คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #80 : Da Capo 37 : Spaces
Da Capo 37 : Spaces
(Special Part : ซี)
ไม่เคยนึกเลย...ว่าจะมีวันที่เราต้องเป็นแบบนี้
แค่ความผิดพลาดในชั่วเสี้ยว แต่มันกลับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างระหว่างเรารวดเร็วเสียจนไม่ทันได้ตั้งตัว
มีหลายสิ่งหลายอย่าง หลายอย่างมากๆที่ผมอยากพูด อยากบอกให้วารู้ อยากบอกให้วาสบายใจ เลิกคิดมาก แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่กดดันอยู่มันก็ทำให้ผมไม่สามารถพูดออกไปได้
กลัว
ผมเองก็กลัว...ว่าถ้าพูดออกไป...ระหว่างเราคงแหลกสลายจนไม่อาจกลับเป็นเหมือนเดิม
ผมไม่เคยโทษวาหรอกนะที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวผมเองที่ทำเกินเลยด้วย ภาพที่เฮียเอเห็นไม่ใช่ภาพวาทำอะไรผม แต่เป็นภาพที่ผมกำลังคร่อมมัน ประกาศให้เฮียรู้ชัดเลยว่าเราไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา
อันที่จริงจะตามน้ำไปแบบที่วามันบอกก็ได้เพราะเราก็เมากันจริงๆ แต่ไหนๆเรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงบ่ายเบี่ยงไปก็ใช่ว่าเฮียจะเชื่ออย่างปากพูด ผมคิดว่าอะไรหลายๆอย่างคงฟ้องมานานแล้ว และอีกอย่าง...รู้ตอนนี้กับรู้ในอีกสองสามปีข้างหน้ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันนักหรอก
เรื่องนี้น่ะยังไงผมก็ต้องบอกที่บ้านในสักวันอยู่แล้ว ผมไม่เคยคิดจะให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปอย่างหลบๆซ่อนๆ อยากให้วาเท่าเทียม อยากให้มันสามารถอยู่ข้างๆผมได้อย่างมั่นใจว่าผมจะเป็นของมันคนเดียวและจะไม่ไปไหน
รู้ว่ามันยาก รู้ว่าหนทางความเป็นไปได้มันน้อยเต็มที แต่ผมก็อยากจะลองเสี่ยงกับผลลัพธ์ที่ไม่มีจริงนั้น ถ้าคนเราลองได้ทำอะไรแล้วผมไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีทางสำเร็จเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่ได้หวังจะบินได้นี่ สิ่งที่ผมต้องการก็แค่การได้อยู่กับคนที่รักอย่างเปิดเผยเท่านั้นเอง
ผมรู้ดีว่าพวกญาติๆคงไม่ยอมเข้าใจง่ายๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะไปกันใหญ่ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาจะจับผมกับวาแยกกัน
เหตุผลเดียวที่เป็นจริงที่สุดและกดดันผมจนแทบจะหายใจไม่ออกคือ...เรายังเด็กเกินไป...ด้วยสภาพแวดล้อม ด้วยการเลี้ยงดู บางทีผมก็ลืมไปว่าตัวเองอายุแค่สิบหก ยังเด็กมากเกินกว่าที่จะต่อกรกับผู้ใหญ่ทั้งตระกูลได้ คำพูดของผม แม้จะเป็นตัวผมที่ดูโตมากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน มันก็ยังไม่มีค่าพอในสายตาผู้ใหญ่
หลังจากวันนั้นที่วาลงไปกราบเท้าป๊าผม ผมก็รู้ว่าป๊ากับม้าไม่ได้ติดใจหรือโกรธเคืองอะไรแล้ว พวกท่านแค่ช็อคแต่ก็ไม่ถึงขนาดรับไม่ได้หรือห้ามเด็ดขาด เป็นเรื่องแปลกที่คนจีนหัวโบราณอย่างพวกท่านจะไม่โวยวาย และในทางกลับกัน ป๊ากับม้าเป็นคนที่เข้าใจผมมากที่สุดด้วยซ้ำ
เรื่องที่ว่าพ่อกับแม่คือคนที่จะเข้าใจเราได้ดีที่สุด เห็นทีจะเป็นจริงก็งานนี้แหละ
“ซีจะให้ป๊าถามหรือจะพูดเอง”
หลังจากเช้าที่วุ่นวายนั้นผ่านพ้นไปป๊าก็เรียกผมเข้าไปคุยในออฟฟิศ วันนี้เป็นวันเสาร์ผมเลยต้องรอจนออฟฟิศที่บ้านเลิกงานก่อนถึงจะเข้าไปคุยได้ ระหว่างนี้ก็ถูกกักตัวอยู่ตลอดซึ่งกว่าจะได้ออกมาก็ตอนเย็นๆโน่น
ป๊ากับม้าผมไม่ได้ว่าอะไรมากหรอก เฮียเอก็แค่ช็อค แต่พวกญาติตระกูลสาขาเขาไม่ยอมกัน ยืนกรานจะกักผมเอาไว้ก่อนแล้วให้เฮียเออายัดมือถือผมไว้ ไอ้เรามันก็เป็นแค่เด็กเลยค้านอะไรเขาไม่ได้ ต้องยอมความกันไปตามระเบียบ ป๊ากับม้าไม่อยากมีปัญหากับพวกญาติๆสาขาเลยยอมให้พวกนั้นทำตามใจชอบ ผมเลยถูกกักตัวไว้ไปไหนไม่ได้เลยตลอดวันเสาร์
ผมนั่งลงตรงหน้าป๊า เงียบอยู่นาน
“ผมเล่าเองดีกว่าครับ”ตัดสินใจได้แน่วแน่แล้วผมก็ไม่คิดจะอ้อมค้อมอะไรเลย “อย่างที่ป๊าคงรู้จากเฮียแล้ว...ผมกับวา...เราไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกัน”
ไม่มีคำพูดใดจากชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ป๊าผมได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่เคยใช้ชีวิตแบบ ‘เสื่อผืนหมอนใบ’ มาก่อน ท่านเยือกเย็นได้มากพอๆกับที่เด็ดขาด และก็คงเป็นนิสัยตรงนี้ล่ะมั้งที่ผมได้รับสืบทอดมาจากป๊าแบบเต็มๆ
“เรื่องนี้มันก็...นานพอสมควรแล้ว...ผมคิดกับเขาเกินเพื่อน...แต่วาเพิ่งจะรู้และตอบรับเมื่อไม่นานมานี้”ผมเล่าตามจริงแบบไม่มีใส่สีตีไข่ ก็มันจริงนี่กว่าที่ผมมองวาในฐานะอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด “ผมอาจจะยืนยันอะไรได้ไม่แน่ชัดนักเพราะมันไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม แต่ผมอยากจะยืนยันจากความรู้สึกว่า...ผมรักวา...และเราก็รักกันครับ”
จบคำชี้ขาดผมก็ลอบผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก ในที่สุดก็ได้พูดออกไปแล้ว พูดคำที่อยากพูดกับพ่อและแม่มานาน
อยากให้พ่อแม่รู้ว่าผมเลือกแล้ว เลือกคนที่จะให้อยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิต อยากให้พ่อแม่รู้ว่ามันไม่ได้เป็นแค่ความรักหรือความรู้สึกหวือหวาประสาวัยรุ่น แต่เป็นความรู้สึกจริงๆที่อยู่ข้างใน
“ผมอาจจะยังไม่โตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตใคร แต่ผมเชื่อว่าผมจะสามารถประคับประคองความรู้สึกของเราเอาไว้ได้ และถ้าถึงตอนนั้น...”
ผมพูดต่อไม่ออก ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด เป็นบรรยากาศที่มืดทะมึนเสียจนผมยังอดสยองนิดๆไม่ได้ สำหรับบ้านผมการคุยในออฟฟิศถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งคุยแบบปิดห้องไม่ให้ใครยุ่งไม่ให้ใครได้ยินยิ่งเป็นการการันตีเลยว่า...เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่
“แล้วลูกจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะเป็นไปตลอดรอดฝั่ง พูดกันตรงๆนะ เรื่องแบบนี้สังคมภายนอกยังไม่ยอมรับ ลูกจะทนได้หรือถ้าถูกใครต่อใครมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม”ป๊าผมละคำว่า ‘เหมือนที่พวกญาติๆทำกับลูก’ เอาไว้ แต่ผมก็สามารถต่อเองได้และรู้ด้วยว่าป๊าหวังดีกับผมแค่ไหน
เพราะแบบนี้น่ะสิ...ผมถึงอยากจะบอกให้ป๊ารู้ เพราะผมรู้ว่าป๊าจะต้องเข้าใจ
“ผมคงพูดไม่ได้เต็มปากว่าจะไม่ใส่ใจสายตาใครๆ...แต่ผมเชื่อว่าผมจะสามารถอดทนกับมันได้”
ตอบเองก็ลุ้นอยู่ในใจหลายต่อหลายเฮือก กลัวสารพัดว่าคำตอบจะไม่เป็นที่พึงพอใจ รู้ว่าป๊าผมคงไม่โวยวายออกนอกหน้าเพราะมันไม่ใช่นิสัยป๊า แต่ถ้าป๊าพูดว่าห้ามคบกัน ห้ามยุ่งเกี่ยวกัน ผมก็คงเครียดไม่น้อยเลยเพราะป๊าผมพูดจริงทำจริง คำไหนคำนั้นไม่มีเปลี่ยน
คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเขาห้ามจริงๆจะทำไง ตอนนั้นคิดแค่ว่านึกยังไงก็พูดยังงั้นเถอะ ถ้าตอบไปตามตรงบางทีเขาอาจจะเข้าใจ
“ซี”ป๊าเรียกผมเสียงเรียบ ทำเอาเริ่มนั่งไม่ติดที่ คิดไปต่างๆนานาว่าป๊ากำลังจะพูดอะไร
“เล่าเรื่องของวากับลูกให้ป๊าฟังหน่อย...”
.........................
เอ่อ...นึกว่าจะโดนด่าหรือถูกตัดสินสั่งให้ทำอะไร แต่ไหง...ดันกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
ผมรีบสลัดตัวเองให้หลุดจากความงุนงงเมื่อเห็นป๊ายังคงนิ่งเงียบอย่างรอคอย ในหัวเรียบเรียงแทบไม่ถูกว่าจะเล่าอะไรก่อน แต่สุดท้ายพอเริ่มขึ้นมาผมก็เล่าต่อได้เรื่อยๆโดยไม่ติดขัดเคอะเขินแม้แต่นิดเดียว
คิดถึงความทรงจำที่ผ่านมาแล้วก็รู้สึกมีความสุขอยู่ลึกๆ ผมเล่าอยู่นานโดยไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปแค่ไหนแล้ว รู้แต่ว่าผมอยากให้ป๊าผมเข้าใจ...ว่าระหว่างเรามีความหมายมากมายเพียงใด
ป๊าหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อผมเล่าถึงตอนที่วามาดูผมผ่ากบผ่าหนูแล้วผมก็ไปแกล้งมัน ป๊าฟังอย่างตั้งใจในทุกฉากทุกตอน ผมก็ไม่รู้ตัวเลยว่าใช้เวลาเล่าทุกอย่างนานแค่ไหน จนกระทั่งป๊าเปรยขึ้นมาลอยๆนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัว
“ลูกรักเขาจริงๆใช่ไหม?”
ผมมองตอบป๊า ก่อนจะพยักหน้าหนักแน่น “ครับ”
ความเงียบโรยตัวระหว่างเรา ป๊าลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะทำงานมาทางผมแล้วพยักพเยิดเป็นเชิงบอกให้ผมลุกด้วย เราเปลี่ยนที่มานั่งข้างกันบนโซฟาตัวยาวในออฟฟิศนี้ แล้วป๊าก็ยื่นมือมาตบไหล่ผมสองสามที
“ลูกผู้ชายน่ะ กล้าทำก็ต้องกล้ารับ คิดอย่างไรก็ต้องพูดอย่างนั้น...จำเรื่องนี้ได้ใช่ไหม?”
ผมพยักหน้า ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ในเมื่อป๊าพร่ำบอกผมมาตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็กๆ เรามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ทำอะไรไปก็ต้องยอมรับ อย่าบ่ายเบี่ยงหรือโกหกเป็นอันขาด ผมกล้าพูดว่าผมไม่เคยโกหกเลยสักครั้งเดียว...อย่างน้อยๆก็กับพ่อแม่พี่น้องนะ
“เป็นลูกผู้ชายแล้วนะ...ซี”
ผมหันกลับไปมองป๊า มีไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะได้มานั่งคุยกันประสาพ่อลูกแบบนี้ ป๊ากับผมค่อนข้างห่างเหินกันเพราะผมเป็นลูกคนเล็กที่อายุห่างจากพี่ๆคนอื่นอยู่มากโข ป๊าเลี้ยงผมแบบผู้ใหญ่ แบบคนที่โตแล้ว นี่จึงนับเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เราจะได้คุยกันอย่างเปิดเผยขนาดนี้
“...ครับ”ได้แต่ตอบรับเสียงแผ่วเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ป๊าจับไหล่ผมเอาไว้ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ป๊าไม่เคยรังเกียจลูกของตัวเอง...ไม่เคยโกรธหรือผิดหวังเลยที่ลูกเลือกทางเดินนี้...แม่แกก็ด้วย...เสร็จจากนี่แล้วก็ไปหาเขาหน่อยล่ะ ไปบอกให้รู้ว่าเราคุยกันเรียบร้อยแล้ว”
“ครับ”พูดมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว นึกอะไรไม่ออกเลย ในอกมันพองฟูไปหมด ป๊ากำลังจะบอกกลายๆสินะว่า...อนุญาต...ให้เราคบกันได้...
“...แต่ว่า”
ผมชะงัก ความรู้สึกที่เหมือนจะลอยได้เมื่อครู่ถูกสะกดให้ค่อยๆกลับเป็นปกติตามเดิม ป๊าละมือออกไป ในแสงไฟสลัวๆภายในออฟฟิศนี้ สายตาของท่านดูจริงจังจนน่าขนลุก
“ถึงป๊ากับม้าจะไม่ว่าอะไร...แต่พวกญาติๆของเราเขาไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ”
นี่ล่ะประโยคที่ผมกลัวที่สุด พวกญาติฝ่ายสาขาน่ะโคตรเรื่องมาก และก็อย่างที่รู้ว่าจำนวนคนมันต่างกัน ป๊ากับม้าจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มีปัญหากับคนพวกนั้นเพราะเราจะเสียเปรียบ
“...เขาจะเอายังไงครับ?”ไม่ใช่ประโยคหาเรื่องอะไรเลยนะ แค่ถามด้วยความข้องใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ เป็นแค่ญาติพี่น้องแท้ๆ แต่เมื่อวานที่ทุกคนรู้ความจริงคนพวกนั้นกลับโวยวายหนักกว่าพ่อแม่ผมอีก
“ป๊าคุยกับพวกเขาให้ได้ ยังไงก็เป็นญาติกัน”ป๊าบอกเรียบๆ “เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับวงธุรกิจก็จริงแต่คนพวกนั้นก็พยายามจะดึงมาให้เกี่ยว...ป๊าเล่าให้ลูกฟังตรงๆเลยนะ...คนพวกนั้นอ้างว่าลูกจะไม่มีทายาทสืบทอดเลยอยากให้เรายกหุ้นให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
ผมนั่งอึ้ง ย้อนความสักนิดนะ กิจการบ้านผมหารหุ้นครึ่งหนึ่งกับญาติสายตรงเหมือนกันที่อยู่ในฮ่องกง เท่ากับว่าตอนนี้บ้านผมถือหุ้นอยู่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของกิจการทั้งหมดที่เรามี แต่ถ้ายกให้พวกคนสาขายี่สิบก็เท่ากับว่าอัตราส่วนมันจะต้องผกผันกันยกใหญ่ แล้วอีกอย่างฝ่ายสาขาก็มีกิจการเป็นของตัวเองที่ไม่ร่วมหุ้นกับใครอยู่แล้วด้วย
โกรธคนพวกนั้นมั้ย...ก็โกรธแหละ แต่โกรธที่ตัวเองเป็นเด็ก ที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้มากกว่า
“ป๊าอยากจะ...บอกอะไรกับผมครับ?”กลั้นใจถามไปด้วยความอึดอัด หัวใจเต้นระรัวเพราะรู้สึกสังหรณ์อยู่ลึกๆ
พ่อของผมมีสีหน้าอย่างที่น้อยนักจะทำให้เห็น ท่านมองสบตาผมตรงๆ แล้วเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ลูกรักเขาจริงๆใช่ไหม...รักมากแค่ไหน...มั่นคงพอหรือเปล่า”
ผมไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของป๊าหรอก แต่ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะพยักหน้า “ครับ ผมรักวา รัก...แบบที่ไม่คิดว่าจะรักใครได้อีกแล้ว”
ป๊าผมถอนหายใจเหยียดยาว ก่อนจะถามคำถามที่ทำเอาผมแทบนิ่งค้างไปตรงนั้น
“งั้น...ถ้าต้องห่างกันสักปีสองปี...ลูกจะทนได้หรือเปล่า?”
ถามว่าทนได้มั้ย...ถึงไม่อยากก็ต้องทน...นี่เป็นทางสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่แล้ว บุญแค่ไหนไม่รู้ที่ครอบครัวผมไม่ให้เลือกระหว่างเลิกไป ไม่ต้องเจอกันอีกเลย กับออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ ผมไม่ได้กลัวไม่มีที่ซุกหัวนอนหรอกนะ แต่คนที่ทำให้พ่อแม่เสียใจน่ะมันเป็นลูกอกตัญญู ถ้าเขาบีบผมแบบนั้นจริงๆผมก็ต้องเลิก วาสำคัญกับผมมากก็จริง แต่ผมก็คงโดนมันด่ายับแน่ถ้าเลือกมันแทนพ่อแม่
ป๊าผมช่วยคุยให้ญาติๆยอมรับ ทำให้จากที่ต้องเลือกระหว่างเลิกกันไปเลย ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกและออกไปจากบ้านให้กลายเป็นแค่ห่างกันสักพัก ประกอบกับที่ทางบ้านก็อยากให้ผมไปเรียนต่อที่อื่นอยู่แล้ว เฮียเอเลยจัดการทำเรื่องให้เสร็จสรรพ พอถึงวันจันทร์ผมก็ไปสอบวัดความรู้ยืนยันทักษะทางภาษาอีกนิดหน่อย(วันที่หยุดเรียนไปนั่นแหละ) เรื่องจะสอบได้หรือไม่นั้นไม่ต้องไปคิด ข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆแล้วผมก็ผมฟังพูดอ่านเขียนได้คล่องทั้งสามภาษาทั้งไทยจีนอังกฤษ(อังกฤษเป็นภาษาทางราชการอีกอย่างของฮ่องกง) เรื่องจะให้สอบตกน่ะลืมไปได้เลย...
ข้อตกลงของเราก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก ครอบครัวจะส่งผมไปต่างประเทศ ความจริงเขาก็อยากทำแบบนั้นกันแต่แรกแล้ว เรื่องนี้เป็นแค่ตัวกระตุ้นที่เข้ามาแบบผิดจังหวะผิดเวลามากกว่า แต่คิดอีกแง่มันก็ดีสำหรับอนาคต เพราะป๊าอยากให้ผมได้ไปเรียนรู้อะไรๆที่ควรจะรู้ก่อนที่จะต้องไปอยู่ฮ่องกง ถ้าหากเริ่มเสียแต่ตอนนี้ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวในฮ่องกงอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่เปลี่ยนไม่ได้และผมก็ยอมรับมันได้นานแล้ว บ้านของผมคือที่นั่น เพราะผมเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัวหลัก ผมเตรียมใจไว้นานแล้วที่จะต้องอยู่ฮ่องกงไปตลอดชีวิต
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมต้องพยายามแทบตาย ห้ามใจตัวเองไม่ให้เข้าไปคุยไปเล่นหัวกับวาเหมือนเดิม ผมอยากให้มันเคยชินตั้งแต่เนิ่นๆ อยากให้มันอยู่ได้แม้จะไม่มีผมอยู่ด้วย ตลอดเวลาที่นั่งด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน กลับบ้านด้วยกัน ไม่มีสักวินาทีที่ผมจะเลิกคิดเรื่องวา เห็นมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่หลายครั้ง วาดูผอมไป หน้าก็ซีดเหมือนคนอดนอนจนผมอดคิดไม่ได้ว่าผมเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนั้น ผมเสียใจ เสียใจเหลือเกิน...
แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอยู่เฉยๆ เฝ้ามองมันอยู่ห่างๆ
วันที่วาพาผมกับแป้งไปลองชุด ผมเห็นมันเหม่อหลายต่อหลายครั้ง อันที่จริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เห็นมันเป็นแบบนี้ แต่มันไม่ได้เหม่ออย่างเดียวน่ะสิ...นอกจากจะเหม่อแล้วยังซึมแถมยังทำหน้าเศร้าจนผมสงสาร อยากกอดมัน อยากปลอบมัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนมอง
ผมจะไปแล้ว...อีกไม่นานผมก็ต้องไปแล้ว...ผมยังไม่ได้บอกวาเลยสักคำ...ผมปิดเรื่องนี้กับทุกคน ไม่เคยบอกอะไรให้ใครรู้ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจเพื่อนนะ แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง เรื่องแบบนี้ถ้าเผลอหลุดปากออกไป ไม่นานก็คงไม่แคล้วไปเข้าหูวาอยู่ดี
สุดท้ายทางเดียวที่ผมทำได้ก็คือ...เฝ้ามอง...เฝ้ามองมันอยู่แบบนี้...จดจำทุกภาพเอาไว้ให้นานที่สุด ตราตรึงที่สุด
เพื่อที่ว่า...วันใดที่จะต้องจากกัน ต่างคนก็จะยังคงก้าวต่อไปข้างหน้าได้
ทั้งๆที่คิดแบบนี้แต่สิ่งที่ผมทำก็คือการทำร้ายวา ทำร้ายมันอยู่ร่ำไป
ผมใจหายวาบที่เห็นมันเลือดไหลโชก เผลอหันไปมองนานจนแป้งที่ซ้อมอยู่ด้วยกันยังต้องมองผมงงๆ และผมก็คงจะพุ่งเข้าไปหามันเป็นคนแรกแล้วถ้าไม่ติดที่ว่าได้ยินแป้งถามเหมือนสงสัย
“เป็นอะไรเหรอซี? สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ”ท่าทางแป้งจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แน่ล่ะ ตรงนี้อยู่ห่างจากพวกฝ่ายเบื้องหลังมากพอสมควรแล้วเสียงเพลงที่เปิดคลอฉากเพื่อช่วยกำหนดคิวซ้อมก็ไม่ได้เบาเลยด้วย...แต่ผมได้ยิน ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนผมก็ได้ยิน เสียงนั้นเป็นวาแน่ๆ และยิ่งหันไปเห็นมันนั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนๆ ยิ้มทั้งๆที่เลือดไหลไม่หยุดผมก็ยิ่งอยากเข้าไปหา
แต่พอแป้งเรียกผมก็เริ่มตั้งสติได้ คิดได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ จึงทำเป็นไม่สนใจแล้วหันไปซ้อมบทต่อทั้งที่ในใจกระวนกระวายแทบเป็นบ้า ซ้อมก็ผิดๆถูกๆอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หันมาอีกทีวาก็หายไปแล้ว ผมขอพัก ซึ่งแป้งก็เห็นดีด้วย เธอบอกว่าผมดูเหม่อๆมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ให้พักเหนื่อยสักหน่อยก็คงดี น่าดีใจที่แป้งไม่ใช่ผู้หญิงขี้สงสัย ผมเดินเลี่ยงออกมาจากหอประชุม คิดว่าวาคงจะไปห้องพยาบาล
ผมเจอมันแล้ว หลังจากที่ไล่ตามมาติดๆผมก็เห็นวายืนคุยอยู่กับมิสอรอนงค์ที่หน้าห้องพักครู ในใจก็เผลอคิดไปว่ามันมาทำอะไรแถวนี้ ทำไมไม่รีบไปทำแผล แต่พอมิสหันมาทักผมพร้อมทั้งยื่นเอกสารให้ ผมก็รู้ในทันทีเลยว่า...วาคงรู้เรื่องที่ผมจะไปต่อที่อื่นแล้ว
ผมคุยกับมิสอีกพักหนึ่งแล้วมิสก็กลับเข้าไปในห้องพักครู ตลอดการสนทนาวามันพยายามจะหนีแต่ผมก็แก้ลำโดยการจับแขนมันเอาไว้ไม่ให้ไปไหน และพอคุยเสร็จผมก็จัดการลากมันไปที่ห้องพยาบาลทันที ไอ้วาโวยวายไปตลอดทาง โวยวายเหมือนเอาความโกรธทั้งสัปดาห์มาลงที่ผม ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าโมโห แต่กูก็ห่วงมึงน่ะเว้ย จะเงียบสักนิดไม่ได้เรอะ...
“ปล่อยโว้ย!!!”ไอ้วาแหกปากแล้วสะบัดแขนเต็มแรง ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆเลยเผลอปล่อยมือออก เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ความโกรธทั้งหมดก็เป็นอันต้องหายวับไปทันทีที่หันไปเห็นวามันกำลังปาดน้ำตาที่ไหลพรากๆออก
“มึงเกลียดกูไม่ใช่เหรอ เกลียดจนจะทิ้งกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทั้งๆที่พยายามจะตัดใจ...แล้วทำไมต้องมาทำแบบนี้ด้วย...”
คำพูดของไอ้วาทำให้ผมอึ้ง ผมเกลียดมันตอนไหนวะ? แล้วใครจะทิ้งมันกัน? จริงอยู่ที่ว่าผมจะไปเรียนต่อ ผมผิดที่ไม่ได้บอกมันก่อน แต่ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะทิ้งมัน จะเลิกกับมัน
ใจสั่นแทบตายที่เห็นไอ้วาร้องไห้เหมือนเด็กๆ มันพยายามปาดน้ำตาออกแต่ดูก็รู้ว่าปาดไม่หมด มันร้องไห้แบบเอาเป็นเอาตาย แล้วก็เอ่ยออกมาด้วยคำพูดที่ทำให้ผมชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ปล่อยกูไป...อย่าให้กูเป็นคนที่ทำร้ายมึง...อย่าทำร้ายกัน...มากไปกว่านี้อีกเลย”
ตลกหรือเปล่า ตลกเหอะ ฝันอยู่หรือไง ไม่มีทางโว้ย
เรื่องที่ว่าจะให้ปล่อยมันไป...ใครจะไปทำได้กันเล่า
วามันยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ ผมเลยดึงมันไปทางห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว ดีนะที่ว่าเย็นแล้วมิสประจำห้องพยาบาลเลยกลับบ้านไปเรียบร้อย ผมกดไหล่ให้มันนั่งลงตรงขอบเตียงมันก็นั่งอย่างว่าง่าย ระหว่างเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลก็ยังมีเสียงสะอื้นดังลอดมาให้ได้ยินเป็นระยะๆจนต้องข่มใจเอาไว้ไม่ให้หมดความอดทนจนเลิกหาอุปกรณ์แล้วหันไปกอดมันแทน
ในที่สุดก็ค้นอุปกรณ์ที่ต้องการเจอทั้งหมด ผมเดินกลับมาที่เตียง จับมือมันวางลงบนตักแล้วคีบสำลีชุบแอลกอฮอล์ขึ้นมา แอบขำนิดๆที่ได้ยินเสียงสะอื้นสะดุดไปหน่อยเหมือนมันกำลังคิดว่าแอลกอฮอล์ต้องแสบชัวร์ แต่มันก็ยังใจแข็งทำเป็นไม่ร้องตอนที่ผมจี้สำลีทำความสะอาดลงไป ก็ดี...ทำแผลแบบนี้ก็สบายหูดี แต่พอเงยหน้าเท่านั้นแหละ แทบกลั้นหัวเราะไม่ทัน มันกลั้นเสียงร้องเอาไว้จนหน้างี้แดงไปหมดแถมตามแก้มตามขอบตาก็ยังมีคราบน้ำตาปริ่มๆเหมือนเจ็บสุดทน
การทำความสะอาดแผลเป็นไปอย่างตึงเครียด ไอ้วาผ่อนลมหายใจยาวที่เห็นผมโยนสำลีมรณะ(สำหรับมัน)ทิ้งไปเสียที ผมหยิบผ้ากอซขึ้นมา แผลยาวขนาดนั้นพลาสเตอร์อย่างเดียวคงเอาไม่อยู่แน่ ผมปะผ้ากอซลงไปแล้วเอาเทปปิดทับโดยไม่ลืมใส่ยาทาแผลสดลงไปก่อน
“เสร็จแล้ว”บอกวาเรียบๆแล้วก็แตะที่ผ้ากอซเหนือแผลมันเบาๆ “กลับบ้านไปอย่าเพิ่งล้างมือนะ รออาบน้ำก่อนแล้วค่อยเอาออก เอาผ้ากอซไปเปลี่ยนก่อนนอนด้วย”
ไอ้วาพยักหน้าเบาๆทั้งที่ยังหน้าง้ำหน้างอ ผมสั่งมันจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมออย่างไรชอบกล ผมไม่ได้ลุกไปไหน ในขณะที่วามันก็ยังนั่งเงียบไม่เลิก จนในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้ ต้องถามออกมาเบาๆ
“...ไปเมื่อไหร่”
ไม่ต้องคิดนานก็รู้ว่าวามันถามเรื่องอะไร ผมหลับตาพลางถอนหายใจยาว “กลางตุลาฯ”
วาเงียบไปแต่สีหน้าบ่งบอกอาการช็อค แน่ล่ะ ในเมื่อนี่มันเดือนกันยาฯแล้ว อีกไม่นานผมก็ต้องไป คราวนี้ไปจริงๆ ไม่มีตัวเลือกให้ลังเลแบบตอนจะไปฮ่องกงด้วย
“วา...”ผมเรียกมัน กำลังคิดอยู่ว่าอยากคุยเรื่องนี้ อยากบอกมันตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไอ้วาก็ดันเบรกผมเสียก่อน
“หยุดนะ อย่าเพิ่ง ขอทำใจก่อน”ผมขมวดคิ้ว แค่จะเล่าเรื่องให้มันฟังนี่ต้องทำใจห่าอะไรด้วยวะ? “ไม่...ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ว่านะที่มึงจะไป...จะไปไหนมันก็เป็นสิทธิ์ของมึง กูไม่มีหน้าจะห้ามอะไรหรอก แต่ แต่ ยังไงซะ...ยังไงกูก็...ยังไงกูก็...รักมึง...อย่าเพิ่งบอกเลิกกูนะ...ขอกูทำใจก่อน”
อึ้งสิครับ ไอ้ที่อินกับบรรยากาศเศร้าๆเมื่อกี้เป็นอันพังทลาย ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะถามมันเสียงห้วน
“ใครว่ากูจะบอกเลิกมึงวะ?”
เงียบ เงียบกันทั้งผมทั้งวา ไอ้วามองหน้าผมเหมือนจะอึ้ง แล้วผมก็ส่ายหน้า ลากมันเข้ามากอดเอาไว้หลวมๆ
“ประสาทรึไง...กูไปเรียนไม่ได้ไปตาย...เดี๋ยวก็กลับ...แล้วทำไมจะต้องบอกเลิกมึงด้วย”
ไอ้วายังคงเงียบ ไม่รู้ว่ามันเงียบอึ้งหรืออะไร แต่ที่แน่ๆ...มันทำให้ผมตัดสินใจได้แน่ชัดแล้วว่าต่อให้ตาย...ผมก็จะไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้ไป
“วา...กูมันพูดไม่เก่ง...กูทำอะไรหวานๆไม่เป็น...มึงคงรู้นะ”ผมถามมันเบาๆทั้งที่ยังกดหัวทุยๆให้ซบอยู่กับอก “ต่อให้ไม่เล่าเหตุผลตอนนี้ แต่ก็อยากให้มึงเข้าใจกูหน่อยนะ...”
ร้องขอแบบคนเห็นแก่ตัว ทำใจอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือออกจากตัววา ไม่ได้อะไรหรอกนะ...แต่ผมแค่อยากทำอะไรให้ตัวเองมั่นใจสักนิด
ผมมองหน้าวาแน่นิ่ง
“วันนี้...ขอไปค้างด้วยได้ไหม?”
คำขอที่เห็นแก่ตัวของผมประสบผล ไม่นานหลังจากโทรบอกพวกเพื่อนว่าจะกลับกันก่อนผมก็มายืนอยู่หน้าบ้านวาโดยที่เจ้าของบ้านเอาแต่ยืนก้มหน้างุดๆ ระหว่างเราไม่มีบทสนทนากันมากนักเหมือนต่างคนก็ต่างยังรู้สึกแปลกๆเพราะที่ผ่านมาไม่ได้คุยกันเลย แล้วอยู่ๆไอ้วาก็หันมา
“เข้ามาดิ...”มันพูดช้าๆเหมือนไม่แน่ใจตัวเอง เดินนำเข้าไปก่อน ผมจึงเดินตามแล้วปิดประตูรั้วให้ด้วย
ผมเข้าไปสวัสดีแม่ของวาในครัว ป๊ามันยังไม่กลับ น้องชายมันกลับมาแล้วแต่แม่วาบอกว่าไม่อยู่ ไปเล่นบ้านตรงข้าม(ผมรู้สึกขำนิดๆ อยู่กับไอ้เนมมันคงไม่น่าจะ ‘เล่น’ อะไรแบบปกติแน่ๆ) เจ้ศาก็ยังไม่กลับ ตอนนี้เลยมีแต่แม่มันคนเดียวที่อยู่บ้าน
“แม่ วันนี้ซีมันมาค้างนะ”แม่ไอ้วาไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงหันมายิ้มให้แล้วก็พูดคำเดิมๆว่าให้ทำตัวตามสบาย ผมยิ้มตอบพร้อมทั้งเอ่ยขอบคุณ โทรบอกที่บ้านแล้วว่าวันนี้ไปค้างบ้านเพื่อน ป๊าคงเดาได้ว่าเพื่อนไหนท่านเลยไม่ได้ถามมากอย่างที่นึกกลัว
กิจวัตรประจำวันของเราเป็นไปตามปกติ ผมกับมันนั่งดูทีวีกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น สักพักวามันก็เดินเข้าไปช่วยแม่ในครัวปล่อยผมไว้ที่โซฟาคนเดียว ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปจะช่วยบ้าง แต่ไอ้วาดันหันมายิ้มกวนๆ
“อยู่เฉยๆเหอะไอ้คุณชาย เดี๋ยวทำจานบ้านกูแตก”
นั่น บังอาจมาดูถูก เดี๊ยะศพไม่สวยนะที่รัก “เว่อร์ กูไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนมึงนะ”
“โห...พูดงี้มาต่อยกันเหอะ”
ประโยคสนทนาระหว่างเราเริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้นแล้ว วาส่งยิ้มเล็กๆให้ผม ทำให้ผมอดที่จะมองแล้วยิ้มตอบนิดๆด้วยความพอใจไม่ได้
“วันนี้เจ้เขาอยู่ทำงานหอเพื่อน เจ้าวีก็เพิ่งโทรมาบอกว่าจะค้างบ้านเนม ป๊าทำโอทีกลับดึก ดีนะที่ซีมา ไม่งั้นแม่กินข้าวกับวาสองคนคงเหงาแย่”แม่ของวาพูดยิ้มๆขณะเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วค่อยๆทยอยยกกับข้าวสองสามอย่างมาวาง “วันนี้คนน้อย อาหารไม่หลากหลายเท่าไหร่ ไม่ว่ากันนะจ๊ะ”
ผมยิ้มตอบท่าน “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกินอะไรก็ได้ คุณแม่ทำอร่อยทุกอย่างอยู่แล้ว”
สาบานเหอะว่าผมเห็นไอ้วามันทำท่าคลื่นไส้อยู่ข้างหลังแม่มัน คอยดูเถอะไอ้ตัวดี...ทำเป็นจะอ้วกแล้วเดี๋ยวจะหนาวพูดไม่ออก
แม่ไอ้วาชวนคุยโน่นนี่ไปเรื่อยๆ ท่านเป็นคนคุยเก่งยิ้มง่าย วามันเหมือนแม่ก็ตรงนี้แหละ ผมก็นั่งฟังบ้างคุยบ้างตามแต่ที่ท่านจะถาม จนกระทั่งถึงเวลาเก็บล้าง วาอาสาขอล้างผมเลยบอกว่าจะช่วยด้วย เท่านั้นแหละไอ้วาหันมาทำปากเบะทันที
“อย่าเลย เดี๋ยวจานบ้านกูแตก”
ผมเริ่มรู้สึกเซ็ง มองหน้ามันแบบจริงจังสุดๆแล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ “ถ้าไม่แตก...ขอจูบเป็นรางวัล”
ไอ้วาอ้าปากค้าง หน้ามันแดงพรวดยังกับสัญญาณไฟจราจร แล้วมันก็เอามือยันหัวผมให้ออกห่างทันที
“ไอ้บ้า!! ออกไปห่างๆเลยนะเว้ย!!”มันกระซิบเสียงดุ “แม่อยู่ในห้องรับแขกนะ อยากจะงานเข้าอีกใช่มั้ยฮะ!?”
ผมหัวเราะเบาๆ “ไม่เครียดว่ะ...ไหนๆก็ต้องรู้อยู่แล้ว...รู้เร็วอีกนิดก็ไม่เป็นไรหรอก”
ไอ้วาทำหน้าง้ำหน้างอใส่ผมแล้วมันก็หันไปสนใจกองจานชามแทน แต่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่ามันกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ ผมถอนหายใจยาว เดินไปช่วยล้างข้างๆมันทั้งที่ความจริงก็ทำไม่ค่อยจะเป็นหรอก วามันเหลือบมองผมนิดนึงแล้วก็ล้างน้ำยาส่งให้ผมล้างน้ำเปล่า
“ล้างดีๆนะ ไม่อยากกินฟองสบู่”วาพึมพำเสียงเบา แต่เรียวปากอมยิ้ม
“ได้ทีสั่งเลยนะ”ผมโต้ แต่ก็ยอมบรรจงขัดๆถูๆไม่ให้มีฟองเหลือ เอาเถอะ กินฟองเข้าไปยังไงก็ไม่เจริญแน่ๆ เดี๋ยวจะได้ตายเสียก่อน...
ตลอดการล้างจานทั้งผมทั้งวาต่างก็เงียบ จนล้างเสร็จเดินขึ้นห้อง วาหยิบเสื้อผ้าที่ตัวใหญ่พอให้ผมใส่ได้มาวางปลายเตียงแล้วบอกให้ผมเข้าไปอาบน้ำ ผมก็ไม่ว่าอะไร ยอมเดินเข้าไปอาบตามที่มันต้องการ
วันนี้ผมมาที่นี่เพื่ออะไรกันนะ? ผมถามตัวเองพลางปล่อยให้สายน้ำรินรดกายไปเรื่อยๆ ผมอยากจะทำอะไรกันแน่ รู้สึกว่าอยากอยู่ข้างๆมันขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมพร่ำบอกกับตัวเองมาตลอดแท้ๆว่าจะอยู่ห่างๆเพื่อให้มันเคยชิน
ผมเปิดประตูออกไป ไม่ได้อยากจะโชว์อยากจะอะไรหรอกนะ แต่ดันเหม่อจนลืมหยิบเสื้อเข้ามาอาบน้ำด้วยต่างหาก ไอ้วากำลังนั่งเตะขาอยู่ที่ปลายเตียงแล้วฟังเพลงในไอพอดอยู่ มันเปิดเสียงออกด้วย ถึงจะซ่าๆไปบ้างแต่ก็ได้ยินชัดดี
วันที่เวียนเปลี่ยน วันที่เลยผ่าน รักคงมั่น
เราไม่เคยห่าง เคียงคู่ชิดใกล้ทุกเวลา
ยอมทิ้งความฝัน ยอมทุกๆอย่างให้กันและกัน
เพียงได้เคียงข้าง เพียงได้ร่วมทาง โอ้...รักนิรันดร์
ผมยืนนิ่ง วาหันมามองผม แล้วเราก็มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
ก่อนเคยคิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด
เติบโตจึงได้รู้ความจริง
หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน
ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง
หากเดินแนบกาย มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน
ห่างเพียงนิดเดียว ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา
แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เธอได้ตามหาฝัน...ของเธอ
ผมเดินเข้าไปใกล้มัน ไอ้วาเงยหน้ามองผมตาแป๋ว ตอนนี้อารมณ์ไหนก็ไม่รู้ แต่กว่าจะรู้ตัวมือของผมก็เอื้อมไปคว้าร่างมันเข้ามากอดเอาไว้แล้ว
วาเกร็งตัวเล็กน้อย มองผมเหมือนกับจะถาม ผมเลยกดหน้ามันให้ซุกกับอก แล้วบอกเบาๆ
“เปิดอะไรได้เข้าบรรยากาศดี...ฟังต่อนะ...กูพูดเองไม่ได้...แต่มึงก็คงจะเข้าใจสินะ”
เสียงดนตรีในเพลงยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ ผมก้มหน้ามองร่างโปร่งบางในอ้อมแขน ไม่รู้หรอกว่าวาทำหน้าอย่างไรอยู่เพราะมันเอาแต่ซุกหน้าอยู่กับอกผม
แต่ไม่เป็นไรหรอก
ผมเชื่อว่ามันจะต้องเข้าใจ...
เรียนรู้รักอย่างรู้คุณค่า ฝันไม่ไกล
บินไปตามทางหาดวงตะวันที่เธอต้องการ
ไม่มีฉุดรั้ง ไม่มีดึงดัน เราเข้าใจ
รักที่แสนหวาน รักยังไม่เปลี่ยน เคียงคู่กัน
ก่อนเคยคิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด
เติบโตจึงได้รู้ความจริง
หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน
ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง
หากเดินแนบกาย มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน
ห่างเพียงนิดเดียว ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา
แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เราได้ตามหาฝัน...
วันเวลาที่เราห่างไกล ความเข้าใจจะทำให้เราใกล้กัน
กลับกลายเปลี่ยนเป็นพลัง โว้โวโว้...
(ที่ว่าง: Pause)
ผมเงียบ วาก็เงียบ เพลงยังคงดังต่อไปเรื่อยๆอยู่อย่างนั้น ไอ้วามองหน้าผมนิ่ง แววตาวูบวาบไหวระริก ผมมองตอบอย่างพินิจ...มองแบบนั้นแปลว่าวามันเข้าใจใช่ไหมว่าผมหมายความถึงอะไร
ที่ไปไม่ใช่ไม่รัก แต่เพราะรักมากถึงได้ไป
“ไม่รู้หรอกว่าทำไม...แต่เข้าใจ”ในที่สุดประโยคอันแสนแผ่วเบาที่แทบไม่ต่างไปจากกระซิบก็ดังขึ้น วาเงยหน้าขึ้นสบตากับผม ทำให้เห็นชัดว่าในดวงตาของมันมีแต่น้ำใสๆรื้นอยู่เต็ม
“เพราะรักมาก...ถึงได้ยอมให้ไป”
เหมือนสิ่งที่แบกรับมาตลอดจะเบาหวิวขึ้นอย่างฉับพลัน ผมไม่ต้องทำเป็นเย็นชาใส่วาแล้วสินะ วาเข้าใจผมอย่างที่ผมอยากให้เป็นสินะ...
จะไม่ลังเลที่จะกอดมัน จูบมันอีกแล้ว
วาเงยหน้าขึ้นรับสัมผัสอย่างว่าง่าย ซึมซับความรู้สึกที่ขาดหายไปหลายต่อหลายสัปดาห์ให้กลับคืนมา คำบางคำแม้จะไม่ได้พูด แต่ร่างกายก็สื่อความออกมาได้แจ่มชัดอยู่แล้ว สองมือของวาโอบอยู่รอบคอผม ดึงรั้งให้เข้าไปใกล้
ริมฝีปากเลื่อนผ่านไปเรื่อยๆตามแก้ม เปลือกตา หน้าผาก ไล่ลงไปยังใบหู ซอกคอ ไอ้วาก็ไม่ดิ้นหนีเลยแม้แต่น้อยแถมยังเอียงหน้าให้ผมสัมผัสได้ง่ายขึ้น และก็คงจะนัวเนียกันอีกนานถ้าไอ้วาไม่ครางออกมาเสียก่อน
ผมหอบเล็กน้อย ผละจากร่างผอมบางข้างใต้ แล้วก็เพิ่งจะเห็นว่าอะไรๆมันเลยเถิดไปมากแล้ว เสื้อผ้าไอ้วาหลุดลุ่ยไม่พอ ไอ้หน้าแดงๆปนเสียงหอบของมันนี่สิที่ยิ่งจะทำให้ผมเป็นบ้าหนักขึ้น
“เอ่อ...”วาอึกอักเล็กน้อย ก่อนที่มันจะเอ่ยเสียงแผ่ว “...ย...ยังไม่ได้อาบน้ำเลย...”
ผมมองสบตามัน รู้สึกเหมือนอยากขำแต่ก็ขำไม่ออก แปลกใจอยู่หรอกที่ไม่ใช่คำห้าม แต่...แบบนี้มันเท่ากับปฏิเสธกลายๆรึเปล่าวะ
“โทษที”บอกไปแบบแกนๆ ถามว่าอยากมั้ย...มันก็อยากแหละ...แต่ผมเคยบอกแล้ว อยากให้เรื่องนี้เป็นความต้องการของเราทั้งสองคน ไม่ใช่แค่อารมณ์หวั่นไหวชั่ววูบ
ผมกำลังจะผละลุกขึ้น แต่มือไอ้วาก็ดันรั้งแขนผมเอาไว้ สีหน้าเว้าวอนนั้นทำให้ผมแทบจะอยากเป็นบ้า...คิดว่าผมลุกออกมานี่มันเพราะใครกันวะ ผมมองสบดวงหน้าที่เริ่มขึ้นสีจัดขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลา แล้วไอ้วาก็เอ่ยอ้อมแอ้ม
“ซี...ไม่...ไม่ต้องหยุดก็ได้...แต่...แต่ยังไม่ได้อาบน้ำ...”
หัวสมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว แล้วผมก็ถามมันกลับเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ปากอมยิ้มนิดๆอย่างกลั้นขำไม่อยู่
“กูไม่ซีเรียสเรื่องอาบน้ำหรอก แต่มึงแน่ใจนะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา?”ผมขยับเข้าไปหามันตามเดิม ไอ้วาเม้มปากแน่น หน้ามันแดงจัดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอะไร
ผมนิ่งรออยู่สักพัก จนในที่สุดก็ก้มหน้าลงไป ไอ้วาเอาแขนคล้องคอผมไว้หลวมๆ ทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆ...ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้
“บอกไว้ก่อนนะ”ผมเงยหน้าขึ้นแบบฉับพลัน และไอ้วาก็ได้แต่มองแบบงงๆ “จะหยุดให้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ตอนนี้ยังเปลี่ยนใจทันนะ แต่ถ้าปล่อยไว้...ถึงร้องห้ามก็จะไม่หยุดให้”
ดวงหน้าขาวเนียนแดงจัดขึ้นมาทันที และไอ้วาก็ส่ายหน้าแรงๆ เม้มปากแน่น ก่อนจะอ้อมแอ้มบอก
“...ไม่ได้ขอ...ไม่ได้บอกให้หยุด...”
ผมกระตุกยิ้ม จะถือว่านั่นเป็นคำอนุญาตก็แล้วกัน พูดเองนะครับว่าไม่ได้บอกให้หยุด
ในเมื่อพูดแล้วก็รับผิดชอบคำพูดของตัวเองด้วยล่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหอๆๆ.....ฮ่าๆๆๆ....ไม่พูดมากค่ะ แต่เรื่องนี้ไม่ดราม่านานหรอก โนว์อยากให้มันคงความใสซื่อ(แม้หนูวาจะซื่อได้ไม่ตลอดรอดฝั่งก็ตาม) แต่ก็นับว่าโนว์พอใจระดับเนื้อเรื่องที่คงเส้นคงวานะคะ (คิดเอาเอง) เพราะอย่างน้อยๆทุกอย่างก็ดูจะลงเอยด้วยดี
มาถึงตรงนี้แล้วก็....ไม่รู้จะพูดอะไรมาก ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดค่ะ
ความคิดเห็น