ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -- Zeles -- สงครามศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #10 : ตำนานบทที่ IX : ลางร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 49


    -- ตำนานบทที่ IX : ลางร้าย --

     

    ... ... ... เวอลัสเดินเข้าไปช้า ๆ แล้วเผชิญหน้าสามคนที่ยืนอยู่ข้างใน เบื้องหน้ารูปปั้นเทพเจ้า ... ร่างหนึ่งที่นั่งคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเวอลัส เรือนผมสีฟ้ายาวสลวย นัยน์ตาสีม่วงดูงดงามราวกับอัญมณี อยู่ในชุดเกราะใหญ่สีเงิน ... ผ้าคลุมสีดำปักลายไม้กางเขนสีทองไว้ ... เวอลัสรู้แทบจะทันทีว่าเธอเป็นใคร ... เครื่องแต่งกายแบบนี้ ความสง่างามแบบนี้

     

    ... อัศวินแห่งศาสนจักร ผู้ยึดถือในวิถีทางแห่งพระเจ้า ...

     

    ... พวกท่านคือ ?” เวอลัสเป็นฝ่ายถาม สายตากวาดไปทั่วห้อง คนหนึ่งคือคนที่เขาตั้งใจจะมาหา เร็น มิสติน่า... สีหน้าของเธอยามนี้ดูเศร้าอย่างประหลาด เธอเพียงแต่ยิ้มให้เขาไม่เอ่ยคำทักทายใด ๆ แม้แต่น้อย ส่วนอีกคนหนึ่งคือหญิงสาวในชุดเกราะแบบเดียวกับคนแรก ผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาเรียวสีแดงทับทิมดูงดงามไม่แพ้เธอคนแรก น่าแปลก ... น่าแปลกที่อัศวินแห่งศาสนจักรจะมาในที่แบบนี้ เพราะถึงพวกเธอจะขึ้นตรงกับสังฆราชแห่งเซเรียสก็ตามที แต่ว่าพวกเธอนั้นมักจะอยู่ที่กองอัศวินเป็นส่วนมาก จะมีเพียงแต่พวก แสงสุริยาเท่านั้นที่จะประจำอยู่ที่โบสถ์แบบนี้

     

    หากคิดจะถามชื่อผู้ใด ... จงเอ่ยนามของท่านมาก่อน ... หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย นัยน์ตาคู่สวยนั้นหรี่ลงเล็กน้อย ... ดูราวกับว่าเธอไม่พอใจชายตรงหน้า

     

    ... ขออภัย ... กึก ... เวอลัสโค้งให้เธอ ... เวอลัส เฮช. เบเลเกลีย ... เขายืนตรง ดวงตาสีเทาเย็นชานั้นจ้องตอบหญิงสาวโดยไม่มีท่าทีหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย ... สังกัด จันทราวินาศจอมเวทย์ระดับสูง เขาแจ้งสังกัด

     

    เรา ... เซเรีย โครสแซงค์... อัศวินแห่งศาสนจักร หัวหน้ากอง เปลวสุริยา... หญิงสาวเจ้าของนาม เซเรียแนะนำตัว เวอลัสมองเธออย่างอดทึ่งไม่ได้ ... ทั้ง ๆ ที่อายุน่าจะพอ ๆ กับเขา แต่ได้เป็นถึงหัวหน้ากอง และยังความสง่างามหาใครเทียบนั่นอีก ช่างแตกต่างจากอัศวินธรรมดาอย่างสิ้นเชิง มาที่นี่เพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่างตามคำสั่งท่านสังฆราชแห่งเซเรียส

     

    ... ไอริส เบลโลนิส...

     

    เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาขณะที่เซเรียกำลังพูดอยู่ หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยิ้มบาง โดยไม่สนใจใบหน้าเย็นชาที่ถูกส่งมาโดยเซเรียแม้แต่น้อย ยินดีที่ได้รู้จัก จอมเวทย์แห่ง จันทราวินาศ... เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มสดใสร่าเริง ท่าทางและบุคลิกดูผิดจากเซเรียมากพอดู

     

    ... เช่นกัน ... เวอลัสพยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเร็น ... ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม ? ...

     

    เรายังจัดการธุระของเราไม่เสร็จ ! กรุณาอย่าเสียมารยาท ... เสียงอันทรงอำนาจและเด็ดขาดถูกส่งมาโดยหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วง ดวงตาของเธอหรี่ลงสายตาจับจ้องที่เร็นและเวอลัสราวกับว่าจะกรีดร่างของพวกเขาเป็นเสี่ยง ๆ เร็นพยักหน้าให้เวอลัสเล็กน้อยแล้วจึงเดินเข้าไปหาเซเรีย เธอคงหมายความว่าให้เขานั่งรอไปก่อน ไว้เสร็จจากตรงนี้แล้วจะคุยด้วย ...

     

    ... เธอคนนี้อ่อนโยน และเป็นเด็กดีเสมอ ในสายตาของชายหนุ่ม เธอคงจะเปรียบเสมือนน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง ...

     

    ทั้งสามพากันเดินลงไปที่ชั้นใต้ดิน ที่เวอลัสและอัสเทียเคยลงมา ... ดูท่าทางเร็นนั้นจะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งเลยทีเดียว หน่วยงานต่าง ๆ ถึงได้มาหาข้อมูลและปรึกษาเธอเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เวอลัสนั้น ... สักพักเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามทั้งสามลงไป เซเรียส่งสายตาตำหนิมาที่เขาเล็กน้อย แต่เวอลัสก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉย และนั่น ... ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดพอดู แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์สั่งห้ามเขาได้ ในเมื่อต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกัน ...

     

    ... ไม่ว่าจะเป็น แสงสุริยา... จันทราวินาศ... หรือ เปลวสุริยาก็ล้วนแต่ต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินและสิ่งที่ตนเชื่อทั้งนั้น ...

     

    ... ฮึ ... ดูท่าจะมีปัญหาด้านมิดัสเทลล์ ...

     

    เวอลัสคิด ... และแน่นอนว่าเขาคิดไม่ผิด เซเรียนั้นกางแผนที่ออกมาแล้วติดหมุดลงไปที่ชายแดนซึ่งเชื่อมระหว่างสองทวีปสองสามจุด แต่คราวนี้มันล้ำเข้ามาในทวีปของพวกเขาอีกพอสมควร ... ตอนนี้ ... บริเวณนี้ถูกทำลายจนหมด จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิต บอกว่าเป็นฝีมือ ... ปีศาจ... เซเรียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

    ... คุณเวอลัสคะ ... เร็นเรียกเขา เวอลัสเดินเข้ามายืนข้าง ๆ เธอพร้อมกับชี้ลงไปที่บริเวณหมุดเหล่านั้นอย่างรู้งาน

     

    ... ทางด้านจันทราวินาศที่ส่งเข้าไปก็ไม่กลับมาเลยสักคนเดียว ... เวอลัสพูดแล้วเงยหน้ามองหน้าเซเรียกับไอริส เซเรียยังคงทำหน้าเครียด และดูไม่พอใจ ส่วนไอริสนั้นยังคงยิ้มอยู่ ราวกับว่าเรื่องที่คุยอยู่นี้เป็นเพียงเรื่องสนุกเท่านั้น ... เราแจ้งไปทางผู้อาวุโส ... แต่พวกเขาก็ยังไม่บอกอะไรกับเรา ถ้ายังไง ... ขอรู้เรื่องทางด้านอัศวินแห่งศาสนจักรได้ไหม ?” เวอลัสถามเซเรียด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ ...

     

    ... ฮึ ... เซเรียมีท่าทีลังเลอยู่ครู่นึง แล้วหยิบหมุดขึ้นมาปักที่จุด ๆ หนึ่งบริเวณตรงกลางชายแดนระหว่างสองทวีป ... ตรงนี้ ... ไม่มีใครรอดกลับมาเลยแม้แต่คนเดียว แต่ทางเบื้องบนก็ยังไม่แจ้งอะไรเรา ... ดูท่า ... เซเรียและไอริสจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเวอลัสและอัสเทีย นั่นคือพวกที่อยู่ในระดับสูงไม่บอกอะไรพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

     

    ... เพราะงั้นพวกท่านก็เลยต้องมาที่นี่ มาค้นหาความจริงเองใช่ไหม ? ... เวอลัสพูดเรียบ ๆ ตุบ ... เขานั่งลงบนเก้าอี้ ... นึกว่าจะมีแต่พวกเรา ... ที่มีความรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ... เวอลัสว่า เร็นมองเขาอย่างแปลกใจ เพราะปกติ เขาแทบจะไม่พูดเลยแม้แต่น้อย

     

    ทางด้านเวอลัสนั้นเขาก็แปลกใจในตนเองอยู่ไม่น้อย ราวกับนิสัยของเขาเปลี่ยนไป แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ... เพราะงั้น ที่บอกว่าเป็นคำสั่งของสังฆราชเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เรื่องจริง ผมพูดถูกไหม ?” เวอลัสพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

     

    ......... เซเรียมองหน้าเวอลัส คิ้วติดกันใบหน้าดูไม่ค่อยพอใจ ตามที่คุณว่ามา ถูกแล้ว ... จันทราวินาศ ... เซเรียเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทวีความเย็นชามากขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่สามารถทำให้ชายตรงหน้าเธอรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับไปทำคิ้วขมวดใส่รูปปั้นก็ไม่มีผิด

     

    ... การที่ท่านอ้างชื่อของท่านสังฆราชแบบนั้น ย่อมผิดกฎอย่างแน่นอน แต่ผมก็ไม่คิดที่จะเอาไปบอกใคร เวอลัสเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉย แววตาสีชานั้นดูลึกลับมากขึ้นไปอีกเมื่อรวมกับใบหน้านั้น เซเรียไม่พูดอะไรรอให้เขาพูดต่อ ไอริสนั้นยิ้มแล้วพยักหน้าน้อย ๆ อย่างอารมณ์ดี

     

    ... พวกเราต่างตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หากแลกเปลี่ยนข่าวสารเท่าที่ต่างฝ่ายต่างรู้ เราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพวกคนระดับสูงเลยแม้แต่น้อย เวอลัสเสนอความคิด เซเรียพยักหน้า เร็นนั้นยังดูแปลกใจอยู่ เธอนั้นก็รู้จักเวอลัสมานานพอสมควร แต่ไม่เคยเห็นเขาพูดมากขนาดนี้เลยสักครั้งเดียว ปกติจะเห็นเพียงแต่พยักหน้าหรือส่ายหน้าเท่านั้น

     

    ... เข้าใจแล้ว ... เซเรียพยักหน้า ทางพวกเราจะไปค้นในห้องสมุดของกองอัศวิน ... เผื่อจะรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้ เซเรียว่าแล้วค่อย ๆ ม้วนแผนที่แล้วส่งให้ไอริสถือ เธอใช้นิ้วหมุนไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว ท่าทีของเธอนั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะคบกับเซเรียได้ ... ไม่สิ เพราะต่างกัน ถึงเติมเต็มในส่วนที่ขาดกันได้ต่างหากละ ...

     

    ... แล้วเจอกัน อัศวินแห่งศาสนจักร ... เวอลัสโค้งเป็นพิธี ไอริสและเซเรียโค้งตอบ จากนั้นทั้งคู่จึงเดินออกไปจากห้องใต้ดินนี้ และพบกับชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้ารูปปั้นเทพเจ้า เซเรียและไอริสชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโค้งให้กับชายตรงหน้าช้า ๆ

     

    สวัสดีค่ะ ... หลวงพ่อยูซิส ... เซเรียเอ่ยอย่างเป็นพิธี ไม่ได้เห็นท่านที่นี่นานแล้ว กลับมาจากสมาพันธ์จอมเวทย์แล้วหรือคะ ?” เซเรียยืนตัวตรง ดูท่า ... บุรุษตรงหน้าเธอนั้นจะเป็นคนสำคัญมากทีเดียว

     

    ... สวัสดี เหล่าอัศวินแห่งศาสนจักร ชายตรงหน้าเธอยิ้มอย่างอบอุ่น รอยยิ้มราวกับเทพบุตร ดวงหน้าขาวสะอาด นัยน์ตาสีเหลืองฉายประกายอ่อนโยน เรือนผมสีเขียวเข้มชี้แหลมไปด้านหน้า อยู่ในชุดนักบวชชั้นสูงสีดำขลับดูสง่างาม เขาคือ ยูซิส เดวิอาโน... รองสังฆราชแห่งเซเรียสผู้มีอำนาจสูงรองจากสังฆราชแห่งเซเรียส

     

    สวัสดีค่ะ ท่านยูซิส ไอริสยิ้มบางแล้วโค้งให้กับยูซิส เขายกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องเป็นพิธีอะไรมากนัก

     

    ... พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่รึ ? อัศวินผู้รับใช้พระเจ้า บอกพ่อหน่อยได้ไหม ?” ยูซิสยิ้ม ... รอยยิ้มของชายคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเมื่อไร มันก็ยังดูอ่อนโยนสมกับเป็นรองสังฆราชผู้อุทิศตนรับใช้พระเจ้า ตลอดมายูซิสนั้นเป็นผู้ที่คอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ในโบสถ์และกองอัศวินแห่งศาสนจักร เนื่องจากว่าสังฆราชคนปัจจุบันของเซเรียสนั้นเริ่มชราภาพมาก และยังมีโรคร้ายอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่สามารถปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ยูซิสจึงรับหน้าที่คอยจัดการเรื่องต่าง ๆ แทน เขาเป็นที่รักของหลาย ๆ คน เพราะว่าเขาจะคอยแก้ปัญหาให้ผู้คนไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แม้แต่คนจรจัดเขาก็ยังช่วยเหลือโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ และยังเป็นอาจารย์สอนเวทย์แสงที่มีลูกศิษย์นับถือมากมายอีกด้วย

     

    อ่า ... เอ่อ ... คือ ... เซเรียไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดี เพราะว่าอัศวินแห่งศาสนจักรก็ไม่ค่อยจะมีเหตุผลให้เข้าโบสถ์เสียด้วย เนื่องจากว่าที่กองอัศวินนั้นจะมีห้องสำหรับสวดมนต์อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเดินทางมาถึงที่โบสถ์เซเรส

     

    พวกเรามาช่วย เร็น มิสติน่าจัดห้องสมุดน่ะค่ะ ... เผอิญเธอเป็นเพื่อนของพวกเรา แล้วเธอก็จัดคนเดียวคงลำบาก เลยพากันมาช่วยเธอน่ะค่ะ ...  ไอริสเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เซเรียพยักหน้าหงึก ๆ สนับสนุนทันที

     

    ... อย่างงั้นรึ ? งั้นพ่อไม่รบกวนแล้วล่ะ เชิญตามสบายเลย ... ยูซิสยิ้ม ... แล้วค่อย ๆ นั่งลงต่อหน้ารูปปั้นเทพเจ้า ก่อนจะเริ่มสวดมนต์อีกครั้งหนึ่ง เซเรียและไอริสเดินออกมาจากโบสถ์ รถม้าสีขาวดูสง่างามมาจอดรอพวกเขาอยู่แล้ว ไอริสเดินเข้าไปก่อนแล้วจึงตามด้วยเซเรีย

     

    ก๊อก ! ก๊อก ! ก๊อก !

     

    ไอริสเคาะกระจกที่ติดกับสารถี ก่อนจะหันไปหาเซเรียที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ... ไปที่นั่นไหมเซเรีย ?” ไอริสถามด้วยรอยยิ้ม เซเรียเบือนสายตามาทางไอริส ก่อนที่จะพยักหน้าน้อย ๆ ไอริสยิ้มแล้วเอ่ยกับสารถี

     

    ... ไปกอง มังกรแห่งเซเรียสค่ะ ...

     

    ครับ ... ฮ่า !” สารถีรับคำแล้วจึงบังคับรถม้าให้วิ่งออกไป ... ห่างออกจากโบสถ์เซเรสไปเรื่อย ๆ ... จนในที่สุดก็ลับสายตา ทางด้านยูซิสที่นั่งสวดมนต์อยู่นั้น เมื่อเขาเห็นว่าสองสาวอัศวินนั้นได้จากไปไกลแล้ว เขาก็หยุดสวดมนต์แล้วลุกขึ้นยืนช้า ๆ ตึก ตึก ... เขาค่อย ๆ เดินดูสภาพโบสถ์โดยทั่วแล้วมาหยุดที่หน้ารูปปั้นเทพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

     

    ... พระเจ้า ... ยูซิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แปลกออกไป ... รอยยิ้มปรากฎขึ้น แต่ว่าแตกต่างจากรอยยิ้มทุกครั้ง รอยยิ้มครั้งนี้ดูน่ากลัว ... และแฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายอย่างประหลาด มือของยูซิสค่อย ๆ เอื้อมไปสัมผัสกับรูปปั้นเทพเจ้านั้น ...

     

    อุ๊ บ ! ! ...

     ยูซิสรีบชักมือของตนกลับมาแทบจะในทันที ฉ่า ... นิ้วมือของเขาทั้งห้านั้นเป็นรอยไหม้ราวกับไปแตะเหล็กที่ลนไฟ ... ฮึ ... ยูซิสแสยะยิ้ม แผลไหม้ที่มือของเขาค่อย ๆ สมานกันจนกลายเป็นปกติ ... ก็ทำได้แค่นี้ล่ะ ... เขาเงยหน้ามองรูปปั้นเทพเจ้าตรงหน้า

     

    ... ฮึ ฮึ ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า !” ยูซิสหัวเราะออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ สีหน้าดูสะใจอย่างประหลาด รอยยิ้มดั่งพ่อพระหายไปจนหมดเหลือเพียงแต่รอยยิ้มที่แสนน่ากลัว ... มาเยี่ยมเพื่อนอย่างงั้นรึ ? ... พวกอัศวินนี่โกหกไม่เก่งเลย ฮึ ฮึ ... เป็นเพื่อน ... แต่เรียกซะเต็มยศเลย แถมพวกอัศวินก็ไม่ได้ว่างงานแบบนั้นซะด้วย ...

     

    ... เอาเถอะ ยูซิสเอ่ย สายตายังจับจ้องที่รูปปั้นเทพเจ้านั้น ... เชิญค้นหาความจริงกันให้เต็มที่ ...

     

    พรึ่บ ! ... ยูซิสหันหลังให้กับรูปปั้นเทพเจ้า เสื้อคลุมนักบวชปลิวเล็กน้อยดูสง่างาม เพียงแต่สีหน้านั้นราวกับปีศาจก็มิปาน ... รอยยิ้มนั้น หากผู้ที่รู้จักเขาได้เห็น คงจะหมดศรัทธาไปเลยทีเดียว ... เขาก้าวออกไปจากโบสถ์ ... ฉับพลันที่เขาก้าวออกมา ร่างของเขาก็หายไป ...

     

    ........... แปล๊บ ! ...

     

    อึก ! ! ...ตุบ ! จู่ ๆ เวอลัสก็รู้สึกแสบที่รอยสักซึ่งอยู่กลางหลังขึ้นมาอย่างแรง ตุบ ! เข่าของเขาทรุดลงกับพื้น พร้อมกับมือที่ใช้ยันพื้นเอาไว้อย่างอ่อนแรง เร็วรีบเข้ามาดูอาการของเขาทันที มือของเวอลัสกุมที่หน้าอก สีหน้าดูซีดเซียวทรมาน

     

    คุณเวอลัส !” เร็นก้มลงดูอาการเขา เป็นอะไรหรือเปล่าคะ !?” ...

     

    ... ฟู่ ... เวอลัสพ่นลมออกมาเบา ๆ สีหน้ายังไม่ค่อยดีนัก เขาพยายามใช้พลังเวทย์ในตัวสะกดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เวอลัสลุกขึ้นยืนช้า ๆ ... ไม่เป็นไรแล้ว ... เขาเอ่ย ... ที่ชั้นมาหาเธอ ก็เพราะสาเหตุนี้ล่ะ เร็น มิสติน่า...เวอลัสค่อย ๆ ถอดเสื้อนอกของตนออกแล้วพาดไว้ที่เก้าอี้

     

    ... ชั้นเชื่อใจเธอ สิ่งที่ชั้นจะเล่าต่อไปนี้ถือว่าเป็นความลับ ซึ่งจะมีแต่ชั้น , อัสเทีย และเธอที่รู้ ... เข้าใจนะ ?” เวอลัสเอ่ยถาม สีหน้าดูจริงจัง ... เร็นพยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่กล้าสบตากับนัยย์ตาสีชานั้นตรง ๆ ซึ่งเธอก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมกัน ทั้ง ๆ ที่ยามปกตินั้นเธอจะไม่ค่อยอายเวอลัสเท่าไร คงเพราะว่านิสัยของเขาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยล่ะมั้ง ? หรือว่า ... เพราะไม่มีอัสเทียอยู่ด้วยกันแน่ ? ...

     

    ... ฟังให้ดี ... ... เวอลัสเริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่ที่เขาชวนอัสเทียออกไปเดินเล่นในเมือง จนได้พบกับคาซิลเวียและต่อสู้กับเธอ เร็นนั้นนั่งฟังอย่างตั้งใจ พร้อมกับคิดพิจารณาสิ่งที่เขาเล่าไปด้วย

     

    ... ก็ ... แค่นี้ล่ะ ... เวอลัสว่า ... แล้วสิ่งที่ชั้นได้รับมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็คือสิ่งนี้ ... เวอลัสค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด ทีละเม็ด ...

    ว๊าย ! ! ...

     

    เร็นยกมือขึ้นปิดตาทันที ... ถึงเธอจะเป็นคนที่คอยรักษาพวกทหารก็ตามที แต่เธอก็ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่นั้นสักเท่าไร จึงยังไม่คุ้นเคยกับร่างกายไร้สิ่งปกปิดของผู้ชายมากเท่าไรนัก ใบหน้าของเธอขึ้นสีเลือดฝาด นิ้วแยกออกจากกันเล็กน้อย ดวงตาใสแป๋วมองลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างนิ้วนั้น จะ ... จะทำอะไรคะ ? คุณเวอลัส ...

     

    ....... เวอลัสไม่พูดอะไร เขาถอดเสื้อออกแล้ววางทับไว้บนเสื้อคลุม ... จากนั้นจึงหันหลังให้เร็นดู ... ... นี่ ... คือสิ่งที่ชั้นได้รับมาจากเธอคนนั้น ... ... เวอลัสเอ่ย

     

    เร็นค่อย ๆ เอามือที่ปิดหน้าออก แล้วเดินเข้าไปใกล้แผ่นหลังของเวอลัส ( กว้างจัง ... ไม่ ๆ ! มาคิดบ้าอะไรตอนนี้เนี่ย !? ) เร็นหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย เธอส่ายหน้าไปมาเร็ว ๆ ให้ความคิดบ้า ๆ หลุดออกไปจากหัวของเธอ สัมผัสได้ไหมคะ ?” เธอถามเวอลัส

     

    ....... หงึก ... เวอลัสพยักหน้าเล็กน้อย ... เร็นค่อย ๆ เอามือไปสัมผัสมัน วูบ ! ... แสงสีเหลืองปรากฎขึ้นที่รอยสักนั้นครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะสัมผัสมันเพียงเสี้ยววินาที เร็นรีบดึงมือออกด้วยความตกใจทันที ... เป็นอะไรรึ ?” เวอลัสถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นว่าเธอไม่สัมผัสมันตามที่ขอสักที

     

    ... อ่ะ ... คือ ... ไม่เป็นไรค่ะ ... เร็นตอบเขาแล้วค่อย ๆ ยกมือขึ้นทำท่าจะสัมผัสมันอีกครั้งหนึ่ง วูบ ... แสงสีขาวปรากฏที่มือของเธอ เร็นนิ่งอยู่ครู่นึงราวกับกำลังตัดสิน ตอนนี้ในหัวของเธอมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่ ... รอยสักแบบนี้เหมือนเธอจะเคยเห็นที่ไหนสักแห่งในกองหนังสือ และถ้ามันเป็นอย่างที่เธอคิดละก็ ... ไม่สิ ! ต้องไม่เป็นอย่างที่เธอคิด ...

     

    แปะ ... ( ปลอดภัย ... ) เ ป รี้ ย ง ! ! ! ...  วินาที่เธอที่ทาบมือลงไปนั้นไม่เกิดอะไรขึ้น แต่พออีกชั่วขณะเท่านั้น รอยสักนั้นก็เปล่งแสงอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้มันส่งพลังย้อนกลับมากระแทกมือของเธอจนเหวี่ยงไปฟาดพื้นหินอย่างแรง อุ๊บ ! ... เธอยกมือของตนเองขึ้นมอง ... ดูท่า ... นิ้วจะหักเสียแล้ว

     

    ... เกิดอะไรขึ้น !?” เวอลัสนั้นรีบหันกลับมาแล้วก้มลงดูอาการของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนพื้นทันที ... ... เมื่อครู่ มันอะไรกันเร็น ?” เวอลัสเอ่ยถามอย่างสงสัยและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความร้อนใจ ... ตอนนี้เขารู้แล้วว่ารอยสักนั้นไม่ใช่ของธรรมดาที่เหมือนกับของที่ระลึกแน่ ๆ  ...

     

    ... มะ ... ไม่เป็นไรค่ะ คุณเวอลัส ... เร็นยกมืออีกข้างขึ้นมาแล้วทาบมันลงบริเวณที่หักเบา ๆ ... วิ้ง ... แสงสีขาวบริสุทธิ์วิ่งไปมาทั่วนิ้วที่หักของเธอ สักพัก ... มันก็ดีเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์ ... ... ชั้นรู้แล้วละค่ะ ... ว่าสิ่งที่ถูกสลักไว้บนหลังของคุณเวอลัสคืออะไร ?” เร็นว่า สีหน้าไม่ค่อยดีนัก

     

    ... มันคืออะไรล่ะ ... บอกชั้นมาเถอะ ... เวอลัสถาม สีหน้าดูเศร้าลงเล็กน้อย ...

    คุณเวอลัสพอจะรู้จักเรื่องราวของ ตระกูลแนซิส บ้างไหมคะ ?” เร็นถามเขาแล้วค่อย ๆ เดินไปที่กองเอกสารซึ่งกองกันอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงนั่งลง เวอลัสลุกขึ้นไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเธอ มือก็คว้าเสื้อมาสวมพร้อมกับพยักหน้าบอกเร็น

     

    ... ต้นตระกูลเกิดจาก เทพและ ปีศาจสมสู่กัน ... เป็นพวกที่มีเลือดของเทพและปีศาจอยู่ในตัว แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องราวของพวกเขาปรากฏ จนคิดว่าสูญหายไปตลอดกาลแล้ว เวอลัสเอ่ยถามตำราที่ตนเองได้อ่านมา ... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้งั้นรึ ?” เวอลัสประสานมือแล้วยกขึ้นสูงบริเวณหน้าอก

     

    ... จากตำนานของแนซิส ... เร็นเกริ่นขึ้นมาเล็กน้อย ... สัญลักษณ์ของตระกูลนี้คือ จันทร์เสี้ยวหงายค่ะ ...

     

    ........... แววตาของเวอลัสเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว อาการแบบนี้ถือว่าเป็นอาการ ตกใจมากเหงื่อเม็ดโตเริ่มซึมออกมาตามหน้าผาก ... ว่าต่อไปซิ ...

     

    ตามความคิดของชั้น ชั้นคิดว่า ... ตำนานของแนซิสนั่นไม่ได้สูญหาย ... และจะกลับมาอีกครั้งค่ะ ... เร็นว่าแล้วยกมือขึ้นจับคางของตนเองด้วยท่าทางครุ่นคิด ... และ ... คุณเวอลัสคะ ... ชั้นว่าคุณต้องคำสาปของแนซิสแล้วละค่ะ ... ซึ่งชั้นก็ไม่รู้วิธีรักษาแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าผลของมันจะเป็นยังไง ?”

     

    ... จะบอกพี่อัสเทียดีไหมคะ ?” เร็นถามเขา เธอคิดว่า ... ในเวลานี้ เวอลัสควรจะไปปรึกษาอัสเทีย ซึ่งเป็นเพื่อนที่คบกันมานาน อีกทั้งอัสเทียนั้นก็คือว่ามีความรู้ในด้านเวทย์มนต์สูงอยู่ อาจจะค้นพบวิธีรักษาคำสาปนี้ก็เป็นได้ เวอลัสส่ายหน้าปฎิเสธ ทำไมละคะ ?”

     

    ... ชั้น ... ไม่อยากให้อัสเทียเป็นห่วง ... ชั้นจะไปขอความช่วยเหลือหลวงพ่อยูซิส หรือใครก็ได้ที่อยู่ในระดับสูง ... เวอลัสทำท่าคิด แม้ว่าสีหน้าจะยังดูตกใจไม่หาย ... แต่ว่าเร็นกลับแย้งขึ้นมา

     

    ไม่ได้นะคะ ! ... หากพวกเขารู้ว่าคุณต้องคำสาปตระกูลแนซิสที่ไม่อาจจะรู้ผลหรือทางแก้ได้ ... พวกเขาจะทำยังไงกับคุณก็ไม่ทราบนะคะ !” เร็นลุกขึ้นสีหน้าดูตกใจ ... แน่นอนอยู่แล้ว พวกคนในระดับสูงต้องกังวลอยู่แล้วหากรู้ว่าเวอลัสนั้นต้องคำสาป และดันเป็นคำสาปที่ไม่รู้ผลกับหนทางแก้ไขแล้วด้วย

     

    ... แล้วชั้นจะทำยังไงดี ... เวอลัสค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นกุมศีรษะอย่างปวดหัว ... ตึบ ตึบ ... เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในหัวเขา และนั่นทำให้เขารู้สึกปวดหัวมากเลยทีเดียว แต่เขาก็ยังอดกลั้นเอาไว้อยู่ เร็นค่อย ๆ เดินเข้ามาเขา แล้วจับไหล่ของชายหนุ่มตรงหน้าเอาไว้เบา ๆ รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้น ในเวลานี้ ... เธอต้องให้กำลังใจเขาสินะ

     

    ... ไม่เป็นไรค่ะ ... เราต้องหาทางแก้ไขได้แน่นอน ... เร็นยิ้มแล้วบีบไหล่ของเขาเบา ๆ ตอนนั้นเอง ... วิ้ง ! ดวงตาของเวอลัสเปลี่ยนจากสีเทากลายเป็นสีแดงดั่งโลหิต ! ...

     

    หมั่บ ! ... ปึง ! ! ... เวอลัสคว้าคอของหญิงสาวไว้ด้วยมือขวา มืออีกข้างกำข้อมือของเธอไว้แน่น แล้วดันเธอติดกำแพงอย่างแรง ! แววตาวาวโรจน์อย่างคลุ้มคลั่ง จะช่วยชั้นงั้นเรอะ ! ! แล้วจะช่วยชั้นยังไง ! เธอก็บอกเองว่าไม่รู้หนทาง ! !”

     

    ... อึก ! คะ ... คุณเวอลัส ... อะ ... เร็นมีสีหน้าทรมาน ขณะที่มือของเวอลัสเริ่มบีบแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภาพที่เธอเห็นเริ่มพร่ามัว แววตาของเร็นเบิกกว้าง ... ราวกับเธอเห็นเงาดำบางอย่างซ้อนทับภาพของเวอลัส เธอไม่สามารถร่ายเวทย์ได้ เพราะว่าถูกบีบคออยู่ แล้วคทาของเธอก็อยู่บนโต๊ะเสียด้วย !

     

    บอกมาเซ่ ! ! ... จะให้ชั้นทำยังไง ! !” ... เวอลัสตะคอกอีกครั้ง แววตาสีแดงเลือดเปล่งแสงออกมาอย่างน่ากลัว

     

    วูบ ... เสียงของบางอย่างแหวกอากาศมาทางด้านหลังเวอลัส ...

     

    ปั่ก ! ... วูบ ... สติของเวอลัสเริ่มเลือนหายไปเมื่อบางสิ่งบางอย่างกระทบท้ายทอยของเขาอย่างแรง มือของเวอลัสคลายออกจากคอและข้อมือของเร็น เขาค่อย ๆ ฟุบลงกับพื้น แววตาสีแดงนั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลับเป็นสีเทาดังเดิมก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง เร็นนั้นยังผวาไม่หาย เธอยกมือกำรอบคอตัวเองสีหน้าดูตกใจ แต่ก็ดูดีขึ้นเมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า

     

    พี่อัสเทีย ! ! ... หมั่บ ! เธอลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปกอดอัสเทียด้วยสีหน้าหวาดกลัว นะ ... หนู ...  หนูกลัวค่ะ ... !” เธอซบใบหน้ากับไหล่ของอัสเทีย อัสเทียลูบหลังศีรษะของเธอเพื่อพยายามปลอบ

     

    ไม่เป็นไรแล้วนะ ... พี่อยู่นี่แล้ว ... อัสเทียว่าแล้วจึงจับไหล่ของเร็นดันออกไปเล็กน้อย ... เอาละ ... เล่าให้พี่ฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?”

     

    -- ตำนานบทที่ IX : ลางร้าย จบ --

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×