คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
อนึ่ง เนื้อหาบางบทของเรื่องนี้ ไม่สามารถโพสได้ เนื่องจากเป็นนิยายระดับโรแมนติก 18+ ดังนั้นบางช่วงบางตอนที่มีฉากโรแมนติก ไรท์เตอร์ขออนุญาตไม่นำลงนะคะ ต้องตามไปอ่านต่อในฟอรั่มที่ลงแบบไม่ตัดตอนจ้า
***************************
เสน่หาข้ามศตวรรษ
บทนำ
เมืองท่าคาร์ดิฟฟ์, อังกฤษ ปัจจุบัน
บนถนนคะธีโดรลในเมืองท่าคาร์ดิฟฟ์ สองข้างทางเต็มไปด้วยทาวน์เฮ้าส์สีขาวผสมผสานกับผนังที่ทำจากหินสีเทาก่อให้เกิดความสวยงามซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทาวเฮ้าส์ในระแวกนี้ หน้าต่างทรงหกเหลี่ยมของตัวบ้านทำให้สามารถทอดมองออกมายังภายนอกได้เป็นอย่างดี
ด้านหน้าทาวน์เฮ้าส์เป็นพื้นที่ใช้สอยขนาดไม่กว้างมีทางเดินหินสีขาวทอดตรงออกมายังทางเท้าหน้าหน้าที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา รวมทั้งรถราที่จอดเรียงรายชิดทางเท้าเต็มไปหมด
รถบัสโดยสารสีขาวคาดน้ำเงินจอดรับส่งผู้ใช้บริการเป็นระยะ คนที่เพิ่งก้าวลงจากรถโดยสารก้าวยาวๆ ไปตามทางเท้าก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในทาวน์เฮ้าส์หลังหนึ่งที่ด้านหน้ามีต้นสนเล็กๆ ประดับประดาอยู่
หญิงสาวหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วจึงไขมันเข้าไป ร่างในชุดเสื้อคอเต่าสีน้ำตาลเข้มมีผ้าพันคอสีดำขนนุ่มกับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลไม้โอ๊คทำให้อบอุ่นกับสภาพอากาศที่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว เรียวขายาวในสวมกางเกงผ้ายืดสีดำเข้ารูปและรองเท้าบูทหนังส้นสูงสีดำก้าวเข้าไปภายในบ้านก่อนจะปิดประตูอย่างดี
เรือนผมหยักศกสีบรอนด์ไหวเป็นคลื่นยามก้าวเดิน หล่อนวางกุญแจบ้านลงบนโต๊ะริมฝาผนังก่อนจะเดินผ่านทางเดินกลางเข้าไปยังห้องรับแขกที่อยู่ด้านขวามือ ใบหน้าสวยสอดส่ายหาคนที่ต้องการ แต่กลับไม่พบ
ภายในห้องรับแขกโซฟาสีน้ำตาลแดงวางชิดอยู่ริมหน้าต่างรูปหกเหลี่ยม บนผนังมีภาพวาดสีน้ำมันรูปปราสาทหินขาวท่ามกลางหุบเขาอันแสนสวยงามติดอยู่ ม่านสีน้ำตาลอ่านถูกผูกรวบชายเอาไว้เพื่อให้แสงภายนอกส่องผ่านเข้ามา
โต๊ะรับประทานอาหารชุดเล็กมีจาน ชาม ช้อน ส้อม แก้วน้ำวางอยู่พร้อม บ่งบอกได้ถึงเจ้าของบ้านที่รอรับประทานอาหารอยู่แล้ว โทรทัศน์จอแบนยังคงเปิดทิ้งไว้ให้ภาพเล่นต่อไป
“คุณยายค่ะ หนูกลับมาแล้วค่ะ”
หล่อนส่งเสียงบอกพลางวางข้าวของพะรุงพะรังลงบนโต๊ะรับแขก ตามด้วยเสื้อโค้ทสีน้ำตาลก่อนจะเดินไปยังห้องครัวที่อยู่ถัดไป แต่ก็ยังไม่พบคนที่อยากเจอ
“คุณยายคะ มาร์กี้ แคสซี่...”
หญิงสาวเรียกอีกหน คราวนี้เรียกลามไปถึงน้องสาวทั้งสองคนด้วย แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับมาจากใครสักคนเดียว ทำให้หล่อนจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปบนชั้นสองของตัวบ้าน เพราะคิดว่าทุกคนอาจจะอยู่บนนั้น
หล่อนเดินมาจนถึงหน้าประตูสีขาวซึ่งอยู่ใกล้กับบันไดมากที่สุด นัยน์ตาสีเขียวมรกตดูแปลกตาซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นคอนแทคเลนส์ แต่ว่ามันคือสีตาที่แท้จริงกำลังเหลือบมองช่องใต้ประตูที่มีแสงสีขาวสว่างวาบออกมา ความเป็นห่วงทำให้ตัดสินใจเคาะประตูแล้วเรียกบุพการีอีกหน
“คุณยายคะ คุณยายอยู่ในห้องหรือเปล่าค่ะ”
อึดใจถัดมาบานประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงชราผมขาวโพลนส่งยิ้มทักทายมาให้ ในมือของหล่อนถือหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้
“โทษทีจ้ะ ยายขึ้นมานั่งอ่านหนังสือเพลิน เลยไม่ได้ยินเสียงหนูกลับมา”
“ไม่เป็นไรค่ะ จริงสิคะ หนูซื้อของมาเตรียมฉลองวันเกิดแล้วนะคะ วันนี้จะทำเนื้อแกะราดซอสให้คุณยายทาน แล้วนี่มาร์กี้กับแคสซี่ละคะไปไหน ตั้งแต่หนูกลับมายังไม่เห็นเลยค่ะ”
“มาร์กี้โทรศัพท์มาบอกเมื่อครู่นี้เองว่ากำลังแวะซื้อของอยู่ อีกสักยี่สิบนาทีก็คงถึง ส่วนแคสซี่จอมสายของเราก็บอกว่าจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จและรับรองได้ว่าต้องกลับมาทันแน่นอนจ๊ะ”
คุณยายฟรานเชสก้าบอกแล้วก็ส่งยิ้มให้ แล้วถามเลยไปถึงมื้ออาหารสำคัญในวันนี้
“จริงสิ เมื่อกี้หนูบอกว่าซื้อเนื้อแกะมาเหรอจ๊ะ”
“ใช่ค่ะคุณยาย” หล่อนตอบแล้วให้รายละเอียดเพิ่ม “หนูกับมาร์กี้และแคสซี่ ตกลงกันว่าหนูจะซื้อเนื้อสัตว์ ส่วนมาร์กี้จะซื้อไวน์ แล้วแคสซี่ก็จะซื้อเค้กค่ะ”
“มื้อใหญ่เลยนะเนี่ย เอาละเดี๋ยวยายเก็บหนังสือก่อนแล้วจะลงไปช่วยนะลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเห็นคุณยายจัดโต๊ะเตรียมไว้ให้แล้ว ที่เหลือหนูจัดการเองค่ะ”
หญิงสาวบอกพลางยื่นแขนขึ้นโอบกอดหญิงชราเอาไว้แล้วจูบแก้มซ้ายขวาอย่างประจบประแจงก่อนจะหมุนกายเดินลงบันไดไปด้วยความรื่นเริง มันเป็นอย่างนี้ทุกปี เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของสามสาว ผู้ซึ่งไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่รักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ
วาเลนติน่า มาร์กาเร็ตและแคสแซนดร้า ทั้งสามสาวเป็นหลานสาวที่ถูกอยู่ในความอุปการะของคุณยายฟรานเชลก้า เพียงแต่วาเลนติน่าเท่านั้นที่ต่างออกไป เพราะหล่อนไม่ใช่หลานแท้ๆ ของคุณยายฟรานเชสก้า แต่เป็นเด็กที่คุณยายรับเลี้ยงและดูแลเหมือนหลานแท้ๆ
แต่ทว่าทั้งสามสาวก็รักใคร่กลมเกลียวกันราวกับพี่น้องแท้ๆ แต่กระนั้นก็ยังมีเรื่องให้แปลกใจอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ ทั้งสามคนเกิดวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน แต่อายุห่างกันคนละปีเท่านั้น
ดังนั้นวาเลนติน่าจึงอยู่ในฐานะของพี่สาวคนโต ตามมาด้วยมาร์กาเร็ตที่กลายเป็นน้องสาวคนรอง และน้องสุดท้องของบ้านอย่างแคสแซนดร้า
แต่สำหรับมาร์กาเร็ตหรือมาริกา แคสแซนดร้าหรือคัคนางค์ ทั้งสองคนเป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ และเป็นหลานสาวซึ่งเกิดจากมาร์นี่ ลูกสาวของท่านกับลูกเขยที่เป็นคนไทย แต่ทั้งสองคนประสบอุบัติเหตุและจากไปก่อนวัยอันควร ทิ้งไว้แต่หลานสาวสองคนไว้ให้ท่านดูต่างหน้า
แม้ว่าการสูญเสียจะเกิดขึ้น แต่การได้หลานๆ มาอยู่ด้วยกันมันทำให้บ้านนี้มีชีวิตชีวา เสียงหัวเราะของหลานทั้งสามคือสิ่งที่ทำให้ฟรานเชสก้ามีความสุขที่สุด
ค่ำคืนแห่งความสุขสันต์ของบ้านลอเรนเต็มไปด้วยการรอคอยของความสุขกับการฉลองขวบปีของอายุที่กำลังจะเริ่มขึ้น
วาเลนติน่าเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนังซึ่งบอกเวลาว่าอีกสิบนาทีก็จะเข้าสู่วันใหม่ อันเป็นวันคล้ายวันเกิดของหล่อนและปีนี้หล่อนก็จะอายุยี่สิบสามพอดี หล่อนมองไปทางมาร์กาเร็ตที่เริ่มรินไวน์ใส่แก้ว แต่กลับกระวนกระวายกลัวว่าน้องสาวสุดท้องของบ้านจะมาไม่ทัน
“แคสซี่ยังไม่มาอีกน้า” หล่อนบ่นพึม
สิ้นเสียงบอกของหล่อน ประตูหน้าบ้านก็เปิดออกพร้อมกับเสียงบ่นกระปอดกระแปดของคนที่ทุกคนกำลังรออยู่ ซึ่งเจ้าหล่อนกลายเป็นคุณนายจอมสายประจำบ้าน สายได้ทุกอย่างสินะ
“โอ้ ให้ตายเถอะ ในที่สุดฉันก็มาถึงสักที พี่ไม่รู้หรอกว่าฉันต้องลงรถบัสแล้วเดินมาไกลแค่ไหน เพราะถ้าขืนให้ฉันรอตำรวจเคลียร์ทางที่เกิดอุบัติเหตุเสร็จ มีหวังฉันมาฉลองวันเกิดของพวกเราไม่ทันแน่ๆ”
วาแลนติน่าและแคสแซนดร้าเดินลุกออกจากห้องอาหารเพื่อเดินมาช่วยรับกล่องขนมเค้กของจอมมาสายแล้วจึงกลับเข้าไปในห้องอาหารอีกครั้ง ขณะที่คนบ่นเองก็ถอดเสื้อโค้ทไปพลางก้าวตามไปพลางเช่นกัน
แถมยังไม่ยอมหยุดปากเจื้อยแจ้วของตนเองเสียด้วย!
“คุณยายขา หนูกลับมาทันเวลาจริงๆ เห็นมั้ย”
หญิงสาวแรกรุ่นผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าใสบอกพลางแย้มยิ้มให้ก่อนจะเข้าไปจูบแก้มซ้ายแก้มขวาของคุณยาย แล้วลงนั่งประจำที่อย่างไม่ต้องให้รอเรียก
“เกือบจะไม่ทันเหมือนกันแหละน่าแคสซี่”
มาร์กาเร็ตเอ่ยกระเซ้า แล้วจึงส่งแก้วไวน์ที่เพิ่งรินให้น้องสาวคนเล็ก ส่วนวาเลนติน่าเปิดกล่องเค้กแล้วเอาออกมาวางกลางโต๊ะที่เว้นช่องว่างเอาไว้อย่างพอดิบพอดี
ทั้งสามสาวกับอีกหนึ่งหญิงชราอยู่กันพร้อมหน้า ทุกคนกุมมือประสานกันไว้ระหว่างอก รอคอยการฉลองวันเกิดอย่างใจจดใจจ่อเพื่อขอพรแด่พระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้นเมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนตรง การฉลองให้กับสามพี่น้องลอเรนก็เริ่มขึ้น
“ขอดื่มให้แก่ วาเลนติน่า ลอเรน, แคสแซดร้า ลอเรน, และฉัน มาร์กาเร็ต ลอแรน รวมถึงดื่มให้กับคุณยายฟรานเชสก้า ลอเรนผู้เป็นที่รักของเรา
”
และแล้วการฉลองให้กับเจ้าของวันเกิดทั้งสามก็เริ่มขึ้น สามพี่น้องกินและดื่มกันอย่างสนุกสนาน แถมยังชวนคุณยายเต้นรำเคล้ากับบรรยากาศที่ด้านนอกเริ่มหนาวขึ้นเป็นลำดับ
หลังจากนั้นเกือบสองชั่วโมงการฉลองก็ยุติลง เพราะวันรุ่งขึ้นทุกคนยังต้องมีงานทำกันอีกมาก สองสาวแคสแซนดร้ากับมาร์กาเร็ตผู้เมามายแทบจะกลับเข้าห้องตัวเองไม่ถูก ทำให้วาเลนติน่าคนเดียวที่ดูจะดื่มไปน้อยกว่าใครเพื่อนต้องช่วยพาน้องสาวตัวดีทั้งสองกลับไปส่งที่ห้องของแต่ละคน
หญิงสาวเดินกลับมาช่วยคุณยายเก็บล้างที่ครัว แต่ระหว่างทางเดินกลับมาห้องครัว หล่อนต้องเดินผ่านห้องนั่งเล่นเล็กๆ ของคุณยาย
ทว่าบางแสงสว่างวาบที่ส่องลอดมาจากช่องใต้ประตูกลับทำให้หล่อนต้องขมวดคิ้ว
“คุณยายคะ...”
วาเลนติน่าร้องถามพลางเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูพร้อมกับที่แสงสว่างวาบได้หยุดลง หล่อนเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง เมื่อทันเห็นกล่องไม้โบราณเก่าคร่ำคราที่คุณยายเคยห้ามนักหนาไม่ให้แตะมัน แต่ยามนี้มันกลับวางเด่นเป็นสง่าอยู่บนโต๊ะ
ความอยากรู้ที่มีมาแต่เยาว์วัยทำให้หล่อนเดินเข้าไปหามันราวกับว่าต้องมนต์สะกด หญิงสาวไล้นิ้วบนกล่องฝากล่องไม้ไปมาเหมือนมันมีอำนาจบางอย่างดึงดูดหล่อนเอาไว้
หล่อนเปิดมันออกดู พบว่าภายในเป็นนาฬิกาโบราณ ตัวเรือนเป็นทองดูเก่าแก่ แต่คิดไปว่าหากใช้น้ำยาเช็ดสักนิดก็คงกลับมางดงามได้ไม่ยาก ใกล้กับตัวเรือนนาฬิกามีกุญแจเก่าที่ดูราวกับไว้ใช้ไขลานห้อยติดอยู่ด้วย
วาเลนติน่าหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ อย่างชื่นชม ฉับพลันนั้นเองที่เข็มนาฬิกาที่หยุดนิ่งอยู่กลับหมุนย้อนทวนเข็มอย่างรวดเร็วจนนับรอบแทบไม่ทัน
“พระเจ้า!”
หญิงสาวอุทานด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น และตอนนั้นเองบรรยากาศรอบกายของหล่อนก็แปรเปลี่ยนไป มันเหมือนกับห้วงของเวลาเริ่มทับซ้อนพร้อมกับการไหลรินของการเวลาที่เริ่มถอยหลัง
หล่อนแทบสาบานได้ว่าเห็น ‘ภาพเวลาของตัวเอง’ ถอยหลังลงสู่อดีต จากที่เป็นอยู่กลับกลายเป็นวัยรุ่น จากที่เป็นวัยรุ่นกลับเป็นเด็กน้อย มันเหมือนกับว่า...นาฬิกากำลังคืนความทรงจำให้หล่อน
แต่ก่อนที่หล่อนจะได้ทันรู้ตัว ภาพในวัยเยาว์ที่ขาดหายไป ภาพสมัยที่หล่อนเป็นเด็กน้อยหกขวบก็กลับเข้ามาแทนที่พร้อมกับเสียงร้องตกใจของคุณยายฟรานเชสก้าที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูที่ถูกเปิดค้างไว้
“พระเจ้าช่วย! หลานยาย...”
“คุณยาย...”
สิ้นเสียร้องของหล่อน มวลอากาศรอบกายก็กลายเป็นเหมือนหลุมอากาศขนาดใหญ่ นาฬิการอบตัวเริ่มกลืนกินหล่อนอย่างช้าๆ พร้อมกันนั้นก็มอบความทรงจำที่หล่อนทำหายไปเนิ่นนานให้กลับคืนมา สู่ความเป็นจริงอีกครั้ง!
บทที่ 1 สู่การหวนคืน
ปราสาทคาร์เธียนโดรล์,ไฮแลนด์ ค.ศ.1290
อาณาเขตอันแสนสงบสุขรายล้อมไปด้วยเทือกเขาและน้ำทะเลที่ตัดผ่าน แต่ทว่าในยุคที่ที่ดินเป็นสิ่งที่แสดงถึงอำนาจ ความเหลื่อมล่ำทางสังคมก็ยิ่งมีมากขึ้นเช่นกัน แต่อำนาจที่ถูกสืบทอดต่อกันมากลับยิ่งกลายเป็นปัญหาต่อความยิ่งใหญ่
‘แมคเคนซี’ และ ‘ลอเรน’ สองตระกูลผู้ถือครองที่ดินและปราสาทอันเปรียบเสมือนหน้าด่านที่ต้องคอยรับศึกหนักต่อการรุกรานของศัตรู แต่กระนั้นในทางความเป็นจริงแมคเคนซีกลับแข็งแกร่งกว่าลอเรนนัก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะต้นตระกูลของพวกเขา...
คอลิน แมคเคนซีและผู้ติดตามได้ช่วยเหลือพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ของสก๊อตแลนด์ในการต่อต้านการรุกรานของอาโก กษัตริย์แห่งนอร์เวย์
อเล็กซานเดอร์จึงทรงมอบที่ดินมหาศาลแห่งคินเทลและปราสาทไอเลียนโดนันอันอยู่ในเขตของรอสส์ให้เป็นรางวัล ทำให้คอลิน ฟิชเจอรัลด์ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ‘บารอนแห่งคินเทล’ และลูกหลานของเขาก็สืบทอดตำแหน่งต่อกันมา และหลังจากนั้น คอลิน ฟิชเจอรัลด์หรือบางคนจะรู้จักในชื่อ คอลิน แมคคอยด์นิช ก็ได้เปลี่ยนสกุลจากแมคคอยน์นิช(ในภาษาเกลลิค)กลายมาเป็นแมคเคนซี(ในภาษาอังกฤษ)
ส่วนทางด้านลอเรนเองก็ยังคงยืนหยัดต่ออำนาจที่ถูกบีบให้แคบลง แต่กระนั้นเปลวไฟแห่งความบาดหมางก็ยังไม่ถูกดับลงไปเสียที มันแทบแผดเผาทุกผู้...ทุกคน ให้ซึมซับต่อการต้องการเอาชนะกัน
จนกระทั่งมาถึงยุคปัจจุบันที่ไอเลียนโดนันอยู่ภายใต้การปกครองของบารอนคราเวล แมคเคนซี หรือที่เรียกกันว่า ลอร์ดแห่งคินเทล
ส่วนปราสาทคาร์เธียนโดรล์เอง ตอนนี้ก็อยู่ใต้การปกครองโดยอิสตรีผู้เลอโฉม นางผู้หยิ่งทระนงและหลงในอำนาจของตน ภายใต้หน้ากากแห่งอำนาจที่นางมี ลอเรนเริ่มแข็งข้อขึ้นด้วยความทระนงตนของผู้ปกครองปราสาทอย่างเลดี้วาเนสซ่า ลอเรน ในขณะที่แมคเคนซีก็ไม่ยอมลงให้เช่นกัน
ทั้งสองตระกูลต่างถือตนยิ่งใหญ่ และเพราะเชื้อเพลิงแห่งการอยากเอาชนะยังคงเผาไหม้อยู่ มันจึงปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า รวมถึงครั้งนี้ก็ด้วยเช่นกัน
ภายในห้องกว้างเหนือสุดของยอดปราสาท แสงสว่างวาบสาดส่องออกมาจากสิ่งหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะหนังสือของเลดี้วาเนสซ่า ลอเรนผู้เป็นเจ้าของปราสาท
ทว่ายามนี้นางกลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ เช่นเดียวกับเทรนดิงตันและนางฟลอเรนที่เป็นคนสนิท ที่กำลังรอคอยการกลับมาของใครคนหนึ่งและหวังเหลือเกินว่าคนที่รอคอยอยู่จะมาทันเวลา
ทั้งสองยกมือขึ้นยามเมื่อแสงสีขาวสว่างวาบไปทั่วทั้งห้อง แต่ฉับพลันนั้นเอง แสงก็จางหายไปพร้อมกับนำพาใครคนหนึ่งให้กลับมายังห้วงเวลาแห่งนี้!
วาเลนติน่าที่ยกมือขึ้นปิดหน้าเพราะถูกลำแสงบาดตาเล่นงานเอา ค่อยกางนิ้วออกทีละนิ้ว ก่อนจะลืมตาขึ้นข้างหนึ่งและตามด้วยอีกข้างหนึ่ง
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ อยู่หลายครั้งเมื่อเห็นว่าตนเองยืนอยู่ด้านมุมหนึ่งของห้องนอนใหญ่ที่ไม่คุ้นตา แสงไฟจากเทียนหลายเล่มที่ประดับอยู่ตามมุมของห้องทำให้เห็นบรรยากาศของห้อง
ผนังทั้งสี่ด้านทำจากหินที่ดูแข็งแกร่งอย่างมาก บนเพดานเหนือเตียงมีเหมือนหลังคาถูกยึดตรึงไว้กับผนังและมีม่านห้อยทิ้งชายอยู่สองข้างของเตียง ถัดออกไปด้านข้างหีบขนาดใหญ่ดูเทอะทะถูกวางไว้ชิดผนัง แถมบนพื้นข้างเตียงยังมีหนังหมีที่มีหัวของมันนอนอ้าปากอยู่
มันช่างดูน่าเกรงขามและน่าสยดสยองในคราวเดียวกันเสียเหลือเกิน!
หัวสมองของวาเลนติน่าเริ่มทำงานอย่างหนักและมันคงหนักกว่าปกติ เมื่อทันเห็นว่าภายในห้องไม่ได้มีแต่หล่อนเท่านั้น แต่ยังมีคนที่น่าจะป็นเจ้าของห้องกำลังนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับใครอีกสองคนที่หล่อนเหมือน...จะคุ้นหน้า
วาเลนติน่าสบสายตาทุกคู่ที่มองมาราวกับหล่อนเป็นตัวประหลาดหรือเป็นอะไรก็ได้ตามแต่ที่พวกเขาจะคิด แต่กระนั้นแววตาของทุกคนกลับเต็มไปด้วยความโล่งใจอย่างน่าประหลาดเมื่อได้พบหล่อน
ใช่! พวกเขาดูล่วงใจ แต่หล่อนกลับไม่ได้โล่งใจ หรือดีใจเลยสักนิดที่เห็นพวกเขา ก็ใครจะไปโล่งใจเล่าที่ต้องกลับมาสู่ยุคที่แท้จริงของตัวเอง!
วาเลนติน่าสบถในใจ หลังจากเมื่อครู่นี้ที่ความทรงจำซึ่งถูกกาลเวลาหมุนทวนกระแสกลับมา ทำให้หล่อนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเข้าใจด้วยว่าตอนนี้ตนเองได้กลับมาสู่ที่ๆ ครั้งหนึ่ง คือบ้านที่แท้จริงของหล่อน!
กลับมาสู่คาร์เธียนโดรล์ ปราสาทที่แข็งแกร่ง
กลับมาสู่อำนาจที่หล่อนลืมมันมาเนิ่นนาน
คาร์เธียนโดรล์ที่มีทุกอย่างที่ทุกคนต้องการ แต่หล่อนกลับไม่เคยต้องการมันเลยสักนิด โดยเฉพาะการอยู่อย่างไม่เป็นที่ต้องการของใครๆ!
“เอาละ โอเค ฉันไม่ได้อยากกลับมาที่นี่ แต่จู่ๆ ฉันก็ต้องกลับ แล้วก็ดันได้ความทรงจำที่ทำหายไปในวัยเยาว์กลับมาด้วย เยี่ยม...ช่างเป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบสามปีที่วิเศษอะไรอย่างนี้”
หล่อนบอกกับตัวเองราวกับปลงสังเวชพลางโคลงศีรษะครั้งหนึ่งก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ยืนอยู่ ทว่าตอนนี้เองชายสูงวัยที่หล่อนเหมือนจะคุ้นหน้าเมื่อนานมาแล้วก็เดินเข้ามาหา
วาเลนติน่าขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณาเป็นครั้งแรก เขาเหมือนกับคนที่หล่อนเคยเห็น...เคยรู้จัก แต่ดูอายุมากขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่หล่อนเห็นนัก
“ท่าน...เทรนดิงตันงั้นเหรอ” หล่อนครางเหมือนไม่แน่ใจ
เทรนดิงตันผู้เป็นดั่งแขนขวาให้แก่เจ้าของปราสาทพยักหน้าเพียงนิดให้กับคำทักทายแรกก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้คนกล่าวทักมากยิ่งขึ้น แล้วจึงค้อมกายเพื่อทำความเคารพตามมารยาท
“ขอต้อนรับกลับสู่คาร์เธียนโดรล์ เรากำลังรอท่านอยู่เลยขอรับ เลดี้วาเลนติน่า...”
วาเลนติน่านิ่วหน้า แม้จะยังไม่ชินต่อสำเนียงการพูดและภาษาของอีกฝ่าย แต่ความทรงจำในวัยเยาว์ที่กลับคืนมานั้นทำให้หล่อนกำลังไม่เข้าใจว่าทำไม ‘พวกเขา’ จะต้องมานอบน้อมและรอคอยหล่อนด้วย ในเมื่อ...
ครั้งหนึ่งพวกเขาไม่เคยต้องการหล่อน แล้วทำไมวันนี้ถึงต้องการหล่อน?
“รอฉันงั้นเหรอ รอทำไม”
สิ้นเสียงถามของหล่อน เจ้าของห้องที่นอนอยู่บนเตียงก็ให้ส่งเสียงเรียกดังมา
“วาเลนติน่า มานี่สิ”
วาเลนติน่าทำเสียงในลำคอด้วยความขัดใจแต่ก็ยอมเดินไปยังเตียงหลังใหญ่ที่เห็นอยู่ เพียงแรกสบตากับคนบนเตียงก็ให้รู้สึกสับสนปนโกรธแค้นต่ออิสตรีผู้นอนระทวยอยู่บนเตียงอยู่ลึกๆ นางมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับหล่อนราวกับถูกบรรจงวาดมาให้เคียงข้างกัน...พร้อมกัน
และคงเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกจากวาเนสซ่า ลอเรน แฝดผู้พี่ของหล่อนเอง!
“วาเนสซ่า
” หล่อนครางเรียกชื่ออีกฝ่าย
“ใช่ ข้าเอง”
หญิงสาวเดินเข้าไปหยุดยืนข้างเตียงหลังใหญ่พลางมองคนที่นอนอยู่ด้วยอาการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าตอนนี้หล่อนกำลังจะเข้าขั้นสติแตกอยู่ร่อมร่อแล้วก็ตาม ที่จู่ๆ ก็ย้อนเวลากลับมาในยุคนี้
และแม้ว่าหล่อนจะไม่อยากยอมรับว่ามันเป็นความจริง แต่สายสัมพันธ์ของพี่น้องกลับมีมากกว่าที่จะยอมเพิกเฉยไปได้...
“เธอเป็นอะไร ทำไมหน้าถึงซีดเซียวขนาดนี้ เธอป่วยเหรอวาเนสซซ่า”
เลดี้วาเนสซ่านิ่วหน้าด้วยความไม่ชอบใจที่ถูกน้องสาวฝาแฝดเรียกเอาด้วยถ้อยคำที่ดูไม่เคารพต่อนาง แต่ว่าเวลาของนางใกล้จะหมดลงแล้ว ดังนั้นมันจึงจำเป็นที่นางจะต้องสั่งเสียทุกอย่างไว้ให้กับคนที่เข้ามาแทนที่ในครั้งนี้
“ข้าไม่รู้ว่าพิธีนอกรีดของยายแก่แมทธานำเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา ถึงได้พูดจาไร้การอบรมกับข้าเช่นนี้ ถ้าข้าไม่ได้ใกล้จะตาย รับรองได้ว่าเจ้าถูกสั่งตบปากเป็นแน่ แต่ก็เอาเถิด อย่างน้อยสิ่งที่ยายแก่แมทธาพูดไว้ก็เป็นจริง เจ้าจะกลับมาเมื่อคาร์เธียนโดรล์ต้องการตัว”
“ว่าไงนะ? ต้องการงั้นเหรอ!”
หล่อนทวนเสียงคล้ายกับประชด แต่คนที่รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อรอคอยหล่อน ไม่ได้รอคอยเพื่อจะต่อล้อต่อเถียงด้วย นางยิ้มเยาะส่งมาให้ก่อนจะเริ่มอธิบายให้ฟัง
“คาร์เธียนโดรล์ก่อนที่เจ้าจะจากไปมันต่างจากตอนที่เจ้ากลับมา ดินแดนของเราไม่เหมือนเดิม ท่านพ่อ ท่านแม่จากไปนานแล้ว ข้าจึงกลายเป็นผู้ปกครองของที่นี่ ที่ๆ ผู้คนมากมายหวังครอบครอง ข้าระวังตัวเสมอมาและสาบานว่าจะปกป้องลอเรนไว้ด้วยตัวข้าเอง แต่สุดท้ายข้าก็พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย”
คำว่า ‘ท่านพ่อท่านแม่สิ้นไปแล้ว’ มันทำให้หัวใจของวาเลนติน่ากระตุกวูบขึ้นมา ครั้งหนึ่งตอนอยู่ที่ ‘โลกที่หล่อนเพิ่งจากมา’ หล่อนเคยอิจฉาเพื่อนๆ ที่มีพ่อแม่แต่หล่อนไม่มี
แต่มาบัดนี้ หล่อนรู้ว่าตัวเองมีพ่อและแม่ แต่ท่านก็ได้จากไปแล้ว และต่อให้คร่ำครวญโหยไห้ก็ไม่ได้ทำให้ได้อะไรขึ้นมาอย่างแน่นอน
หญิงสาวเหลือบมองวาเนสซ่าอีกครั้งก่อนจะเอ่ยกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราวกับจะสมน้ำหน้าหรือสมเพชก็ไม่อาจทราบได้
“ความเหย่อหยิ่ง ทำให้เธอพลาด”
แต่วาเนสซ่าที่ถูกว่าเอาตรงๆ กลับกระตุกยิ้มใส่พร้อมกับตอบกลับวาจาฉะฉานของน้องสาวฝาแฝดที่ดูจะปากกล้ากว่าครั้งสุดท้ายที่นางรู้จัก
“เจ้านี่ปากกล้ากว่าตอนเยาว์วัยเหลือเกินนะ”
วาเนสซ่าสัพยอกแล้วจึงเล่าต่อไปในขณะที่ยังเหลือเรี่ยวแรงสุดท้ายอยู่
“ใช่ ข้าเหย่อหยิ่ง ยโส แต่นั่นก็คือข้า จนกระทั่งข้าถูกวางยาและชีวิตข้าก็ไม่อาจผ่านพ้นราตรีนี้ไปได้ ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เจ้ากลับมา วาเลนติน่าเจ้ารู้หรือไม่ ถ้าคาร์เธียนโดรล์ว่างเปล่าไร้ผู้ปกครอง ภัยที่มองไม่เห็นจะเริ่มคุกคาม อาณาบริเวณของเราเป็นกันชนให้กับพื้นที่ระแวกนี้ และถ้าไม่มีข้า ไม่มีใครสืบต่อแมคเคนซีก็จะจัดการเราได้ในอีกไม่ช้า”
วาเลนติน่ามีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที แม้จะยังคงอาการเกือบจะสติแตกอยู่ แต่ว่าความคิดของหล่อนยังอยู่ครบถ้วนดี รวมทั้งความทรงจำดั่งเดิมก็ค่อยผุดขึ้นมาทีละน้อยเกี่ยวกับเรื่องเขตแดน
แมคเคนซีอยู่เพื่อเป็นใหญ่และช่วงชิง!
ที่สำคัญไม่ว่าหล่อนจะเกลียดวาเนสซ่ายังไง ชิงชังยุคนี้แค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะกลับมาดูวาเนสซ่าตายไปต่อหน้าต่อตาหรอกนะ!
“เธอเก่งไม่ใช่หรือวาเนสซ่า พิษแค่นี้ทำอะไรเธอไม่ได้หรอก ฉันไม่เชื่อ...”
“เจ้านี่ไม่ได้ฟังข้าเลยหรือไง ข้าบอกแล้วไงว่าข้าอยู่ไม่พ้นราตรีกาลนี้หรอก”
“แล้วยังไง เธออยากจะบอกอะไรกับฉันกันแน่?”
หญิงสาวเอ่ยถาม แม้ว่าใจจริงจะไม่อยากช่วยอะไรเลย หล่อนอยากกลับไปอยู่กับคุณยาย เป็นพนักงานบริษัทเหมือนเดิม แต่รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะหล่อนไม่รู้วิธีกลับ
แต่ถ้าจะให้ทนดูคนที่ร่วมสายเลือดเดียวกันต้องตายไปต่อหน้าโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน ดังนั้นแล้ว ถ้าหากการรับปากคนกำลังจะตาย ถือเป็นบุญละก็...หล่อนก็กำลังทำมันอยู่!
“สิ่งที่ข้าจะบอกก็คือ เจ้าจงกลายเป็นข้า...เป็นเลดี้วาเนสซ่า ลอเรน”
สิ้นเสียงบอกอันเหมือนคำประกาศิตของผู้ปกครองปราสาท วาเลนติน่าที่ยังไม่คลายต่ออาการสติแตกก็แทบอ้าปากค้าง แต่หล่อนก็ไม่สามารถหยุดเสียงร้องอุทานด้วยความเดือดดาลต่อคำขอนั้นได้
“เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอวาเนสซ่า ฉันเป็นเธอไม่ได้! ฉันเป็นฝาแฝด...เธอลืมแล้วหรืออย่างไร ว่าฝาแฝดสำหรับที่นี่แล้วหมายถึงอะไร ฉันคือ ตราบาปที่ไม่ควรมีอยู่นะ!”
วาเลนติน่าโพล่งบอกออกไปและเท้าความถึงความจริงที่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว หล่อนและวาเนสซ่าต่างก็รู้ดีถึงข้อเท็จจริงนี้
ในยุคที่อำนาจและภัยที่มองไม่เห็นคืออาวุธร้าย แต่อาวุธใดเล่าจะเท่ากับความเชื่อของคนในยุคนี้ ที่มองว่าการเกิดของเด็กแฝดนั้นถือเป็นหายนะ...เป็นตราบาป[1]
เด็กคนที่สองและแม่ของเด็กจะถูกฆ่าทันทีเมื่อคลอดออกมา แต่สำหรับหล่อนแล้ว ยังโชคดีนักหนาที่ท่านพ่อไม่ได้ฆ่าหล่อน แต่ท่านก็หวาดหวั่นต่อความเชื่อนั้นมากมายเหลือเกิน
“ข้าไม่ลืมหรอก แต่เพราะเจ้าคือตราบาป เจ้าจึงต้องเป็นข้า”
วาเนสซ่ายืนยันคำเดิม
“เธอจะบ้าหรือไง ฉันไม่...”
“เจ้าต้องทำ วาเลนติน่า เจ้าจงรักษาคำสัตย์ต่อข้า ว่าเจ้าจะเป็นผู้ปกครองคาร์เธียนโดรล์ต่อไปในฐานะของข้าผู้มีสิทธิอันชอบในในปราสาทและผืนดินในครอบครอง เจ้าจะไม่ทอดทิ้งคาร์เธียนโดรล์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะไม่ยอมให้แมคเคนซีถืออำนาจเหนือกว่าพวกเราได้อย่างเด็ดขาด!’
วาเลนติน่าส่ายหน้าทำท่าจะปฏิเสธ แล้วนึกอยากให้ตัวเองเป็นเหมือนตัวละครในภาพยนต์แฟนตาซีที่มีเวทมนตร์ ปาฏิหาริย์ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้สามารถพาตัวเองกลับไปสู่ยุคที่จากมาได้เหลือเกิน
ทว่า ตอนนั้นเองที่ผู้หญิงวัยกลางคนเดินเข้าหยุดยืนอยู่เบื้องหลังหล่อนพร้อมทั้งเขย่าแขนหล่อนเบาๆ ราวกับบอกใบ้ให้หล่อนยอมรับต่อคำสั่งเสียนั้น
วาเลนติน่ากัดฟันกรอดด้วยความคับแค้นใจที่อะไรๆ ก็ประดังเข้ามาสู่หล่อนอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว หญิงสาวมองวาเนสซ่าที่นอนหายใจรวยระรินอยู่บนเตียงก่อนจะระเบิดอารมณ์ใส่กลับไป
“ฉันไม่ได้กลับมาเพื่อดูเธอตายนะวาเนสซ่า! โอ๊ะ ไม่นะ...”
หล่อนพูดได้แค่นั้นก็ต้องร้องออกมา เมื่อนัยน์ตาของวาเนสซ่าพริ้มลงอย่างช้าๆ ก่อนที่ใบหน้าขาวซีดจะซบลงกับหมอนพร้อมกับการรับรู้ของนางที่โบยบินจากไปสู่การหลับใหลตลอดการ
“วาเนสซ่า! อย่าบังอาจตายใส่ฉันเชียวนะ”
หญิงสาวร้องบอกพลางถลาเข้าไปเขย่าร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยความเดือดดาลและเจ็บใจอย่างที่สุด ใช่แล้วหล่อนเจ็บใจ เจ็บแค้น แต่ไม่ได้หมายใจจะให้วาเนสซ่ามาตายต่อหน้านี่
“ลุกขึ้นมาสิวาเนสซ่า เธอทำแบบนี้ไม่ได้นะ วาเนสซ่า!”
หญิงวัยกลางคนๆ เดิมที่เขย่าแขนวาเลนติน่าถึงกับตกใจกับการกระทำของหล่อนจนต้องรีบเข้ามาดึงหล่อนให้ถอยห่างออกไป ก่อนที่ใครคนหนึ่งที่หล่อนเข้าใจว่าอาจจะเป็นหมอเดินเข้ามาในห้องเพื่อตรวจดูอาการของวาเนสซ่าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะส่ายหน้าให้อย่างหมดหวังในการช่วยเหลือ
วาเลนติน่าทรุดร่างลงกองกับพื้นด้วยความสับสน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเรื่องทุกอย่างถึงต้องประดังเข้ามาในวันนี้ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของหล่อนด้วย
ทำไมหล่อนจะต้องกลับมาที่นี่และต้องมาดูวาเนสซ่าตาย โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แถมยังต้องมาแบกรับความคาดหวังของคนอื่น ทั้งที่หล่อนไม่ได้อยากกลับมาที่นี่ ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
“ฉันเกลียดพระเจ้า ที่ท่านทำกับฉันแบบนี้!”
หญิงสาวกรีดร้องออกมาสุดเสียงและหวังให้พระผู้เป็นเจ้าได้ยินคำนี้เสียเหลือเกิน พระองค์จะได้รู้ว่ากำลังทรมานผู้หญิงคนหนึ่งด้วยความจริงที่ต้องกลับมาเยือนที่ๆ ผู้คนไม่เคยต้องการหล่อนอย่างแท้จริง
ใช่! พวกเขาไม่เคยต้องการหล่อน
สิ่งที่พวกเขาต้องการมีเพียงแค่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับที่นี่ ไม่ใช่สำหรับหล่อนอย่างเด็ดขาด
วาเลนติน่านึกอยากให้สิ่งนี้คือความฝัน ให้มันเป็นแค่ฝันร้ายที่หล่อนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างตรงหน้าก็จะหายไป หล่อนอยากให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่หล่อนก็รู้ว่านี้คือความจริงเกินกว่าจะเป็นฝันร้าย
หล่อนคือคนของช่วงเวลานี้ เป็นแฝดน้องที่ไม่มีใครต้องการจนถูกวิชานอกรีดทำให้หลุดห้วงกาลเวลาไปสู่ยุคอนาคต หล่อนคิดเสมอว่านั้นคือบ้านของหล่อน
แต่แท้จริงแล้วที่นี่ต่างหากคือบ้านที่แท้จริง ส่วนโลกในอนาคตนั้นมันคงจะกลายเป็นเพียงแค่ความฝันสำหรับหล่อน...ในอีกไม่ช้านี้
ใบไม้แห่งความหวังอันเป็นสัญลักษณ์แห่งลอเรนได้ปลิดปลิวร่วงลงสู่ปฐพี บัดนี้ผู้ใต้ปกครองทั้งหลายเจ้าจะรู้หรือไม่ ผู้ปกครองอันแสนโสภาอันเคยมีอยู่ได้ลาจากไปแล้ว
ภายในสวนด้านหลังปราสาทที่ยังอยู่ในอาณาเขตของกำแพงสูงอันเป็นเขตหวงห้ามและเป็นที่อยู่ของที่ฝังศพของเหล่าบรรพชนแห่งคาร์เธียนโดรล์ ดอกอิสเตอร์ลิลลี่สีขาวถูกประดับประดารอบบริเวณเพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้ที่ไม่หวนคืน
ยามนี้ศพของเลดี้วาเนสซ่าถูกเคลื่อนย้ายมาไว้ที่นี่อย่างลับๆ และผู้รับใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องก็ถูกคนของเทรนดิงตันกันตัวออกไปให้ห่างจากพื้นที่ เพื่อจะได้ไม่มีใครรู้ว่าเลดี้วาเนสซ่าได้จากไปแล้ว
ร่างสูงโปรงในชุดกระโปรงสีดำสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกันช่างดูหม่นหมองยิ่งนัก หญิงสาวยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมฝังศพ เบื้องหน้ามีแผ่นหินหน้าหลุมเขียนไว้อาลัยแด่ผู้ที่หลับใหลไว้อย่างชัดเจน
ณ ที่นี่วาเนสซ่า โรเสต ลอเรน ได้ทอดกายกลับสู่พื้นปฐพี
สายลมพัดผ่านมาวูบหนึ่งชายกระโปรงสีดำค่อยสะบัดพลิ้วตามแรงลม เมื่อนั้นคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมศพอยู่นานก็ค่อยยกมือขึ้นอย่างแช่มช้า เผยให้เห็นมีดเล็กๆ ที่ถือไว้
หญิงสาวชักมันออกมาจากซองก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้น แล้วใช้คมมีดกรีดลงบนข้อมือข้างที่ยกขึ้นมา เพื่อเอ่ยสัตย์สาบานต่อหน้าหลุมศพด้วยความชิงชังและเจ็บแค้น ยามเมื่อโลหิตสีแดงหยาดหยดลงบนแท่นหิน
“วาเนสซ่า...เลือดนี้ฉันขอสังเวยให้แก่เธอ ฉันชิงชังเธอพอๆ กับที่เธอชิงชังฉัน แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ฉันวาเลนติน่า แคทธารีน ลอเรน ไม่เคยปรารถนาจะมาแทนที่เธอเลยแม้แต่น้อย หากการเวลาสามารถย้อนกลับไปได้ก่อนที่ฉันจะแตะต้องนาฬิกา ฉันปรารถนาให้ตัวเองอยู่ที่อนาคตต่อไป ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกเลยก็คงดี เพราะอำนาจของผู้ปกครองคาร์เธียนโดรล์เป็นของเธอ มันอยู่กับเธอ ไม่ใช่กับฉัน
”
หญิงสาวผู้ไม่เคยปรารถนาต่ออำนาจก็ให้หมุนกายหันหลังให้กับหลุมศพอย่างเจ็บร้าว คนอื่นคงคิดว่าหล่อนกำลังเจ็บปวดต่อการสูญเสียครั้งนี้อย่างที่สุด...แต่มันไม่ใช่เลยสักนิด!
ความเจ็บปวดที่มี กลับน้อยนัก เมื่อถ้าเทียบกับความเจ็บปวดที่รู้ว่าจะต้องก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางที่ถูกขีดเอาไว้และเส้นทางที่หล่อนปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้หล่อนอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้ระหว่างค้นทางกลับไปยังโลกอนาคต!
[1] การเกิดของเด็กแฝดในสมัยโบราณ ถือว่าเด็กคนที่สองเป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นคำสาปและตราบาปที่ผู้คนไม่ต้องการ
ความคิดเห็น