คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตำนานบทที่ IX : ลางร้าย
-- ตำนานบทที่ IX : ลางร้าย --
“... ... ...” เวอลัสเดินเข้าไปช้า ๆ แล้วเผชิญหน้าสามคนที่ยืนอยู่ข้างใน เบื้องหน้ารูปปั้นเทพเจ้า ... ร่างหนึ่งที่นั่งคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเวอลัส เรือนผมสีฟ้ายาวสลวย นัยน์ตาสีม่วงดูงดงามราวกับอัญมณี อยู่ในชุดเกราะใหญ่สีเงิน ... ผ้าคลุมสีดำปักลายไม้กางเขนสีทองไว้ ... เวอลัสรู้แทบจะทันทีว่าเธอเป็นใคร ... เครื่องแต่งกายแบบนี้ ความสง่างามแบบนี้
... อัศวินแห่งศาสนจักร ผู้ยึดถือในวิถีทางแห่งพระเจ้า ...
“... พวกท่านคือ ?” เวอลัสเป็นฝ่ายถาม สายตากวาดไปทั่วห้อง คนหนึ่งคือคนที่เขาตั้งใจจะมาหา ‘เร็น มิสติน่า’ ... สีหน้าของเธอยามนี้ดูเศร้าอย่างประหลาด เธอเพียงแต่ยิ้มให้เขาไม่เอ่ยคำทักทายใด ๆ แม้แต่น้อย ส่วนอีกคนหนึ่งคือหญิงสาวในชุดเกราะแบบเดียวกับคนแรก ผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาเรียวสีแดงทับทิมดูงดงามไม่แพ้เธอคนแรก น่าแปลก ... น่าแปลกที่อัศวินแห่งศาสนจักรจะมาในที่แบบนี้ เพราะถึงพวกเธอจะขึ้นตรงกับสังฆราชแห่งเซเรียสก็ตามที แต่ว่าพวกเธอนั้นมักจะอยู่ที่กองอัศวินเป็นส่วนมาก จะมีเพียงแต่พวก ‘แสงสุริยา’ เท่านั้นที่จะประจำอยู่ที่โบสถ์แบบนี้
“หากคิดจะถามชื่อผู้ใด ... จงเอ่ยนามของท่านมาก่อน ...” หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย นัยน์ตาคู่สวยนั้นหรี่ลงเล็กน้อย ... ดูราวกับว่าเธอไม่พอใจชายตรงหน้า
“... ขออภัย ...” กึก ... เวอลัสโค้งให้เธอ “... เวอลัส เฮช. เบเลเกลีย ...” เขายืนตรง ดวงตาสีเทาเย็นชานั้นจ้องตอบหญิงสาวโดยไม่มีท่าทีหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย “... สังกัด ‘จันทราวินาศ’ จอมเวทย์ระดับสูง” เขาแจ้งสังกัด
“เรา ... ‘เซเรีย โครสแซงค์’ ... อัศวินแห่งศาสนจักร หัวหน้ากอง ‘เปลวสุริยา’ ...” หญิงสาวเจ้าของนาม ‘เซเรีย’ แนะนำตัว เวอลัสมองเธออย่างอดทึ่งไม่ได้ ... ทั้ง ๆ ที่อายุน่าจะพอ ๆ กับเขา แต่ได้เป็นถึงหัวหน้ากอง และยังความสง่างามหาใครเทียบนั่นอีก ช่างแตกต่างจากอัศวินธรรมดาอย่างสิ้นเชิง “มาที่นี่เพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่างตามคำสั่งท่านสังฆราชแห่งเซเรียส”
“... ‘ไอริส เบลโลนิส’ ...”
เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาขณะที่เซเรียกำลังพูดอยู่ หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยิ้มบาง โดยไม่สนใจใบหน้าเย็นชาที่ถูกส่งมาโดยเซเรียแม้แต่น้อย “ยินดีที่ได้รู้จัก จอมเวทย์แห่ง ‘จันทราวินาศ’ ...” เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มสดใสร่าเริง ท่าทางและบุคลิกดูผิดจากเซเรียมากพอดู
“... เช่นกัน ...” เวอลัสพยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเร็น “... ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม ? ...”
“เรายังจัดการธุระของเราไม่เสร็จ ! กรุณาอย่าเสียมารยาท ...” เสียงอันทรงอำนาจและเด็ดขาดถูกส่งมาโดยหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วง ดวงตาของเธอหรี่ลงสายตาจับจ้องที่เร็นและเวอลัสราวกับว่าจะกรีดร่างของพวกเขาเป็นเสี่ยง ๆ เร็นพยักหน้าให้เวอลัสเล็กน้อยแล้วจึงเดินเข้าไปหาเซเรีย เธอคงหมายความว่าให้เขานั่งรอไปก่อน ไว้เสร็จจากตรงนี้แล้วจะคุยด้วย ...
... เธอคนนี้อ่อนโยน และเป็นเด็กดีเสมอ ในสายตาของชายหนุ่ม เธอคงจะเปรียบเสมือนน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง ...
ทั้งสามพากันเดินลงไปที่ชั้นใต้ดิน ที่เวอลัสและอัสเทียเคยลงมา ... ดูท่าทางเร็นนั้นจะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งเลยทีเดียว หน่วยงานต่าง ๆ ถึงได้มาหาข้อมูลและปรึกษาเธอเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เวอลัสนั้น ... สักพักเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามทั้งสามลงไป เซเรียส่งสายตาตำหนิมาที่เขาเล็กน้อย แต่เวอลัสก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉย และนั่น ... ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดพอดู แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์สั่งห้ามเขาได้ ในเมื่อต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกัน ...
... ไม่ว่าจะเป็น ‘แสงสุริยา’ ... ‘จันทราวินาศ’ ... หรือ ‘เปลวสุริยา’ ก็ล้วนแต่ต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินและสิ่งที่ตนเชื่อทั้งนั้น ...
... ฮึ ... ดูท่าจะมีปัญหาด้านมิดัสเทลล์ ...
เวอลัสคิด ... และแน่นอนว่าเขาคิดไม่ผิด เซเรียนั้นกางแผนที่ออกมาแล้วติดหมุดลงไปที่ชายแดนซึ่งเชื่อมระหว่างสองทวีปสองสามจุด แต่คราวนี้มันล้ำเข้ามาในทวีปของพวกเขาอีกพอสมควร “... ตอนนี้ ... บริเวณนี้ถูกทำลายจนหมด จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิต บอกว่าเป็นฝีมือ ... ‘ปีศาจ’ ...” เซเรียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“... คุณเวอลัสคะ ...” เร็นเรียกเขา เวอลัสเดินเข้ามายืนข้าง ๆ เธอพร้อมกับชี้ลงไปที่บริเวณหมุดเหล่านั้นอย่างรู้งาน
“... ทางด้านจันทราวินาศที่ส่งเข้าไปก็ไม่กลับมาเลยสักคนเดียว ...” เวอลัสพูดแล้วเงยหน้ามองหน้าเซเรียกับไอริส เซเรียยังคงทำหน้าเครียด และดูไม่พอใจ ส่วนไอริสนั้นยังคงยิ้มอยู่ ราวกับว่าเรื่องที่คุยอยู่นี้เป็นเพียงเรื่องสนุกเท่านั้น “... เราแจ้งไปทางผู้อาวุโส ... แต่พวกเขาก็ยังไม่บอกอะไรกับเรา ถ้ายังไง ... ขอรู้เรื่องทางด้าน ‘อัศวินแห่งศาสนจักร’ ได้ไหม ?” เวอลัสถามเซเรียด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ ...
“... ฮึ ...” เซเรียมีท่าทีลังเลอยู่ครู่นึง แล้วหยิบหมุดขึ้นมาปักที่จุด ๆ หนึ่งบริเวณตรงกลางชายแดนระหว่างสองทวีป “... ตรงนี้ ... ไม่มีใครรอดกลับมาเลยแม้แต่คนเดียว แต่ทางเบื้องบนก็ยังไม่แจ้งอะไรเรา ...” ดูท่า ... เซเรียและไอริสจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเวอลัสและอัสเทีย นั่นคือพวกที่อยู่ในระดับสูงไม่บอกอะไรพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
“... เพราะงั้นพวกท่านก็เลยต้องมาที่นี่ มาค้นหาความจริงเองใช่ไหม ? ...” เวอลัสพูดเรียบ ๆ ตุบ ... เขานั่งลงบนเก้าอี้ “... นึกว่าจะมีแต่พวกเรา ... ที่มีความรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ...” เวอลัสว่า เร็นมองเขาอย่างแปลกใจ เพราะปกติ เขาแทบจะไม่พูดเลยแม้แต่น้อย
ทางด้านเวอลัสนั้นเขาก็แปลกใจในตนเองอยู่ไม่น้อย ราวกับนิสัยของเขาเปลี่ยนไป แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว “... เพราะงั้น ที่บอกว่าเป็นคำสั่งของสังฆราชเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เรื่องจริง ผมพูดถูกไหม ?” เวอลัสพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“.........” เซเรียมองหน้าเวอลัส คิ้วติดกันใบหน้าดูไม่ค่อยพอใจ “ตามที่คุณว่ามา ถูกแล้ว ... จันทราวินาศ ...” เซเรียเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทวีความเย็นชามากขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่สามารถทำให้ชายตรงหน้าเธอรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับไปทำคิ้วขมวดใส่รูปปั้นก็ไม่มีผิด
“... การที่ท่านอ้างชื่อของท่านสังฆราชแบบนั้น ย่อมผิดกฎอย่างแน่นอน แต่ผมก็ไม่คิดที่จะเอาไปบอกใคร” เวอลัสเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉย แววตาสีชานั้นดูลึกลับมากขึ้นไปอีกเมื่อรวมกับใบหน้านั้น เซเรียไม่พูดอะไรรอให้เขาพูดต่อ ไอริสนั้นยิ้มแล้วพยักหน้าน้อย ๆ อย่างอารมณ์ดี
“... พวกเราต่างตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หากแลกเปลี่ยนข่าวสารเท่าที่ต่างฝ่ายต่างรู้ เราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพวกคนระดับสูงเลยแม้แต่น้อย” เวอลัสเสนอความคิด เซเรียพยักหน้า เร็นนั้นยังดูแปลกใจอยู่ เธอนั้นก็รู้จักเวอลัสมานานพอสมควร แต่ไม่เคยเห็นเขาพูดมากขนาดนี้เลยสักครั้งเดียว ปกติจะเห็นเพียงแต่พยักหน้าหรือส่ายหน้าเท่านั้น
“... เข้าใจแล้ว ...” เซเรียพยักหน้า “ทางพวกเราจะไปค้นในห้องสมุดของกองอัศวิน ... เผื่อจะรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้” เซเรียว่าแล้วค่อย ๆ ม้วนแผนที่แล้วส่งให้ไอริสถือ เธอใช้นิ้วหมุนไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว ท่าทีของเธอนั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะคบกับเซเรียได้ ... ไม่สิ เพราะต่างกัน ถึงเติมเต็มในส่วนที่ขาดกันได้ต่างหากละ ...
“... แล้วเจอกัน อัศวินแห่งศาสนจักร ...” เวอลัสโค้งเป็นพิธี ไอริสและเซเรียโค้งตอบ จากนั้นทั้งคู่จึงเดินออกไปจากห้องใต้ดินนี้ และพบกับชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้ารูปปั้นเทพเจ้า เซเรียและไอริสชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโค้งให้กับชายตรงหน้าช้า ๆ
“สวัสดีค่ะ ... หลวงพ่อยูซิส ...” เซเรียเอ่ยอย่างเป็นพิธี “ไม่ได้เห็นท่านที่นี่นานแล้ว กลับมาจากสมาพันธ์จอมเวทย์แล้วหรือคะ ?” เซเรียยืนตัวตรง ดูท่า ... บุรุษตรงหน้าเธอนั้นจะเป็นคนสำคัญมากทีเดียว
“... สวัสดี เหล่าอัศวินแห่งศาสนจักร” ชายตรงหน้าเธอยิ้มอย่างอบอุ่น รอยยิ้มราวกับเทพบุตร ดวงหน้าขาวสะอาด นัยน์ตาสีเหลืองฉายประกายอ่อนโยน เรือนผมสีเขียวเข้มชี้แหลมไปด้านหน้า อยู่ในชุดนักบวชชั้นสูงสีดำขลับดูสง่างาม เขาคือ ‘ยูซิส เดวิอาโน’ ... รองสังฆราชแห่งเซเรียสผู้มีอำนาจสูงรองจากสังฆราชแห่งเซเรียส
“สวัสดีค่ะ ท่านยูซิส” ไอริสยิ้มบางแล้วโค้งให้กับยูซิส เขายกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องเป็นพิธีอะไรมากนัก
“... พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่รึ ? อัศวินผู้รับใช้พระเจ้า บอกพ่อหน่อยได้ไหม ?” ยูซิสยิ้ม ... รอยยิ้มของชายคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเมื่อไร มันก็ยังดูอ่อนโยนสมกับเป็นรองสังฆราชผู้อุทิศตนรับใช้พระเจ้า ตลอดมายูซิสนั้นเป็นผู้ที่คอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ในโบสถ์และกองอัศวินแห่งศาสนจักร เนื่องจากว่าสังฆราชคนปัจจุบันของเซเรียสนั้นเริ่มชราภาพมาก และยังมีโรคร้ายอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ยูซิสจึงรับหน้าที่คอยจัดการเรื่องต่าง ๆ แทน เขาเป็นที่รักของหลาย ๆ คน เพราะว่าเขาจะคอยแก้ปัญหาให้ผู้คนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แม้แต่คนจรจัดเขาก็ยังช่วยเหลือโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ และยังเป็นอาจารย์สอนเวทย์แสงที่มีลูกศิษย์นับถือมากมายอีกด้วย
“อ่า ... เอ่อ ... คือ ...” เซเรียไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดี เพราะว่าอัศวินแห่งศาสนจักรก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผลให้เข้าโบสถ์เสียด้วย เนื่องจากว่าที่กองอัศวินนั้นจะมีห้องสำหรับสวดมนต์อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเดินทางมาถึงที่โบสถ์เซเรส
“พวกเรามาช่วย ‘เร็น มิสติน่า’ จัดห้องสมุดน่ะค่ะ ... เผอิญเธอเป็นเพื่อนของพวกเรา แล้วเธอก็จัดคนเดียวคงลำบาก เลยพากันมาช่วยเธอน่ะค่ะ ...” ไอริสเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เซเรียพยักหน้าหงึก ๆ สนับสนุนทันที
“... อย่างงั้นรึ ? งั้นพ่อไม่รบกวนแล้วล่ะ เชิญตามสบายเลย ...” ยูซิสยิ้ม ... แล้วค่อย ๆ นั่งลงต่อหน้ารูปปั้นเทพเจ้า ก่อนจะเริ่มสวดมนต์อีกครั้งหนึ่ง เซเรียและไอริสเดินออกมาจากโบสถ์ รถม้าสีขาวดูสง่างามมาจอดรอพวกเขาอยู่แล้ว ไอริสเดินเข้าไปก่อนแล้วจึงตามด้วยเซเรีย
ก๊อก ! ก๊อก ! ก๊อก !
ไอริสเคาะกระจกที่ติดกับสารถี ก่อนจะหันไปหาเซเรียที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย “... ไปที่นั่นไหมเซเรีย ?” ไอริสถามด้วยรอยยิ้ม เซเรียเบือนสายตามาทางไอริส ก่อนที่จะพยักหน้าน้อย ๆ ไอริสยิ้มแล้วเอ่ยกับสารถี
“... ไปกอง ‘มังกรแห่งเซเรียส’ ค่ะ ...”
“ครับ ... ฮ่า !” สารถีรับคำแล้วจึงบังคับรถม้าให้วิ่งออกไป ... ห่างออกจากโบสถ์เซเรสไปเรื่อย ๆ ... จนในที่สุดก็ลับสายตา ทางด้านยูซิสที่นั่งสวดมนต์อยู่นั้น เมื่อเขาเห็นว่าสองสาวอัศวินนั้นได้จากไปไกลแล้ว เขาก็หยุดสวดมนต์แล้วลุกขึ้นยืนช้า ๆ ตึก ตึก ... เขาค่อย ๆ เดินดูสภาพโบสถ์โดยทั่วแล้วมาหยุดที่หน้ารูปปั้นเทพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
“... พระเจ้า ...” ยูซิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แปลกออกไป ... รอยยิ้มปรากฎขึ้น แต่ว่าแตกต่างจากรอยยิ้มทุกครั้ง รอยยิ้มครั้งนี้ดูน่ากลัว ... และแฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายอย่างประหลาด มือของยูซิสค่อย ๆ เอื้อมไปสัมผัสกับรูปปั้นเทพเจ้านั้น ...
อุ๊ บ ! ! ...
ยูซิสรีบชักมือของตนกลับมาแทบจะในทันที ฉ่า ... นิ้วมือของเขาทั้งห้านั้นเป็นรอยไหม้ราวกับไปแตะเหล็กที่ลนไฟ “... ฮึ ...” ยูซิสแสยะยิ้ม แผลไหม้ที่มือของเขาค่อย ๆ สมานกันจนกลายเป็นปกติ “... ก็ทำได้แค่นี้ล่ะ ...” เขาเงยหน้ามองรูปปั้นเทพเจ้าตรงหน้า
“... ฮึ ฮึ ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า !” ยูซิสหัวเราะออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ สีหน้าดูสะใจอย่างประหลาด รอยยิ้มดั่งพ่อพระหายไปจนหมดเหลือเพียงแต่รอยยิ้มที่แสนน่ากลัว “... มาเยี่ยมเพื่อนอย่างงั้นรึ ? ... พวกอัศวินนี่โกหกไม่เก่งเลย ฮึ ฮึ ... เป็นเพื่อน ... แต่เรียกซะเต็มยศเลย แถมพวกอัศวินก็ไม่ได้ว่างงานแบบนั้นซะด้วย ...”
“... เอาเถอะ” ยูซิสเอ่ย สายตายังจับจ้องที่รูปปั้นเทพเจ้านั้น “... เชิญค้นหาความจริงกันให้เต็มที่ ...”
พรึ่บ ! ... ยูซิสหันหลังให้กับรูปปั้นเทพเจ้า เสื้อคลุมนักบวชปลิวเล็กน้อยดูสง่างาม เพียงแต่สีหน้านั้นราวกับปีศาจก็มิปาน ... รอยยิ้มนั้น หากผู้ที่รู้จักเขาได้เห็น คงจะหมดศรัทธาไปเลยทีเดียว ... เขาก้าวออกไปจากโบสถ์ ... ฉับพลันที่เขาก้าวออกมา ร่างของเขาก็หายไป ...
“...........” แปล๊บ ! ...
“อึก ! ! ...” ตุบ ! จู่ ๆ เวอลัสก็รู้สึกแสบที่รอยสักซึ่งอยู่กลางหลังขึ้นมาอย่างแรง ตุบ ! เข่าของเขาทรุดลงกับพื้น พร้อมกับมือที่ใช้ยันพื้นเอาไว้อย่างอ่อนแรง เร็วรีบเข้ามาดูอาการของเขาทันที มือของเวอลัสกุมที่หน้าอก สีหน้าดูซีดเซียวทรมาน
“คุณเวอลัส !” เร็นก้มลงดูอาการเขา “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ !?” ...
“... ฟู่ ...” เวอลัสพ่นลมออกมาเบา ๆ สีหน้ายังไม่ค่อยดีนัก เขาพยายามใช้พลังเวทย์ในตัวสะกดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เวอลัสลุกขึ้นยืนช้า ๆ “... ไม่เป็นไรแล้ว ...” เขาเอ่ย “... ที่ชั้นมาหาเธอ ก็เพราะสาเหตุนี้ล่ะ ‘เร็น มิสติน่า’ ...” เวอลัสค่อย ๆ ถอดเสื้อนอกของตนออกแล้วพาดไว้ที่เก้าอี้
“... ชั้นเชื่อใจเธอ สิ่งที่ชั้นจะเล่าต่อไปนี้ถือว่าเป็นความลับ ซึ่งจะมีแต่ชั้น , อัสเทีย และเธอที่รู้ ... เข้าใจนะ ?” เวอลัสเอ่ยถาม สีหน้าดูจริงจัง ... เร็นพยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่กล้าสบตากับนัยย์ตาสีชานั้นตรง ๆ ซึ่งเธอก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมกัน ทั้ง ๆ ที่ยามปกตินั้นเธอจะไม่ค่อยอายเวอลัสเท่าไร คงเพราะว่านิสัยของเขาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยล่ะมั้ง ? หรือว่า ... เพราะไม่มีอัสเทียอยู่ด้วยกันแน่ ? ...
“... ฟังให้ดี ...” ... เวอลัสเริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่ที่เขาชวนอัสเทียออกไปเดินเล่นในเมือง จนได้พบกับคาซิลเวียและต่อสู้กับเธอ เร็นนั้นนั่งฟังอย่างตั้งใจ พร้อมกับคิดพิจารณาสิ่งที่เขาเล่าไปด้วย
“... ก็ ... แค่นี้ล่ะ ...” เวอลัสว่า “... แล้วสิ่งที่ชั้นได้รับมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็คือสิ่งนี้ ...” เวอลัสค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด ทีละเม็ด ...
ว๊าย ! ! ...
เร็นยกมือขึ้นปิดตาทันที ... ถึงเธอจะเป็นคนที่คอยรักษาพวกทหารก็ตามที แต่เธอก็ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่นั้นสักเท่าไร จึงยังไม่คุ้นเคยกับร่างกายไร้สิ่งปกปิดของผู้ชายมากเท่าไรนัก ใบหน้าของเธอขึ้นสีเลือดฝาด นิ้วแยกออกจากกันเล็กน้อย ดวงตาใสแป๋วมองลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างนิ้วนั้น “จะ ... จะทำอะไรคะ ? คุณเวอลัส ...”
“.......” เวอลัสไม่พูดอะไร เขาถอดเสื้อออกแล้ววางทับไว้บนเสื้อคลุม ... จากนั้นจึงหันหลังให้เร็นดู ... “... นี่ ... คือสิ่งที่ชั้นได้รับมาจากเธอคนนั้น ...” ... เวอลัสเอ่ย
เร็นค่อย ๆ เอามือที่ปิดหน้าออก แล้วเดินเข้าไปใกล้แผ่นหลังของเวอลัส “( กว้างจัง ... ไม่ ๆ ! มาคิดบ้าอะไรตอนนี้เนี่ย !? )” เร็นหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย เธอส่ายหน้าไปมาเร็ว ๆ ให้ความคิดบ้า ๆ หลุดออกไปจากหัวของเธอ “สัมผัสได้ไหมคะ ?” เธอถามเวอลัส
“.......” หงึก ... เวอลัสพยักหน้าเล็กน้อย ... เร็นค่อย ๆ เอามือไปสัมผัสมัน วูบ ! ... แสงสีเหลืองปรากฎขึ้นที่รอยสักนั้นครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะสัมผัสมันเพียงเสี้ยววินาที เร็นรีบดึงมือออกด้วยความตกใจทันที “... เป็นอะไรรึ ?” เวอลัสถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นว่าเธอไม่สัมผัสมันตามที่ขอสักที
“... อ่ะ ... คือ ... ไม่เป็นไรค่ะ ...” เร็นตอบเขาแล้วค่อย ๆ ยกมือขึ้นทำท่าจะสัมผัสมันอีกครั้งหนึ่ง วูบ ... แสงสีขาวปรากฏที่มือของเธอ เร็นนิ่งอยู่ครู่นึงราวกับกำลังตัดสิน ตอนนี้ในหัวของเธอมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่ ... รอยสักแบบนี้เหมือนเธอจะเคยเห็นที่ไหนสักแห่งในกองหนังสือ และถ้ามันเป็นอย่างที่เธอคิดละก็ ... ไม่สิ ! ต้องไม่เป็นอย่างที่เธอคิด ...
แปะ ... “( ปลอดภัย ... )” เ ป รี้ ย ง ! ! ! ... วินาที่เธอที่ทาบมือลงไปนั้นไม่เกิดอะไรขึ้น แต่พออีกชั่วขณะเท่านั้น รอยสักนั้นก็เปล่งแสงอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้มันส่งพลังย้อนกลับมากระแทกมือของเธอจนเหวี่ยงไปฟาดพื้นหินอย่างแรง “อุ๊บ ! ...” เธอยกมือของตนเองขึ้นมอง ... ดูท่า ... นิ้วจะหักเสียแล้ว
“... เกิดอะไรขึ้น !?” เวอลัสนั้นรีบหันกลับมาแล้วก้มลงดูอาการของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนพื้นทันที ... “... เมื่อครู่ มันอะไรกันเร็น ?” เวอลัสเอ่ยถามอย่างสงสัยและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความร้อนใจ ... ตอนนี้เขารู้แล้วว่ารอยสักนั้นไม่ใช่ของธรรมดาที่เหมือนกับของที่ระลึกแน่ ๆ ...
“... มะ ... ไม่เป็นไรค่ะ คุณเวอลัส ...” เร็นยกมืออีกข้างขึ้นมาแล้วทาบมันลงบริเวณที่หักเบา ๆ ... วิ้ง ... แสงสีขาวบริสุทธิ์วิ่งไปมาทั่วนิ้วที่หักของเธอ สักพัก ... มันก็ดีเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ ... “... ชั้นรู้แล้วละค่ะ ... ว่าสิ่งที่ถูกสลักไว้บนหลังของคุณเวอลัสคืออะไร ?” เร็นว่า สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“... มันคืออะไรล่ะ ... บอกชั้นมาเถอะ ...” เวอลัสถาม สีหน้าดูเศร้าลงเล็กน้อย ...
“คุณเวอลัสพอจะรู้จักเรื่องราวของ ‘ตระกูลแนซิส’ บ้างไหมคะ ?” เร็นถามเขาแล้วค่อย ๆ เดินไปที่กองเอกสารซึ่งกองกันอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงนั่งลง เวอลัสลุกขึ้นไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเธอ มือก็คว้าเสื้อมาสวมพร้อมกับพยักหน้าบอกเร็น
“... ต้นตระกูลเกิดจาก ‘เทพ’ และ ‘ปีศาจ’ สมสู่กัน ... เป็นพวกที่มีเลือดของเทพและปีศาจอยู่ในตัว แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องราวของพวกเขาปรากฏ จนคิดว่าสูญหายไปตลอดกาลแล้ว” เวอลัสเอ่ยถามตำราที่ตนเองได้อ่านมา “ ... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้งั้นรึ ?” เวอลัสประสานมือแล้วยกขึ้นสูงบริเวณหน้าอก
“... จากตำนานของแนซิส ...” เร็นเกริ่นขึ้นมาเล็กน้อย ... “สัญลักษณ์ของตระกูลนี้คือ ‘จันทร์เสี้ยวหงาย’ ค่ะ ...”
“...........” แววตาของเวอลัสเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว อาการแบบนี้ถือว่าเป็นอาการ ‘ตกใจมาก’ เหงื่อเม็ดโตเริ่มซึมออกมาตามหน้าผาก “... ว่าต่อไปซิ ...”
“ตามความคิดของชั้น ชั้นคิดว่า ... ตำนานของแนซิสนั่นไม่ได้สูญหาย ... และจะกลับมาอีกครั้งค่ะ ...” เร็นว่าแล้วยกมือขึ้นจับคางของตนเองด้วยท่าทางครุ่นคิด “... และ ... คุณเวอลัสคะ ... ชั้นว่าคุณต้องคำสาปของแนซิสแล้วละค่ะ ... ซึ่งชั้นก็ไม่รู้วิธีรักษาแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าผลของมันจะเป็นยังไง ?”
“... จะบอกพี่อัสเทียดีไหมคะ ?” เร็นถามเขา เธอคิดว่า ... ในเวลานี้ เวอลัสควรจะไปปรึกษาอัสเทีย ซึ่งเป็นเพื่อนที่คบกันมานาน อีกทั้งอัสเทียนั้นก็คือว่ามีความรู้ในด้านเวทย์มนต์สูงอยู่ อาจจะค้นพบวิธีรักษาคำสาปนี้ก็เป็นได้ เวอลัสส่ายหน้าปฎิเสธ “ทำไมละคะ ?”
“... ชั้น ... ไม่อยากให้อัสเทียเป็นห่วง ... ชั้นจะไปขอความช่วยเหลือหลวงพ่อยูซิส หรือใครก็ได้ที่อยู่ในระดับสูง ...” เวอลัสทำท่าคิด แม้ว่าสีหน้าจะยังดูตกใจไม่หาย ... แต่ว่าเร็นกลับแย้งขึ้นมา
“ไม่ได้นะคะ ! ... หากพวกเขารู้ว่าคุณต้องคำสาปตระกูลแนซิสที่ไม่อาจจะรู้ผลหรือทางแก้ได้ ... พวกเขาจะทำยังไงกับคุณก็ไม่ทราบนะคะ !” เร็นลุกขึ้นสีหน้าดูตกใจ ... แน่นอนอยู่แล้ว พวกคนในระดับสูงต้องกังวลอยู่แล้วหากรู้ว่าเวอลัสนั้นต้องคำสาป และดันเป็นคำสาปที่ไม่รู้ผลกับหนทางแก้ไขแล้วด้วย
“... แล้วชั้นจะทำยังไงดี ...” เวอลัสค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นกุมศีรษะอย่างปวดหัว ... ตึบ ตึบ ... เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในหัวเขา และนั่นทำให้เขารู้สึกปวดหัวมากเลยทีเดียว แต่เขาก็ยังอดกลั้นเอาไว้อยู่ เร็นค่อย ๆ เดินเข้ามาเขา แล้วจับไหล่ของชายหนุ่มตรงหน้าเอาไว้เบา ๆ รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้น ในเวลานี้ ... เธอต้องให้กำลังใจเขาสินะ
“... ไม่เป็นไรค่ะ ... เราต้องหาทางแก้ไขได้แน่นอน ...” เร็นยิ้มแล้วบีบไหล่ของเขาเบา ๆ ตอนนั้นเอง ... วิ้ง ! ดวงตาของเวอลัสเปลี่ยนจากสีเทากลายเป็นสีแดงดั่งโลหิต ! ...
หมั่บ ! ... ปึง ! ! ... เวอลัสคว้าคอของหญิงสาวไว้ด้วยมือขวา มืออีกข้างกำข้อมือของเธอไว้แน่น แล้วดันเธอติดกำแพงอย่างแรง ! แววตาวาวโรจน์อย่างคลุ้มคลั่ง “จะช่วยชั้นงั้นเรอะ ! ! แล้วจะช่วยชั้นยังไง ! เธอก็บอกเองว่าไม่รู้หนทาง ! !”
“... อึก ! คะ ... คุณเวอลัส ... อะ ...” เร็นมีสีหน้าทรมาน ขณะที่มือของเวอลัสเริ่มบีบแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภาพที่เธอเห็นเริ่มพร่ามัว แววตาของเร็นเบิกกว้าง ... ราวกับเธอเห็นเงาดำบางอย่างซ้อนทับภาพของเวอลัส เธอไม่สามารถร่ายเวทย์ได้ เพราะว่าถูกบีบคออยู่ แล้วคทาของเธอก็อยู่บนโต๊ะเสียด้วย !
“บอกมาเซ่ ! ! ... จะให้ชั้นทำยังไง ! !” ... เวอลัสตะคอกอีกครั้ง แววตาสีแดงเลือดเปล่งแสงออกมาอย่างน่ากลัว
วูบ ... เสียงของบางอย่างแหวกอากาศมาทางด้านหลังเวอลัส ...
ปั่ก ! ... วูบ ... สติของเวอลัสเริ่มเลือนหายไปเมื่อบางสิ่งบางอย่างกระทบท้ายทอยของเขาอย่างแรง มือของเวอลัสคลายออกจากคอและข้อมือของเร็น เขาค่อย ๆ ฟุบลงกับพื้น แววตาสีแดงนั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลับเป็นสีเทาดังเดิมก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง เร็นนั้นยังผวาไม่หาย เธอยกมือกำรอบคอตัวเองสีหน้าดูตกใจ แต่ก็ดูดีขึ้นเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า
“พี่อัสเทีย ! ! ...” หมั่บ ! เธอลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปกอดอัสเทียด้วยสีหน้าหวาดกลัว “นะ ... หนู ... หนูกลัวค่ะ ... !” เธอซบใบหน้ากับไหล่ของอัสเทีย อัสเทียลูบหลังศีรษะของเธอเพื่อพยายามปลอบ
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ... พี่อยู่นี่แล้ว ...” อัสเทียว่าแล้วจึงจับไหล่ของเร็นดันออกไปเล็กน้อย ... “เอาละ ... เล่าให้พี่ฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?”
-- ตำนานบทที่ IX : ลางร้าย จบ --
ความคิดเห็น