คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
บทที่ 2
ส่วนทางด้านคนที่ต้องกลายเป็นเลดี้วาเนสซ่า ยามนี้กลับกำลังงุ่นง่านรำคาญใจกับตัวเองอย่างมากมาย หญิงสาวเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องของวาเนสซ่า ซึ่งตอนนี้มันกลายเป็นห้องของหล่อนไปแล้ว
วาเลนติน่าเดินวนไปมาอยู่ภายในห้อง หญิงสาวรู้สึกไม่ชอบเลยแม้แต่นิดเดียวที่ต้องกลายเป็นวาเนสซ่า หล่อนมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำและยังไม่ได้ทำที่โลกนั้น
“โอ้ พระเจ้า ถ้าท่านให้โอกาสข้ากลับไปที่โล
กอีกครั้ง ฉันจะไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยในชีวิต”
หญิงสาวจำได้ว่าตลอดสามวันที่ผ่านมานี้ หล่อนร่ำร้องภาวนาประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คำภาวนานั้นกลับดูไร้ประโยชน์อย่างมากมาย หล่อนไม่มีทางกลับไปที่โลกที่จากมาได้อีก เพราะหล่อนไม่รู้วิธีที่จะกลับ
แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว โลกในยุคนี้คือโลกที่หล่อนถือกำเนิดขึ้นมา มันคงไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง อย่างน้อยหล่อนก็เป็นคนของยุคนี้
อ้อใช่! มันคงไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก ถ้าไม่ใช่ว่าหล่อนดันเคยไปอยู่ในอนาคนมาแล้วครั้งหนึ่ง!
แต่ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะหล่อนรู้อะไรมากมายกว่าคนที่นี่จะรู้ รู้ว่าโลกในอนาคตผู้คนเป็นเช่นไร ต่างกับผู้คนที่นี่เช่นไร
ยุคนั้นช่างศิวิไล แต่ยุคนี้กลับป่าเถื่อน พร้อมที่จะสู้เข่นฆ่าพร้อมที่จะแย่งชิงกันได้ทุกเมื่อ
ที่นี่ทุกอย่างล้าหลัง ไม่มีวิทยาศาสตร์ใดมารอบรับและทำให้หล่อนมองเห็นแต่ความล้าหลังของยุค รวมทั้งความคิดความอ่านของผู้หญิงในยุคนี้ก็กลับเป็นเหมือนช้างเท้าหลังในกำมือชายไม่มีผิด มันจึงทำให้หล่อนถูกนางฟลอเรนคนสนิทของวาเนสซ่าติงเอาบ่อยๆ ถึงความคิดแปลกแหวกแยกที่ต่างกับคนอื่น
ผู้คนของที่นี่ไม่ได้ตัวทัดเทียมกันอย่างคนในโลกยุคปัจจุบัน ทุกคนไม่ได้มีความคิดอิสรเสรีเหมือนยุคที่หล่อนจากมาก ที่นี่มีการแบ่งชนชั้นระหว่างเจ้านายและคนธรรมดา
ซึ่งหล่อนไม่ชินเลยสักนิดกับวิถีชีวิตเช่นนี้และแน่นอน มันกำลังทำให้หล่อนแทบคลั่งแล้วด้วยสิ!
นัยน์ตาสีเขียวมรกตยามนี้เต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างหนักพอๆ กับสีหน้าที่แสดงออกมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นจนเกือบจะผูกโบ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันยามใช้ความคิดอันเป็นความเคยชิน
แต่ระหว่างที่มัวแต่คิดหาทางออกให้กับตนเอง จู่ๆ เสียงขออนุญาตจากหน้าประตูก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท วาเลนติน่าหันไปทางเสียงก่อนจะร้องบอกแก่ฝ่ายนั้น
“เข้ามาได้”
สิ้นเสียงบอก ประตูหน้าหนักก็ถูกเปิดออก นางฟลอเรนก้าวเข้ามาภายในห้องพร้อมกับสาวใช้อีกสองสามคนที่ยกสำรับอาหารมากมายตามหลังเข้ามา
นางนิ่วหน้าเมื่อเห็นของวาเลนติน่าคล้ายกับกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง แล้วจึงหันไปสั่งสาวใช้ให้วางถาดสำรับอาหารไว้บนโต๊ะแล้วให้ออกไปจากห้องทันที
เมื่อคล้อยหลังพวกนางไปแล้ว นางฟลอเรนก็เป็นถามขึ้นทันที
“มายเลดี้กำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
“กำลังคิดจะหนีออกจากที่นี่ยังไงนะสิ”
หญิงสาวบอกอย่างติดตลก แต่มีเค้าความเป็นจริงมากที่หล่อนจะหนีออกไปจากที่นี่ ติดอยู่แค่ว่าเมื่อหนีออกไปแล้วไม่รู้จะหนีไปก็เท่านั้นแหละ
“ข้าไม่เห็นด้วยที่ท่านจะทำเช่นนั้น
”
นางฟลอเรนบอกแล้วทำท่าจะเริ่มชักแม่น้ำหลายสายมาสาธยายกับหล่อน ทำเอาคนที่ไม่มีแก่ใจฟังคำบ่นอยู่แล้วต้องรีบยกมือห้ามก่อนจะได้ฟังสาธยายมนต์ขึ้นมาจริงๆ
“พอเลย คุณไม่ต้องบอกให้ฉันทำอะไร หรือว่าฉันควรทำอะไร ตรงนี้คือตัวฉัน แค่ให้ฉันทำตัวเป็นวาเนสซ่าก็แย่พอแรงแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าบอกเชียวนะว่าฉันควรเปลี่ยนความคิดเพื่อพวกคุณ”
“ถ้าท่านยืนยันเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีอะไรจะแย้ง เพียงแต่อยากให้มายเลดี้เปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวท่าน เพื่อจะได้เป็นดังเช่นเลดี้วาเนสซ่าผู้เพียบพร้อมและงดงาม...ให้สมกับเป็นนางด้วยเจ้าค่ะ”
วาเลนติน่าทำเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ แต่กลับถูกนางฟลอเรนติงให้อีก
“กิริยานี้ไม่เหมาะสมกับการเป็นเลดี้ ขอให้ท่านเลิกทำด้วยเจ้าค่ะ”
“หา!”
“นี่ก็ด้วยเจ้าค่ะ ผู้ปกครองสูงสุดอย่างเลดี้วาเนสซ่าจะต้องสงบนิ่ง ไว้ตัวและไม่ควรร้องโวยวาย ท่านควรจะสงบเสงี่ยม ไว้ตัวเพื่อให้ผู้คนนับถือ”
“หา!” หล่อนร้องอีกหน
“ข้าบอกแล้วไงเจ้าคะว่าไม่ควรทำ ถ้าท่านเลิกทำกิริยาเช่นนี้ไม่ได้ ไหนเลยจะมีคนเชื่อว่าท่านเป็นเลดี้วาเนสซ่าตัวจริง ไม่ใช่คนอื่นปลอมตัวมา”
“โอ๊ย...”
วาเลนติน่าถึงกับครางพลางกลอกตาไปมา แล้วนึกอยากให้ตัวเองตายไปเสียพ้นๆ หรือไม่ก็ขอให้มีอะไรก็ได้มาฉุดหล่อนลงไปจากตำแหน่งผู้ปกครองปราสาทกำมะลอนี่เสียจริง แต่แทนที่หล่อนจะได้รับการเห็นใจ กลับโดนนางฟลอเรนติงให้อีกหน
“ท่านอุทานแบบนี้ไม่เหมาะเลยเจ้าค่ะ”
“งั้นจะให้ฉันอุทานว่าอะไรละคะคุณฟลอเรน”
หล่อนถามด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม
“จะให้ฉันบอกว่าดีใจจังเลย ที่จู่ๆ ก็ได้มาเป็นเลดี้ผู้เลอโฉม ผู้ปกครองปราสาทคาร์เธียนโดรล์ ทั้งที่ฉันไม่ยินดีกับมันอย่างนั้นนะเหรอ?”
“ถึงท่านไม่ยินดี แต่นี่คือปราสาทที่ท่านพ่อและตระกูลลอเรนปกครองมาอย่างยาวนาน เลดี้วาเนสซ่าเองก็ปกครองสืบต่อมา ดังนั้นข้าไม่เห็นว่ามายเลดี้จะสมควรเกลียดชังตำแหน่งนี้...”
นางฟลอเรนยังกล่าวไม่ทันจบ วาเลนติน่าก็สวนกลับทันควันด้วยอารมณ์ขุ่นมัวที่พร้อมจะฟาดงวงฟาดงาเต็มที่แล้ว
“ฉันไม่ได้เกลียดตำแหน่งนี้ แต่เพราะฉันไม่ใช่วาเนสซ่า ถึงให้ทำอย่างไรฉันก็ไม่ใช่ยู่ดี”
“ข้ารู้และเข้าใจดีว่าท่านไม่ใช่เลดี้วาเนสซ่า แต่ว่าถ้าท่านไม่ทำเพื่อลอเรนและคาร์เธียนโดรล์แล้ว ข้าและผู้ใต้ปกครองทุกคนที่ฝากความหวังไว้ที่ท่านก็จะเป็นอันสูญเปล่า”
“เจ้าฝากมันไว้กับวาเนสซ่าต่างหาก ไม่ใช่ข้า” หล่อนสวนกลับทันควัน
“แต่ตอนนี้ท่านคือเลดี้วาเนสซ่าเจ้าค่ะ”
นางฟลอเรนกล่าวเตือนสติ แต่ก็ทำให้วาเลนติน่านึกเหม็นเบื่อขี้หน้ากับหญิงรับใช้คนสนิทของวาเนสซ่าขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยก็ควรเข้าใจอะไรกันบ้างเถอะว่าหล่อนเป็นแค่วาเนสซ่ากำมะลอ จะมาหวังให้หล่อนทำทุกอย่างให้เหมือนที่วาเนสซ่าทำ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
“แต่คนใน ‘คาร์เธียนโดรล์’ คนอื่นไม่รู้ว่าฉันคือตัวปลอม แล้วพวกเขาจะมาฝากความหวังกับฉันทำไม”
“ท่านกล่าวเช่นนี้ อยากให้คาร์เธียนโดรล์ตกไปอยู่ในเงื้อมมือคนอื่นงั้นหรือเจ้าคะ”
คำถามของนางฟลอเรนทำให้วาเลนติน่าถึงกับนิ่งไปอึดใจใหญ่ แม้ว่าจะไม่ยินดีกับการอยู่ในตำแหน่งเลดี้วาเนสซ่า แต่ก็ไม่ไห้หมายความว่าอยากให้พื้นแผ่นดินที่ลอเรนปกครองมาตลอดต้องถูกเปลี่ยนมือไป อย่างน้อยๆ ถ้ามันจะต้องตกเป็นของใครหล่อนก็ไม่อยากให้ต้นเหตุนั้นมาจากตัวเอง!
“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“เช่นนั้นแล้วก็ขอให้เลิกคิดหนี เลิกคิดที่จะทำอะไรที่ไม่ควรทำ และควรเริ่มจากวิธีการพูดของท่านด้วยเจ้าค่ะ คำพูดของท่านเป็นที่แปลกหูสำหรับคนที่นี่ ข้าไม่รู้ว่ามนตร์ดำของแมทธาพาท่านไปอยู่ดินแดนไหนมา แต่บัดนี้เมื่อท่านกลับมาแล้ว ก็ย่อมต้องทำทุกอย่างที่ดินแดนนี้กระทำ รวมทั้งคำพูดก็ควรเปลี่ยนด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
“ยากเอาเรื่องนะนั่น” หล่อนสัพยอกเสียงขื่นๆ เต็มทน
“แต่ก็ต้องทำเจ้าค่ะ”
นางฟลอเรนยืนยันเสียงแข็ง เล่นเอาวาเลนติน่าถึงกับเบ้ปากพลางกลอกตาไปมาด้วยความระอาใจ นึกอยากกลับไปหาคุณยายเหลือเกิน อย่างน้อยคุณยายก็ไม่เคี่ยวเข็ญหล่อนขนาดนี้!
“เอาละๆ โอเค ฉันจะทำเท่าที่ทำได้ แต่ไม่รับปากหรอกนะถ้าความมันเกิดแตกขึ้นมา”
“ไม่มีคำว่าความแต่เจ้าค่ะ”
นางฟลอเรนแย้งแล้วก็ยังไม่วายติงเรื่องการพูดของวาเลนติน่าอีก
“ท่านต้องเลิกใช้สำเนียงการพูด รวมทั้งการพูดแปลกๆ นั่นด้วยเจ้าค่ะ”
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางยกสองมือขึ้นในท่ายอมแพ้ก่อนจะหันไปสนใจสำรับที่จัดมาให้ หล่อนมองสำรับอาหารหน้าตาแปลกๆ ที่ไม่เคยคุ้น
ชามแรกเหมือนซุปแต่มีสีขาวจืดชืดโรยด้วยผักเขียวตกแต่งให้สวยงาม ถัดมามีขนมปังที่ดูเหมือนว่ามันจะแข็งเกินกว่าจะเคี้ยวเข้าไปได้ อีกจานที่อยู่ใกล้กันเป็นเนื้อที่ดูเกือบจะน่าทาน
วาเลนติน่ามาอยู่ที่นี่ได้สามวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ชินกับอาหารการกินของที่นี่เท่าไหร่ จำได้ว่าซุปของที่นี่จะเป็นสิ่งเดียวที่ประทังชีวิตหล่อนไว้ได้ หรือไม่ก็จงอย่าถามว่าเมนูนั้นทำมาจากอะไร เพราะถ้าหล่อนรู้ก็อาจจะกระเดือกไม่ลงไปอีกนาน
“ทีหลังไม่ต้องยกมาเยอะขนาดนี้ก็ได้ ฉันกินคนเดียวไม่หมดหรอก”
“แต่นี่เป็นสิ่งที่เลดี้วาเนสซ่าทำประจำเจ้าค่ะ”
หญิงสาวฟังแล้วก็ทำหน้าเหม็นบูดชอบกลพลางเหลือบมองสำรับอาหารที่อยู่ตรงหน้าสลับกับใบหน้าของนางฟลอเรนด้วยความด้วยสงสัยใคร่รู้
“วาเนสซ่ากินคนเดียวหมดนี่เลยเหรอ!”
“ไม่เจ้าค่ะ แต่ว่าสำรับผู้ปกครองปราสาทแล้ว ไม่สมควรจัดสำรับเหมือนอย่างผู้รับใช้และคนทั่วไป”
“เอามาแล้วกินเท่าแมวดมเนี่ยนะ แถมกินอยู่คนเดียว แล้วจะกลัวไปน้อยหน้าใครที่ไหนอีกล่ะ” หล่อนบ่นพึมพำพลางมองสำรับอาหารอีกครั้งอย่างแสนเสียดาย
แต่นางฟลอเรนกลับรีบอธิบาย เพราะเกรงว่าวัฒนธรรมประหลาดที่ติดมากับเลดี้วาเลนติน่าจะทำให้หล่อนไม่เข้าใจอะไรอีกหลายอย่าง และถ้าไม่เข้าใจอาจจะไม่ทำตามลามไปถึงปัญหาที่จะมีขึ้นได้ทุกเมื่อ
“ปกติแล้วมายเลดี้จะร่วมรับประทานอาหารกับคนในปราสาทที่ห้องโถงกลางเจ้าค่ะ แต่ว่าตอนนี้ข้ากับท่านเซอร์เทรนดิงตันเกรงว่ามายเลดี้จะยังปรับตัวได้ไม่แนบเนียนพอ จึงเห็นว่าให้ท่านได้รับประทานอาหารในห้องจะดีกว่า แต่หากมายเลดี้พร้อมจะร่วมรับประทานอาหารกับทุกคนเมื่อใด ก็สั่งข้าได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอไม่พร้อมไปจนตายก็แล้วกัน”
นางฟลอเรนฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้นางจะเข้าใจดีว่าเลดี้วาเลนติน่ารู้สึกเช่นไร แต่ว่าหน้าที่ย่อมสำคัญกว่าจิตใจและความต้องการเสมอ
และในระหว่างนี้นางจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เลดี้วาเลนติน่าได้เป็นเลดี้วาเนสซ่าอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยการเคี่ยวเข็ญและกดดันเพียงใดก็ตาม
“เชิญมายเลดี้รับประทานอาหารเถิดเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องอื่น ขอให้ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้ากับท่านเซอร์เทรนดิงตันก็พอแล้ว ข้ามีหน้าที่ของข้าเช่นเดียวกับที่มายเลดี้ก็ต้องมีหน้าที่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นเลดี้วาเนสซ่าให้ได้แนบเนียนทีสุด”
วาเลนติน่ายักไหล่ก่อนจะลงนั่งบนเก้าอี้ที่นางฟลอเรนดึงออกมาแล้วจึงเลื่อนให้เข้าที่เข้าทาง หญิงสาวมองดูสำรับอาหารอีกครั้งก่อนจะหยิบมีดขึ้นมา
หล่อนเริ่มเรียนรู้จากอาหารหลายมื้อที่ผ่านมาว่าที่นี่ไม่มีช้อนคันเล็กพอจะตักเข้าปาก บนโต๊ะอาหารมีแต่มีดกับมือเท่านั้นที่เป็นอุปกรณ์การรับประทานอาหาร
หล่อนตัดเนื้อจากในจานกลางที่คิดว่าต้องเป็นเนื้อหมู่ป่าหรือไม่ก็อะไรสักอย่าง หล่อนตัดชิ้นเนื้อมาและส่งมันเข้าปากก่อนจะเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย
แล้วจึงตามด้วยชิ้นเนื้ออบรสชาติหวานปะแล่มๆ เหมือนตับราดซอสที่หล่อนเคยกิน แต่ด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยขึ้นมาตอนรับประทานอาหารอยู่ จึงทำให้เดาได้ไม่ยากว่าจานนี้คงอบซอสจากไวน์ด้วยแน่ๆ
วาเลนติน่ารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้วจู่ๆ ก็หันไปชมเอากับนางฟลอเรนอีก
“ฉัน เอ้ย ข้าชอบสองจานนี้นะ เนื้อมันอร่อยดี ข้าไม่เคยกินเนื้อหมูอบอร่อยอย่างนี้มาก่อนเลย”
หล่อนบอกแล้วตัดชิ้นเนื้อใส่ปากอีกหลายคำ อย่างน้อยการเจริญอาหารที่ดีก็เป็นเครื่องบ่กบอกว่าหล่อนยังปกติดีอยู่ทุกอย่างโดยเฉพาะกระบวนการความคิดที่ยังไม่สติแตกสติดับไปก่อนละนะ
นางฟลอเรนมองเลดี้วาเนสซ่าตัวปลอมเจริญอาหารอยู่ครู่หนึ่ง และยิ่งเห็นหล่อนชื่นชมเมนูนี้อย่างมากจึงคิดว่าควรบอกให้หล่อนได้รู้ เผื่อครั้งหน้าหล่อนอาจจะเรียกเมนูนี้ขึ้นโต๊ะอีก
“หามิได้เจ้าค่ะ นั่นไม่ใช่เนื้อหมูป่า”
วาเลนติน่าชะงักมือทันที ในน้ำเสียงของนางฟลอเรนมีบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกภาวนาในใจเหลือเกินว่าอย่าให้คำตอบที่ออกมากลายเป็นเนื้อจระเข้ เนื้อสิงโต เนื้องูเลย
“แล้วมัน เอ่อ เป็นเนื้อของอะไร”
“เนื้อกระต่ายอบซอสไวน์ขาวกับตับกวางผสมไวน์สูตรพิเศษเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงตอบของนางฟลอเรน วาเลนติน่าก็แทบจะวางมีดลงทันที อาการเจริญอาหารเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้งพลางมองเศษชิ้นเนื้อในจานตรงหน้าแล้วก็ให้หน้าเบ้ออกมา เมื่อสำเนียกได้ว่าตนเองกำลังกินอะไรอยู่
หญิงสาวให้เกิดอาการพะอืดพะอมขึ้นมาจนต้องเบือนหน้าหนีสำรับอาหารตรงหน้า มือน้อยเอื้อมไปหยิบแก้วเงินใส่ไวน์ก่อนจะดื่มพรวดๆ เพื่อหวังให้มันลดอาการขมในคอให้จางหายไป
วาเลนติน่าวางแก้วไวน์ลงและเลิกสนใจเนื้อสัตว์ต่างๆ เปลี่ยนไปหยิบผลไม้มาใส่ปากแทน สลับกับกัดแป้งพายกรอบที่วางอยู่เพื่อให้อาหารปะทังชีวิต จนกระทั่งอาหารลงไปตึงอยู่เต็มท้องและทำให้หล่อนอิ่มได้ หล่อนจึงวางมือและหันมาถามเอากับนางฟลอเรนตรงๆ
“ตอนนี้ข้าเป็นเลดี้วาเนสซ่าแล้วใช่มั้ย?”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“งั้น ถ้าข้าขอสั่งอะไรสักอย่างจะได้มั้ย” หล่อนถามราวกับหยั่งเชิง
“ตามแต่ท่านต้องการเจ้าค่ะ ข้ายินดีรับใช้เต็มที่เพื่อมายเลดี้และคาร์เธียนโดรล์” นางฟลอเรนบอกพลางทิ้งท้ายด้วยคำพูดดักคอ ถ้าหากว่าวาเลนติน่าคิดเล่นตลกอะไรขึ้นมา
“เรื่องนี้ไม่หนักหนาถึงขนาดทำคาร์เธียนโดรล์ล่มสลายหรอกน่า” หล่อนกระเซ้านิดๆ
“มายเลดี้ปรารถนาสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
วาเลนติน่ายิ้มหวานใส่นางฟลอเรนก่อนจะหุบยิ้มฉับเปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งพลางชี้ไปยังสำรับที่ตั้งค้างอยู่ด้วยความไม่ชอบใจโดยเฉพาะเจ้ากระต่ายน้อยที่กลายมาเป็นเมนูที่หล่อนโปรดนะสิ
“ครั้งหน้าถ้าจัดสำรับมา ขออย่าให้มีเนื้อกระต่ายกับตับกวางอีกเลย อาจจะขอมากไป แต่ข้าขอแค่เนื้อหมู เนื้อไก่ กับขนมปังก็พอ หรือถ้าพวกเจ้าลำบากต่อการทำเพื่อให้สมกับฐานะของผู้ปกครองปราสาทแล้วละก็ จะทำมากี่จาน กี่เมนูก็ได้ แต่ขออย่าให้มีพวกประหลาดนี่ขึ้นโต๊ะอีกเลย”
“เนื้อกระต่ายกับตับกวางประหลาดหรือเจ้าคะ”
นางฟลอเรนถามด้วยความสงสัย เพราะว่าสองสิ่งนี้กลับไม่เป็นที่ประหลาดสำหรับคนที่นี่เลยสักนิด มันออกจะปกติเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ประหลาดหรอก แต่...ข้าแพ้เนื้ออื่นๆ ที่ไม่ใช่เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว”
“ท่านแพ้? แล้วเกิดอาการอย่างไรหรือเจ้าคะ”
นางฟลอเรนต่อพลางขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด เพราะไม่เห็นว่าเลดี้วาเลนติน่าจะเกิดอาการแพ้ขึ้นมาแต่อย่างใด
“ก็อาการพะอืดพะอมนี่ไงล่ะ”
นางฟลอเรนทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ แต่ก็ยังไม่หายสงสัยอยู่ดี
“แต่ว่าสำรับที่รับประทานมาตลอดหลายมื้อก็ล้วนแล้วแต่ทำมาจากเนื้อกวาง เนื้อกระต่าย เนื้อห่านทั้งนั้นนะเจ้าคะ ท่านแพ้หมดนี่เลยหรือเจ้าคะ”
“หมดนั่นแหละ ไม่เอาอีกแล้ว หรือถ้าปัญหาเยอะนัก ข้ากินเฉพาะผลไม้กับขนมปังก็ได้”
หล่อนบอกแล้วรู้สึกสยดสยองกับเมนูอาหารและสาบานว่าต่อไปนี้ หล่อนควรสอบถามทุกเมนูก่อนรับประทานแน่ๆ
“แต่ว่า สำรับที่ท่านรับประทานคือสำรับที่เลดี้วาเนสซ่าโปรดปรานมากนะเจ้าคะ”
นางฟลอเรนบอกเสียงเรียบ นางพยายามจะเตือนสติให้วาเลนติน่ารู้ แม้ว่าหล่อนจะชอบสิ่งใดหรือไม่ชอบสิ่งใด แต่ตอนนี้หล่อนอยู่ในคราบของเลดี้วาเนสซ่าดังนั้นก็ควรทำตัวให้เป็นเลดี้วาเนสซ่าให้ได้ทุกนัย รวมทั้งการรับประทานอาหารก็ด้วยเช่นกัน
วาเลนติน่าตวัดสายตาควับอย่างรวดเร็ว หญิงสาวรู้สึกกรุ่นโกรธว่าแม้แต่มื้ออาหาร แค่หล่อนขอร้องแค่นี้ก็ยังไม่สามารถขอได้ มันจะอะไรกันนักกันหนาเชียวนะวาเนสซ่าเนี่ย!
“แต่ข้าไม่ได้อยากเป็นนาง!”
นางฟลอเรนฟังแล้วก็ให้ส่ายหน้ากับความดื้อดึงของเลดี้วาเลนติน่า เหมือนจะพูดกันรู้เรื่องในอึดใจ แต่อีกอึดใจก็กลับดื้อดึงเหมือนเดิมเสียแล้ว นี่ถ้าเลดี้วาเลนติน่ายังดื้อดึงอยู่อย่างนี้เห็นทีคงต้องมีอะไรสักอย่างช่วยกระตุ้นให้หล่อนยอมรับความจริงได้ง่ายขึ้นกระมั้ง
“มายเลดี้กล่าวเช่นนี้แสดงว่าท่านเทรนดิงตันยังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญให้ทราบใช่มั้ยเจ้าคะ”
วาเลนติน่าเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย แม้จะไม่ชอบใจต่อการเคี่ยวเข็ญของนางฟลอเรน แต่สายเลือดแห่ง ‘ลอเรน’ ที่มีอยู่ก็ทำให้ไม่สามารถเพิกเฉยต่อข่าวที่ได้ฟัง ไม่ว่าข่าวนั้นจะดีหรือร้ายก็ตาม!
“เรื่องอะไร?”
“สาสน์จากไอเลียนโดนันเจ้าค่ะ”
“สาสน์จากไอเลียนโดนัน?”
คนฟังทวนถามด้วยเสียงเบาหวิว สมองเริ่มทบทวนถึงชื่อที่ได้ยิน มันเป็นทั้งปราสาทและเขตแดนที่ปกครองโดยพวกฟิชเจอรัลด์ และสำคัญที่สุดคือเป็นปฏิปักษ์กับคาร์เธียนโดรล์มาช้านานแล้ว
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ มันถูกส่งมาเมื่อเช้านี้ ใจความมีว่า ลอร์ดคราเวล ฟิชเจอรัลด์แห่งไอเลียนโดนันจะเยือนคาร์เธียนโดรล์อย่างเป็นทางการ และไม่ว่าลอร์ดแห่งไอเลียนโดนันคนนั้นจะมีสิ่งใดแอบแฝงต่อการมาในครั้งนี้ เราก็จำเป็นต้องให้ ‘ท่าน’ แสดงตนเป็นเลดี้วาเนสซ่าให้ได้อย่างแนบเนียนทีสุดเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงบอกของนางฟลอเรน ความตระหนกก็ฉายชัดบนใบหน้าของหล่อน วาเลนติน่ารู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับชื่อของลอร์ดคนนี้เหลือเกิน
ลอร์ดคราเวล ฟิชเจอรัลด์เหรอ ชื่อนี้เหมือนจะเคยรู้จักมาก่อน
โอ้ ใช่! หล่อนรู้จักนามนี้มาก่อนจริงๆ นั้นแหละ
แต่เขาจะมาที่นี่ แล้วหล่อนที่ยังไม่เป็นเลดี้วาเนสซ่าอย่างเต็มตัวจะทำเช่นไรกัน แล้วถ้าเกิดว่าความลับแตกขึ้นมาจะทำยังไง โอ๊ย แบบนี้แย่แน่ๆ
“ไม่มีทางยับยั้งการมาเยือนในครั้งนี้ได้เลยเหรอ”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่สวยเต็มไปด้วยความหวั่นวิตกอย่างมากมาย หญิงสาวลุกจากที่นั่งก่อนจะบอกให้นางฟลอเรนยกสำรับที่เหลือออกไปได้
คล้อยหลังจากที่สาวใช้ทั้งหมดยกสำรับอาหารออกไปแล้ว วาเลนติน่าก็เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับลอร์ดคราเวล ฟิชเจอรัลด์แห่งไอเลียนโดนัน แล้วหล่อนก็นึกมันขึ้นมาได้ในที่สุด
ใช่แล้ว! หล่อนเคยเจอกับ ‘เขา’ มาแล้วครั้งหนึ่งจริงๆ
ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์ เลดี้วาเลนติน่าผู้ซึ่งไม่เคยเข้าใจว่าทำไมตนเองต้องถูกกักขังอยู่แต่ด้านหลังของปราสาท รวมทั้งสงสัยว่าทำไมท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ค่อยมาหาหล่อน และดูเหมือนคนอื่นๆ จะลืมหล่อนไปเสียสิ้น หล่อนมีชีวิตอยู่กับมวลหมู่ดอกไม้ในสวนหลังปราสาท แต่ความสุขทางจิตใจที่โหยหาความรักนั้นงกลับไม่เคยมีเลยแม้แต่เพียงน้อย
จนกระทั่ง วาเลนติน่าแอบหนีออกมาจากด้านหลังของปราสาท และได้เจอกับเด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาดุดันเข้า แต่หล่อนหาได้กลัวเขา ตรงกันข้ามหล่อนเกิดความรู้สึกพิเศษต่อเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นใคร วาเลนติน่าจึงถามเอากับสาวใช้จนได้รู้ว่า เขาคือคราเวล ฟิชเจอรัลด์ผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้ปกครองไอเลียนโดนันคนต่อไป แต่ว่าการสอบถามครั้งนั้นทำให้ท่านพ่อและท่านแม่รู้ว่าหล่อนหนีออกมาเที่ยวเล่น จึงสั่งให้ดูแลหล่อนอย่างเข้มงวด
มันจึงทำให้เส้นทางระหว่างเขาและหล่อนห่างไกลออกไปยิ่งกว่าจะคาดคิดได้
วาเลนติน่านึกได้ดังนั้นก็ให้ครางในลำคอ เมื่อจดจำความรู้สึกครั้งเก่าได้ และรู้ว่าลอร์ดคราเวล ฟิชเจอรัลด์คือรักแรกของหล่อนเอง
ยังจำได้ว่าตอนอยู่ที่ยุคที่หล่อนเพิ่งจากมา หล่อนไม่เคยมองผู้ชายคนไหนเลย แม้ว่าจะมีหนุ่มหน้าตาดีมาจีบมาสนใจ มันราวกับว่าหัวใจของหล่อนรอคอยใครอยู่ หล่อนเคยถามตัวเองว่ารอคอยใครแต่ก็นึกไม่ออก จนมาบัดนี้หล่อนนึกออกแล้วว่าคนที่หล่อนรอก็คือ คราเวล ฟิชเจอรัลด์!
ทว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ คนที่เป็นรักแรกของหล่อน และเขากำลังจะมาหาหล่อน โดยไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่เขาเจอไม่ใช่เลดี้วาเนสซ่า แต่เป็น...ผู้เกือบลืมไปแล้วว่าเคยหลงรักเขาไปอย่างหมดหัวใจ
นางฟลอเรนที่คอยปรนนิบัติอยู่ก็ให้มองเลดี้วาเลนติน่าด้วยความหนักใจไม่แพ้กัน แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาปลอบขวัญเพื่อเอาใจกัน มันมีแต่ความจริงที่ต้องเผชิญเท่านั้น
“มายเลดี้ ไม่ว่าท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่ขอให้จำไว้ว่า หนทางของท่านจะต้องทำเพื่อคาร์เธียนโดรล์เท่านั้น ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อวิธีการนี้ก็ตาม แต่ความรู้สึกของท่านไม่สำคัญเท่ากับคำสั่งของเลดี้วาเนสซ่า และสำหรับข้ากับท่านเทรนดิงตัน 'เรา' ต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำทุกอย่าง อย่างสุดความสามารถ เป็นไปตามคำสั่งของเลดี้วาเนสซ่าและคำสาบานที่จะซื่อสัตย์ ภักดีต่อ ‘ลอเรน’ และ ‘คาร์เธียนโดรล์’ จนกว่าลมหายใจจะหมดลง”
หล่อนฟังแล้วก็ให้รับคำออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“ข้าเข้าใจดีว่าการต้องปลอมตัวเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่ตัวเรา มันจะรู้สึกอึดอัดเพียงใด แต่มายเลดี้ ท่านเองก็ควรจะรู้ไว้ด้วยว่านี่คือสิ่งที่เลดี้วาเนสซ่าแบกรับเพื่อคาร์เธียนโดรล์มาโดยตลอด ดังนั้นท่านห้ามลืมหน้าที่ของท่านที่มีต่อคาร์เธียนโดรล์เด็ดขาด”
“ฉันไม่ลืมหรอกน่า”
วาเลนติน่าตอบพลางก้าวเข้าไปใกล้ช่องหน้าต่างบานใหญ่ที่เห็นอยู่ นิ้วเรียวยกขึ้นแตะกรอบโค้งของหน้าต่างที่เป็นหินเย็นเฉียบ แต่มันกลับเย็นน้อยกว่าความกลัวในใจของหล่อนในยามนี้ กลัวเหลือเกินที่จะได้พบกับเขา และกลัวเหลือเกินว่าเขาจะมองหล่อนเป็นเพียงแค่...วาเนสซ่า!
โปรดติดตามตอนต่อไป
ฝากติชม และพูดคุยกันได้นะคะ
ความคิดเห็น