ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Androgyny - หัวใจไร้สถานะ [ Yaoi ] -END-

    ลำดับตอนที่ #1 : 01 น้องขาว

    • อัปเดตล่าสุด 11 ม.ค. 62


    Androgyny - ดูเป็นได้ทั้งหญิงและชาย
                         ระบุสถานะภาพเพศไม่ได้




    “โครม!”

    “เอ๋ง เอ๋ง เอ๋งงงงงง…”

    มันเป็นเวลาเจ็ดโมงเศษ 
    แม้ว่าจะยังเช้าแต่ก็เกือบสายแล้วถ้านึกได้ว่ายังต้องใช้เวลาเดินทางต่อ
    เพื่อไปยังหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย ให้ทันเวลาแปดโมงเช้าสำหรับกำหนดการปฐมนิเทศนิสิตใหม่ 
    กิจกรรมสำคัญของหนุ่มสาวน้อยๆที่กำลังเตรียมตัวเริ่มชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย 
    เดียร์ใจหายวาบ เมื่อได้ยินเสียงนั้นดังมาจากด้านหน้าซึ่งเป็นรถสปอร์ตยุโรปหรูสีดำคันที่ปาดหน้าพี่วิน
    เดียร์โดดรถเมล์ลงมาซ้อนท้ายเมื่อเห็นท่าว่าจะไม่ทันเวลากำหนดการ 
    รถนั้นโฉบปาดไปด้านซ้ายก่อนจะไปเฉี่ยวเข้ากับน้องหมาที่อยู่ขอบทาง 
    รถสปอร์ตคันนั้นจอดนิ่ง กดไฟฉุกเฉิน ก่อนเจ้าของจะรีบเปิดประตูก้าวลงมาอ้อมกระโปรงหน้าไปดู

    “พี่ๆ ชิดซ้ายไปดูน้องหมาหน่อยพี่” 
    เดียร์รีบบอกพี่วินเสียงสั่น 
    พี่วินพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะโฉบปาดไปจอดหน้ารถสปอร์ตอีกที เดียร์รีบโดดลงไปดูทันที 
    เมื่อถอดหมวกกันน็อคออกก็เหลือผมทรงพวงมาลัยระปกเสื้อเด๋อพร้อมแว่นตาขอบหนาทรงเนิร์ด 
    เจ้าของรถเป็นสาวสวยผมยาวใส่เครื่องแบบมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเดียร์ 
    แทบเท้าเธอคือ น้องหมาสีขาวแก่พันทางเป็นหมาวัยรุ่น ไม่ใช่ลูกหมาแต่ก็ไม่โตเต็มที่ 
    หูลู่หางตก นอนเลียขาที่เป็นรอยแผลถลอกไปมา อย่างเจ็บปวด

    “โอย ขอโทษๆๆ ตายแล้วทำไงดีเนี่ย” สาวสวยยืนหน้าซีด ลนลาน หันรีหันขวาง
    เดียร์เดินเข้าไปนั่งยองๆ น้องหมานอนชันคอตัวสั่นๆ ท่าทางตกใจไม่แพ้คน
    “เอาไปหาหมอที่สัดแพทย์ดิ” 
    เดียร์แนะนำ
    “เออก็ได้ แต่มันอยู่ตรงไหนเนี่ย” 
    เจ้าตัวต้นเหตุเออออ แต่แล้วก็ยกมือถือที่ติดมือมาดูก่อนจะร้องเสียงแหลม
    “โอ๊ย ไม่ทันปฐมนิเทศแน่ๆเลย” 
    อ้อ แปลว่าปีหนึ่งเหมือนกัน ฉันก็ต้องเข้าเหมือนกันย่ะ 
    “เอาไงดีๆ” 
    คนขับยังพึมพำหันหน้าหันหลัง แต่ไม่ยักกะขยับไปทำอะไรกับน้องหมา

    รถข้างหลังต่างพยายามเบี่ยงขวากันจ้าละหวั่น เพื่อออกจากเลนที่รถสปอร์ตจอดขวาง 
    แต่คันหลังติดกันเป็นเก๋งยุโรปสีขาว เจ้าของกลับจอดกดไฟฉุกเฉิน 
    เดินลงมาทำท่าอยากรู้อยากเห็น ยืนกอดอกดูในระยะห่างในชุดเครื่องแบบนิสิตชายอีกเช่นกัน 
    แต่ใส่แว่นกันแดดอันใหญ่บังหน้าแทบมิด 
    นิสิตชายหญิงอีก 4-5 คน เดินผ่านมาแล้วหยุดสังเกตการณ์ 
    ส่วนพี่วินเองยังยืนกางขาคร่อมรถหันหลังมามองอยู่ 
    ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้น แดดก็ร้อน แต่คนขับยังยืนทำท่าไม่รู้เดียงสาอยู่ต่อไป 
    เดียร์มองแล้วทำตาปริบๆแล้วก็รู้สึกเหมือนโดนกดดันทางอ้อมให้ต้องกลายเป็นผู้รับผิดชอบอย่างไรพิกล 
    เอาน่าไปสายนิดนึงก็ไม่เป็นไรหนักหนาหรอก

    “งั้นเอางี้ เราเอาไปให้เอง” 
    เดียร์ว่าขึ้นมา อีกฝ่ายรีบหันขวับมาตบมือด้วยท่าทางดีใจ
    “ได้เหรอ อุ๊ยขอบคุณมากๆ เอาเบอร์มาให้เรานะ แล้วค่าใช้จ่ายเราออกให้ อ้อ เราเอมนะ” 
    หลังยิงเบอร์ให้เดียร์ เอมก็วิ่งไปขึ้นรถฝั่งคนขับ แล้วหักออกขวาไป 
    ไทยมุงชายตัวสูงที่ยืนอยู่ห่างๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้เดียร์ผู้นั่งยองยอง
    เดียร์เปิดเป้หลังควักผ้าอเนกประสงค์ มาหอบน้องหมาขาว

    ไทยมุงคนนั้นพูดเสียงหล่อๆกับเดียร์ว่า
    “ไปรถเราไหม” 
    เดียร์ส่ายหน้า เห็นแต่ขายาวปรี๊ด เงยหน้าแวบเห็นแต่แว่นกันแดด ไม่ทันได้ดูหน้าถนัดหรอก 
    แล้วเดียร์ก็กลับมาก้มยกน้องหมาตัวผอมในห่อผ้าขึ้นยืน 
    “อย่าเลยเปื้อนรถปล่าวๆ อีกอย่างไปรถลำบาก ไปพี่วินเร็วกว่าเยอะ” 
    โอบน้องหมาที่ตัวสั่นๆไว้ แล้วเดินกลับไปหาพี่วินที่รออยู่ 
    “ไปสัดแพทย์แทนพี่”

    ไปถึงจุดหมายก็พอดีโรงพยาบาลสัตว์เปิดทำการ 
    เดียร์หอบน้องขาวลงไปเข้าห้องฉุกเฉิน แล้วไปล้างมือนั่งรอฟังอาการอยู่ด้านหน้า 
    โชคดีของน้องขาวที่คุณหมอตรวจแล้วไม่เป็นอะไรมาก นอกจากถลอกปอกเปิกนิดหน่อยและมีอาการตกใจ 
    เลยทิ้งน้องไว้ที่โรงบาล ก่อนจะรีบก้มหน้าจ้ำไปหอประชุมใหญ่ ที่อยู่คนละฟาก 
    ตอนที่ก้าวเข้าไปในหอประชุม บรรดาพี่ๆต่างหันมามองเป็นตาเดียว 
    เดียร์ได้แต่ก้มหน้าเดินเข้าไปเลาะหาที่ว่างนั่ง ก็พอดีกับที่เลิกประชุม และแยกคณะฯ 
    ยังไม่ทันนั่งเต็มก้นดี เดียร์เลยได้แต่หันหน้าหันหลังหาที่รวมของคณะตัวเอง 
    งกๆเงิ่นๆ ไปสักพักก็เจอคนที่คุ้นๆหน้าจากตอนรับน้อง 
    ขยับจะแทรกตัวเข้าไปต่อแถว ก็กระตุกสะดุดงึก จากการที่มีมือใครสักคนมาดึงคอเสื้อไว้

    “เดี๋ยวๆ มานี่ก่อน อุณาโลมใช่ไหม นี่เมื่อเช้าเราหายไปไหนมา”

    เสียงห้าวๆ ดังมาจากข้างหลัง เดียร์ย่นคอค่อยๆหันไปช้าๆ 
    พี่ผู้ชายสองคนยืนอยู่ด้านหลัง คนนึงหน้าเข้มคม อีกคนออกแนวตี๋ใส่แว่นกรอบแดง 
    ดูน่าจะเป็นปีสอง เก๊กหน้าเข้มทั้งสองคนในมือถือกระดาษเซ็นชื่อ พี่คนตี๋โบกใส่หน้าเดียร์

    “พอดีมีเรื่องน่ะค่ะ ต้องพาน้องหมารถชนไปหาหมอ”
    เมื่อรุ่นพี่ปล่อยคอเสื้อจากมือ เดียร์จึงค่อยๆขยับเสื้อตัวใหญ่โคร่งแขนเสื้อยาวถึงข้อศอกให้เข้าที่ 
    ยืนกุมมือประสานไว้ด้านหน้าอย่างสุภาพมาก
    “เชื่อได้เหรอ น้องมีหลักฐานหรือเปล่า อ้างมั่วๆโกหกแก้ตัวหรือเปล่า”
    เดียร์ทำตาโต สักครู่ก็นึกออก ชี้นิ้วชี้ขึ้นบน 
    “มีค่ะ”

    ใครสักคนในแถวหันหลังมามอง 
    แล้วค่อยๆเดินเอื่อยแหวกคนมายืนกอดอกดูอยู่ห่างๆ 
    แว่นตากันแดดอันใหญ่พร้อมแมสค์ผ้าสีดำ เหมือนจะพรางใบหน้า 
    แต่กลับขับผิวและผมหยักศกสีอ่อนยาวประบ่าให้ดูดีราวออกมาจากนิตยสารแฟชั่น

    เดียร์หันหลังไปปลดเป้ รื้อค้นได้ใบเสร็จจากโรงพยาบาลออกมา 
    ในนั้นมีรายละเอียดจนถึงเวลาชำระเงิน 
    สองชายรับไปตรวจแล้วก็ส่งคืน ทำสีหน้าดีขึ้นหน่อย สองคนหันไปซุบซิบกันสักพัก
    “ โอเค หลักฐานเชื่อได้ “
    เดียร์ยิ้มแป้น แต่ก็ต้องทำหน้าเหี่ยวเมื่อได้ยินประโยคต่อไป
    “แต่ทำดีก็ส่วนทำดี ทำพลาดก็ส่วนทำพลาด น้องต้องรับโทษอยู่ดี”
    “โธ่ พี่ ทำไมล่ะคะ”
    “ก็สงสารไง จะทำโทษเบาๆ อย่าบ่นให้มาก ไม่งั้นจะเจอหนักๆ หลังปฐมนิเทศคณะรอเจอพี่ก่อน”

    เดียร์ได้แต่ทำท่าท้อแท้ คอตก ก่อนจะเดินตามแถวเพื่อนๆ ที่ขยับแถวเดินตากแดดกลับไปที่คณะฯ 
    ระหว่างทางเดินเดียร์เดินพลางพิมพ์ข้อความส่งแมสเสจแจ้งความคืบหน้าไปหาเอม 
    ไม่ได้ส่งไปทางไลน์เพราะเกรงใจ

    เพราะเดินปิดท้ายเพื่อน ทำให้เดียร์หาคนรู้จักอื่นๆที่จะไปนั่งด้วยไม่ทัน ต้องนั่งอยู่คนเดียวอีกแล้ว
    คณะของเดียร์คือคณะเศรษฐศาสตร์ ในชั้นปีแรกยังเรียนรวมกันก่อน แล้วจึงค่อยแยกสาขาเรียนในชั้นปีสูง 
    เมื่อไปถึงคณะหลังเข้าฟังการต้อนรับจากคณบดีและคณาจารย์แล้ว ก็ถึงการแยกห้องตามสาขา 
    แต่เดียร์ยืนรอฟังเรื่องการลงโทษจากรุ่นพี่ก่อน 
    การลงโทษไม่มีอะไรมากนอกจากให้กวาดลานหน้าคณะฯเย็นนี้ 
    ได้ฟังก็โล่งใจแล้วจึงขอตัวไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นปี แยกห้องตามสาขา 

    คณะเดียร์เป็นคณะใหญ่ สาขาของเดียร์เองมีคนถึงสองร้อยคน 
    เมื่อเดียร์ก้าวเข้าไปในห้องเรียนรวมที่ใช้ประชุมแยกห้องตามสาขานั้น มีคนแน่นห้องแล้ว 
    บางคนก็ลุกนั่ง ยังเดินไปมากันวุ่นวายเสียงคุยจ้อกแจ้กจอแจ 
    บางคนเหมือนรู้จักกันมาก่อน ก็นั่งจับกลุ่มกัน 
    เดียร์ได้แต่เกาะประตูห้องเหลียวมองคอยืดคอยาวเพราะมาปิดท้ายอีกแล้ว เห็นคุ้นหน้าเป็นบางคน 
    มองไปสักพักก็เจอกลุ่มเพื่อนจากโรงเรียน หญิงเมย์ เก๋ มากิ ไตตั้น นั่งจับกลุ่มโบกมือให้หยอยๆ 
    แต่ก็ไม่มีที่ว่างนั่งข้างๆ ให้แทรกตัวได้  แล้วทันใดก็รู้สึกได้ว่ามีคนมายืนข้างๆ
    เดียร์หันไปมองรู้สึกตะลึงเล็กๆ กับความสูง ความเพรียวและบุคลิกภาพเจิดจ้าของคนคนนั้น 
    แม้ว่าจะมีแว่นกันแดดอันใหญ่และแมสค์ดำปิดหน้าไปเกือบ3/4แล้วก็ตาม 
    คนนั้นหันมาก้มสบตาเดียร์ผ่านแว่นกันแดดสีเข้ม

    “ข้างหน้าต่างนั่นว่าง ไปนั่งด้วยกันไหม” 
    มือเรียวขาว ขี้ไปที่นั่งด้านหน้าติดหน้าต่างที่แสงสว่างส่องจ้าเข้ามา 
    เป็นแถวหน้าที่ว่างทั้งแถว ตามประสาห้องเรียนประเทศไทย 
    เดียร์งงไปแวบ แล้วก็พยักหน้าง่ายๆในการทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่
    “ไปสิ” 
    เดินตามหลังไปอย่างว่าง่าย

    เสียงพูดคุยในห้องเงียบกริบ 
    ทุกสายตาจับจ้องร่างสูงเพรียวในชุดนิสิตชายเข้ารูป
    รองเท้าหนังหัวแหลมมันปลาบสะพายกระเป๋าแมสเซ้นเจอร์ 
    เดินเชิดผ่านหน้าห้อง รังสีบางอย่างฉายประกายเจิดจ้า เหมือนหนึ่งเจ้าตัวเดินอยู่ในมิลานแฟชั่นวีค 
    ตามมาด้วยร่างในชุดนิสิตหญิงเสื้อขนาดใหญ่หลวมโพรก 
    กระโปรงพลีทเอวยางยืดยาวครึ่งแข้ง พร้อมรองเท้าผ้าใบขาว 
    ผมทรงพวงมาลัยพร้อมแว่นเนิร์ดให้ภาพเด็กเด๋อ
    ตัดฉับกับคนเดินนำหน้า

    “ใครวะ หุ่นแซ่บมาก”
    “อยากเห็นเบ้าหน้า”
    “ข้างหลังยังหล่อ”

    เดียร์ทรุดตัวนั่งลงข้างอีกฝ่าย รู้สึกขำๆที่ตกเป็นเป้าสายตา เพราะเดินมาพร้อมคนเด่นคนดัง 
    คนที่นั่งข้างๆปลดแว่นกันแดดลงหันมามองสบตาเดียร์ 
    หน้าผากนั้นมนนูน คิ้วตรงสีอ่อนตามเส้นผม 
    ดวงตาสีอ่อนจางเมื่อมองย้อนแสงยิ่งเห็นว่าใสแจ๋ว ประกอบด้วยขนตายาวทั้งบนและล่าง

    “ผมฟานนะครับ แล้วเธอชื่ออะไร” 
    อีกฝ่ายเริ่มบทสนทนา
    “อ๋อ ฟาน นี่เดียร์”

    ฟานปลดแมสค์ดำนั้นออกจากหน้า เดียร์ได้ยินเสียงฮือเล็กๆ ดังมาจากข้างหลัง 
    บ่งบอกได้ว่ามีสายตาจำนวนมากจับจ้องมาที่ฟานอยู่ 
    ก็สมควรล่ะนอกจากตาสวย ฟานยังจมูกโด่งสวยเป็นสัน 
    ปากกระจับสีแดงเจ่อบนเล็กๆอย่างคนเอาแต่ใจ ตัดกับผิวขาวเหมือนกระเบื้อง 
    หน้าเล็กเรียว สันกรามชัดหายไปในผมหยักศกสีอ่อนยาวประบ่า 
    ฟานสวยเหมือนรูปวาดจากศิลปิน ในแสงจ้าจากช่องหน้าต่างเหมือนฟานสว่างเรืองเจิดจ้า 
    เดียร์มองฟานอย่างทึ่งๆอยู่พักหนึ่ง แล้วก็คุยต่ออย่างปรกติ

    “เราจบจากที่นี่” เดียร์เอ่ยชื่อโรงเรียนรัฐชื่อดัง “แล้วฟานล่ะ”
    “ผมจากที่นี่” 
    ฟานบอกชื่อโรงเรียนอินเตอร์เอกชนแพงลิบลิ่ว 
    เขาบอกเดียร์ว่าเพื่อนส่วนใหญ่จากที่โน่นไปเรียนต่อเมืองนอก น้อยคนที่จะเรียนต่อในเมืองไทย 
    แต่เขาไม่อยากไปอยากอยู่กับพ่อกับแม่ที่บ้าน เดียร์พยักหน้าหงึกหงัก 
    คุยกันอยู่สองคนเพราะตรงนั้นไม่มีใครนั่งเมื่อทั้งสองเข้ามาเป็นคนสุดท้ายของห้อง 
    ฟานคุยเก่งมุกเยอะ ฮาและมันใช้ได้ คุยได้สักพักอาจารย์ก็เข้ามา จึงต้องหยุดคุย 
    ฟังอาจารย์แนะนำเรื่องการเลือกลงวิชา การจัดการตนเอง และการเข้าพบที่ปรึกษา พักหนึ่งก็หมดเนื้อหา 
    เพียงอาจารย์ก้าวเท้าออกจากห้อง รุ่นพี่ก็เข้ามาทันทีให้น้องฟังกำหนดการเรื่องรับน้องต่อ

    “เอามือถือมาดิ๊”
    “ทำไมล่ะ”
    “เออน่า” 
    เดียร์ควักยื่นให้อย่างงงๆ 
    ฟานก้มหน้าก้มตาจัดการสักพักแล้วก็ส่งคืนให้ พร้อมรอยยิ้ม
    “เฟซ ไลน์ โทรให้เดียร์ ห้ามส่งต่อนะ”
    “ฮึ” เดียร์งง 
    ค้นโทรศัพท์ก็พบทุกอย่างมีแอคเคานท์ของฟานหมด จึงพยักหน้าอย่างงงๆ หันหน้าไปฟังรุ่นพี่ต่อ

    “นอกจากนี้ในช่วงฤดูรับน้อง ยังมีกิจกรรมกีฬา กิจกรรมประกวดดาวเดือนคณะ และ มหาลัยด้วย”
    สายตารุ่นพี่หลายคน มองมาทางฟานอย่างเปิดเผย 
    เท่าที่แสกนผ่านๆ แม้แต่ตัวเดียร์เองยังไม่เห็นใครในมหาวิทยาลัยหน้าตาดีเท่าฟานสักคน 
    แต่เจ้าตัวนั่งนิ่งด้วยหน้าไร้อารมณ์เหมือนไม่เกี่ยวข้อง

    “ก็ขอให้น้องๆให้ความร่วมมือเข้าร่วมกิจกรรมกันด้วยนะครับ” 
    สตาฟฟ์ว่าแล้วก็พากันบอกอำลาเดินออกจากห้อง  
    เดียร์ก้มหยิบเป้ที่ว่างไว้แทบเท้า พอเงยหน้ามาก็ต้องตกใจ 
    คนมายืนรุมอยู่ด้านหน้าเต็มไปหมดอย่างรวดเร็ว

    “ฟานใช่ไหมคะ จำได้” ใครสักคนทัก ฟานพยักหน้าเล็กๆไม่ตอบ
    “ฟานมีแต่ไอจีเหรอ มีไลน์ไหมอ่ะ ขอหน่อยสิ”
    “ไม่สะดวก” 
    ประหยัดคำดังดอกพิกุลใกล้ร่วง

    เดียร์ทำตาปริบๆ รู้สึกเหมือนมีเผือกร้อนเกินขึ้นในมือ ต้องหันหน้าไปทางอื่น 
    แล้วทำไมฉันได้ทั้งโทร ไลน์ เฟซ ล่ะ 
    นี่มันแปลว่าอะไร ฉันพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหนเนี่ย 
    เดียร์หันกลับมาสบตาฟานที่รออยู่พอดี 
    ดวงตานั้นมีรอยยิ้มๆ แล้วกลับเฉยชาเมื่อมองไปที่อื่นหรือคนอื่น

    พวกหญิงเมย์ เก๋ มากิ ไตตั้น เดินมาทักทาย เดียร์จึงแนะนำให้รู้จักกับฟาน 
    “แนะนำนะ นี่ฟาน นี่ หญิงเมย์ เก๋ มากิ ไตตั้น”
    ฟานมีสีหน้ารับแขกขึ้นอีกนิดนึง ถ้าเทียบกับที่ให้คนอื่นๆที่เข้ามาทักก่อนหน้านี้
    “สวัสดีครับ ฟานครับ”

    พวกหญิงเมย์พากันนัดไปดูหนังกินข้าวห้าง เพราะบ่ายว่างแล้ว 
    แต่เดียร์ไปด้วยไม่ได้เพราะมีธุระ ไม่ได้อธิบายต่อว่าติดน้องขาวกับการทำโทษไว้ 
    และแล้วเพราะตกลงกันไว้กับฟานว่าจะกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร 
    นั่นจึงเกิดปรากฎการณ์แคทวอล์คในโรงอาหาร เมื่อเกิดทางแหวกให้ฟานเดินนำเดียร์เข้าไปต่อแถวซื้อข้าว 
    ฟานจึงควักแมสค์ดำขึ้นมาคาดหน้า พร้อมความสูงร้อยแปดสิบ
    แทนที่จะปกปิดดันส่งผลให้โดดเด่นประหนึ่งดาราเคป๊อบเดินถนนไม่มีผิด


    “ฟานเหมือนดาราเลยอ่ะ ชินหรือยัง” 
    เดียร์เอ่ย ทั้งสองนั่งอยู่โต๊ะหลังเสาทีบดบังสายตาผู้คน
    “ไม่เคยจะชิน ผมเบื่อออก”
    ฟานปลดแมสค์ ก่อนจะลงมือรับประทานอาหาร
    “แล้วเจ้าขาวเป็นไงบ้าง” 
    เดียร์เลิกคิ้ว
    “เจ้าขาว?”
    “หมาเมื่อเช้านี้ ผมคือคนที่เสนอให้เดียร์พามันขึ้นรถผมไง”
    “อ้าวนั้นฟานเองเหรอเนี่ย” เดียร์แปลกใจ “ก็ไม่เป็นไรมากเป็นแผลภายนอกเฉยๆเดี๋ยวกินข้าวเสร็จ เดียร์จะไปรับมันไปส่งที่เดิม”
    “เดียร์ไม่เลี้ยงมันเองหล่ะ”
    “ไม่ได้หรอก บ้านเดียร์เล็ก ภาระเดียร์เยอะ สงสารมันนะ แต่สงสารตัวเองมากกว่า”
    “เดียร์เป็นคนใจดี” 
    ฟานมองหน้าตรง แล้วยิ้มเจิดจ้าจนเดียร์แทบตาพร่า
    “แล้วตกลงเดียร์โดนทำโทษอะไร”
    “รู้ได้ไง”
    “ผมแอบฟัง”
    เอ้อ ใส่ใจอะไรชั้นเยอะแยะเนี่ย
    “พี่ให้กวาดลานหน้าคณะเย็นนี้” 

    ฟานพยักหน้าเนิบๆทำท่าครุ่นคิด
    “ผมว่างถึงเย็นเลย ไปรับเจ้าขาวกัน แล้วช่วยเดียร์กวาดดีกว่า”
    “จะดีเหรอ”
    “ดิสิ ผมอยาก..เออตามใจผมเหอะ”
    “ก็เอาดิ”
     รู้สึกได้เลยว่า ฟานติดเดียร์ขึ้นมาอย่างเฉียบพลันในไม่กี่ชั่วโมง 
    แต่เดียร์เป็นมนุษย์เฟรนด์ลี่อยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจอะไรมากมาย 


    วันนั้นกิจกรรมของเดียร์จึงมีฟานติดสอยห้อยตามเป็นเงาตลอด 
    นับจากไปรับน้องขาวไปไว้ที่เดิม ไปเข้าหอสมุดกลาง เดินไปกินหนมตอนบ่าย 
    แล้วเย็นกลับมาหน้าคณะฯ รับอุปกรณ์จากรุ่นพี่ที่ยืนรอแล้วก็ช่วยกันกวาดกับฟาน 
    ฟานผู้ซึ่งถือไม้กวาดทางมะพร้าวเหมือนพร็อบประกอบการถ่ายแบบ 
    ทำเอารุ่นพี่สาวๆที่นั่งอยู่หน้าคณะกรีดร้องกันระงม ขนาดว่าใส่แมสค์ไม่เห็นหน้า

    “น้องฟาน ถอดแมสค์!"
    “เป็นภูมิแพ้ครับ”

    เมื่อทำงานเสร็จเก็บอุปกรณ์แล้ว ฟานจึงปลดยางรัดผม ที่มัดผมเป็นมวยไว้ท้ายทอย
    “เดียร์ให้ผมไปส่งนะ”
    “เอ่อ จะดีเหรอ เกรงใจ”
    “ไม่เป็นไรผมว่าง รอผมตรงนี้นะ”

    เออดี สบาย เดียร์ก้าวเท้าขึ้นนั่งข้างคนขับ 
    โอโห นอกจากสวยแล้ว ยังรวยเว่อๆอีกขับรถหรูมาก 
    จากการขับไปส่งบ้านเดียร์ทำให้รู้ว่าบ้านสองคนห่างกันไม่กี่ซอย 
    บ้านเดียร์เป็นบ้านทั่วไปของหมู่บ้านจัดสรร 
    แต่บ้านฟานอยู่ในโซนผู้ดีเก่า มีแต่บ้านหลังใหญ่ๆมีอาณาบริเวณกว้างๆ 
    ไม่รู้จะเปอร์เฝ็คท์ไปถึงไหน


    เดียร์อาบน้ำนั่งหน้าคอมพ์แล้ว เมื่อไลน์เด้งขึ้นมา

    มฤคคา: เดียร์
                                                                                                 ค่ะ
    มฤคคา : ผมถึงบ้านแล้วนะ
                                                                                           จ้า ดีจ้า
    มฤคคา:พรุ่งนี้ไปมหาวิทยาลัยด้วยกันนะ ผมไปรับ
                                                                                           จะดีเหรอ
    มฤคคา : ดีสิครับ ประหยัดทรัพยากร แล้วมีเพื่อนร่วมทาง










    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×