ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic 2PM] ตะวัน ฤ จันทรา The Battle Of Werewolf And Vampire

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 Vampire

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ย. 53


    Chapter 2 Vampire
     
                    “ที่รักจ๋า~ คุณนี่ไม่อยู่เป็นยังไงมั่งจ๊ะเบบี๋~” มันมาแล้ว... ไอ้ตัวน่ารำคาญอันดับหนึ่ง หึๆ ฉันรอแกอยู่แล้ว ผมเหลือบตามองระยะห่างของมันกับผมแว่บหนึ่ง พอถึงระยะที่กะไว้แล้วก็...
                    “ย้ากกกกส์!!! ตายไปซ้า!!!!!”
    ผมหมุนตัวกลับแล้วใช้กำปั้นเสยคางมันจนหงายหลังตายคาที่ ไม่เหลือเค้าความหล่อเลยแม้แต่นิดเดียว
                    “พี่เจย์ใจร้ายโคดอ่ะ... ทำยังงี้กับเด็กบ๊องแบ๊วแสนอ่อนแออย่างผมได้ยังไง” ดู๊ ดูมันทำท่าทางเหมือนเด็กปัญญาอ่อน พอเหอะว่ะ... เลิกตอแหลได้แล้วโว้ย เห็นแล้วมันหงุดงิ๊ดหงุดหงิด
                    “อย่างแกเนี่ยนะเด็กบ๊องแบ๊วแสนอ่อนแอ ฉันรู้ว่าแกน่ะแข็งแรงจะตายไป อย่ามาอ้อนซะให้ยาก เหอะ”
                    “บู... พี่เจย์แกล้งเด็ก” ไอ้คุณทำปากยื่นอย่างงอนๆ เห็นแล้วอยากเข้าไปตบปากเล่นจริงๆ
                    “แกไม่ใช่เด็กแล้วเฟ้ย”
                    “ยังไงผมก็เด็กกว่าพี่อ่ะ... แต่พี่เตี้ยกว่าผม ฮ่าๆๆๆ” จี๊ดสิครับ... โดนมันตอกกลับหน้าหงายเลย ฮึ่ม... คอยดูเหอะฉันจะสูงกว่าแกให้ได้เลยเฟ้ยไอ้เสาไฟฟ้าเคลื่อนที่
                    “แล้วเมื่อคืนพี่เป็นไงบ้างอ่ะ?”
                    “เมื่อคืนโต้รุ่งโว้ย รู้สึกดีเป็นบ้าเลยว่ะ” ผมส่งเสียงประชดประชันอย่างไม่ปกปิด แต่อย่างน้อยการโต้รุ่งมันก็ดีกว่าต้องฝันร้ายแล้วกัน
                    “หวาว... ยินดีด้วยครับพี่...” ไอ้คุณมันฉีกยิ้มยินดี นี่มันแกล้งโง่หรือไม่รู้จริงๆวะเนี่ย???
                    “นี่แหน่ะ” ผมเบิ้ดกะโหลกมันไปหนึ่งทีเพื่อให้หายโง่ มันมองหน้าผมอย่างงงๆ คลำหัวป้อยๆอย่างน่าสงสาร ผมขำเล็กน้อยกับท่าทางเอ๋อเหมือนเด็กของมัน สงสารมัน... จึงเอื้อมมือไปลูบหัวมันอย่างเอ็นดู มันทำแก้มตุ่ยอย่างงอนๆ “ฮ่าๆ โทษที นายนี่มันน่ารักจริงๆเลย ไอ้น้องรัก”
                    “จริงอ่ะ?” ไอ้คุณมันทำตาแบ๊วอย่างมีความหวัง ผมหัวเราะน้อยๆแล้วเปลี่ยนจากลูบหัวมันเป็นขยี้หัวแทน
                    “เปล่า... ฉันพูดไปงั้นแหล่ะ”
                    “อ้าว... พี่เจย์ใจร้ายอ่ะ แกล้งคุณนี่ได้ไง”
                    “ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ”
                    “อ้าว... พี่เจย์นี่” เสียงเรียกของมือที่สามดังแทรกขึ้น ทั้งผมและนิชคุณหันไปมองอย่างสงสัย... ว่าใครมันเป็นคนเรียก หันกลับไปก็เจอ... เอเลี่ยนจากดาวอังคาร เอ๊ย! ไม่ใช่ แต่ไอ้ที่เจอมันน่ากลัวกว่าเอเลี่ยนเยอะ... เชื่อผมเห้อ...
                    “ไอ้เหมียวยักษ์ดำทะมึนแถมฟันเยอะ” ผมส่งเสียงเรียกกลับ ไอ้แทคที่ถูกทักก็แทบจะล้มหน้าทิ่ม หึๆ เจอฉันล้างแค้นแล้วเป็นยังไงมั่งล่ะ?
                    “โธ่พี่... นี่จะมาล้างแค้นผมเหรอเนี่ย?”
                    “ก็ใช่น่ะสิวะ กรรมใดใครก่อคนนั้นก็ต้องเป็นคนรับ”
                    “โหยพี่... ฝากไว้ก่อนเหอะ”
                    “ฮ่าๆๆ ไม่รับฝากเว้ย... หนัก” ผมหัวเราะลั่นอย่างสะใจ ริอาจจะมาเป็นคู่กัดของฉันน่ะเร็วไปร้อยปีเฟ้ย
                    “ใครเหรอพี่?” ไอ้คุณมันก้มลงกระซิบถามผม ผมก็ลืมนึกถึงมันไปเลยแฮะ... สงสัยมันจะงงมาก
                    “อ๋อๆ เพื่อนบ้านฉันเอง เพิ่งย้ายมาเมื่อวาน”
                    “ผิดแล้ว... สองวันก่อนต่างหาก” ไอ้แทคมันแก้ให้ อย่ามาเสนอหน้าได้ป่ะ???
                    “เออ วันไหนก็ช่างเหอะน่า”
                    “ช่างได้ไงพี่... เวลาเป็นเงินเป็นทอง” มันยังคงทู่ซี้เถียง นี่แกจะเลิกกวนฉันไม่ได้สักวินาทีเลยเหรอฟะ???
                    “เกี่ยวกันมั้ย???” ผมหันไปขู่ฟ่อใส่ ส่วนมันก็ลอยหน้าลอยตาอย่างไม่สนใจ ฮึ่ม... ฝากไว้ก่อนเหอะแก
                    “อ้อ เดี๋ยวก่อนนะพี่ ผมไม่รับฝากอะไรนะ... หนัก” มันทำท่าทางเลียนแบบผมในตอนแรก แทบจะทำให้ผมอยากระเบิดมันเป็นจุณมากขึ้น หนอยแหน่ะแก... รู้ทันไปซะทุกเรื่องเลยนะ
                    ผมหันกลับไปมองไอ้คุณ... มันทำท่าหัวเราะขำกลิ้ง ยังกับมีเรื่องอะไรที่ฮาสุดๆเกิดขึ้นอย่างงั้นแหล่ะ หรือว่านี่แกสองคนรวมหัวกันแกล้งฉัน???
                    “โหย... นายนี่สุดยอด แกล้งซะพี่เจย์โกรธหน้าดำหน้าแดงเลย” เฮ้ย ไอ้น้องชั่ว นี่แกจะทรยศพี่ชายสุดที่รักของแกเหรอฟะ???
                    “ขอบใจ... นี่เรียกว่าหน้าดำหน้าแดงเหรอเนี่ย? ผมนึกว่าหน้าเหวี่ยงซะอีก” ฮึ่ย... แกสองคนรวมหัวกันแกล้งฉันจริงๆด้วย ฝากไว้ก่อนเหอะไอ้พวกบ้า โดยเฉพาะแก... ไอ้แมวหน้าดำ
                    “ฉันชื่อนิชคุณ เป็นรุ่นน้องสุดที่รักของพี่เจย์”
                    “เฮ้ยๆ นั่นมันอดีตเฟ้ย ตอนนี้ฉันตัดแกออกจากกองมรดกแล้ว” ผมหันไปพูดแทรกทันทีด้วยความหงุดหงิด
                    “ถึงยังไงผมก็ไม่ได้รับมรดกจากพี่อยู่แล้วนี่นา” เออ... ก็จริง ไอ้คุณมันพูดถูก “โอ๋ๆ พี่อย่างอนเลยน่า พี่เจย์เป็นสุดที่รักของผมอยู่แล้วล่ะ”
                    “ไอ้บ้า... บอกแล้วว่าฉันไม่ใช่ที่รักของแก”
                    “แล้วนายชื่ออะไร?” นิชคุณหันกลับไปถามแทคอย่างไม่ใส่ใจ เฮ้ยไอ้เด็กเวร นี่ฉันแก่กว่าแกนะโว้ยหัดฟังผู้ใหญ่พูดมั่งดิ
                    “ฉันชื่ออ๊ค แทคยอน” ไอ้แทคยิ้มกว้างอวดฟัน 32 ซี่ที่น่าภูมิใจ โอ๊ะ... แย่แล้ว แสบตาจัง “พี่เจย์เป็นอะไรอ่ะ?”
                    “แสงสะท้อนเข้าตาโว้ย” ผมตอบอย่างขำๆ ไอ้แทคที่รู้ทันมุขของผมรีบหุบยิ้มทันที
                    “นายอยู่ห้องอะไรอ่ะแทคยอน?”
                    “เรียกมันว่าไอ้เหมียวแทคหน้าดำก็ได้” ผมกล่าวขัดขึ้น
                    “งั้นผมจะเรียกพี่ว่าหมวยเจย์หน้าเหวี่ยง” นั่นไง... มันย้อนครับมันย้อน นี่ฉันไม่ได้หน้าหมวยนะโว้ย ฉันออกจะหล่อตี๋สมชายชาตรี
                    “นี่พี่เลิกกวนซะทีเหอะ” ไอ้คุณมันหันมามองค้อน ได้ไง... ไอ้เหมียวมันมากวนฉันก่อนอ่ะ
                    “ใช่ๆ พี่เลิกกวนซะทีเหอะ เราจะคุยกันเนอะนิชคุณ” ไอ้พวกเวร... รวมหัวกันแกล้งผู้ใหญ่อีกแล้วนะโว้ย ไม่เคยมีใครสอนเหรอว่าเล่นหัวผู่ใหญ่มันบาป
                    ผมมองหน้ามันสองคน พอพวกมันร่วมหัวจมท้ายกันแล้วน่ากลัวเป็นบ้า ผมจึงรู้ตัวว่าเถียงมันไม่ชนะแน่ ด้วยเหตุนี้เอง... ผมจึงยอมสงบปากสงบคำทันที
                    “นายอยู่ห้องอะไรน่ะแทค?” มีความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะถามต่อ
                    “ห้องเอ ปีสอง”
                    “ฉันอยู่ห้องบี”
                    “แล้วจะแวะไปหาแล้วกัน”
                    มาถึงตรงนี้ ไอ้เหมียวแทคก็ทำจมูกฟุดฟิดเหมือนกับได้กลิ่นอะไรประหลาดๆ ทำอย่างนี้แล้วเหมือนแมวชะมัด เหมือนแมวที่กำลังดมหากลิ่นปลาย่าง เห็นแล้วก็หลุดขำออกมาน้อยๆ แต่ก็เหมือนกับจะไม่มีใครสนใจ
                    “ฉันเหมือนได้กลิ่นคาวอะไรสักอย่าง” มันย่นจมูกแล้วแลบลิ้นอย่างขยะแขยง กลิ่นคาวเหรอ? ทำไมฉันไม่ได้กลิ่นเหมือนแกล่ะ? “มันเหมือนกับ... กลิ่นเลือด”
                    ผมเหลือบไปเห็นนิชคุณยิ้มน้อยๆ
                    “ฉันว่านายคิดไปเองมั้ง... ถ้าจริงล่ะก็ฉันคงได้กลิ่นแล้วล่ะ” ไอ้คุณมันตอบ เมื่อกี้นี้ผมตาฝาดรึเปล่านะที่เห็นมันยิ้ม?
    ผมหันไปมองแทค มันจ้องมาทางนิชคุณนิ่ง แล้วยิ้มน้อยๆ
    “นั่นน่ะสิ... สงสัยฉันคงจะคิดไปเอง”
    “นายมันจมูกหมา” ผมกล่าวขึ้น ส่วนแทคมันก็ขำกระจาย
    “ประมาณนั้น”
    “เออ... นี่ที่รัก” ใคร... ใครวะที่รักมึง นี่ผมหูฝาดเป็นเสียงไอ้คุณแล้วเหรอเนี่ย เฮ้ย... ไม่ได้หูฝาด ไอ้คุณมันก็อยู่ข้างๆนี่หว่า
    “ไอ้เวร... ใครที่รักเมิง”
    “บอกไปหลายรอบแล้ว... ก็ตัวเองไง”... เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะจากตัวอะไรสักอย่าง ผมหันไปมองคนข้างๆ เห็นไอ้เหมียวหน้าดำทำหน้าเหมือนกลั้นอึ... ไอ้แทค... เมิงจะขำก็ขำออกมาเลยเซ่ แสดงท่าทางออกมาแบบนั้นใครๆก็รู้ว่าแกขำ แล้วจะปิดบังไว้เพื่ออะไร ยืดอก... พกถุง (ผมไม่ได้คิดอะไรนะครับ ถุงผ้าต่างหากล่ะ ลดโลกร้อน)
    “แล้วแกมีอะไร?” ผมหันไปถามไอ้คุณ
    “ผมจะบอกว่าผมต้องไปเรียนอ่ะพี่”
    “แล้วทำไมแกไม่ไป”
    “กลัวพี่คิดถึง”
    โป๊ะ!!!!
    อย่างงนะครับว่าเสียงอะไร... มันเป็นเสียงอะไรสักอย่างจากกระทำของผมเองซึ่งทำให้เจ้าคนคิดเองเออเองลงไปนอนราบกับพื้น อย่าถามนะครับว่าผมทำอะไร... มันเป็นความลับทางธุรกิจ
    “เออ... ผมก็ต้องไปเรียนอ่ะหมวย”
    “อยากโดนอย่างไอ้คุณรึไง?” ผมหันกลับไปถามด้วยสายตาอาฆาตแค้น... มรึงแหล่ะตัวดี
    “ไม่อ่ะ... ผมรู้ว่าพี่ไม่กล้าทำอะไรผมหรอก” แทคยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะพี่ออกจะตอสระเอียไม้โทขนาดนี้”
    ปรี๊ดแตกเลยสิครับงานนี้... ไอ้คุณแมร่งก็คนนึงแล้ว... ทำไมพระเจ้าต้องส่งคนแบบนี้มาให้ผมด้วย???
    ไอ้สองตัวมันบอกลาผมแล้วแยกย้ายกันไปตามห้องเรียนของตัวเอง ผมยืนอยู่ตรงนั้นสักพักและก็นึกอะไรได้...แล้วตรูมายืนบื้ออะไรตรงนี้วะเนี่ย? คาบแรกมีเรียนเปล่าวะ? จำได้ว่าเมื่อวานหัวหน้าบอกเราว่าอาจารย์จะไปหาหมอวันนี้... งั้นเราก็มีชั่วโมงว่างอ่ะดิ
    เพราะฉะนั้นจะไปเอ้อระเหยอยู่ที่ไหนก็ได้สินะ?
     
    “เฮ้... ไง”
    ในตอนนั้นผมได้ยินเสียงคุ้นๆ คุ้นมากๆ... น่าจะดังมาจากแถวๆนี้ ผมกวาดสายตาไปรอบทิศ แล้วก็พบคนสองคนยืนประจันหน้ากันอยู่ที่มุมตึก ซึ่งสองคนนั้นก็หน้าคุ้นๆ
    เฮ้ย... นั่นมันไอ้คุณกับอิเหมียวแทคนี่นา?
    รุ่นน้องเราเอง... อย่างงี้ต้องแอบฟัง
    อย่าหาว่าผมเป็นคนหน้าด้านนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องจริง ฮ่าๆๆ ถ้าเกิดผมไม่หน้าด้านแล้วผมจะมายืนแอบอยู่ตรงนี้มั้ยล่ะ??
    แล้วพวกมันคุยอะไรกันน่ะ?
    “ท่าทางเราจะเรียนตึกเดียวกันนะ”
    “อืม...”
    อะไรกัน? ทำไมรอยยิ้มของทั้งสองคนถึงแปลกๆอย่างนั้นล่ะ? เหมือนกับกำลังฝืนยิ้มให้กันเลย
    “ฉันรู้ว่านายอยากคุยกับฉัน” แทคเริ่มเข้าประเด็นทันทีด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์
    “ฉันก็รู้ว่านายอยากคุยกับฉันเหมือนกัน... ก็ดีแล้วล่ะ” คุณตอบกลับไปด้วยใบหน้ามีรอยยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย ผมไม่เคยเห็นไอ้คุณทำหน้าอย่างนี้มาก่อนเลยนะ ปกติมันออกจะเป็นคนร่าเริง ทะเล้นๆ
    อย่างกับว่า... สองคนนี้เป็นคนละคนกับที่ผมเจอเมื่อเช้าเลย...
    “นายมาทำไมที่นี่?” คราวนี้ไอ้คุณเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “ไม่สิ... นายมาตีสนิทกับพี่เจย์ทำไม?”
    ห๊ะ?? เรื่องนี้เกี่ยวกับตรูด้วยเรอะ???
    “ฉันไม่ได้ตีสนิทพี่เจย์ ฉันแค่อยากมีเพื่อนสักคน” เพื่อน? เพื่อนเรอะ??
    “แล้วนายจะทำอะไรหลังจากนั้น”
    “ไม่ต้องห่วง... ฉันเป็นเพื่อนของมนุษย์อยู่แล้ว” แทคตอบกลับอย่างใจเย็น “ไม่เหมือนพวกนาย”
    “....” นิชคุณกัดฟันกรอด หมัดทั้งสองข้างที่ปล่อยไว้ข้างตัวกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดออกมา
    นี่พวกมันคุยกันเรื่องอะไรกันแน่???
    “อย่ามายุ่งกับพี่เจย์นะ” ไอ้คุณ..... นี่แก.....
    “ทำไมฉันจะยุ่งไม่ได้? พี่เจย์ก็พี่ของฉันเหมือนกันนะ” อยากจะพุ่งออกไปถามว่าพวกแกสองคนเป็นอะไรไป? แต่ก็เกรงว่าจะไม่งามนัก “ว่าแต่เขาเถอะ... แล้วแกคิดจะทำอะไรพี่เจย์??”
    “นายมันไม่รู้อะไร” หมัดพุ่งไปหาแทคด้วยความเร็วสูง แต่ก่อนที่มันจะชกเข้าที่ใบหน้า นิคุณกลับรั้งตัวเองไว้ได้ทันท่วงที “พี่เจย์เป็นคนเดียวที่ฉันอยากปกป้อง... เป็นมนุษย์คนเดียวที่ฉันผูกพันธ์ด้วยเหมือนครอบครัว”
    ...... คุณ......
    “เป็นไปไม่ได้หรอก” แทคพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเสียจนน่ากลัว “นายคือแวมไพร์... สักวันนายจะต้องกลายเป็นเหมือนกับบรรพบุรุษนาย ไม่ช้าก็เร็ว”
    แวม..... แวมไพร์........?
    นิชคุณ...... นายเป็น...... แวมไพร์.........?!!
    พระเจ้า... ผมอยู่กับเขามาสองเดือน ทำไมผมถึงไม่รู้เลยล่ะ?
    ผมกระเถิบตัวถอยหลังเล็กน้อย อยากจะออกห่างจากบริเวณนี้เต็มที แต่เหมือนกับมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่างทำให้ผมติดแหง็กอยู่ตรงนั้น เพื่อฟังบทสนทนาของทั้งสองต่อไป
    “นายต่างหาก....” นิชคุณโต้กลับไป “ถ้าเกิดฉันเห็นว่านายทำร้ายพี่เจย์... หรือนักเรียนในโรงเรียนล่ะก็... นายอย่าคิดเลยว่านายจะหนีความผิดไปได้”
    “ฉันไม่ทำอยู่แล้วน่า”
    ...............
    ไปดีกว่าเรา.......
    เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็หันหลังกลับเพื่อเดินไปตึกเรียนของตัวเอง แต่ในตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างทำให้ต้องหันกลับไปมองอีกครั้งด้วยความตกใจ
    เปรี้ยง!!!!
    ผมสะดุ้งโหยง หันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่ตรงนั้นที่เคยมีรุ่นน้องของผมสองคนยืนอยู่... กลับว่างเปล่า... ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงดังขนาดนั้น
    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่.....??
     
    “ไอ้คุณ..... กลับบ้านด้วยกันมั้ย?” ผมกล่าวทักทันทีเมื่อเห็นรุ่นน้องร่างสูงยืนอยู่หน้าตึกเรียน ไอ้คุณหันกลับมามองผมด้วยใบหน้าส่องประกายวิบวับของมัน รอยยิ้มสดใสของมันกลับมาแล้ว... แตกต่างกับเมื่อเช้าอย่างลิบลับ
    “เอาสิพี่” ยิ้มอีกแล้ว ทำเอาสาวๆรอบตัวพากันละลายไปหมดกับรอยยิ้มเทพบุตรของมัน น่าอิจฉามันจริงๆ นี่ถ้าผมสูงกว่านี้อีกสักสิบเซนต์ ลดความหมวยของใบหน้าลง ตาโตขึ้นนิดหน่อยผมก็ชนะขาดมันแล้ว
    “แล้ววันนี้พี่จะไปบ้านผมมั้ยอ่ะ?”
    “หา? ไม่อ่ะ... โทษที” ที่มาชวนนี่แสดงว่าญาติกลับไปแล้วสิ “พอดีเมื่อวานฉันไม่ฝันร้ายแล้ว วันนี้ก็คงหลับได้อย่างสบายใจ”
    “ผมไม่ได้หมายความว่าให้พี่ค้างที่บ้านผม... ผมแค่ถามว่าพี่จะไปเยี่ยมบ้านผมมั้ยเฉยๆ”
    “อ๋อ... แต่โทษทีนะ ยังไงก็ไปไม่ได้อยู่ดีอ่ะ” ผมยิ้มให้เป็นการขอบคุณในน้ำใจ “วันนี้ต้องเคลียร์การบ้านน่ะ เออ... แต่ถ้ามีเวลาว่างฉันจะไปหาแก”
                    “ไม่เอาหรอก... มันอันตรายนะ”
                    ก็รู้อยู่อ่ะ... บ้านแกมันอยู่กลางป่านี่หว่า สิงสาราสัตว์ก็เพียบ แค่คิดก็สยองแล้ว
                    “งั้นก็ได้”
                    นิชคุณเดินมาส่งผมถึงหน้าหมู่บ้าน แล้วมันก็เดินลัดเข้าไปในป่าทึบที่อยู่ด้านหลัง หมู่บ้านของผมก็เป็นเหมือนกับแถวชานเมืองทั่วๆไป ซึ่งก็ต้องใกล้ชิดกับธรรมชาติเป็นธรรมดา หลังบ้านของผมเชื่อมกับป่าซึ่งเป็นเส้นทางไปบ้านของนิชคุณ (จริงๆแล้วบ้านทุกหลังก็อยู่ติดกับป่าทั้งนั้นแหล่ะ...) ผมชอบเข้าไปสำรวจในป่าบ่อยๆ แถมพอเดินตัดผ่านป่าไปก็เจอภูเขาอีกต่างหาก มีทั้งแม่น้ำ ลำธาร เป็นหมู่บ้านที่สงบร่มเย็นดีจริงๆ
                    ระหว่างทางเดินกลับบ้าน ผมแวะเข้าไปในร้านหนังสือเก่าเพื่อหาอะไรอ่านในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งเล่มก่อนๆผมอ่านจบไปหมดแล้ว ผมคลำหาไปตามชั้นหนังสือ แต่ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจซักที...
                    ในตอนที่ผมตั้งใจจะออกจากร้านไปอยู่แล้ว ผมก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ที่ริมสุดของชั้นหนังสือ ซึ่งถ้าไม่สังเกตดีๆก็ไม่อาจเห็นได้ ผมจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาดู
                    มันไม่ใช่หนังสือที่มีหน้าปกหรือรูปเล่มสวยงามโดดเด่นอะไร มันเป็นแค่หนังสือปกแข็งสีแดงธรรมดาๆที่เก่าและลอกออกจนน่าจะเรียกว่า “อดีตปกหนังสือ” เสียมากกว่า แต่ที่ผมสนใจน่ะไม่ใช่เพราะรูปเล่ม แต่เป็นชื่อของมันต่างหาก....
                    แวมไพร์.........
                    เพราะชื่อนี้... ทำให้ผมนึกถึงรุ่นน้องของผม....
                    “ลุงครับ... หนังสือเล่มนี้เท่าไหร่ครับ?”
     
                    “เฮ้อ......” ผมถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ เมื่อมองไปที่กองภูเขาการบ้านที่สุมอยู่ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาอีกรอบไม่ได้ รู้งี้ไปบ้านไอ้คุณมันตั้งแต่แรกเรื่องก็จบแล้ว... เผลอๆจะได้ให้ไอ้คุณช่วยเรื่องการบ้านด้วย แต่ตอนนี้จะไปหามันก็กะไรอยู่.. สุดท้ายก็ต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเองอยู่วันยังค่ำ
                    “เมื่อยตาว่ะ” ใช้สายตานานๆไปก็ไม่ค่อยดี... เพราะฉะนั้นพักมั่งดีกว่า
                    แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นหนังสือที่วางอยู่มุมโต๊ะ เป็นหนังสือที่ผมวางไว้กะจะอ่านในช่วงวันหยุด แต่ด้วยแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง... ทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน
                    “เฮ้!! เจย์!!” เสียงเรียกผมดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม... ซึ่งไม่บอกก็รู้ว่ามาจากไหนและเป็นเสียงของใคร ผมมองไปยังบ้านข้างๆผ่านหน้าต่างที่แง้มเปิดไว้รับลมเย็น เห็นแทคยอนยืนอยู่ตรงระเบียงและทำท่าเหมือนกับจะให้ผมเปิดหน้าต่างให้สุด โดยที่ผมไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร
                    ผมเข้าใจว่าอย่างนั้น... จึงดันบานหน้าต่างออกให้สุดเพื่อสนทนากับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
                    “มีอะไรรึเปล่า?” ผมตะโกนถามไป
                    “รอก่อนนะ... เดี๋ยวไปหา” แทคก็ตะโกนตอบมา ผมจึงงงว่ามีปัญหาอะไรรึเปล่าถึงต้องมาหา แค่เรื่องสำคัญที่สุดคือต้องไปไขประตูหน้าบ้านเพื่อให้แทคเข้ามาได้
                    “เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูให้”
                    “ไม่ต้องหรอก” อย่าบอกนะว่าแกจะทำตัวเป็นไอ้โรคจิตปีนรั้วเข้าบ้าน
                    “แล้วแกจะเข้ามายังไง” ขอทีเหอะ... เดี๋ยวโดนตำรวจจับ
                    “ใช้วีธีนี้ไง... รอก่อน” แทคตัดบทสนทนาลง แล้วทำท่าเหมือนกับจะกระโดด เฮ้ยๆ นี่มันชั้นสองนะเว้ย ถ้าตกลงไปเข้าห้องไอซียูแน่ล่ะแกเอ๋ย
                    แล้วก็เป็นอย่างที่คาด... แทคมันกะจะกระโดดเข้ามาในห้องผมจริงๆ และห้องผมก็ไม่มีระเบียงรองรับมันด้วยเผื่อพลาดท่า ตายไปแล้วอย่ามาหลอกหลอนกันล่ะ......
                    ตุ้บ!!!
                    เฮ้ย!!
                    เมื่อกี้แทคเกือบจะกระโดดเข้ามาในห้องผมได้อยู่แล้ว แต่มันกลับพลาดท่า มันลื่นตกลงไปทั้งๆที่เหลือระยะห่างแค่ไม่กี่เซนต์เท่านั้น ผมถึงกับตกใจจนพูดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูกทันที
                    แล้วตอนที่ผมกำลังจะชะโงกไปดูสภาพศพมันจากหน้าต่างนั่นเอง... ก็มีอะไรบางอย่างพุ่งขึ้นมาจนผมเกือบจะหลบไม่ทัน ถ้าเกิดหลบไม่ทันล่ะก็หัวผมคงจะโขกกับอะไรสักอย่างที่ว่านั่นแล้ว
                    “แทค!!!” ผมอุทานลั่นด้วยความตกใจ ก็เมื่อกี้มันเพิ่งจะ.......
                    “อะไรล่ะพี่???” แทคก็ถามกลับมา ผมมองลงไป... มือของแทคนั้นเกาะขอบหน้าต่างอยู่
                    “อ่า... ฉันนึกว่าแกเดี้ยงไปแล้วซะอีก”
                    “บ้ารึเปล่าพี่อ่ะ?” อ้าว... ด่ากูอีก กูทำอารายผิดแว๊ “ถอยไปหน่อยดิ... หน้าจะชนกันอยู่แล้ว”
                    เป็นอย่างที่มันพูดจริงๆ... ด้วยความที่ไอ้แทคโผล่ขึ้นมาโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวกันก่อน ทำให้ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ คิดแล้วใบหน้ามันก็ร้อนฉ่าและมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ (เอ๊ะ หรือมีสาเหตุ) จะมีสาเหตุหรือไม่มีสาเหตุก็ช่าง... แต่ทำไมห้องนี้มันร้อนผิดปกติจังวะ
                    “ทำไม? หรือว่าพี่.........” รอยยิ้มกริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของคนตรงหน้า อย่าทำให้ฉันคิดอะไรเกินเลยได้มั้ยฟะไอ้เด็กบ้า “หรือว่าพี่... เขิน?”
                    “ไอ้บ้า!!!” ผมผลักมันออกไปโดยที่ไม่ทันคิดอะไรด้วยความเขินจนทำอะไรไม่ถูก ทำให้ลืมไปเลยว่าห้องผมมันไม่มีระเบียง
                    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก”
                    “เฮ้ย!! ไอ้แทค!!!”
                    “อิๆ ล้อเล่นจ้า” ในขณะที่ผมตกใจจนแทบจะหัวใจวายตายคาที่แล้วนั้น... ก็เห็นหัวของตัวอะไรสักอย่างโผล่ขึ้นมาตรงหน้าอีก ไม่ใช้สลิงไม่ใช้สตั๊น... ไอ้แทคมันโผล่ขึ้นมาที่หน้าต่างอีกครั้ง
                    “ไอ้บ้า... อยากตายนักใช่มั้ย??” ผมตะคอกใส่หน้ามันอย่างเหลืออด ไอ้เรื่องแกล้งให้หัวใจวายตายเล่นนี้ขอเหอะ... ละไว้ซักเรื่องหนึ่งได้มั้ย
                    “เป็นห่วงผมรึไง?” ยังมีหน้ามาเล่นลิ้นอีกนะแก... เดี๋ยวปั๊ดใช้เก้าอี้ฟาดก้านคอ
                    “ถ้าแกตายไป...” ผมเมคหน้าซึ้งจัดได้อย่างตอแหลที่สุดในสามโลก พยายามบีบน้ำตาออกมาอย่างนักแสดงละครน้ำเน่าหลังข่าวมืออาชีพ... แต่แม่ง... ทำไมไม่ออกวะ
                    “พี่... เป็นไรป่าว?” แทคถามด้วยความเป็นห่วง ผมว่านิชคุณตอแหลแล้วนะ... แต่ผมนี่เทพยิ่งกว่าอีกให้ตายสิ
                    “ถ้าเกิดนายตายไป...” กระซิกๆ “ก็คงไม่แคล้วเป็นภาระให้ฉันสวดศพให้นายน่ะสิ”
                    โป๊ะ!!!!
                    อย่างงนะครับว่าเสียงอะไร... มันคือเสียงแมวยักษ์เขกศรีษะลงบนขอบหน้าต่างนั่นเอง เจ็บมั้ยล่ะนั่น...
                    “ฮ่าๆๆๆๆ” ผมหัวเราะลั่นอย่างสะใจ ต่างกับเมื่อกี้อย่างลิบลับ “โอ๊ยยย ขำว่ะ... ขำจนน้ำตาเล็ดแล้วเนี่ย...”
                    “ตลกนักใช่มั้ยเนี่ย???”
                    “ตลกสิ... ตลกสุดๆ... ฮ่าๆๆๆ” ก็ยังคงหัวเราะลั่นต่อไปอย่างไม่อายและไม่คิดจะไว้หน้าใครทั้งนั้น
                    “เอ้า... หัวเราะเข้าไป” แทคพึมพำเบาๆ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจแล้วหัวเราะต่อไปอย่างหยุดไม่ได้
                    “นี่... อะไรน่ะ” สิ่งหนึ่งถูกยื่นมาที่เบื้องหน้าของผมจนผมถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ ก็เล่นไม่บอกกันก่อนว่าจะยื่นมาให้แล้วนะอะไรอย่างงี้... สิ่งที่แทคยื่นมาให้ผมดู... ก็คือหนังสือเล่มที่ผมเพิ่งซื้อมาเมื่อตอนเย็นนั่นเอง
                    “หนังสือไง... ไม่รู้จักเรอะ”
                    “พี่อ่านเกี่ยวกับแวมไพร์ด้วยเหรอ?” แทคชักมือที่ถือหนังสืออยู่กลับแล้วเปิดมันออกเพื่อดูเนื้อหาข้างใน
                    “ก็ยังไม่ได้อ่านหรอก... แต่คิดว่ามันน่าจะสนุกดีน่ะ... ก็เลย...”
                    “เรื่องพรรค์นี่น่ะ” หนังสือถูกปิดดังปึงจนผมนึกสงสารหนังสือขึ้นมาจับใจ ไอ้แมวบ้าออมแรงไม่เป็นเลยรึยังไง... “อย่าไปอ่านมันเลย”
                    หนังสือสีแดงถูกเขวี้ยงลงถังขยะไปอย่างไม่ไยดี...
                    “เฮ้ย!!”
                    “เพราะถึงยังไง...” แทคก็ยังคงกล่าวต่อราวกับไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่มันลงมือทิ้งหนังสือของผมลงถังขยะ “ก็คงมีแต่เรื่องโกหกที่แต่งไว้หลอกชาวบ้านเท่านั้น”
                    “หมายความว่าไง?”
                    รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของแทคยอน... ทำให้ผมถึงกับขนลุกซู่...
                    “ถ้าอยากรู้...” แทคกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย้ยหยัน เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นด้านแบบนี้ของมัน ก็แปลกไปอีกแบบ... แต่มันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ “ก็ไปถามตัวจริงเอาซะเลยสิ”
                    ตัวจริงงั้นเหรอ? ไม่บอกก็รู้...
                    นิชคุณ......
                    แล้ว... ถ้าเกิดคุณเป็นแวมไพร์...
                    แล้วแทคยอนล่ะ... เป็นอะไรกันแน่...??
                    “นี่... ถามหน่อย” ไม่รู้ว่าการถามไปตรงๆแบบนี้จะยอมตอบไหม... แต่ผมก็คงทำได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหล่ะ
                    “ว่ามาสิพี่”
                    “นาย...” จะถามว่าไงดีล่ะ... นายเป็นแวมไพร์เหรอ... หรือไม่ใช่... แล้วนายเป็นอะไร... อย่างนี้น่ะนะ
                    “หา???” แทคก็ดูเหมือนจะลุ้นกับคำถามของผมอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ยังไงล่ะ... ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...
                    “อ๋อ... นายมาหาฉันทำไมเนี่ย???”
                    เปลี่ยนเรื่องถามได้ง่ายๆอย่างนี้เลยน่ะนะ... เฮ่อ... แต่ก็คงจะดีแล้วล่ะ...
                    “ผมเหงาน่ะ...”
                    “เหงา?”
                    “ผมอยู่คนเดียว... บางทีก็เลยรู้สึกเหงาขึ้นมาบ้าง”
                    “แล้ว... ครอบครัวนายล่ะ?” ผมเปลี่ยนเรื่องถาม... ถึงหมอนี่จะอยู่คนเดียว... แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีญาติหรือครอบครัวอยู่บ้างสิ...
                    มันอาจจะทำให้ผมรู้จักแทคมากขึ้นก็ได้...
                    “อยากรู้เหรอพี่?” ผมพยักหน้าแรงๆกับคำถามนั้น “งั้น... วันหยุดนี้ผมพาพี่ไปหาครอบครัวผมก็ได้นะ”
                    “หา???”
                    “ไม่ไกลจากนี้หรอก... แค่ตัดผ่านป่านี้ไปเท่านั้นเอง...” แทคว่าพลางทำมือประกอบไปด้วย ผมก็พยักหน้าเออออตามไปทั้งๆที่ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ “แล้วตกลงจะไปมั้ย?”
                    ผมหยุดคิดเล็กน้อย...
                    “ไปสิ... ทำไมจะไม่ไปล่ะ??”




    Talk with Writer :

    โอ้ เย้ !!! หวัดดีขอรับทุกท่าน ในที่สุดตอนที่สองก็เสร็จลุล่วงไปด้วยดี
    ขอขอบคุณทุกคนที่เม้นให้ด้วยนะครับ (อย่างงนะว่าทำไมไรเตอร์ถึงใช้ครับ พอดีเพื่อนชอบบอกว่าไรเตอร์ออกแนวทอมบอยหน่อยๆน่ะ)
    เดี๋ยวตอนที่สามจะมาต่อนะจ๊ะ โปรดติดตามด้วยล่ะ!!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×