ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Crescendo ดนตรีรัก จังหวะร้าย (YaOi)

    ลำดับตอนที่ #79 : Da Capo 36 : Don’t hurt me anymore

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 58


    Da Capo 36 : Don’t hurt me anymore

     
     

                แต่ละวันเป็นไปอย่างเชื่องช้า บรรยากาศแย่ ความรู้สึกฝืดเคืองตีกันจนมั่วไปหมด พวกเรายังทำตัวเหมือนเดิมกันทุกคน ไปกินข้าวด้วยกันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป คนอยู่วงโยฯก็ขึ้นซ้อม คนที่ไม่ได้อยู่ก็ไปนู่นไปนี่กันตามแต่จะอยาก

                สิ่งเดียวที่แปลกแตกต่างออกไป เห็นทีจะเป็นเรื่องที่ว่า...ผมกับซีไม่เคยเปิดปากคุยกันเลยสักคำ

                ไอ้ซีมันแปลก มันชอบทำตัวพิลึก ปกติเราจะกลับบ้านทางเดียวกันสองคน แต่นับตั้งแต่ที่ขึ้นม.ปลายมาก็จะมีนิวกับเนมกลับด้วยเพราะบ้านอยู่ซอยเดียวกัน มันไม่ได้หนีไม่ได้หลบหน้าแต่บรรยากาศมันก็ยังแย่และชวนให้อึดอัดเหมือนเดิม ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นเพราะซีไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แม้แต่ไอ้นัทเพื่อนสนิทมันที่เคยไปแย็บๆถามก็ยังไม่รู้เรื่อง

                ซีเงียบ...มันคุยกับทุกคนเท่าที่จำเป็น...แต่มันไม่เคยหันมามองหรือคุยกับผมเลยสักคำ

                มันโกรธผม เกลียดผมแล้วงั้นหรือ?

                ไปนะพอถึงป้ายที่ซีต้องลงมันก็หันมาบอกทุกคนตามมารยาท นิวเนมรวมถึงผมจึงยกมือขึ้นนิดๆเป็นเชิงลา แล้วซีก็ลงจากรถไป

                พอซีลง ไอ้นิวที่ตอนแรกนั่งอยู่ข้างป้าคนหนึ่งก็วิ่งมานั่งแทนที่ซีทันทีแล้วเขย่าแขนผมแรงๆ เฮ้ย วา วา

                เหมือนมันเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เรียกเหมือนแค่อยากให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่คนเดยว ผมแค่นยิ้มกับตัวเอง นั่งข้างกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทำทุกอย่างเหมือนเดิมแต่สิ่งเดียวที่แปลกไปก็คือ...เราไม่เคยคุยกันอีกเลยแม้แต่คำเดียว

                ผมร้องไห้จนเลิกร้อง ผมเสียใจจนเริ่มชา แต่จะทำอะไรได้...ในเมื่อผมผิดมาตั้งแต่ต้น

                ...ผิดที่ไปรักมัน

                สุดท้ายนิวมันก็ไม่ได้พูดอะไร เราลงจากรถและแยกย้ายกันเข้าบ้าน ไม่มีบทสนทนาอะไร(ให้ผมเจ็บ)มากไปกว่านี้

                ช่วงนี้ผมเหมือนคนเลื่อนลอย ทำอะไรก็ทำแบบแกนๆ ไม่มีความรู้สึกรู้สา ผมยังเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องของมันอยู่ตลอด จริงอยู่ที่สิ่งที่ผมคิดไม่ได้กระทบกับชีวิตประจำวันมากมายนัก แต่ผมก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่า...อยากย้อนเวลากลับไป อยากจะทำอะไรๆให้มันถูก ไม่อยากให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้

                ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงเลือกที่จะบอกความจริงออกไป ถ้าหากวันนั้นมันเออออตามผม เรื่องก็คงไม่ลงเอยอย่างนี้

                แต่คิดอีกที ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าสิ่งที่ซีทำลงไปมันผิดจริงหรือเปล่า เพราะถ้ามันตามน้ำไปกับผม นั่นก็หมายถึงมันต้องโกหกครอบครัว ซีเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น มันบอกเฮียของมันตามจริง แม้นั่นจะเป็นความจริงที่ฆ่าเราสองคนก็ตาม

                ผมเสียใจ...ไม่ได้เสียใจที่รักมัน แต่เสียใจที่รักของผมทำร้ายมัน

                เวลามันย้อนกลับไปไม่ได้ คิดไปก็เท่านั้น แต่บางครั้งมันก็ยังอยากจะคิด

                คืนนั้นก็ยังคงเป็นอีกคืนที่ผมนอนหลับไปด้วยความกังวลที่มีอยู่เต็มหัวใจ

     

     

     

                ถ้าจะทำแบบนี้ ฆ่ากันให้ตายซะยังจะดีกว่า

                ผมกรีดร้องโหยหวนในใจเมื่อมิสที่สอนภาษาไทยให้จับกลุ่มกันทำละคร ไม่ได้เป็นกลุ่มธรรมดาด้วยนะ แต่กำหนดให้หนึ่งกลุ่มมีสมาชิกตั้งแต่ห้อง1-9 ห้องละ 4 คน รวมแล้วเป็นกลุ่มใหญ่ประมาณ 35-37 คน แน่นอนว่าห้อง 8 พวกผมสี่คนต้องอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แล้วมิสเขาก็จะให้ใช้วิธีจับฉลากเลือกเพื่อนจากห้องอื่นทีละกลุ่มๆ และอะไรก็ไม่ร้ายเท่าเรื่องที่...ไอ้นิวเสือกจับได้กลุ่มนัท

                ก็ดีหรอกเพราะสนิทกันอยู่แล้ว ทำงานด้วยกันง่าย แต้ถ้ามีนัทกับเพชรก็แปลว่าซีมันก็ต้องอยู่กลุ่มนั้นด้วยไม่ใช่เรอะ!!

                เอ่อ...ง่า...กูเปล่าจงใจนะครับวา คือมันได้ของมันเองอ่ะไอ้นิวแก้ตัวเลิ่กลั่ก สีหน้าแลดูรู้สึกผิดอย่างรุนแรง ผมเลยไม่รู้จะว่าอะไรมันได้

                หลังจากทำใจกับโชคชะตาบัดซบนี้ได้แล้วผมก็เลิกโวยวาย หันไปนัดแนะเวลาประชุมรวมกับห้องอื่นๆแทน สรุปได้ว่าไว้ค่อยไปคุยกันตอนเย็น ผมกับไอ้ไฟว์ก็โอเคเพราะคุยก่อนแล้วค่อยไปซ้อม ไม่น่ามีปัญหาหรือกระทบกับวงเท่าไหร่ ลาพี่อั๋นเผื่อสายไว้แล้วด้วย

                ละครวิชาภาษาไทยนี่เป็นงานใหญ่เพราะจะทำเป็นการกุศลไปบริจาคให้เด็กยากไร้ มิสแกเลยอยากให้ทำแบบเป็นเรื่องเป็นราว ให้ซ้อมเล่นให้ดูแล้วมิสจะคัดแค่บางกลุ่มไปเล่นเวทีใหญ่ในแต่ละวัน มีแค่สามวันวันละสองเรื่องโอกาสที่จะได้จึงโคตรต่ำ ผมเลยแอบแช่งให้กลุ่มตัวเองตกรอบ ซึ่งก็สมพรปากอย่างแรงด้วยการที่มิสตกลงคัดพวกเราให้ขึ้นเวทีเป็นกลุ่มแรกของวันที่ 2...เฮงซวย

                กลุ่มผมมีผู้หญิงแค่สองคน เป็นเด็กห้องคำนวณกับเด็กห้องวิทย์สามชื่อเนกับแป้ง คุยกันไปคุยกันมาสรุปแล้วแป้งจะได้เล่นเป็นนางเอกโดยมีเนเป็นนางร้าย(ชีเขาขอมา ไม่มีใครยัดเยียดให้หรอก ยัยเนบอกว่าอยากเล่นอะไรวีนๆหน่อย) ทีนี้ก็มาถึงเรื่องพระเอก หลังจากที่พวกเรามองหน้ากันไปมองหน้ากันมาหลายต่อหลายรอบก็สรุปลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า...ไอ้ซีแม่งหล่อสุด

                ไม่ปฏิเสธครับว่ามันหล่อ ก็มันหล่อจริงๆนี่หว่า เข้าใจด้วยว่านี่มันเป็นแค่ละครแล้วผมก็ไม่มีสิทธิ์จะไปหึงไปหวงอะไรอีกแล้ว แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า เออ...แป้งก็สวยสมกับไอ้ซีมันดี(เหอะ)

                แบ่งบทแบ่งหน้าที่กันแบบคร่าวๆเรียบร้อย ไฟว์กับเพื่อนห้องวิทย์หนึ่งจะรับผิดชอบเรื่องขายตั๋วของวันที่สอง(เป็นงานส่วนรวมก็จริงแต่มิสโยนให้กลุ่มผมทำ) ให้ไอ้เนมทำบัญชีเพราะดูท่าทางแล้วมันไม่น่าจะเอาหน้าไปเสนอขายตั๋วหรือขึ้นไปเล่นละครได้ คนอื่นๆก็รับบทนู้นบทนี้ไปตามเรื่อง ส่วนผมรับทำเรื่องเสื้อผ้ากับพวกฉากและอุปกรณ์กับเด็กห้องเยอรมันและฝรั่งเศสอีกอย่างละสอง

                ไม่ได้หนีนะไม่ได้หนี แต่แค่ไม่อยากออกหน้าฉาก กลัวเวที ฮ่าๆๆ(นัท-ใครเชื่อมึงก็บ้าแล้ว)

                วันซ้อมผ่านไปเรื่อยๆโดยที่ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเลย ไม่เคยเห็นการซ้อมด้วยซ้ำ รู้แต่เนื้อเรื่องโดยรวมเพราะเคยเห็นบทมาแล้ว แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งเซ็งเพราะละครนี้มันเป็นเรื่องรักต่างฐานะ พระเอกรวยแสนรวยกับนางเอกบ้านนอกยากจน วิ่งขายน้ำเต้าหู้ขายปาท่องโก๋ตอนเช้าก่อนไปเรียน เรียนเสร็จก็ไปช่วยพ่อขายกับข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งจวนเจ๊งที่มีเจ้าหนี้เดินเข้าออกวันละสามเวลาหลังอาหาร พระเอกนางเอกเจอกันเพราะพระเอกไปซื้อกับข้าวไว้ให้หมากิน(...)แล้วพวกเจ้าหนี้ก็มาเก็บดอก พ่อนางเอกไม่มีให้พวกเจ้าหนี้เลยจะเอานางเอกไปขัดดอก พระเอกที่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านเลยเข้าไปช่วยแล้วก็เอาเงินใช้หนี้ให้แทนโดยบอกว่าแลกเปลี่ยนด้วยการให้นางเอกมาเป็นคนรับใช้ตัวเอง...ละครน้ำเน่าปนตลกแนวตลาดประสารักวัยรุ่นนั่นแหละ

                ผมว่านะ ที่มิสแกให้ผ่านเพราะมิสชอบดูละครหลังข่าวแหง...ผมว่าเรื่องนี้มันเน่าจะตาย น้ำเน่าแบบไม่น่าเชื่อว่าเพชรจะเป็นคนเขียนบทเอง เหอๆ

                วาๆ เดี๋ยววันนี้พาพระเอกนางเอกไปลองชุดหน่อยนะมิ้นเพื่อนห้องเยอรมันเรียก มันเป็นผู้ชายแท้ๆแต่เสือกชื่อมิ้น ไม่ได้เป็นชื่อในวงการสาวด้วยนะ ชื่อจริงๆที่พ่อแม่ตั้งให้เลยแหละ

                ผมชะงักกึกทันใด พาพระเอกนางเอกไปลองชุดก็แปลว่า...ง่า...ต้องเจอไอ้ซีงั้นเหรอวะ...ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมอุตส่าห์พยายามหลบเลี่ยง ตอนเที่ยงก็ไม่ไปกินข้าวกับกลุ่ม รีบยัดขนมปังตั้งแต่ตอนพักเบรกเช้าแล้วหนีขึ้นห้องวงโยฯ ขึ้นไปซ้อมเร็วเสียจนพี่กานต์ที่มาทีหลังยังถึงกับงงในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพราะปกติผมไม่เคยขึ้นเร็วกว่าพี่เขาได้เลยสักครั้ง

                หลบมาได้ตั้งนาน จะมาตายตกม้าก็ตอนซวยเป็นคนรับผิดชอบเรื่องเบื้องหลังจิปาถะนี่แหละ!

                เอ่อ...ให้แมนหรือต้อมไปไม่ได้เหรอมิ้น ไม่ก็ฟินก็ได้ผมไล่รายชื่อเพื่อนที่ทำเรื่องเบื้องหลังเหมือนกัน อันที่จริงมิ้นก็เป็นฝ่ายเบื้องหลังเหมือนผมแต่มันอยู่ฝ่ายศิลป์ คอยทำฉากกับแมนห้องฝรั่งเศสแล้วก็พวกเด็กวิทย์สี่กับคำนวณอีกสามสี่คน

                อย่ามาๆ วันนี้ไอ้ต้อมกับฟินต้องไปทำเวที เรากับแมนก็ยังยุ่งกับฉาก มีนายอ่ะว่างสุด ไปเลยอย่าได้รอช้าไอ้มิ้นที่ปกติจะอารมณ์ดีเริ่มชี้หน้าให้รู้ว่ามันชักจะเดือดแล้ว ผมเลยไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงอะไรต่อ เป็นที่รู้กันว่างานมันใกล้แต่เวทีกับฉากยังไม่เสร็จมิ้นมันเลยเครียด ผมเป็นคนรับเรื่องเสื้อผ้าโดยตรงแล้วก็ของตกแต่งฉาก จะไปเองก็ไม่แปลก แต่ว่า...ง่า...ไม่เอาพระเอกไม่ได้เรอะ ผมยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันตอนนี้

                กลัว...กลัวเวลาที่ซีมองมาด้วยสายตาเย็นชา...กลัวสายตาเดาอารมณ์ของมันไม่ได้...กลัวไปหมดทุกอย่าง

                แต่ผมก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากพยักหน้ารับแบบจำยอมสุดๆ มิ้นเลยบอกว่าเลิกเรียนแล้วให้ออกไปได้เลย มันโทรนัดกับลูกพี่ลูกน้องมันที่ร้านเช่าไว้แล้ว

     

     

     

                เวลาเลิกเรียนที่อยากจะยืดออกไปไม่ให้มันมาถึงเสือกมาเร็วสุดๆเหมือนจะแกล้งกัน ช่วงนี้แทบไม่มีเรียนเพราะเด็กม.4 ต่างคนก็ต่างยุ่งอยู่กับละคร ผมอุตส่าห์นั่งเครียดคิดหาทางหนีทีไล่อยู่ตั้งนาน แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกสักที ทันทีที่เลิกแป้งก็มาหาผมที่ห้อง แน่นอนว่าหนีบเอาไอ้ซีมาด้วย       ไปกันเลยไหมแป้งเป็นสาวร่าเริงรักสนุกครับ เธอยิ้มง่าย เวลาอยู่ใกล้ใครคนนั้นก็สบายใจ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมมีคนที่ชอบอยู่แล้วผมก็อาจจะหลงเสน่ห์เธอเหมือนกัน

                พวกเราไปที่ร้านลูกพี่ลูกน้องของมิ้นที่เป็นร้านเช่าชุด ที่ต้องเช่าก็เพราะมีฉากที่พระเอกพานางเอกไปงานเลี้ยงแล้วขอแต่งงานด้วย ผมนึกขอบคุณที่แป้งเป็นคนร่าเริง เธอชวนผมคุยตลอดทำให้ผมไม่ต้องเกร็งมากนักเวลานั่งรถหรือเวลาไปด้วยกัน แล้วก็ไม่ต้องลำบากใจเวลาอยู่เงียบๆสามคน หวังว่าแป้งคงไม่สะกิดใจเรื่องที่ผมกับซีไม่เคยพูดกันเลยสักหนเดียว

                มาแล้วเหรอจ๊ะ มาๆ เดี๋ยวเจ๊หยิบของให้ น้องมิ้นบอกเจ๊ไว้แล้วแหละเจ้าของร้านกล้ามโตที่ออกสาวเต็มที่ทักทายพวกผมอย่างยิ้มแย้ม ร้านนี้มีทั้งชุดราตรี ชุดแต่งงาน ชุดไทย สารพัดชุดที่เอาไว้ให้เช่า เป็นร้านใหญ่ที่มีชื่อเสียงในแถบนั้นมากพอสมควร

                ผมนั่งรอเจ๊เขาไปหยิบชุดโดยที่ข้างผมเป็นแป้งและถัดไปก็เป็นซี ตอนนี้เราไม่ได้คุยอะไรกันแล้ว แต่ผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน...ให้เฟคตลอดทางมันก็เหนื่อยนะ

                โชคดีที่ว่าเจ๊แกไปหยิบชุดแค่แป๊บเดียว พอเอามาส่งให้ซีกับแป้งเจ๊เขาก็บอกให้สองคนนั้นเข้าไปลองทันที ทิ้งให้ผมนั่งพิงพนักเก้าอี้ยาวรอในร้านด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

                เกร็งไปหมด...อยากพูด...อยากคุย...อยากทำตัวให้เป็นปกติแต่มันก็ทำไม่ได้

                ผมกลัวสายตาของซี...ผมไม่อยากหันไปมองหน้ามันแล้วเห็นสายตาแบบตอนนั้น

                ต๊ายยยยย เริ่ดถูกใจเจ๊อย่างแรงเลยจ้ะ!”พี่เจ้าของร้านกรี๊ดกร๊าดยกใหญ่ที่เห็นไอ้ซีออกมาก่อนเป็นคนแรก มันเป็นชุดทักซิโด้สีดำในคอนเซปเรียบแต่ดูดี ผมรองทรงของมันถูกเสยขึ้นไปนิดๆแล้วพรมน้ำให้เปียกเพื่อให้อยู่ทรง ช่วงขาที่ยาวรับกันได้ดีกับกางเกงขากระบอกเข้ารูป ซึ่งถ้าจะให้ออกความเห็นโดยไม่มีอคติ โดยรวมแล้วมันถือว่าหล่อทัดเทียมกับพวกนายแบบเลยทีเดียว

                ไม่นานแป้งก็ตามออกมา เธออยู่ในชุดวันพีซสายเดี่ยวสีชมพูอ่อน ผมที่เคยมัดเป็นหางม้าตามระเบียบถูกปล่อยยาวเคลียไหล่ ตามชุดมีมุกประดับอยู่เป็นที่ๆ ที่เอวมีริบบิ้นสีเดียวกับชุดผูกที่ด้านข้าง ชายเป็นแบบย้วยสั้นแค่เข่า ดูสวยหวานสมกับบุคลิกของแป้งดี

                สวยปะแป้งถาม รอยยิ้มดูแก่นแก้วไม่เข้ากับใบหน้าสวยๆของเธอเลย ผมพยักหน้ายิ้มๆ เจ๊เจ้าของร้านเดินไปจัดนู่นขยับนี่ให้ซีเพื่อให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะผละมาทางแป้งบ้าง ผมเผลอหันไปมองร่างสูงในชุดทักซิโด้ด้วยความเผลอไผล ก่อนจะแทบสะดุ้งที่เห็นว่าซีมันก็มองผมอยู่ก่อนแล้ว

                ต่างคนต่างหันหน้าหนีกันไปคนละทาง ไม่ได้รู้เลย...ว่าแป้งกำลังมองพวกเราด้วยสายตาแปลกๆอยู่

                เออ ไหนๆก็ใส่ชุดแล้ว ลองซ้อมบทพูดกันดีไหมแป้งเสนอด้วยท่าทางร่าเริงไร้พิรุธ ซีหันกลับไปมองแป้งเหมือนสงสัยในการกระทำของเธอแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พยักหน้าหงึกๆอย่างว่าง่าย

                เอาฉากไหนล่ะ

                ฉากสุดท้ายแป้งอมยิ้ม ผมสะดุ้ง ฉากสุดท้ายที่ว่าก็ฉากที่มันต้องขอนางเอกแต่งงานในงานเลี้ยงนี่หว่า

                เฮ้ย แป้ง...ผมกำลังจะแย้งแต่เจ๊กะเทยเจ้าของร้านดันแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                เอาเลยจ้ะเอาเลย เจ๊ก็อยากดูเหมือนกัน!”

                โห...ฟังแล้วอยากตบกะเทยบอกไม่ถูก(ถึงมองกล้ามพี่เขาแล้วจะรู้ว่าผมแพ้แหงๆก็เหอะ)

                ผมเดินไปนั่งลงแบบเซ็งๆที่เก้าอี้ยาวตัวเดิม เจ๊แกก็เดินมานั่งข้างๆ ปล่อยให้กลางร้านเป็นคู่พระนางในละครที่ยืนมองกันไปมองกันมาเหมือนไม่รู้จะเริ่มยังไง

                เอาตอนนี้ละกันนะ...ตอนงอนแป้งหัวเราะคิกคัก ก่อนจะรีบเก๊กหน้าเศร้า เดินหนีไปสองสามก้าวตามสเต็ป ...ฉันไม่ดีพอหรอกค่ะ ฐานะไม่ได้ร่ำรวย หน้าตาชื่อเสียงเกียรติยศอะไรก็ไม่มี

                ผมจำตอนนี้ได้ เป็นตอนที่ท้ายๆที่แม่พระเอกเปิดตัวนางร้ายในฐานะว่าที่คู่หมั้นกลางงานเลี้ยง นางเอกเลยเดินหนีไปด้วยความน้อยใจและพระเอกก็ต้องเดินตามง้อ...ซึ่งพอคิดถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกคิ้วกระตุกบอกไม่ถูก

                ไม่มีใครดีที่สุดทั้งนั้นแหละอย่าสนใจเลยนะครับที่บทพูดของผู้ชายมันจะว้าน...หวานจนไม่น่าลงเอยกันได้แบบนี้ แต่เพชรก็ช่างคิดบทจริงๆ เป็นคำพูดที่เหมาะกับหน้านิ่งๆของซีที่สุด เหอๆ

                เงียบกันไปพักหนึ่ง(นางเอกกำลังงอน) แล้วซีมันก็ต้องจับแขนแป้งตามบทให้หันกลับมาคุยกัน ยัยแป้งก็แกล้งสะบัดแขนให้ดูเหมือนถูกจับแรงจนสะบัดไม่ออก

                ปล่อยนะ!!”เออ พอได้ดูแบบนี้แล้วก็ชักคิดว่าสองคนนี้เล่นได้เป็นธรรมชาติดี ขนาดผมก็เพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าตอนนั้นซีมันแค่จับเบาๆ คุณจะแต่งกับใคร จะหมั้นกับใครก็เรื่องของคุณ คุณเลือกได้ทุกอย่าง คุณมีทุกอย่าง แล้วคุณยังจะมาวุ่นวายกับคนอย่างฉันอยู่ทำไม

                ยอดมาก แป้งบีบเสียงได้เศร้าสมจริงจนผมยังอดขนลุกไม่ได้ แถมมีออพชั่นเสริมด้วยอารมณ์เศร้าๆวังเวง ทำเอาทั้งผมทั้งเจ๊เจ้าของร้านนั่งดูกันแบบลุ้นๆโดยไม่มีใครส่งเสียงรบกวนเลย

                ผมอาจจะเลือกได้ทุกอย่างจริง...แต่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่อาจเลือกได้เลยไอ้ซีพูดตามบท เสียงและหน้ามันยังนิ่งเหมือนเดิม แต่วินาทีนั้นผมกลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง

               

                สิ่งเดียวที่ผมทำใจเลือกไม่ได้...ก็คือการยอมปล่อยให้คุณไป 

     

                บทที่เหลือไม่ได้ฟังต่อเพราะมัวแต่อึ้ง...รู้อยู่หรอกว่าเป็นแค่บทในละคร...แต่ในวินาทีที่มันพูด สายตาของมันกลับจ้องมาที่ผม...

                จริงๆนะ ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ มันจ้องจริงๆ จ้องแบบจริงจังเลยด้วย

                หมายความว่ายังไง?                      

                ผมไม่ได้ฟังแล้วว่าแป้งกับซีต่อบทกันยังไง พี่กะเทยชมทั้งสองคนแบบไหน ในหัวผมมีแต่สีหน้าท่าทางแล้วก็แววตาของซีเมื่อครู่นี้อยู่จนเต็ม มันดูสมจริงมาก สมจริงเสียจน...ผมอยากจะร้องไห้ออกมา

                ไม่เข้าใจ มันพูดแบบนั้นทำไม ทำไมต้องพูดเหมือนให้ความหวังกันด้วย?

                ผมปาดน้ำตาทิ้งระหว่างที่รอแป้งกับไอ้ห่าซีเปลี่ยนชุดกลับ จัดการเคลียร์เงินค่าเช่ากับเจ๊กะเทยจนเรียบร้อย แล้วเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                พวกเราไปส่งแป้งขึ้นรถอีกทางเพราะแป้งต้องต่อรถไปอีกแยกหนึ่ง ซึ่งก่อนจะลากันแป้งก็ขยิบตาให้ผมนิดๆโดยที่ผมไม่รู้ความหมาย และพอเหลือแค่ผมกับซีเราก็เดินกันเงียบๆเหมือนต่างคนต่างเดิน ไม่มีใครพูดอะไร ชุดของซีที่เคยอยู่ในมือผมมันก็แย่งไปถือเรียบร้อยโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลย(อยู่ๆก็ดึงไป ผมก็ไม่ว่าอะไร ก็ดี สบายกู) ตลอดทางบนรถมันก็ยังเอาแต่เงียบ เงียบ แล้วก็เงียบ จนผมได้แต่นึกประสาทเสียอยู่คนเดียว

                ผมไม่เข้าใจ จะให้ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

                ซีมันคิดจะทำอะไรกันแน่?

                และนี่ก็เป็นอีกวัน...ที่จบลงโดยที่เราไม่มีคำพูดใดๆต่อกันเลย

     

     

     

                วันซ้อมใหญ่ก่อนเล่นละครจริงมาถึงแล้ว ฝ่ายอุปกรณ์อย่างพวกผมต้องวุ่นวายอยู่กับการเตรียมข้าวของให้พร้อมจนแทบไม่มีเวลาจะไปสนใจเรื่องอื่น นี่ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกที่จะอยู่ฝ่ายอุปกรณ์นะ งานยุ่งดี จะได้ไม่มีเวลาไปฟุ้งซ่าน

                เฮ้ย วาๆ ซอยกระดาษตรงนั้นเสร็จยัง เอาแบบลุ่ยๆเลยนะแมนฝ่ายศิลป์เหมือนผมเร่งยิกเพราะงานมันจะไม่ทันแล้ว ผมเออออรับแล้วลงมือกรีดคัดเตอร์ลงบนกระดาษสีต่ออย่างเมามันให้มันเป็นระบายห้อยลงมา นี่ล่ะงานช้างของวันนี้...ทำของประดับเวที...พวกนักแสดงบางคนที่ยังไม่มีบทก็เข้ามาช่วยด้วยเป็นบางเรื่อง ส่วนตัวเด่นๆก็ซ้อมกันไป เอาให้บทแม่นที่สุด ดีที่สุด

                วา ทำตรงนี้ต่อด้วยนะฟินเอางานอีกกองมาโยนให้ผมแล้วเดินไปจัดการที่ตัวเองทำอยู่ให้เสร็จ และในจังหวะที่ผมหันไปมองฟิน อีกมือที่ลงคัตเตอร์อยู่ก็พลาดเข้าอย่างจัง

                โอ๊ย!!”

                คัตเตอร์หลุดมือร่วงลงพื้น มันเป็นแบบใบมีดใหญ่ซะด้วยสิ ซวยชิบ เผลอหั่นไปโดนนิ้วเข้าจังๆเลย มิ้นกับต้อมที่อยู่ใกล้ๆรีบวิ่งมาดูเพราะคงได้ยินเสียงผมร้อง แล้วพวกมันก็ร้องเฮ้ยพร้อมกัน

                เลือดไหลโชกเลยอ่ะ ไปโรงบาลเหอะวา!!”ไอ้บ้าต้อมแหกปาก แล้วมิ้นก็ตบหัวมันทันที

                ประสาทแดก! คัตเตอร์บาดแค่นี้ไม่ต้องถ่อไปไกลถึงโน่นหรอก!”ด่าไอ้ต้อมจบมันก็หันมามองผมอย่างเป็นห่วง นายไปทำแผลห้องพยาบาลเหอะ มา เดี๋ยวเราพาไป

                ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...เดี๋ยวเราเอาอะไรซับมันก็หยุดเองแหละผมฝืนยิ้มทั้งที่ตอนนี้เจ็บจนชาไปหมดแล้ว ทิชชู่ที่เพชรส่งให้ซับเลือดแดงฉานไปทั้งแผ่นจนต้องขอแผ่นใหม่ ตามหลักการปฐมพยาบาลขั้นต้นมันต้องทำยังไงวะ...เอามือกดปากแผลสินะ...ใช่ๆ ต้องกดเอาไว้...โอ๊ยแม่งเจ็บชิบหาย ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วเรอะ!?   

                ผมขอทิชชู่จากเพชรเป็นรอบที่สี่ คนอื่นๆเริ่มมุงดูเหมือนเห็นของแปลก แล้วไอ้นัทก็แทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงอื้ออึงของพวกเพื่อน

                เฮ้ย...กูว่าไปทำแผลเหอะวา เลือดมึงไม่หยุดไหลอ่ะผมก้มมอง เออ จริง แผลที่เห็นเป็นรอยแยกของเนื้อที่ปริออกมายังมีเลือดไหลซึมอยู่เรื่อยๆ ผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปล้างมือที่ห้องน้ำใกล้ๆกับหอประชุมที่ใช้แสดงละคร เริ่มรู้สึกวิงๆแกมกังวลหน่อยๆที่เห็นเลือดตัวเองมากมายขนาดนี้ แวบแรกที่แผลโดนน้ำรู้สึกปวดแสบเสียจนน้ำตาแทบเล็ด กัดฟันทนล้างเลือดรอบๆปากแผลออกให้แผลสะอาดที่สุดเสร็จก็เอาทิชชู่แผ่นใหม่มากดรอบแผล และเลือดก็ซึมออกมาอย่างรวดเร็ว

                ท่าไม่ดีแล้วว่ะ...ผมนึกในใจ เคยเห็นเจ้ศาโดนคัตเตอร์บาดตอนทำโมเดล(เจ้ศาแกเป็นเด็กถาปัดน่ะ) เลือดงี้ไหลโชกไม่ยอมหยุดจนต้องไปเย็บเพราะโดนบาดลึก...แค่มีดคัตเตอร์เองนะครับ!! 

                แค่คิดว่าต้องไปเย็บแบบนั้นบ้างผมก็หลอนแล้ว แต่อันที่จริงแผลมันก็ไม่ได้เยอะอะไรเลยนะ...แค่นิ้วเดียวเอง...

                เอาวะ อยู่แบบนี้ก็ไม่ดี เดี๋ยวเลือดออกหมดตัวตาย คิดแล้วผมก็รีบมุ่งหน้าเปลี่ยนเส้นทางไปห้องพยาบาลทันทีโดยที่มือยังกดทิชชู่หยุดเลือดไปด้วย แต่พอเดินผ่านห้องพักครูผมก็ถูกเรียก

                ทิวา!”ผมหันไปมอง เป็นมิสอรอนงค์ครูประจำชั้นผมเองครับ มิสเดินเข้ามาหาผมแล้วยื่นเอกสารบางอย่างให้ ฝากเอกสารนี่ไปให้ศิระหน่อยนะ เห็นเธอสนิทกับศิระดี ศิระห้องสองน่ะ บอกให้เขาเซ็นแล้วก็เอามาส่งให้มิสพรุ่งนี้ด้วย

                ผมก้มมอง มิสอรอนงค์เป็นครูภาษาอังกฤษประจำม.ปลาย คิดอยู่เหมือนกันว่าเอกสารไอ้ซีไหงเอามาให้ผม ผมยื่นมือไปรับ แต่พอรับมาลมก็พัดเอากระดาษทิชชู่ที่เคยใช้กดแผลปลิวหายไป มิสเลยเพิ่งเห็นว่านิ้วผมเป็นแผล

                ตายแล้ว โดนอะไรมาเนี่ย รีบไปห้องพยาบาลเร็ว เลือดไหลเยอะมากเลยนะ โอย ไม่ต้องเอาไปให้แล้ว มาๆ เดี๋ยวมิสเก็บไว้เองมิสอรอนงค์รีบยื่นมือขอเอกสารคืน แต่ผมไวกว่า สายตาไล่อ่านทีละบรรทัดโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

                เอกสารรับรองการศึกษาต่อ โรงเรียน xxx   

     

                ผมถึงกับลมหายใจกระตุก ลืมเรื่องแผลของตัวเองทันทีทันใด มิสครับ นี่มัน...?

                อะไร ไม่รีบไปทำแผลอีก ก็อยู่ๆเพื่อนเธอจะไปเรียนต่อ เขาเลยมาขอให้โรงเรียนรับรองวิชาให้จะได้เข้ากลางเทอมได้มิสแกบ่นยืดยาวเหมือนเก็บกด ดีที่ว่าศิระผลการเรียนดี...เดี๋ยวมิสจะไปหาศิระเอง เธอก็รีบไปทำแผลเถอะนะ

                ผมยืนนิ่ง ชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า...เรียนต่อ? เข้ากลางเทอม?...ผมไม่เห็นเคยรู้เลยว่าซีมันจะไปเรียนต่ออะไรที่ไหน แถมฟังดูไม่น่าจะใช่ในประเทศแน่

                ที่ไหน? เมื่อไหร่? มันไม่เคยบอกอะไรผมเลยสักคำ นี่มันไม่เหมือนตอนที่มันบอกว่าจะไปฮ่องกง อันนั้นมันบอกผมล่วงหน้าตั้งนาน แต่นี่ปุบปับแค่เดือนเดียว...

                หลบหน้า?

                คำคำนี้ผุดขึ้นมาโดยไม่คาดคิด ไม่รู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่มาสะดุ้งอีกทีก็ตอนที่ได้ยินมิสอรอนงค์เรียกชื่อของคนที่ผมทั้งอยากเจอที่สุดและไม่อยากเจอที่สุดในเวลาเดียวกัน

                อ้าว มาพอดีเลยศิระ เอ้านี่ เอกสารมิสอรอนงค์ยื่นกระดาษปึกหนึ่งให้คนด้านหลังผมที่ทำเพียงยื่นมือผ่านแขนผมออกมารับ “เอาไปเช็คดูอีกรอบนะ แล้วเอากลับมาให้ที่โรงเรียน มิสจะได้ติดต่อเรื่องโอนเทียบรายวิชาให้ ถ้าเอกสารเสร็จทันเวลาเราอาจจะไปเรียนทันครึ่งหลังเทอมใบไม้ร่วง”

                ขอบคุณครับ

                อืม แล้วถ้าไม่รีบนะ พาเพื่อนเราไปห้องพยาบาลด้วยสิ เลือดไหลเยอะขนาดนั้นไม่รีบทำแผลมันจะไม่ดีเอามิสแกก็ยังพูดเรื่อยๆเหมือนไม่มีอะไรแต่ผมนี่สิสะดุ้ง อ้าปากทำท่าจะปฏิเสธแต่มือคู่ใหญ่ของคนด้านหลังก็บีบต้นแขนไม่ให้พูดเสียก่อน

                ครับเฮ้ยๆๆ ปากมันพูดโคตรสุภาพแต่มือนี่อะไรอ่ะ กูเจ็บนะโว้ย ไอ้ห่าซี แม่งน่าหงุดหงิด ไม่ยอมบอกอะไรกันสักคำแล้วยังมาทำตัวแบบนี้อีก มึงนี่มัน...

                มิสอรอนงค์พยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปในห้องพักครู ดูแลเพื่อนเราด้วยล่ะ มิสไปแล้ว ถ้ามีอะไรก็เข้ามาสอบถามได้นะ แล้วมิสจะนัดวันอีกที

                ครับ

                เอาเข้าไป ใจคอจะพูดแค่นี้สินะ ครับ ครับ ขอบคุณครับ แม่งงงงงงงงงงง

                พอพ้นสายตามิสผมก็ไม่รอช้าที่จะรีบสะบัดแขนออก ซีมันคงไม่ทันตั้งตัวผมเลยหลุดจากมือมันได้โดยง่าย แต่ก็แค่แวบเดียวก่อนที่มือของมันจะวกมาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง

                อยู่นิ่งๆวลีแรกในรอบสัปดาห์ของเราคือเสียงทุ้มต่ำดุดันกับสายตาดุๆของมันที่จ้องมา ผมจ้องตอบอย่างไม่ยอมแพ้ เอาซี่...มึงจะทำอะไรกูอีก...มึงคิดจะทิ้งกูไม่ใช่เหรอ แล้วจะมาทำเป็นมีเยื่อใยให้ได้อะไรขึ้นมา

                ปล่อย ห้องพยาบาลแค่นี้ไปเองได้แน่ล่ะ ห้องพยาบาลกับห้องพักครูของมิสอรอนงค์อยู่ชั้นเดียวกันแถมยังอยู่ถัดกันไม่กี่ห้อง เดินไปสุดระเบียงก็ถึงแล้ว

                ไอ้ซีไม่ตอบอะไร มันปล่อยแขนผมแล้วจับมืออีกข้างที่ไม่บาดเจ็บกึ่งลากกึ่งจูงให้เดินต่อ ผมอ้าปากค้าง อยากโวยก็โวยไม่ออกเพราะมัวแต่อึ้ง

                มันบ้า!! มันบ้าไปแล้ว!! สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์มันทำเหมือนโกรธผมจะเป็นจะตาย แต่ไหงมาตอนนี้มันถึงได้บ้าแบบนี้วะ!!    

                “ปล่อยโว้ย!!!”ผมแหกปากตะโกน สะบัดมือออกเต็มแรงจนหลุดจากการเกาะกุมได้ แวบหนึ่งสายตาของซีทั้งดุดันทั้งเย็นชา แต่ผมไม่สนอะไรอีกแล้ว ได้แต่ตะโกนใส่หน้ามันแบบเหลืออด มึงเกลียดกูไม่ใช่เหรอ เกลียดจนจะทิ้งกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทั้งๆที่พยายามจะตัดใจ...แล้วทำไมต้องมาทำแบบนี้ด้วย...

                น้ำตาทรยศไหลพรากๆอย่างห้ามไม่ได้ ผมไม่ได้ว่าเรื่องที่มันจะไปหรอก อีกอย่างก็เป็นเรื่องของมันด้วยที่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไร แต่สิ่งที่ผมโกรธที่สุดคือการที่มันไม่ยอมบอกอะไรเลยต่างหาก นึกจะไปก็ไปเอาดื้อๆ      

                เกลียดที่มันทำแบบนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด...สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือตัวเองที่บีบให้มันต้องไป

                ไม่มีใครบอกหรอกว่ามันเป็นเพราะผม แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วเพราะว่าเป็นเพราะอะไร ครอบครัวมันคงจะบีบด้วยวิธีนี้ ฟังดูเป็นเรื่องบ้าบอ และซีเองก็หัวแข็งพอควร แต่คงไม่มากพอที่จะต่อต้านคนทั้งตระกูล ผมไม่ทันได้มองชื่อว่ามันจะไปที่ไหน อาจเป็นฮ่องกงหรืออะไรก็ได้ในโลก แต่ที่แน่ๆ ที่นั่นจะไม่มีผม

                ผมมองหน้าซีแทบไม่เห็นแล้ว ม่านน้ำตาทำให้ตาของผมพร่าเลือนไปหมด จำได้แค่ว่าตัวเองยืนร้องไห้ปาดน้ำตารอบแล้วรอบเล่าเหมือนเด็กๆ โชคดีที่ว่าตอนนั้นมันเย็นแล้วเลยไม่ค่อยมีคน ไอ้ซีเองก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวจนผมเริ่มใจเสีย

                มันเกลียดกันแล้วใช่ไหม...มันเกลียดกันขนาดนี้เลยสินะ...เกลียดจนยอมบอกให้รู้จากปากก็ไม่ได้

                ทำไม...ระหว่างเราถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย?

                มึงอาจจะเกลียดกู...แต่กูจะหน้าด้านขออะไรมึงอีกสักอย่าง...ผมปาดน้ำตาทิ้งเป็นรอบสุดท้าย เงยหน้าสบตามันแบบตรงไปตรงมา

                แววตาของซียังคงเป็นแววตาที่อ่านไม่ออก แววตาที่มืดดำเฉยชา แววตาที่ดูลึกล้ำสุดจะหยั่ง...

                ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ก่อนจะเอ่ยขอร้องเสียงสั่นพร่า

     

                ปล่อยกูไป...อย่าให้กูเป็นคนที่ทำร้ายมึง...อย่าทำร้ายกัน...มากไปกว่านี้อีกเลย

     

     

     +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    สโนว์ไม่ถนัดดราม่านะคะ ปล่อยความอึมครึมออกมาได้แค่นิดหน่อยก็อยากให้มันดีกันแล้ว ไม่ดีๆ เศร้าได้ไม่เท่าไหร่(???) หรือว่าเพราะหนูวาแกไม่เหมาะกับบทดราม่าก็ไม่รู้เนาะ? 5555+ แอบคิดว่าถ้าตาเนมและหนูวีคุยกันตรงๆเหมือนคู่นี้มันก็คงไม่เกิดบรรยากาศอึมครึมยาวนานอย่างในเรื่องหรอก (แม้หลังๆมันจะดีกันแล้วก็ตาม)
    ใครว่ามันเบา เบาะๆ หรืออะไรยังไงก็ได้นะคะ โนว์พยายามเตือนตัวเองว่านี่มันอยู่หมวด "สบายๆคลายเครียด" เลยไม่อยากทำให้มันเครียดมากไป ฮา..
    จะพยายามมาต่ออย่างรวดเร็วค่ะ กลั้นใจ ฮึบๆๆ ใกล้แล้ว 
    ปล.ดูจำนวนตอนกับปีที่ลงแล้วตกใจตัวเอง เป็น 79 ตอนที่ใช้เวลายาวนานมาก 5555


    ขอบคุณรีดเดอร์ที่ติดตามกันค่ะ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×