถ์เซเรส

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 49


    ตึก ! ตึก ! ... เสียงของคนสองคนกำลังเดินไปตามทางของสมาพันธ์จอมเวทย์แห่งเซเรียส ร่างหนึ่งคืออัสเทีย เธอยังคงความสง่างามไว้ได้ดั่งนางพญา และอีกคนก็คือเวอลัส “เวอลัส ... ไปกับชั้นได้ไหม ?” ... อัสเทียเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา เวอลัสยิ้มบาง ... ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ

    “เข้าใจละ ... งั้นเสร็จจากตรงนี้เราก็ไปเลยละกัน” อัสเทียว่า ... ที่เธอบอกว่าไปนั้น หมายถึงที่ใดกัน ? ...

    ทั้งสองเดินต่อมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่หน้าลูกแก้ว ลูกเดียวกับที่ทั้งสองมาตอนแรก ตุบ ! ทั้งสองคุกเข่าลงหน้ามันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงแล้วทำการสื่อสารกับมัน เสียงทุ้มแก่ ... ทรงอำนาจดังออกมาจากลูกแก้วนั้น ไม่อาจจะทราบได้ว่ามันดังขึ้นในหัวของทั้งสองหรือว่าดังก้องไปทั่ว

    “อัสเทีย ... เวอลัส ... ตกลงว่าเรื่องมิดัสเทลล์ ... ไปถึงไหนแล้ว ... ?”

    “... เอ่อ ...” น้ำเสียงของหญิงสาวดูลำบากใจ เธอลืมตาขึ้นเล็กน้อยแล้วเบือนไปมองเวอลัสนิดนึง แต่ก็เท่านั้นละ เพราะว่าเขาไม่พูดอะไรเลย ... เธอจึงหลับตาลงแล้วเอ่ยอีกครั้ง “เรา ... ไม่ทราบอะไรเลยค่ะ ราวกับว่า มีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เวทย์มนต์ของเราไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อยในดินแดนมิดัสเทลล์”

    “เหมือนกับ ... กำแพงสูงใหญ่ ที่มิอาจจะขยับได้แม้จะโดนพายุพัดซักเท่าไร” เสียงของเวอลัสดังขึ้น อัสเทียดูแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เขาก็พูดเพียงเท่านั้นไม่พูดอะไรต่ออีก อัสเทียถอนใจยาวแล้วกลับเข้าเรื่องต่อ

    “หากจะเข้าไป ... คงต้องส่งนักเวทย์ที่มีฝีมือเข้าไปดู ... ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้นค่ะ” อัสเทียเอ่ยแล้วเงียบรอคำตอบจากลูกแก้วนั้น ... แต่ก็ทำไปแล้วนี่นา และก็ไม่รอดกลับมาเลยสักคนด้วยซ้ำไป ...

    “..........” ไร้เสียงตอบจากลูกแก้วนั้นพักหนึ่ง “งั้นก็รีบจัดการซะ ตอนนี้ ... เราไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ที่มิดัสเทลล์กันแน่ แต่ดูจากสภาพการณ์แล้ว คงจะมีบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้นที่นั่น” เสียงนั้นพูดราวกับกำลังครุ่นคิด

    “ค่ะ (มันก็แหงอยู่แล้วละ ... ไม่คิดอะไรบางเลย)” อัสเทียคิดในใจ

    “เพราะฉะนั้น รีบจัดการให้เสร็จล่ะ ... อัสเทีย เธอก็เป็นผู้ที่มีพลังเวทย์ในระดับสูงคนหนึ่ง เธอมีเวลา ...”

    “สามสัปดาห์ ...”

    “ค่ะ (สามสัปดาห์งั้นรึ ? )” วูบ ... ลูกแก้วนั้นค่อย ๆ หรี่แสงลงแล้วร่างของเวอลัสกับอัสเทียก็ลุกขึ้นยืน ...

    “โชคร้ายนะ ...” เวอลัสเอ่ยเหมือนกับไม่ใส่ใจ “แค่สามสัปดาห์เอง ...”

    “ถ้าจะมาพูดเรื่องโชคร้ายละก็ ... ชั้นว่านายช่วยชั้นคิดหาทางออกกับเรื่องนี้ดีกว่านะ เวอลัส” อัสเทียเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ให้ตายเถอะ ... ตาแก่นั่ ... อุ๊บ !” อัสเทียรีบปิดปากเมื่อสังเกตุเห็นว่าลูกแก้วนั้นเรืองแสงขึ้นมาแว่บนึง เวอลัสหยิบกระดาษและพู่กันวาดเป็นหน้าคนหัวเราะส่งให้อัสเทียแล้วเดินหนี ...

    “เจ้าบ้าเวอลัส !” อัสเทียโวยวายเล็กน้อยแล้วเดินตามเวอลัสไป ...

    ทั้งสองเดินออกมาหน้าสมาพันธ์ซึ่งมีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่แล้ว ม้าที่ลากนั้นล้วนเป็นม้าสีดำสนิทดูแข็งแรงและน่าเกรงขาม เวอลัสค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนรถแล้วจึงตามด้วยอัสเทีย “นายนี่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยนะเวอลัส” อัสเทียบ่นอุบอิบ “รู้ไหมว่าเขาต้องให้ผู้หญิงขึ้นก่อนนะ”

    “..........” ไร้คำตอบจากชายตรงหน้าเขาหยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมาวาดหน้าคนแลบลิ้นส่งให้อัสเทีย นั่นคงหมายความว่า ... ‘ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่สน’ ล่ะมั้ง ? อัสเทียขมวดคิ้วแล้วปั้นกระดาษนั้นเป็นก้อนก่อนจะปาใส่หัวเขา ซึ่งเวอลัสก็ไม่ได้มีท่าทีจะว่าอะไร เขาก็นั่งเงียบของเขาต่อไป

    อัสเทียมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดอยู่เล็กน้อย แต่ก็สงบลงได้ รถม้าเคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ ... ตลอดระหว่างทางทั้งสองแทบจะไม่พูดอะไรเลย แต่เรื่องที่เวอลัสไม่พูดอะไรมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว อัสเทียชำเลืองมองเขาเป็นระยะ ราวกับว่าถ้าเขาสบตาเธอ เขาจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ เพราะว่าเวอลัสนั้นมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าตลอดเวลา ไม่มีทีท่าว่าจะหันมามองหน้าเธอเลย

    เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ... รถม้าค่อย ๆ ช้าลง ... แล้วหยุดนิ่ง ดูท่าว่าพวกเขาจะมาถึงจุดหมายแล้ว แอ๊ด ... เวอลัสเปิดประตูรถม้าออกแล้วหันไปหาอัสเทีย “... นายเปิดประตูให้ชั้นลง ?” อัสเทียถามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเท่าไรนัก เธอเดินออกไป สายตาจับจ้องที่ชายหนุ่มตลอดเวลาราวกับกลัวว่าเขาเป็นปีศาจปลอมตัวมา ก็มันแปลกจริง ๆ นี่นะ ตลอดเวลาที่คบกันมาเธอบ่นเขาเรื่องให้เกียรติผู้หญิง แต่ว่าเขาก็ไม่เคยสนใจและไม่เคยทำเลยแม้แต่น้อย จู่ ๆ มาทำแบบนี้ก็ไม่แปลกที่อัสเทียจะสงสัย

    เบื้องหน้าของทั้งคู่คือโบสถ์สีขาวบริสุทธิ์ดูศักสิทธิ์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหินอ่อนดูงดงาม ประตูโบสถ์ก็เป็นไม้ชั้นดีที่ถูกเลือกมาโดยช่างไม้ที่เก่งที่สุดของเมือง โบสถ์นี้ราวกับว่ามีมนต์ขลังอะไรบางอย่าง มนต์ขลังที่ทำให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวโบสถ์ได้ ตึก ... ตึก ... ทั้งสองก้าวขึ้นไปบนโบสถ์เซเรสช้า ๆ แล้วเข้าไปข้างใน พรมกำมะหยี่สีแดงปูยาวเป็นทางไปข้างหน้าจนถึงแท่นพิธี วันนี้ไม่มีคน ... ที่ด้านหลังแท่นพิธี ... คือรูปสลัก ใช่แล้ว ... รูปสลักเทพเจ้าที่ไม่มีวันผุพัง และเป็นสิ่งเดียวที่สมบูรณ์จากแสงแห่งสวรรค์เมื่อสงครามครั้งก่อน

    “........” อัสเทียมองไปรอบ ๆ ก็ไม่พบกับใครเลย ไม่มีแม้แต่บาทหลวง ... และร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาจากด้านหลังรูปสลักนั้น จะบอกว่างดงาม ... ก็คงไม่ผิด เรือนผมสีขาวออกฟ้าดูเยือกเย็น ดวงตาสีน้ำเงินดูน่าค้นหา เธออยู่ในชุดสีขาวยาวลงมาถึงขาดูศักสิทธิ์ แต่ก็ยังมีลวดลายสีน้ำเงินบ้าง กระโปรงผ้าขาวยาวมีลวดลาย และที่หลังของเธอนั้นก็มีคทายาวสีน้ำตาล ที่ปลายนั้นมีเพชรสีน้ำเงินสว่างติดเอาไว้ เธอยิ้มให้ทั้งสอง ... “เร็น ...” อัสเทียเอ่ยแล้วยิ้มบางก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงสาวตรงหน้า

    “สวัสดีค่ะ ... พี่อัสเทีย” เธอเอ่ยอย่างนอบน้อม และโค้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อัสเทีย “สวัสดีเช่นกันนะค่ะ คุณเวอลัส” ปกติเร็นนั้นจะคุยกับผู้ชายไม่ค่อยได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ? ทำไมเธอถึงคุยกับเวอลัสได้ ...คงเพราะว่าใบหน้าเรียบเฉยและความไม่ชอบพูดนั่นละมั้ง ? เร็นไม่รู้ว่าตนเองชอบมองดวงตาคู่นั้นของเขามาตั้งแต่เมื่อไร มันดู ... ลึกลึบ เหมือนกับรอให้เธอเข้าไปค้นหา ... คือเธออยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ ...

    “........” หงึก ... เวอลัสพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเร็นหมองลงชั่วครู่ แต่ก็กลับเป็นเหมือนเดิมจนไม่น่าจะมีใครสังเกตได้ “สวยนะ ...” เวอลัสว่าพลางมองไปทางเร็น สีหน้าของเธอและอัสเทียดูประหลาดใจอย่างมาก “รูปสลักน่ะ ... สวยมากเลย ...” เวอลัสว่าแล้วเดินไปยืนพิจารณารูปสลักเทพเจ้า

    แปะ ! อัสเทียเอามือแปะหน้าผากตัวเองอย่างหน่ายใจ ส่วนสาวน้อยนาม ‘เร็น’ ก็หน้าเสียเล็กน้อย ... เธอคงเข้าข้างตัวเองไปหน่อยล่ะมั้ง ? ... เจ้าหมอนี่ ... น่ากระทืบอย่างประหลาด อัสเทียคิดขึ้นมาในใจลึก ๆ “เอาละ ... มาคุยธุระกันเถอะค่ะ” เร็นว่าแล้วก็เดินนำเวอลัสและอัสเทียไปที่ด้านหลังรูปสลักนั้น

    ด้านหลังนั้น ... มีเพียงกำแพงเท่านั้น เร็นยกมือขึ้นแตะกำแพงด้านหน้าเบา ๆ แล้วพึมพำอะไรบางอย่าง หัวคทาของเธอส่องประกายสีฟ้าขึ้นมาชั่วขณะ ... กึก ... ครืด ... ! ! ... กำแพงนั้นสั่นเล็กน้อย มันค่อย ๆ ขยับเข้าไปด้านข้างเผยทางลับที่ลงไปใต้ดิน ทำไมพวกเขาต้องมาในสถานที่ลับตาคนเช่นนี้นะ ?

    สภาพภายในนั้นเหมือนกับเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีเสาหินเรียงรายนับสิบ และมีตู้หนังสือและตู้เก็บเอกสารจำนวนมากมายกระจายอยู่ทั่วห้อง มีโต๊ะไม้เก่า ๆ วางอยู่ตรงกลางห้อง เร็นเดินนำเวอลัสและอัสเทียไปยังโต๊ะไม้ตัวนั้น บนโต๊ะเต็มไปด้วยหนังสือและกองเอกสาร รวมทั้งแผนที่ของแผ่นทวีปด้วย บนแผนที่มีหมุดสีแดงปักไว้เป็นจุด ๆ ซึ่งส่วนมากจะปักไว้บริเวณชายแดนของสองทวีปใหญ่ “จากที่เห็น ... บริเวณหมุดเป็นบริเวณที่มีพลัง ‘มาร’ แผ่ออกมาจากบริเวณนั้นค่ะ”

    “แต่เราไม่สามารถเข้าไปลึก ... และสำรวจถึงมิดัสเทลล์ได้ หน่วยที่ไปก็ไม่กลับมาเลยสักคน” เร็นเอาผ้ามาปัดฝุ่นที่เก้าอี้แล้วนั่งลง เช่นเดียวกับอัสเทีย แต่ว่าเวอลัสนั้นเลือกที่จะยืนดีกว่า “... แล้วจากกองเอกสารเก่า ๆ พวกนี้ ...” ตุบ ! ! เร็นยกผ้าขึ้นปัดฝุ่นมันไปมา “ตำนานแห่งตระกุลแนซิส ... นรกชัง สวรรค์รังเกียจ” เร็นเอ่ย

    “ตระกุลที่เหนือปีศาจทั้งมวล เป็นผู้ปกครองพวกมัน และเป็นตระกุลที่ได้ชื่อว่า ‘ชั่วร้าย’ ที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกมา” เร็นยังอธิบายต่อขณะที่อัสเทียและเวอลัสนั่งฟังด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ท้องฟ้าเป็นสีเลือด เสียงกรีดร้องจะระงมทั่ว ยามใดสายเลือดผู้ทรยศปรากฎ จะถึงกาลจบสิ้น ...”

    “นี่ก็ ... เป็นคำทำนายที่ชั้นพบในเอกสารทั้งหมดละค่ะ” เร็นยิ้มบางแล้วประสานมือมองหน้าทั้งสองไปมา “คิดว่ายังไงค่ะ พี่อัสเทีย , คุณเวอลัส ?” เร็นถามทั้งสองแต่ใบหน้ากลับหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งเงียบซะมากกว่า

    “... คำทำนายพวกนี้ก็เหมือนกับที่อยู่ในห้องสมุดสมาพันธ์เลย มีอะไรใหม่ ๆ กว่านี้ไหม ? เร็น ...” อัสเทียเอ่ยถามพลางยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด เวอลัสก็ยังเงียบอยู่ ... แต่ท่าทางก็เหมือนกับว่ากำลังคิดอยู่บ้าง

    “ก็ ... มีที่ชั้นเจออยู่อันนึงน่ะค่ะ พี่อัสเทีย” เร็นก้มลงเหมือนกำลังควานหาอะไรบางอย่าง เธอหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาม้วนหนึ่ง แล้วกางออก ... เป็นแผ่นกระดาษยาวประมาณสามสิมเซนติเมตร แต่ว่าครึ่งท่อนบนนั้นเหมือนกับว่าถูกดึงออกไป “เป็นภาษาโบราณที่แกะความได้ยากมากเลยค่ะ” เร็นเอ่ย แต่ก็ยิ้มออกมา “แต่ว่าชั้นก็แปลออกมาจนได้”

    “ได้ความว่า ...”

    “ว่า ...” อัสเทียรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ แม้แต่เวอลัสก็มีสีหน้าสนใจมากเลยทีเดียว

    “โลกาวินาศสิ้น ฝูงปีศาจจากนรก ... เหยียบย่ำซากศพ ณ เดือน 7 ...” เร็นอ่านข้อความนั้นแล้วม้วนเก็บ “ดูท่าว่า ... ช่วงแรกที่หายไปจะไม่มีความสำคัญอะไรมากนะค่ะ แต่ที่สำคัญคือเวลาที่บอกไว้ในนี้ ...” เร็นยกมือขึ้นจับคางทำท่าคิด

    “อีกสองสัปดาห์จะเดือน 7 ...” อัสเทียเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับ “เมื่อรวมกับเรื่องประหลาด ๆ ตอนนี้และสถานการณ์ในมิดัสเทลล์ บอกได้เลยว่า ... มันมีโอกาสเป็นจริงสูงทีเดียว” เวอลัสพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

    “... เร็น เธอคิดว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี ในฐานะที่เธอเป็น ‘แสงสุริยา’ ...” อัสเทียเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้า

    “ถ้าเป็นชั้น ... ชั้นจะเตรียมการให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้ ไปรายงานองค์ราชา , หัวหน้าสมาพันธ์จอมเวทย์ และคนใหญ่คนโตทั้งหลาย โดยเสนอหลักฐานต่าง ๆ ที่เรามีให้พวกเขาพิจารณาค่ะ” เร็นว่าแล้วยกปลายนิ้วชี้ขึ้นจรดคางราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

    “... เข้าใจละ” อัสเทียว่าแล้วลุกขึ้นยืน เวอลัสก็เช่นกัน “ขอบคุณมากเร็น ... แล้วก็ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็รีบบอกเราด้วยนะ เธอรู้อยู่แล้วว่าจะตามหาชั้นได้ที่ไหน” อัสเทียยิ้มบาง ...

    ... รวมทั้งเวอลัสด้วย ...

    “.........” เร็นถึงกับนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งยามเมื่อประสบกับรอยยิ้มนั้น รอยยิ้ม ... ที่ตลอดเวลาไม่เคยมีใครเห็น กลับเผยให้เธอเห็น แม้จะเพียงชั่วครู่ แต่เธอก็แน่ใจ ...

    “เป็นอะไรน่ะเร็น ?” อัสเทียถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าเงียบไป ...

    “มะ ... ไม่มีอะไรค่ะ แล้วเจอกันนะค่ะ ...”

    -- กองทหารรับจ้าง ‘กุหลาบรัตติกาล’ –

    ที่ลานของกว้างหน้าค่ายนั้น มีร่างของคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ ... วูบ ! ตึง ! คมดาบใหญ่ฟาดลงกลางร่างหนึ่ง แต่ว่าร่างนั้นก็เบี่ยงตัวหลบได้อย่างทันท่วงที ! ด้วยแสงไฟจากคบเพลิงที่ร่างที่สามถืออยู่ ทำให้เห็นดวงตาสีดำขลับดูสงบ ในชุดเกราะสีดำสนิททั้งตัว และดาบยักษ์ไร้คมอันมีเอกลักษณ์ ‘อิอาซัน วอร์คราย’ หรือ ‘อิซ’ นั่นเอง

    วูบ ! เคร้ง ! ฟ้าว ! ร่างบางนั้นเหวี่ยงดาบคู่เข้าปะทะกับอิซอีกครั้ง ! ดาบเล่มนึงฟาดลงสกัดดาบของเขา และอีกเล่มก็ถูกวาดเข้าใส่อิซจากด้านข้าง ! เคร้ง ! อิซยกเกราะแขนขึ้นเบี่ยงทิศทางมัน “ฮ่า ฮ่า ! มีแค่นี้เองเหรออิซ !” น้ำเสียงดูร่าเริงและแฝงไว้ด้วยความดูถูกอันเป็นเอกลักษณ์นั้น ผมสีเงินยาวสลวยสะท้อนกับแสงจากคบเพลิง ‘รีรีส’ ...

    “พูดมากจริงเลยเธอนี่ สู้เงียบ ๆ ไม่เป็นหรือไง ?” วูบ ! ฟ้าว ! อิซยกดาบของตนขึ้นแล้วหมุนตัวเหวี่ยงมันเข้าใส่รีรีสราวกับตั้งใจจะผ่าเธอออกเป็นสองท่อน หากบุคคลภายนอกมาเห็น คงนึกว่าพวกเขาคิดจะฆ่ากันจริง ๆ เลยล่ะ แต่นี่ก็เป็นเพียงแต่การฝึกซ้อมเท่านั้น ใช่ ... ทั้งสองจะมาฝึกกันเป็นประจำเพื่อพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง ต่างจากอัศวินบางพวกที่เห็นว่าบ้านเมืองสงบสุข ก็เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในป้อม

    แต่กับทหารรับจ้างเหล่านี้ มันไม่ใช่ ... พวกเขาสู้เพื่อเงิน สู้เพื่อปกป้องชีวิตของตน ไม่สนเรื่องศักศรีดิ์ที่พวกอัศวินชอบพูดกันเลยสักนิด ‘ศักศรีดิ์มันกินไม่ได้ และไม่ช่วยให้เรารอดจากสนามรบ’ อิซเอ่ยคำนี้บ่อย ๆ ‘ทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตคู่ต่อสู้’ ... คือสิ่งที่อิซใช้ยามที่เขากวัดแกว่งดาบยักษ์เข้าใส่เหล่าข้าศึก

    “... ก็ชั้นมันคนแบบนี้นี่ !” รีรีสตะคอก ฟุบ ! เปรี้ยง ! รีรีสเอ่ยพร้อมกับยกดาบเล่มนึงขึ้นแล้วซัดมันเข้าใส่ใบหน้าของอิซทันทีด้วยความรวดเร็ว แล้วตัวเธอก็พุ่งตัวตามดาบเล่มนั้นเข้าไปเพื่อซ้ำเขาซะ กลยุทธ์นี้ของเธอทำให้เธอชัยเหนือแม่ทัพของเมืองต่าง ๆ มามากแล้ว

    วูบ !! เสียงของดาบยักษ์แหวกอากาศเข้าฟาดกลางแสกหน้าของรีรีส มันสะท้อนดาบของเธอจนกระเด็นออกไป แล้วตอนนี้กำลังจะแบ่งเธอออกเป็นสองซีกแล้วด้วย !

    “โธ่เว้ย ! ชั้นเป็นผู้หญิงนะอิซ ! อึก !” เคร้ง !! รีรีสยกดาบที่เหลืออยู่เพียงเล่มเดียวรับขึ้นดาบยักษ์นั้น ถ้าไม่ใช่เพราะอิซออมแรงไว้ ร่างของเธอคงจะโดนผ่าไปแล้วละ แต่เพราะว่าเธอนั้นเป็นผู้หญิงที่มีแรงฮึดมาก ! เรื่องแค่นี้คงไม่เป็นอุปสรรคต่อเธอแน่นอน

    “หนอย ... อิซ ...” รีรีสเอ่ยพลางกัดฟันแน่น มือยังคงถือดาบต้านดาบยักษ์นั้นไว้อย่างมั่นคง ขณะที่ชายตรงหน้าก็ออกแรงกดดาบลงมาเรื่อย ๆ สีหน้ายังคงจริงจังตอลดเวลา

    “ใช้แรงอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ ... เธอยังอ่อนหัดรีรีส ...” อิซเอ่ยขึ้นมาขณะที่กดดาบลงไป และคำพูดนั้นก็ทำให้เธอเกิดอาการฉุนขึ้นมาในทันควัน ...

    “หมายความว่ายังไงกันยะ !! ... ถ้าไม่มีชั้นร่วมสู้ละก็ ! ป่านนี้แกเป็นศพไปแล้วละ ! ชั้นน่ะเก่งกว่าผู้ชายหลาย ๆ คนอีกนะ !” คำพูดอันไม่เป็นกุลสตรีสักนิดหลุดออกมาจากปากของหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง อิซขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเริ่มกดดาบแรงมากขึ้น ... “ไ อ้บ้าเอ้ย ! ชั้นก็ผู้หญิงนะ ! ! ... หัดเบามือบ้างเซ่ !” การพูดอย่างโลเล ... เอกลักษณ์ของเธออีกอย่าง

    ครืด ! ! ... รีรีสเพิ่มแรงเต็มที่แล้วดันดาบของอิซขึ้นได้ในชั่วขณะนั้น อาจจะด้วยแรงบ้าหรือแรงอะไรซักอย่าง อิซตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ขนาดผู้ชายแค่ถือดาบของเขายังถือไม่ไหวเอาเลย แต่หญิงสาวตรงหน้ากับดันมันขึ้นได้ แม้ว่าอิซจะออมแรงไว้ก็ตามทีเถอะ

    ฟุบ ! “เสร็จล่ะอิซ !!” รีรีสแสยะยิ้มแล้วเหวี่ยงดาบเข้าใส่คอของอิซทันที ฟุบ ! เคร้ง !! ... แต่ผิดคาด อิซถือดาบด้วยมือข้างเดียวแล้วยกแขนที่สวมเกราะแขนขึ้นมาสกัดการโจมตีของรีรีส รีรีสขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเคือง ๆ แล้วค่อย ๆ ละดาบออกมาช้า ๆ แล้วก็เดินไปเก็บดาบที่ตกอยู่ที่พื้นด้วย แกร่ก ! เธอเก็บดาบเข้าฝัก

    “... อย่าใช้อารมณ์สิ รีรีส เธอนะต่อสู้ไม่มีแบบแผนเลยรู้ไหม ? เหมือนกับ ... เอาตัวเข้าแลกอย่างนั้นแหละ ระวังเถอะจะตายเปล่าในสนามรบ ...” อิซว่าแต่ถึงอย่างนั้น ... เขาก็ไม่กล้าว่าอะไรมากกว่านี้ เพราะตัวของเขาก็ถือว่า ‘ใช้แรงเข้ารับ ใช้ตัวเข้าแลก’ คล้าย ๆ เธอ แต่ว่าเพราะเขาเป็นผู้ชาย และอาวุธของเขาก็เหมาะกับการต่อสู้แบบนั้นด้วยสิ

    “ชั้นก็มีชีวิตของชั้นเอง ... อย่ามายุ่งกับชั้น ชั้นจะเป็นยังไงก็เรื่องของชั้น” รีรีสว่าแล้วเดินไปหาหญิงสาวอีกคน “เอาแค่ว่าเวลาออกรบชั้นเอาตัวรอดได้ แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง ? ไปกันเถอะ พี่จิล” รีรีสคว้ามือของหญิงสาวที่ถือคบเพลิงเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายดูงดงาม แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกภายใน ผิวสีน้ำผึ้งน่าสัมผัส ดวงหน้าได้รูป ผมสีน้ำตาลแดงที่มัดไว้ยาวจนถึงบริเวณเข่า อยู่ในชุดเสื้อแขนกุดเว้าโชว์สะดือโทนแดงออกดำเป็นชุดประจำ กระโปรงผ่าสูงถึงต้นขา ต่างหูที่ทำจากหินก้อนเล็ก ๆ หลาย ๆ ก้อนร้อยติดกัน โดยรวมแล้วเป็นเหญิงสาวที่มีเสน่ห์เย้ายวนมากเลยทีเดียว

    “... ไปก่อนเถอะนะรีรีส ... ชั้นขอคุยกับอิซก่อน” จิลเอ่ยแล้วยิ้มให้กับหญิงสาวที่จับมือเธออยู่ รีรีสมองหน้าอิซอย่างไม่พอใจเล็กน้อยแล้วปล่อยแขนจิล ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองทั้งสองแม้แต่น้อย

    หลังจากรีรีสไปแล้ว ... ทั้งสองก็เงียบ ... บรรยากาศดูอึมครึมยิ่งนัก อิซคงจะอึดอัดเขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

    “... ช่วยดูแลรีรีสด้วยจิล” อิซว่า ตึง ! เขาปักดาบลงกับพื้นแล้วมองหน้าหญิงสาวตรงหน้า ถึงแม้ว่ารีรีสนั้นจะอายุอ่อนกว่าพวกเขาทั้งสองเพียงปีเดียว แต่ว่าเธอนั้นขาดอะไรบางอย่างที่พวกเขาทั้งสองไม่มี บางอย่างที่สำคัญ ... สำคัญมากทีเดียว “หากยังเป็นแบบนี้อีก ยามเข้าสู่สนามรบจะแย่เอานะ” อิซเอ่ย ตุบ ! ... เขานั่งลงกับพื้นโดยมีดาบยักษ์ปักอยู่ข้างตัว

    “นายก็ผิดนะอิซ ...” จิลเอ่ยขึ้นมา ดวงตากลมโตของเธอมองหน้าชายตรงหน้า มือขยับขึ้นมากอดอก “... นายควรจะใช้คำพูดให้ดีกว่านี้ ลองพูดดี ๆ กับเธอดูบ้าง ยังไงซะ ... รีรีสก็เป็นผู้หญิงนะ”

    “... ชั้นรู้น่า แต่เธอก็รู้ดีนี่ ชั้นพูดดีเป็นที่ไหนกัน ?” อิซย้อน …

    “หัดกันได้ ถ้านายอยากจะทำ” จิลเอ่ย ควับ ! ควับ ! ฟุบ ! ... เธอดึงมีดสั้นออกมาแล้วควงมันไปมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วจึงเก็บเข้าที่เดิม ที่เธอทำไปก็แค่อยากทำเท่านั้นละ ... “ในฐานะผู้นำ ชั้นเชื่อว่าด้านความสามารถนายมีอยู่เต็มที่ ขาดเพียงแต่ ...”

    “... การคิดถึงจิตใจผู้อื่นเท่านั้นล่ะ” จิลว่า ... “มันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ‘ความสามารถ’ ... ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ความจงรักภักดีต่อผู้บังคับบัญชา เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ... นายควรจะเปิดใจมากกว่านี้อิซ” จิลหันหลังแล้วทำท่าจะเดินจากไป

    “ตอนนี้นายอาจจะไม่เห็นผล แต่ในอนาคต ... พวกลูกน้องอาจจะเริ่มหมดศรัทธาในตัวนายเพราะนิสัยของนาย หัดเข้าไปสังสรรค์กับพวกเขาบ้าง” จิลเดินจากไปเรื่อย ๆ อิซมองแผ่นหลังของเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “คนเรานะ อยู่คนเดียวตลอดไปไม่ได้หรอกนะ จะเชื่อชั้นหรือไม่ก็ตาม ท่านหัวหน้า ‘กุหลาบรัตติกาล’ อิอาซัน วอร์คราย” แล้วเธอก็เดินหายไปในความมืด มีเพียงอิซที่นั่งอยู่ตรงนั้นกับคบเพลิงที่เริ่มหรี่ลงเต็มที ...

    “... งั้นรึ ...” คำพูดสุดท้ายของเขา ณ ค่ำคืนนี้ ...

    ...

    ....

    .....

    -- โรงแรมเมืองเซเรียส –

    ก๊อก ! ก๊อก ! ก๊อก !

    เสียงเคาะประตูดังอย่างต่อเนื่องที่หน้าห้องของเอลวิส อลิซนั่นเอง “เฮ้ ! เอลวิส เปิดซะทีเซ่ ! ... ชั้นเคาะเป็นชาติแล้วนะ ! ถึงจะเข้าห้องน้ำก็ไม่น่าจะเข้านานขนาดนี้นี่นา !” ปึง ! เธอทุบประตูแล้วตะโกน

    “หรือว่า ... หมอนั่นจะสอบอัศวินไม่ผ่านแล้วฆ่าตัวตาย !!” อลิซแววตาเบิกโพลงแล้วยกมือขึ้นกุมหัวกับจินตนาการของตน “.........” เธอมองประตูแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ปึง ! ปึง ! อลิซเริ่มทุบประตู “อย่าล้อเล่นกันน่า ! เฮ้ ! สอบไม่ติดก็อย่าฆ่าตัวตายซี่ !”

    ตอนนั้นเองที่แม่บ้านของโรงแรมก็เดินขึ้นมาพอดี “อ้าว ? คุณลูกค้าค่ะ อย่าทุบประตูแบบนั้นสิค่ะ เดี๋ยวประตูก็พังหรอก” เธอบ่นอลิซ อลิซหันมาใบหน้าไร้รอยยิ้ม

    “ก็เจ้าคนข้างในมันไม่ยอมออกมาซะทีนี่ ! ...” อลิซพูดเสียงดัง ...

    “อ๋อ ... ถ้าเป็นหนุ่มเจ้าของห้องผมสีเงินคนนั้นละก็ ออกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะค่ะ รู้สึกจะสอบเข้าเป็นอัศวินได้แล้วน่ะค่ะ อิชั้นเห็นตราที่ติดอยู่บนเสื้อเขา” แม่บ้านคนนั้นทำท่าคิด

    “.........” อลิซเงียบไปครู่หนึ่ง ... แถมดันหนีถูกเวลา ไปตอนเธอนอนกลางวันซะอีก ... “เจ้าเอลวิส ! !”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×