ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic 2PM TJ & KD & CH] Hyung, Can we be more than friend?

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 หรือว่านี่คือ... พรหมลิขิต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 518
      3
      10 ต.ค. 53

    Chapter 3 หรือว่านี่คือ... พรหมลิขิต

                    สวัสดีครับ... ผมนิชคุณ เจ้าชายสุดหล่อล้ำเลิศส่งตรงมาจากประเทศไทย ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อตอนบ่ายๆผมเพิ่งโดนรถเฉี่ยวไปสดๆร้อนๆ แต่คุณครับ... อาการผมหนักถึงขนาดเข้าห้องไอซียูเลยเชียวแหล่ะ (พูดเล่นน่ะครับ) ถ้าเกิดผมอยู่ห้องไอซียูล่ะก็ผมจะมีอารมณ์สุนทรีย์มาคุยเล่นกับคุณผู้อ่านอย่างงี้ได้ยังไงกันล่ะครับ ว่าแต่... เจ้าคนร้ายคดีทำร้ายร่างกายผมอยู่ไหนกันล่ะเนี่ย? ไม่ได้... อย่างงี้ต้องเรียก

                    “อูยอง~~~ อยู่ไหนเนี่ย?” ผมเรียกด้วยน้ำเสียงร่าเริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเรียกเขา (จะว่าไปนี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ) ทำให้คนที่ผมเรียกเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางเซ็งๆ แต่ก็ยังคงฉีกยิ้มต่อไปเพื่อให้ผมอารมณ์ดี (เข้าข้างตัวเองแบบสุดๆ) นั่นไง... เดินเข้ามาหาผมแล้ว เชื่องดีจังเลยนะอย่างนี้ต้องให้รางวัล

                    “มีอะไรครับพี่?” อูยองถาม ดูกี่ทีๆ เจ้าแก้มอูมๆนี่ก็น่ารักแฮะ

                    “เปล่า... แค่เรียกเฉยๆอ่า” ผมแกล้งตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ รู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาเฉยๆซะอย่างนั้น

                    “พี่เหงารึไง?”

                    “เหงาอาไร๊??? ไม่มี๊... ไม่มี...”

                    “เหงาก็บอกมาเหอะ...” จะคะยั้นคะยอทำไมเนี่ย?

                    “............” ไม่ตอบหรอก... เขิน...

                    “งั้นเดี๋ยวผมนั่งอยู่ตรงนี้แล้วกัน” เจ้าแก้มอูมนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆเตียง

                    “บอกแล้วไงว่าไม่เหงา ไม่ต้องนั่งเป็นเพื่อนหรอกน่า”

                    “ผมบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะนั่งเป็นเพื่อน ผมนั่งเพราะผมเมื่อยต่างหากเล่า”

                    ซะงั้น... หน้าแตกโพล๊ะเลยตรู....

                    “ล้อเล่นน่า... ผมรู้นะว่าพี่เหงา ผมเลยมานั่งเป็นเพื่อนนี่ไง” อูยองหันกลับมายิ้มร่า ให้ตาย... ทำไมรอยยิ้มนายมันสดใสอย่างนี้นะ... มันทำให้พี่รู้สึก.....

                    .....ง่วงว่ะ......

                    “พี่คุณง่วงแล้วเหรอครับ?” เจ้าแก้มอูมถาม ผมหาวใส่เป็นคำตอบ เมื่อเห็นดังนั้นอูยองจึงจัดแจงที่นอนแล้วเอนตัวผมลงเพื่อให้นอนได้อย่างสบายๆ เขายิ้มให้ผมอีกแล้ว... อา... เจ้าแก้มอูมนายนี่น่ารักสุดยอด

                    “นี่... อูยอง”

                    “ครับพี่?”

                    “นายไปส่งพี่ที่หอพักได้มั้ย? พี่จะแนะนำให้เพื่อนรู้จัก”

                    “จะดีเหรอครับ... ผมเพิ่งเจอกับพี่เมื่อตอนเที่ยงเองนะ แถมผมยังขับรถเฉี่ยวพี่ด้วย”

                    “คิดมากทำไมเล่า... มันผ่านมากี่ชั่วโมงแล้ว? ตั้ง 2 ชั่วโมงแล้วนา ถ้านับเป็นวินาทีล่ะก็ตั้ง 7200 วินาทีเลยเชียวนะ ยังมากไม่พออีกเหรอ?” มันอาจจะดูเหมือนเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย... แต่มันก็เป็นเรื่องจริงนี่นา “แล้วไอ้เรื่องขับรถเฉี่ยวน่ะช่างมันเหอะ แค่แผลถลอกเอง”

                    “มันไม่ใช่ แค่นะพี่... จริงๆแล้วผมไม่ควรที่จะมาเสนอหน้าให้พี่เห็นอีกเลยด้วยซ้ำ” อูยองพูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ... นี่พี่ไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นเลยนะ “ผมทำได้แค่จ่ายเงินค่ารักษาให้พี่เท่านั้นล่ะครับ แล้วผมก็คงต้อง........”

                    “แล้วเมื่อไหร่พี่จะได้เจอกับนายอีกล่ะ?”

                    อูยองชะงักกึก.....

                    “พี่อยากเจอผมเหรอครับ?”

                    “แต่ถ้าเกิดนายไม่อยากเจอพี่ล่ะก็ได้นะ... พี่จะไปให้ไกลจากนายทันทีเลย” ถึงจะเป็นการฝืนพูด... แต่ผมก็ทำจริงนะ ถ้าเกิดเขาเจอผมแล้วรู้สึกแย่จริงๆ ผมก็ไม่อยากทำให้เขาต้องลำบากใจ

                    “ผมไม่ได้ไม่อยากเจอพี่นะ” น้ำใสๆไหลลงมาจากดวงตาของเจ้าแก้มอูมที่ยืนอยู่ข้างๆเตียงของผม เฮ้ย... อูยอง... นายร้องไห้ทำไม... “ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่แย่มากๆเท่านั้นเอง ที่ขับรถไม่ดูทางจนเผลอไปเฉี่ยวพี่เข้าน่ะ”

                    “แต่พี่ก็ไม่ได้ตายซะหน่อยนึง ถ้าตายล่ะว่าไปอย่าง” ผมเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเด็กน้อย “อย่าร้องไห้เลยนะ นายน่ะเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า”

                    “งั้นผมจะยิ้มให้พี่เห็นบ่อยๆเลยนะ” พูดจบแล้วเจ้าแก้มอูมก็ฉีกยิ้มกว้าง ส่วนผมก็ยิ้มตาม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน... แค่เห็นแล้วมันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

                    “คุณนิชคุณครับ... คุณกลับบ้านได้แล้วครับ” คุณหมอในชุดสีขาวสะอาดตาเปิดประตูเข้ามาในห้องเพื่อบอกข่าวดี แต่สำหรับผมมันเป็นข่าวร้าย... ก็ผมอยากอยู่กับอูยองสองต่อสองต่อนี่นา

                    “ครับ... งั้นผมลาล่ะนะครับ...พี่คุณ... บอกลาคุณหมอดิ” อูยองพะยักพะเยิดให้ผมบอกลา รู้น่าๆ

                    “งั้นผมลาล่ะนะครับหมอ...” ผมค้อมหลังให้คุณหมอ

                    “สวัสดีครับ”

                    “พี่คุณ... กลับได้แล้ว” อูยองเดินนำผมไปยังที่จอดรถ ระหว่างทางที่จะไปก็ต้องลงลิฟท์ ห้องที่ผมพักน่ะอยู่ตั้งชั้นที่ 19 สูงลิบลิ่ว... มองลงมาจากหน้าต่างเห็นคนเหลือตัวเท่ามด จะว่าไปก็เสียวดิ่งพสุธาเหมือนกันนะครับถ้าเกิดแผ่นดินไหว หรือมีผู้ก่อการร้ายมาถล่มตึกเล่น (แต่ไอ้สองเหตุการณ์นี่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้) ลงจากลิฟท์ไม่นานก็ถึงชั้นที่จอดรถ เดินไปเล็กน้อยจนถึงสุดขอบของตึก (ก็ไม่เล็กเท่าไหร่นัก) ที่จอดรถมีตั้งมากมายทำไมมาจอดตรงนี้ก็ไม่รู้ เดินไปก็เมื่อยขาเปล่าๆ สิ้นเปลืองพลังงานจริงๆ นี่ผมไม่ได้ว่าอูยองนะครับ... แค่ว่าว่าที่จอดรถมันกว้างเฉยๆ

                    “พี่คุณจะหลับก็ได้นะครับ”

                    “โอเค... งั้นพี่จะหลับเดี๋ยวนี้” ตอนแรกก็แค่แกล้งกวนเจ้าแก้มอูมเล่นๆ แต่พอนั่งลงที่เบาะแล้วเท่านั้นเอง......

                    .... น็อก..... หลับสนิท.......

                    ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามาถึงหอพักตั้งแต่เมื่อไหร่..........

                    “พี่ครับ... พี่คุณ... ถึงหอพักพี่แล้วครับ...” เสียงของเจ้าแก้มอูมดังเข้ามาในโสตประสาท ตาของผมกระพริบถี่ๆเพื่อปรับสายตา พอลืมตาขึ้นได้เต็มที่ก็พบกับ...........

                    อะไรล่ะ? ก็เจ้าแก้มอูมนั่นไง....

                    ส่วนที่อยู่ข้างหลัง.... ก็หอพักของผมเองแหล่ะ.....

                    “หลับไปง่ายอย่างงี้ได้ยังไงกันเนี่ย... ดีนะเนี่ยที่พี่ให้แผนที่ทางไปหอพักกับผมไว้ก่อนที่โรงพยาบาล ไม่งั้นอีกกี่ชั่วโมงก็ไปไม่ถึงจนกว่าพี่จะตื่น”

                    “พี่น่ะรอบคอบอยู่แล้ว... รู้ว่าตัวเองจะต้องหลับแน่เมื่อเข้ามาในรถ เลยให้แผนที่ไปก่อน” แล้วเราให้แผนที่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า??

                    “ไปกันเถอะ... เออใช่... ขอโทรหาเพื่อนก่อนนะ” นึกได้ว่าไอ้แทคมันกำชับไว้ว่าให้โทรไปบอก ลืมไปซะสนิท

                    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ แล้วโทรออก

                    “ฮัลโหล... ว่าไงเพื่อน”

                    “ฉันอยู่หน้าหอแล้วนะเฟ้ย ลงมารับซะดีๆ” รับสายปุ๊ปก็ออกคำสั่งปั๊ป

                    “นี่แกอุตส่าห์เดินทางกลับมาเองจากโรงพยาบาล แต่ดันให้ฉันไปรับตอนที่มาถึงหอพักแล้วเนี่ยนะ?”

                    “อย่าเพิ่งโวยน่าเพื่อน ชะโงกหน้าออกมาจากระเบียงก่อนแล้วค่อยคุย”

                    “อะไรของแก....” เราหยุดบทสนทนาไว้สักพัก ผมมองขึ้นไปที่ระเบียงชั้น 10 ห้องพักของผมกับไอ้แทคเอง แล้วก็เห็นใครคนหนึ่งยื่นหน้าแมวๆของมันของมันออกมาจากทางระเบียง ที่อยู่ข้างๆก็คือสาว... เอ๊ย... ผู้ชายหน้าหมวย ที่รักผมเองแหล่ะ ผมโบกมือให้เป็นการเรียก แต่ถึงจะไม่เรียกไอ้แทคก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่าผมอยู่ตรงนี้ เพราะผมมักจะมีรัศมีเปล่งปลั่งออกมาจากร่างกาย โดยเฉพาะจากใบหน้าอันแสนหล่อวิ้งของผม

                    “ข้างๆนายใครน่ะคุณ?” แทคตะโกนถาม พลางทำมือประกอบโดยการชี้ไปที่เจ้าแก้มอูมข้างๆผม

                    “เด็กในคอนโทรลของฉันเองว้อย” ผมตะโกนตอบกลับไปอย่างไม่อายใคร จะอายไปทำไมล่ะอูยองออกจะน่ารัก

                    “ไม่ใช่ครับ... ผมจาง อูยองครับ คุณใช่คุณแทคยอนรึเปล่า??” ขัดพี่ทำไมล่ะอูยอง... รู้งี้เตี๊ยมกันไว้ก่อนดีกว่าว่าให้ตามน้ำไป

                    แทคยอนพอได้ยินดังนั้นจึงหันกลับไปพูดอะไรสักอย่างกับพี่เจย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เหมือนกับกำลังอธิบายเรื่องที่พวกเรากำลังแหกปากคุยกันอยู่ พี่เจย์ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ นี่ไปเออออห่อหมกกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?

                    “ขึ้นมาสิไอ้คุณ... ยืนเซ่ออยู่ข้างล่างทำไม?” ว่ากูเซ่อเรอะ... มึงอ่ะเซ่อกว่ากูอีก

                    “อูยอง... เราขึ้นไปกันเถอะ... พี่จะต้องขึ้นไปซัดไอ้หน้าแมวนั่น” ผมคว้าข้อมือของเจ้าแก้มอูมโดยที่ไม่ได้ขออนุญาติจากเจ้าตัว แล้วรีบบึ่งขึ้นหอพักสุดชีวิต ตอนนั้นผมไม่ทันสนใจเลยว่าคนที่ผมฉุดกระชากลากถูมาจะเป็นอย่างไร

                    ไม่นานก็วิ่งขึ้นมาถึงห้องพักชั้น 10 หอพักที่นี่ไม่มีลิฟท์จึงต้องใช้กำลังขาวิ่งมาเพียวๆ ที่ผมแข็งแรงขนาดนี้ได้เกิดจากที่ผมฝึกกล้ามเนื้อขาทุกวัน ส่วนไอ้แทคน่ะมันกล้ามขึ้นไปนานแล้ว ผมรู้สึกอิจฉามันขึ้นมาจับใจ... เลยตั้งหน้าตั้งตาวิ่งสู้ฟัดขึ้นลงบันไดอย่างนี้ทุกวันเพื่อไม่ให้น้อยหน้า

                    ผมหันหน้าไปมองอูยองที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูเหมือนตอนที่ผมจับแขนเขาแล้วพาวิ่งมานี่จะตั้งตัวไม่ทัน เลยหอบแฮ่ก ด้วยความเหนื่อย แถมระยะทางที่วิ่งมานี่ใช่น้อยๆซะที่ไหนล่ะ ตั้ง 10 ชั้นเชียวนะ คิดแล้วก็รู้สึกผิดนิดๆแฮะ...

                    “พี่ขอโทษทีนะ... ที่พาวิ่งมาเนี่ย”

                    “พี่วิ่งได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”

                    “หา???” ก็วิ่งอยู่เนี่ย... ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว...

                    “พี่ไม่เจ็บแผลแล้วเหรอ?”

                    เออ... ก็ใช่... ผมก้มลงมองแผลที่ขา ก็ไม่ใช่น้อยๆด้วย พอนึกได้ขึ้นมาอย่างนี้... มันก็รู้สึก....

                    “โอ๊ยยยยย!!” ผมว้ากลั่นออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำไมนะทำไม... ทั้งๆที่วิ่งมาตลอดทางไม่เห็นเจ็บ แต่ดันมาตกม้าตายตรงหน้าห้องเนี่ยนะ โอ๊ย... ไม่ไหวๆ ก้าวขาไม่ออกเลย มันปวดไปหมดทั้งขาแล้วเนี่ย

                    “ไอ้คุณ... แกเป็นไร??” บานประตูข้างหน้าผมเปิดออกอย่างรวดเร็ว และก็เห็นหน้าของเพื่อนรักที่วิ่งมาด้วยความตกใจ ผมจ้องมันกลับเป็นคำตอบ ส่วนพี่เจย์ก็ยืนอยู่ข้างๆมันโดยเว้นระยะห่างไว้พอประมาณ

                    “เจ็บขาเหรอเพื่อน? มาสิ... เดี๋ยวฉันจะพยุงนายเอง” แทคคว้ามือของผมแล้วพาดท่อนแขนของผมบนไหล่ของมัน ส่วนมืออีกข้างของมันก็โอบเอวผมไว้ ตัวสูงเป็นบ้าเลย... แขนผมคงจะเคล็ดแทนซะล่ะมั้งนี่... ในที่สุดเราทุกคนก็เคลื่อนขบวนเข้าไปในห้องได้สำเร็จ... อย่างทุลักทุเล

                    “พี่คุณเป็นอะไรมากมั้ยครับ?” อูยองถามด้วยใบหน้าเป็นห่วง มีใครเคยบอกนายมั้ยว่านายนี่มันน่ารักสุดยอด

                    “ไม่เป็นไร... แค่นี้จิ๊บๆ”

                    “จิ๊บบ้าจิ๊บบออะไรล่ะ... ร้องโอดโอดอยู่หน้าห้องน่ะ” ได้ทีแขวะเลยนะไอ้แทค จะให้ฉันโชว์แมนมั่งไม่ได้เลยรึไง

                    “Nichkhun (นิชคุณ)” เสียงเรียบๆดังขึ้นจากคนที่อาวุโสที่สุดในห้อง พี่เจย์ที่นิ่งเงียบมาตลอดงานมีสีหน้าจริงจังผิดปกติ “Tell me everything”

                    “About what?? (อะไรครับ??)”

                    “Why you went to the hospital?!! (เรื่องที่ว่าทำไมนายถึงต้องไปโรงพยาบาลไง?!!)” คราวนี้พี่เจย์ตวาดลั่น เป็นท่าทางที่ไม่ค่อยจะได้พบเห็นบ่อยนักทำให้ทำให้ผมถึงกับผงะไปในทันที ถึงพี่เจย์จะดูเหมือนคนที่อารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา แต่เวลาที่โกรธจริงๆแล้วนั้นน้อยมาก ยิ่งเรื่องที่ทำให้โกรธจนถึงตวาดได้นี่ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่

                    “นี่นายไม่ได้อธิบายให้พี่เจย์ฟังเหรอ” ผมหันไปถามแทคที่นั่งอยู่ข้างๆพี่เจย์ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน... ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างกับแมวเครียด อันที่จริงแทคน่ะเป็นคนที่จริงจังมากถึงแม้จะชอบทำเป็นเล่นอยู่ตลอดเวลา

                    “ฉันอธิบายให้เขาฟังเรียบร้อยแล้วล่ะ... แต่ฉันว่าเขาคงอยากฟังจากปากนายเองมากกว่า” แทคพูดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางบุ้ยปากไปทางพี่เจย์ “เขาเป็นห่วงนายมากเลยรู้มั้ย?”

                    พูดอย่างนี้ผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาในทันที... ผมคนเดียวทำให้คนเขาเดือดร้อนกันไปทั่วเลย... นึกว่าจะมีแค่อูยองคนเดียวที่ต้องลำบาก ไม่นึกเลยว่าทางนี้ก็เป็นห่วงผมเหมือนกัน... ผมนี่มันแย่จริงๆ

                    “I’m sorry, Jay hyung (พี่เจย์... ผมขอโทษ)” ผมกล่าวขอโทษด้วยท่าทางสำนึกผิด

                    “You don’t have to be sorry to it (นายไม่ต้องมาขอโทษฉัน)” พี่เจย์ตอบด้วยท่าทางหงุดหงิด “Just tell me (บอกมา)”

                    ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ชายของผมฟัง รวมถึงเรื่องบางส่วนที่มีแต่ผมรู้คนเดียวด้วย (ขนาดอูยองก็ยังไม่รู้) อูยองก็ทำหน้าเออออตามไป ผงกศรีษะบ่อยครั้งแสดงถึงความเข้าอกเข้าใจในตัวผม สมควรแล้วที่เป็นคนที่ดูแลผมมาตลอดในช่วงบ่าย ส่วนพี่เจย์ก็นั่งฟังอย่างเครียดๆ ถามบ้างเล็กน้อย... บ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อยตามประสาคนแก่... ทั้งๆที่เป็นเรื่องเครียดแท้ๆแต่ไอ้แทคกลับหัวเราะลั่นอย่างกับเป็นเรื่องตลก และหัวเราะต่อไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ... นี่ล่ะมั้งความสามารถพิเศษของมัน สามารถทำให้เรื่องทุกอย่างในโลกแม้กระทั่งเรื่องโศกนาฏกรรมของเชกเสปียร์ กลายเป็นเรื่องตลกเศร้าได้... ซึ่งก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี... ทำให้หายเครียดได้นิดหน่อย...

                    “It’s not Wooyoung’s wrong (มันไม่ใช่ความผิดของอูยองนะครับ)” ผมกล่าวอย่างสำนึกผิด พลางมองไปยังอูยองที่นั่งทำหน้าเอ๋ออยู่ข้างๆ ผมยิ้มให้เขาเล็กน้อย ส่วนอูยองที่ดูเหมือนจะงงๆก็ยิ้มตอบ

                    พี่ขอโทษ... พี่ขอโทษที่ทำให้นายต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้นะอูยอง... ทั้งๆที่นายไม่ผิดเลย...

                    “Yeah, it’s your fault (ใช่ เพราะมันเป็นความผิดนาย)” พี่เจย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “You should be more carefully. And it won’t happen again next time (นายน่าจะหัดระวังตัวเองให้มากกว่านี้ แล้วมันจะไม่เกิดขึ้นอีก).”

                    ตอนนี้ผมเหมือนกับเด็กเล็กๆที่ทำผิด... แล้วก็กำลังโดนผู้ใหญ่สั่งสอนอยู่...

                    “You promise it never happen again? (นายสัญญามั้ยว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก)”

                    “…….” ผมเงียบไป... ก้มหน้าสำนึกผิด... ไม่กล้าที่จะสัญญาอะไรหรอก เพราะเรื่องแบบนี้มันอาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้ใครจะไปรู้

                    “Do you promise? (นายจะสัญญามั้ย?)” พี่เจย์ถามย้ำด้วยเสียงที่หนักกว่าเดิม ผมจึงต้องจำใจเงยหน้าขึ้นมามอง ถึงแม้ใบหน้าของพี่เขาจะดูออกว่าอารมณ์เสียอย่างชัดเจน แต่ในแววตาของพี่เขานั้นแสดงถึงความเป็นห่วง...

                    “ตอบพี่เขาไปสิ... คุณ” แทคพะยักพะเยิดให้ผมตอบออกไป

                    “I don’t know… Maybe I….. (ผมไม่รู้ครับ... บางที...)”

                    “Just answer me Yes or No (บอกฉันมาว่า "ใช่" หรือ "ไม่" )”

                    ผมหันไปมองแทค... แทคยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าอย่ามาถาม... หันไปมองอูยอง...

                    “ตอบเขาไปเถอะครับ พี่ก็น่าจะรู้นะว่าเขาเป็นห่วงพี่น่ะ” อูยองบอกกับผมอย่างนี้ ผมจึงหันไปตอบพี่เจย์

                    “OK, I promise (ครับ ผมสัญญา)”

                    พี่เจย์ไม่ได้พูดอะไรต่อไป... เขาเพียงแค่ยื่นมือมาลูบศรีษะผมเบาๆเท่านั้น... ทำเหมือนกับทุกทีที่อยู่อเมริกา...

                    ถึงผมจะทำผิดร้ายแรงแค่ไหน... พี่เจย์ก็จะทำเพียงแค่ต่อว่าเล็กน้อย... บางทีไม่ถึงกับต่อว่าด้วยซ้ำ... เพียงแค่สั่งสอนว่าอย่าทำแบบนี้อีก... แล้วก็จะเข้ามาลูบหัวผมอย่างนี้เสมอ....

                    “I’m Park Jaebeom. Nice to meet you Wooyoung (ฉันชื่อปาร์ค แจบอม ยินดีที่ได้รู้จักนะอูยอง)” พี่เจย์ถอนมืออกจากศรีษะของผมแล้วหันไปทักทายอูยอง มือข้างขวาถูกยื่นออกไปตามมารยาทคนอเมริกัน

                    “Nice to meet you too (ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ)” อูยองยิ้มกว้าง แล้วยื่นมือไปจับมือทักทายตอบ

                    ผมแทคยอนครับ... คนที่คุยด้วยทางโทรศัพท์ แทคแนะนำตัวบ้าง

                    ยินดีที่ได้รู้จักครับ

                    ผมหันไปมองแทคยอน... สลับกับมองพี่เจย์... แล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัว... ระหว่างสองคนนี้มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่านะ??

                    “Jay hyung, What about you? How about you and Taecyoen (แล้วพี่ล่ะ? ระหว่างพี่กับแทคยอนน่ะเป็นไงบ้าง?)” ผมถามขึ้น พี่เจย์หันมาทำตาถลนใส่ผม... สงสัยจะไม่ใช่ความทรงจำที่น่าประทับใจสักเท่าไหร่...

                    “Don’t ask me about it (อย่าถามฉันเรื่องนั้น)”

                    “OK, and what do you think about my friend? (โอเค แล้วพี่คิดยังไงกับเพื่อนของผมล่ะ?)” ผมเปลี่ยนคำถาม พร้อมกับยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย

                    “I hate him (ฉันเกลียดมัน)” สั้นๆง่ายๆ แต่ได้ใจความ ผมเปลี่ยนไปมองแทคบ้าง... แทคไม่ได้เถียงคำพูดนั้น... แต่กลับทำหน้านิ่วแทนเหมือนกับหงุดหงิดอะไรบางอย่าง...

                    เอ... หรือว่า... หืม... มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...

                    “He’s annoying, very annoying (มันทำตัวน่ารำคาญ... น่ารำคาญมากๆ)” ย้ำเข้าไป... ตอกย้ำความเจ็บปวดเข้าไป... นี่พี่ไม่รู้เลยเหรอว่าคนที่ถูกด่าเขารู้สึกยังไงน่ะ

                    แทคทำเป็นเหมือนไม่สนใจ... ทั้งๆที่ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ... หึๆ... ผมรู้นะว่าเขาคิดอะไร...

                    แล้วนายล่ะแทค? ผมหันไปถามแทคบ้าง

                    หมวย... ดูยังไงก็หมวยชัดๆ... ฮ่าๆ... ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไรที่พูดออกมาแบบนี้ “Like a… little girl (เหมือนกับ... เด็กผู้หญิง)”

                    พูดอย่างนี้จะไม่ให้ปรี๊ดแตกได้ยังไง... นี่เป็นคำต้องห้ามของพี่เจย์... หมอนใบแรกจึงถูกเขวี้ยงเข้าที่ศรีษะของแทค เมื่อโดนหมอนกระแทกไปแทคก็หันกลับมามองต้นเหตุ พี่เจย์ส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปให้ แทคก็ตอบกลับด้วยการแลบลิ้นใส่ล้อเลียน แต่นี่แค่การเริ่มต้นเท่านั้น... หมอนอีกใบถูกเขวี้ยงมาติดๆ ตามด้วยอีกใบ... แต่แทคก็ยังหัวเราะร่าอย่างไม่รู้สึกรู้สา... แกคิดผิดแล้วล่ะแทค... จากตอนแรกที่เป็นหมอน... หลังๆนี้กลายเป็นข้าวของที่วางทิ้งอยู่ตรงนั้น หนังสือ รีโมท ไม่เว้นแม้กระทั่งตุ๊กตาแมวตัวโปรดของแทค... เสียงหัวเราะที่เคยดังลั่นเงียบลงไปถนัดตา... แทนที่ด้วยเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด โดนหนักอย่างนี้แล้วจะไม่ให้เหมียวแทคตอบโต้ได้ยังไง... แทคคว้าของที่ถูกเขวี้ยงใส่มาเขวี้ยงกลับ... กลายเป็นศึกปาของไปซะแล้วในตอนนี้

                    “You die!! Taecyoen!!! (แกตายแน่!! แทคยอน!!!)” นี่เสียงพี่เจย์เองแหล่ะ... สงสัยสองคนนี้คงจะมีความแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อนเป็นแน่

                    “โอ๊ย!! พี่เจย์! หยุด! ผมเจ็บ! จ๊าก!!

                    ไว้อาลัยให้แทคยอนสัก 5 วินาที.....

    ________________________________________________________________________________

    Talk with Writer :

    ไรเตอร์ขอไม่พูดอะไรมากเช่นเคย อยากจะบอกแค่ว่า... ติดตามด้วยนะคะ ^^
    แล้วก็ขอคอมเม้นด้วยน้า~~~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×