คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : Chapter 17 คำแนะนำของเพื่อน
Chapter 17 คำแนะนำของเพื่อน
ผมเดินเข้ามาภายในห้องพักที่ปิดไฟมืดสนิทในตอนเกือบๆห้าทุ่ม ดึกป่านนี้ทุกคนคงจะนอนหลับสนิทหมดแล้วล่ะมั้ง... ผมเชื่อว่านะ ผมจึงย่องเข้าไปภายในห้องอย่างเงียบเชียบไร้ซึ่งสุ้มเสียงและปิดประตูลงอย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่มือคู่นี้จะสามารถทำได้ เพื่อนๆของผมทุกคนล้วนมีภาระหน้าที่การทำงานของแต่ละคน และช่วงเวลาสามทุ่มถึงเที่ยงคืนจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเหนื่อยล้ามากจนสายตัวแทบขาด เพราะเป็นช่วงที่เพิ่งเลิกจากการทำงานพิเศษ จริงๆผมน่ะเลิกงานตั้งแต่หกโมงเย็นแล้ว แต่ที่ผมกลับมาดึกป่านนี้ก็เพราะว่า... ผมไปหา เขา มา...
เขาคนนั้นที่ถึงไม่บอกทุกคนก็คงจะรู้....
แต่ผมแค่แวะๆไปเยี่ยมเขาที่ห้องเท่านั้นเองนะ เห็นเขาบอกว่าช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีเวลาว่างเพราะต้องดูแลพี่แทคที่กำลังป่วย เลยถือโอกาสไปดูอาการของพี่แทคเขาซะด้วยเลย แต่ผลกลับปรากฏว่าแข็งแรงฟิตปึ๋งปั๋งกว่าปกติเสียอีก พี่เจย์เลยบอกว่าเพิ่งหายป่วยมาหมาดๆเมื่อวันเสาร์อาทิตย์นี้นี่เอง ผมอยู่คุยที่นั่นสักพักจนถึงสี่ทุ่มกว่าๆแล้วค่อยขอตัวลากลับ แล้วระหว่างทางที่กลับมาผมก็ไม่ได้ซื้ออะไรกินข้างทางเลยด้วย หิวจนท้องกิ่วไปหมดแล้วเนี่ย...
เวลาแบบนี้... มีเพียงสิ่งๆเดียวเท่านั้นที่จะสามารถช่วยผมได้ ใช่ครับ... มันคือมาม่า
“ไปต้มมาม่ากินดีกว่า” คิดได้ดังนั้นผมจึงมุ่งหน้าเข้าไปในห้องครัวทันที แต่พอเดินเข้ามาใกล้แล้วก็พบว่าห้องครัวนั้นเปิดไฟซะสว่างจ้าในขณะที่ห้องอื่นเขาปิดไฟนอนกันหมดแล้ว ผมเอียงคออย่างงงๆ แปลกแฮะ... ปกติไม่มีใครในกลุ่มเราที่เป็นพวกชอบเปิดไฟทิ้งไว้นี่นา มันจะต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆเลย...
หรือว่า... ขโมย!!!!
เสียงร้องตะโกนภายในหัวของผมทำให้ผมต้องคว้าอะไรบางอย่างข้างกายขึ้นมาถือติดไว้เป็นที่ใช้ป้องกันตัวเผื่อว่าที่ผมคิดนั้นจะเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะเป็นแจกัน ขวดน้ำ กระป๋องเปปซี่ หรืออะไรก็ตามแต่เท่าที่จะเอื้อมไปคว้าได้ผมก็สามารถนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ฟาดไปเป้งเดียวเท่านั้นเป้าหมายก็ถึงกับสลบไปเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว นี่ผมไม่ได้บ้าพลังซะหน่อยนะ... อย่าเพิ่งเข้าใจผิด
“...” ผมกัดปากตัวเองแน่น ในมือกำขวดน้ำหรืออะไรสักอย่างแน่นเสียจนเหงื่อไหลซึมเต็มฝ่ามือไปหมด ขาข้างขวาก้าวออกไปข้างหน้าอย่างเกร็งๆด้วยความกลัว ผมส่งเสียงร้องตะโกนถามออกไปเพื่อความชัวร์ เผื่อจะไม่ใช่ขโมยอย่างที่ผมคิด “นั่นใครน่ะ??”
เงียบเชียบ...
“นั่นใครน่ะ??!” ผมถามออกไปด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ที่ตอบกลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบ... ผิดปกติ
“ถ้าไม่ตอบ ฉันจะเข้าไปแล้วนะ!!” ผมกำขวดน้ำในมือตัวเองแน่นอย่างเตรียมพร้อม กล้ามเนื้อที่แขนของผมกระตุกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ตัดสินใจแล้ว... ผมเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วพร้อมชูขวดน้ำขึ้นเหนือหัวเตรียมตัวสำหรับการฟาดกะโหลกเจ้านักย่องเบาที่ว่านั่นอย่างเต็มที่ แต่แล้ว...
“เฮ้ย!!?”
นั่นไม่ใช่ขโมย แต่เป็นรูมเมทคนหนึ่งของผมเอง... เขาแต่งตัวเปลี่ยนไปใส่ชุดนอนเตรียมพร้อมสำหรับการหลับอันแสนยาวนานอย่างเสร็จสรรพ แต่แทนที่เขาจะไปนอนที่เตียงดีๆเขากลับฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะอาหารซะอย่างนั้น ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วยกมือขึ้นสะกิดแขนของเขาเล็กน้อย แต่ก็ยังไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ
“เฮ้!! ตื่นๆ” เมื่อสะกิดให้ตื่นแล้วก็ยังไร้ซึ่งการตอบสนอง ผมจึงเลือกที่จะใช้เสียงดังๆกรอกหูเป็นการปลุกแทน “ฮวางชานซอง!! ตื่นสิ นายจะมานอนตรงนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
และก็ได้ผล... ในที่สุดชานซองที่เพิ่งรู้สึกตัวตื่นก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เขาขยี้ตาของตัวเองเล็กน้อยด้วยท่าทางงัวเงียก่อนจะหันมามองหน้าผมอย่างงงๆ น้ำเสียงของเขาในตอนนี้เหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นมาจากการหลับอันแสนจะยาวนานเลยไม่มีผิด “อ้าว... จุนโฮ กลับมาแล้วเหรอ?”
“เพิ่งกลับมาเมื่อกี้นี้เอง” ผมตอบ
“แล้วกินอะไรมารึยังล่ะ?” ชานซองกล่าวถามขึ้นพร้อมกับอ้าปากหาวไปด้วย ท่าทางจะยังไม่ตื่นดีสินะ “เดี๋ยวฉันจะไปทำให้”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันต้มมาม่ากินเองก็ได้ นายน่ะไปนอนเถอะ” ดูท่าทางเขาจะง่วงเอามากๆเลยนี่นา... ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่คนตรงหน้ากลับทำหน้ามุ่ย
“นายน่ะไม่ยอมกลับมาสักที รู้มั้ยฉันน่ะต้องออกมานั่งรอนายตั้งกี่ชั่วโมง?” ชานซองกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงงอนๆ “ง่วงก็ง่วง ทีหลังหัดโทรมาบอกกันด้วยนะถ้าจะกลับดึก ฉันจะได้ไปนอน”
“แล้วทำไม...” ผมกล่าวขึ้นทิ้งไว้เพียงแค่นั้นก่อนที่จะเบนสายตาขึ้นสบกับสายตาของคนที่ตัวสูงกว่า ผมเอียงคออย่างสงสัย “ทำไมนายไม่ไปนอนล่ะ?”
“ว่าอะไรนะ??”
“ถ้านายง่วงถึงขนาดนั้นแล้วล่ะก็ทำไมนายต้องออกมารอฉันอย่างนี้ด้วยล่ะ ทำไมนายไม่ไปนอนที่ห้องดีๆ” ผมกล่าวเป็นเชิงตำหนิ ก่อนที่จะทำหน้ามุ่ยแบบเดียวกับที่คนตรงหน้าทำเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ “ออกมานอนตากลมแบบนี้เดี๋ยวนายก็เป็นหวัดหรอก ยิ่งช่วงนี้เป็นหน้าหนาวอยู่ด้วย หัดดูแลตัวเองดีๆมั่งสิ”
“นายเคยเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ?”
“ห๊ะ?? นายว่าอะไรนะ?”
“เปล่าหรอก...” เขาก้มลงหลบสายตาที่จ้องมองมาอย่างคาดคั้นของผมทันที “ก็... หมู่นี้เห็นนายสนใจแต่เรื่องของพี่ชายคนนั้นนี่นา”
พี่ชายคนนั้น... หมายถึงพี่เจย์สินะ...
“แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่สนใจนายนะชานซอง” ผมแย้งขึ้น “นายน่ะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลยนะ”
“อืม... อย่างฉันก็คงจะเป็นได้แค่นั้นแหล่ะ”
“นี่นาย... หมายความว่าไง??”
“เปล่าๆ ตอนนี้นายคงหิวแล้วสินะ เดี๋ยวฉันจะไปทำอะไรให้กินแล้วกัน รอแปป”
“เดี๋ยวสิ! ชานซอง!” แต่เขาก็ทำเป็นปิดหูปิดตาไม่รับฟังอะไรจากผมทั้งนั้นอีกแล้ว เขาเดินเลี้ยวเข้าครัวไปทันทีโดยที่ไม่สนใจผมเลยสักนิด วันนี้เขาแปลกไปจริงๆนะ... คุณก็ว่าอย่างนั้นใช่มั้ย
+++++++++++++++++++++++
“เฮ้ย... นี่ฉันจะทำยังไงดีวะ ตอนนี้หัวสมองของฉันตื้อไปหมดแล้วเนี่ย ช่วยคิดหน่อยดิ”
“นิ่งๆไว้เดี๋ยวมันก็ดีเองแหล่ะน่า แต่หน้าอย่างแกท่าทางคงจะนิ่งไม่เป็นล่ะสิใช่มะ?”
“โหย... เดี๋ยวนี้หัดปีนเกลียวแล้วเหรอวะ นี่ฉันมาขอคำปรึกษาจากแกนะเว้ยไม่ได้ขอคำด่า”
“ฉันด่าแกซะที่ไหน ฉันแค่พูดลอยๆ ใครอยากรับก็รับไปดิ” กวนตีน!!!
“เออ!!! ฉันไม่คุยกับแกแล้วก็ได้!! ชิ... งอนเฟ้ย!!!” ผมตะโกนลั่นเสียงดังใส่โทรศัพท์มือถือก่อนที่จะกระแทกมันลงบนโต๊ะอย่างรุนแรงโดยที่ไม่มีการถนอมเลยแม้สักนิด ชิ... หงุดหงิดเฟ้ย!! แทนที่จะให้คำปรึกษาดีๆกลับมาตอกย้ำกันซะได้ ไอ้เพื่อนชั่วเอ๊ย คบไปก็เสียชาติเกิดเปล่าๆ คนอย่างเอ็งอ่ะ... คนอย่างเอ็งมัน... เออ!! คนอย่างเอ็งมันชั่วร้ายที่สุดเลยโว้ย!!!
หน๊อย... คิดคำด่ามันไม่ออกจริงๆ อย่าให้ถึงทีกูมั่งนะเฟ้ย!! กูงอลมึงแล้ว เดี๋ยวต่อจากนี้ไปกูจะ... เอ่อ... กูจะแกล้งทำเป็นไม่พูดกับมึง!! อย่านึกว่ากูจะเสียดายนะโว้ยไอ้เพื่อนชั่ว!!
เพิ่งจะรู้ตัวนะเนี่ยว่าแท้จริงแล้วผมเป็นคนปัญญาอ่อน...
“ไอ้จุนซูนะไอ้จุนซู จะให้คำปรึกษากับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่หน่อยก็ไม่ได้” แค่ไม่ได้เจอหน้ากันสองเดือนกว่าๆแกก็ถีบฉันให้ตกลงจากตำแหน่งท๊อปเฟรนของแกแล้วรึไงวะ หนอย... อย่าให้ถึงทีฉันมั่งนะเฟ้ย
RRRRRRR
. RRRRRRRR
.
หน๊อยยย!! ตายยากจริงๆ แต่ตอนนี้กูกำลังงอลมึงอยู่นะเฟ้ย ต่อให้ถือสายรอจนถึงปีหน้ากูก็ไม่มีวันรับสายหรอก เชอะ!!!
RRRRRR
ปี๊บ...
เฮ้ย... นี่มันกะจะโทรมาแค่นี้จริงๆง่ะ แค่กริ๊งสองกริ๊งเนี่ยนะ??
นี่มึงเป็นเพื่อนกูจริงป่ะเนี่ย?!! ไม่เคยแคร์อะไรกูมั่งเลยรึไงวะ!!! เห็นเพื่อนกำลังงอนอยู่ก็ไม่คิดจะง้อมั่งเลยรึไง?!!
“ไอ้เวร!!!” ผมสบถเสียงเบาลงหน่อยอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะคว้ามือถือของตัวเองขึ้นมากดๆๆๆด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เดี๋ยวกูก็โกรธมึงจริงๆซะหรอก!!! ไอ้เพื่อนชั่ว!!!
ตู๊ดด... ตู๊ดด... ตู๊ดด...
“ฮัลโหล”
“ไอ้เพื่อนเวร!!! นี่ฉันงอนแกอยู่นะ ไม่คิดจะมาง้อกันมั่งเลยรึไง?!!” เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ปลายสายนั้นตอบรับมาแล้วคำด่าว่าต่างๆนาๆก็พ่นพรูดออกมาจากปากของผมเองทันทีโดยอันฒโนมัติราวกับถูกตั้งโปรแกรมไว้ แต่คนปลายสายนั้นกลับยังคงนิ่ง ไม่มีแม้แต่จะสะทกสะท้านใดๆกับเสียงโวยวายของผม เมื่อเห็นดังนั้นผมก็ถึงกับของขึ้น
“ไอ้จุนซู!!!! มึงฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย?!!!” ผมแหกปากโวยวายเสียงดังถึงแม้จะรู้ว่าต่อให้ใช้เสียงดังขนาดไหนไอ้คนที่อยู่ปลายสายก็คงจะไม่สะทกสะท้าน หน้าแม่งหนายิ่งกว่าคอนกรีตเสริมเหล็กเททับด้วยปูนซีเมนต์ตราเสือ ต่อให้ทุบจนกระดูกแหลกขนาดไหนก็คงจะไม่มีวันเกิดรอยร้าวง่ายๆ “ง้อกูมั่งดิ!!! นี่กูงอนมึงอยู่นะเฟ้ย!!!”
“ง้อไปทำไม? เสียเวลา เอาเวลาอันแสนจะคุ้มค่านี่ไปซื้อเพ็ดดีกรีมาเลี้ยงแกดีกว่า แบบนั้นทำให้แกหายโกรธง่ายกว่าเยอะ” เออดี... มื้อนี้กูจะได้กินฟรี เฮ้ย!! ไอ้จุนซู!! มึงอย่าพูดให้กูเคลิ้มได้มั้ยวะ?!!
“กูไม่ใช่หมา!!! จะบอกให้เลยว่าหน้าแอ๊บแบ๊วๆอย่างกูอ่ะเป็นได้แค่แมวเหมียวแสนจะน่ารักเท่านั้นล่ะเฟ้ย!!”
“งั้นก็ต้องเปลี่ยนจากเพ็ดดีกรีมาเป็นอาหารแมวแทนสินะ เอายี่ห้ออะไรดีล่ะ? Me-O ดีมั้ย?”
เออ... เจริญ... มีเพื่อนอย่างมึงอ่ะเจริญจริงๆ...
“แล้วนี่โทรมาเพราะสาเหตุอะไรอีก? อย่าบอกนะว่าแค่อยากจะกวนตีนฉันอย่างเดียว เดี๋ยวปั๊ดตบเสย”
“เปล่า... ฉันแค่จะโทรมาบอกว่าการได้เป็นเพื่อนกับแกเนี่ยเป็นเรื่องที่เฮงซวยที่สุดในโลกจริงๆ ขอย้ำนะว่าเป็นเรื่องที่เฮงซวยที่สุดในโลก” ใครกันแน่ที่ควรจะพูดอย่างนั้น... ฮึ่มมม
“ไม่ใช่เวลามาเล่นตลกนะเว้ย นายรู้มั้ยว่าเรื่องนี้ฉันจริงจังขนาดไหน?”
“เฮอะ... หน้าแมวๆอย่างแกรู้จักคำว่าจริงจังด้วยเหรอวะ ถ้าจะให้ฉันพูดนะกะอีแค่คำว่า จริงจัง แกยังหาในพจนานุกรมไม่เจอเลย อย่างแกเคยมีเรื่องไหนมั่งล่ะที่จริงจังน่ะ?”
“ก็เรื่องนี้ไงเล่าที่จริงจัง นี่ฉันซีเรียสจริงๆนะจุนซู!!”
“กะอีแค่ผู้ชายคนเดียว คบๆไปซักพักเดี๋ยวนายก็รู้สึกเบื่อเองแหล่ะ เลิกคิดเลิกฝันเหอะ... ปล่อยให้เขาไปอยู่กับคนที่เขาชอบจะเป็นการดีมากกว่า”
“ไม่ได้!!!!!”
“...??”
“ไม่ได้!!! จะทำอย่างนั้นไม่ได้!!! ฉันไม่ยอมเด็ดขาด!!!” ผมเผลอตัวตวาดออกมาเสียงดังลั่นใส่คนที่อยู่ปลายสาย ขอสาบานเลยว่าปกติผมไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน แต่ถ้าเป็นเรื่องของเขาล่ะก็ผมยอมไม่ได้จริงๆ “นายอาจจะคิดว่าคบๆไปเดี๋ยวก็เบื่อ... แต่ฉันจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆอย่างเด็ดขาด!! เขาเป็นคนที่สำคัญสำหรับชีวิตฉันมากจริงๆ!!”
“...” จุนซูเงียบไปพักหนึ่ง “แปลว่านายชอบเขาจริงๆใช่มั้ย?”
“ก็ใช่น่ะสิ!!”
“งั้นฉันจะแนะนำอะไรให้นายสักนิดก็ได้” ต้องอย่างนี้สิไอ้ซูเพื่อนเลิฟ... “ถ้าอยากจะให้เขาชอบล่ะก็นะ...”
“อืมๆๆ” ผมตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่คนที่อยู่ปลายสายกำลังจะบอกอย่างเต็มที่
“นายก็แค่...” อย่าเว้นวรรคได้มั้ยวะ มันทำให้ฉันรู้สึกขนลุกเกรียวด้วยความตื่นเต้ลล์ “นายก็แค่... เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดก็เท่านั้นเอง”
“เอ๋??” แค่เนี้ยเนี่ยนะ... “ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอ?”
“เหอะ... ไม่มีหรอก” จุนซูตอบ ถ้าจะให้เดาคาดว่าตอนนี้เขาคงกำลังส่ายหน้าอยู่แน่ๆเลย “นายก็แค่แสดงส่วนที่จริงใจของนายให้เขาเห็นก็เท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเขายอมรับตัวตนที่แท้จริงของนายไม่ได้... แปลว่านายไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนเคียงเขาแล้วล่ะ”
“เอ่อ... อืม...” มันลึกลับซับซ้อนมากขนาดนี้เลยเชียว... ว่าแต่ไอ้จุนซูมันรู้เรื่องพรรค์นี้ได้ยังไงกันฟะ? พูดยังกับว่าเป็นผู้ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนอย่างงั้นแหล่ะ
“แต่เท่าที่ฟังจากนายเล่ามาอ่ะนะ นายลีจุนโฮอะไรนั่นก็เป็นอะไรที่ผ่านไปได้ยากจริงๆ” ในที่สุดก็เข้าประเด็นสำคัญที่ผมกำลังรอคอยซะที... เรื่องของไอ้เด็กตาตี่นั่น “หมอนั่นทั้งเป็นคนดี สุภาพบุรุษ แถมยังน่ารัก ตรงข้ามกับไอ้แมวดำโหดเถื่อนอย่างนายลิบลับ”
“ขอบใจนะที่ชม” ขนาดนี้มึงยังสอดแทรกคำด่ากูลงไปได้อีกนะ...
“แต่ก็เอาเถอะ ลีจุนโฮน่ะจะเป็นคนดีเลิศเลอประเสริฐศรีขนาดไหนก็ช่างเขา... เพราะอย่างนายน่ะต่อให้ตายก็คงจะตามหมอนั่นไม่ทัน ทำเท่าที่เราจะทำได้แค่นั้นก็ดีที่สุดแล้ว” รู้สึกเหมือนมันกำลังด่าผมในทางอ้อมอยู่เลยยังไงยังงั้น แต่เอาเถอะ... ผมรู้ตัวว่ามันเป็นเรื่องจริง “จนถึงวันนั้นที่เขาคนนั้นของนายจะต้องตัดสินใจ... นายก็จะได้รู้เองว่าสุดท้ายที่เราทำไปทั้งหมดนั้นโดนใจเขาหรือไม่”
“แล้วฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ?” ผมถามออกไป
“ก็ไม่ต้องทำอะไร ฉันบอกนายไปแล้วนะ... พยายามเป็นตัวของตัวเองให้เขาเห็นมากที่สุดก็เท่านั้นเอง” จุนซูตอบ “แต่อย่าพยายามที่จะสร้างภาพ นายจะต้องแสดงด้านที่ดีของนายออกมาให้เขาเห็นให้ได้โดยที่ไม่ต้องสร้างเสริมหรือเติมแต่งมัน เพราะว่าถ้าหากนายทำอย่างนั้น... มันจะกลายเป็นการหลอกลวง นายจะหักหลังเขาโดยที่ไม่รู้ตัว”
“ร... เหรอ” ผมจะต้องแสดงด้านที่ดีของตัวเองออกมาให้เขาเห็นโดยที่ไม่ต้องสร้างภาพอย่างนั้นเหรอ... แล้วเขาจะชอบตัวตนของผมหรือเปล่านะ?
“แต่ก็นะ... เอิ่ม... อย่างนายคงจะขุดมันออกมาได้ยากหน่อย ก็พยายามหน่อยล่ะ สู้ๆ” สามครั้งแล้วนะเอ็ง... ไอ้ซูแกหลอกด่าฉันไปตั้งสามครั้งแล้วนะไอ้เพื่อนชั่ว... อย่าคิดนะเฟ้ยว่าฉันจะจำไม่ได้ หน๊อยย... ไอ้หมาลอบกัด!!
แต่คิดๆไปแล้ว... ผมอาจจะไม่มีอะไรดีอย่างที่หมอนั่นบอกก็ได้...
“มันอาจจะเป็นอย่างที่นายว่าก็ได้จุนซู” ผมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมัวหมอง... “ฉันอาจจะไม่มีส่วนไหนที่ดีพอที่จะให้เขาประทับใจได้เลยก็ได้”
“...” จุนซูเงียบไปสักพัก คาดว่าตอนนี้เขาคงจะคิดหาคำปลอบอะไรสักอย่างอยู่เพื่อทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง แต่คิดอีกที... มันอาจจะกำลังคิดหาคำตอกย้ำซ้ำเติมใส่ผมอยู่เสียมากกว่า อืม... อย่างหลังน่าจะถูกแฮะ
เอ้า... เอาสิ... อยากจะว่าอะไรก็ว่ามาเลย... ฉันรับได้ทุกอย่างอยู่แล้ว
“นายจำได้มั้ย? ตอนเราอยู่ไฮสคูลปีสอง” จุนซูกล่าวขึ้น ผมเลิกคิ้ว... มันจะมาไม้ไหนกันนะ จะปลอบผมหรือซ้ำเติมผมกันแน่ แต่มันมีแนวโน้มจะไปทางอย่างหลังสูงกว่า... มากๆ “ตอนนั้นน่ะ... นายกับฉันอยู่ที่ห้องเรียนในตอนเช้า ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดนายคงกำลังลอกงานของฉันอยู่อย่างขะมักเขม้นล่ะมั้ง ในห้องมีเราสองคน กับกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ อยู่ดีๆไอ้พวกนั้นก็ดันเผลอเตะลูกบอลไปทางหน้าต่าง แล้วหลังจากนั้นก็... เพล้ง!!”
จำได้ลางๆแฮะ... ว่าแต่ว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันหว่า??
“กระจกหน้าต่างแตกละเอียดอย่างไม่มีชิ้นดี อยู่ดีๆอาจารย์ที่ปรึกษาสุดที่รักของห้องเราก็เดินเข้ามาภายในห้องแล้วเริ่มต้นที่จะแหกปากโวยวายเสียงดัง มองหน้าเด็กนักเรียนรายคนแล้วถามว่าใครกันแน่ที่เป็นคนทำ แล้วตอนนั้นน่ะ...นายจำได้มั้ย?”
“จำไม่ได้... รีบเล่าต่อเร็วๆสิ” ผมเร่งเร้า ด้วยความที่ว่าผมอยากจะรับรู้ถึงวีรกรรมฉาวโฉ่ในสมัยก่อนของผมจะแย่อยู่แล้ว
“ไอ้พวกที่เล่นฟุตบอลกันน่ะไม่มีเลยสักคนที่จะยอมรับ... ในตอนนั้นนายก็เลยยกมือขึ้นแล้วก็บอกกับอาจารย์แกไปว่า ‘ครูครับ... ผมเป็นคนทำเอง’ ทั้งๆที่นายไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยแถมยังนั่งอยู่ห่างออกไปเป็นโยชน์ หลังจากนั้นนายเลยต้องชดใช้ค่ากระจกที่แตกไป แถมยังถูกลดเกรดอีกด้วย”
“เป็นงั้นไป...” ตอนแรกที่เล่ามาก็ดูเป็นพระเอกดีอยู่หรอกนะ... แต่เรื่องจริงมันไม่เหมือนในนิยายที่ใครทำดีจะต้องถูกยกย่อง งี่เง่าสิ้นดีเลยจริงๆ
แต่ผมก็เป็นคนแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่นะ... ถ้าจะถามว่าทำไมถึงยังทำตัวเป็นคนดีทั้งๆที่ผลตอบรับกลับมาอาจจะเป็นผลเสียสำหรับตัวเองแบบนี้อีก... นั่นสิ... ผมอาจจะงี่เง่าจริงๆซะด้วย
แต่ถึงผมจะงี่เง่า... แต่ความงี่เง่าตรงส่วนนั้นมันกลับทำให้ผมรู้สึกสบายใจได้... แปลกดีนะ
“แต่หลังจากนั้นมาน่ะพวกกลุ่มฟุตบอลนั่นก็ทำตัวดีกับเรามาตลอด พร่ำขอบคุณอยู่ตลอดเวลาที่เจอหน้ากับเราถึงจะผ่านไปตั้งปีกว่าๆแล้วก็ตามที ถึงแม้ว่านายจะได้รับผลเสีย... แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลดีตามมาซะหน่อย” จุนซูกล่าว “แถมยังมีตอนที่นายเห็นลูกแมวติดอยู่บนต้นไม้อีก พอนายเห็นว่ามันตัวสั่นงันงกแถมยังทำท่ากล้าๆกลัวๆที่จะต้องลงมานายก็เลยไม่คิดอะไรแล้วปีนต้นไม้ขึ้นไปช่วยมันทันที ตอนแรกมันก็ดูเท่ห์จนน่ากรี๊ดให้อยู่หรอกนะ... แต่กลับมาแป้กตรงที่สุดท้ายนายตกลงมาจากต้นไม้เนี่ยแหล่ะ เล่นเอานายต้องใส่เฝือกที่ขาไปตั้งหลายอาทิตย์ เฮ่อ... เห็นล่ะกลุ้ม”
“นึกว่าจะทำตัวเป็นพระเอกซะหน่อย... ที่ไหนได้...” เซ็งตัวเองจริงๆ... ทำอะไรก็ไม่เคยจบอย่างดีๆเลยซักอย่างให้ตายสิ
“แต่เพราะว่านิสัยตรงส่วนนั้นแหล่ะ... มันทำให้ฉันตัดสินใจที่จะคบนายเป็นเพื่อน” จุนซูกล่าว “ถึงต่อหน้านายจะเป็นคนห่ามๆ ไร้อารยธรรมก็เถอะ แต่จริงๆแล้วนายน่ะเป็นคนดีเอามากๆเลยแหล่ะ”
“อย่าพูดให้ซึ้งนะเว้ย หัวเด็ดตีนขาดยังไงกูก็ไม่ร้องไห้ให้มึงหรอกนะ”
“ไอ้บ้า... นี่ฉันกำลังชมแกอยู่นะเฟ้ย นานๆทีจะพูดแบบนี้สักทีก็หัดพูดดีๆตอบมั่งสิฟะ” มันก็จริงนะ... ที่ผ่านมาอ่ะกี่ทีๆแกก็เอาแต่จะใส่ไฟฉันตลอดเวลาเลยนี่ฝ่า “แต่ฉันเชื่อนะว่า... ถ้าหากนายยังคงเป็นตัวของนายเองให้พี่เขาเห็นอยู่อย่างนี้ล่ะก็ เดี๋ยวสักวันเขาก็หลงเสน่ห์ตรงส่วนนั้นของนายเองล่ะ”
“จริงเหรอ?”
“จริงสิ... คนอย่างฉันเคยพูดเล่นซะที่ไหนกันล่ะ?” เออ... คนอย่างมึงอ่ะไม่เคยพูดเล่นเล้ยย หน๊อยย... ไอ้ตอแหล “งั้นแค่นี้ก่อนนะเว้ย เดี๋ยวต้องไปเยี่ยมน้องสาว”
“เออๆ ไปเถอะๆ ป่านนี้แทยอนรอแย่แล้ว เศร้าแทนน้องสาวนายจริงๆเลยนะที่จะต้องมีพี่ชายแบบนายเนี่ย” ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหน่ายๆพร้อมส่ายหน้าไปมาด้วยความระอา “เออ... อีกเรื่อง แกได้เจอกับเพื่อนของฉันยังวะ?”
“เพื่อน?”
“ก็คนที่ไปกับคู่หมั้นของน้องสาวนายอ่ะ เคยเจอยังเนี่ย?”
“อ๋อ... คุณนิชคุณ เขาก็ดูเป็นคนดีนี่นา น่าเสียดายที่ยอมลดตัวไปเป็นเพื่อนกับแกเนี่ย”
“มันน่าจะกลับกันมากกว่านะ ฉันต่างหากที่ยอมลดตัวไปเป็นเพื่อนมัน...” คนนึงก็หน้าหนา... อีกคนนึงก็กวนตีน... ชีวิตกูไม่เคยมีเพื่อนดีๆที่แสนจะเลิศเลอเพอร์เฟ็คมั่งเลยรึไงวะ เอ๊ะ... ไม่ดีๆ เดี๋ยวมันกลบรัศมีที่แสนจะเจิดจรัสของเราหมด แบบนี้แหล่ะดีแล้ว “นายคิดว่าไงอ่ะ... คู่นั้นน่ะเหมาะกันดีมั้ย”
“หมายถึงอะไร? อ๋อ... หายถึงคุณนิชคุณกับอูยองใช่มั้ย?” จุนซูถึงบางอ้อทันที ผมพยักหน้ารับหงึกหงักถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้เห็น “ก็ดูเหมาะสมกันดีนี่นา”
“ใช่มะ? ฉันเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
“งั้นวันนี้แค่นี้ก่อนนะ... บาย”
“เออ... เดี๋ยวๆ”
“มีอะไรอีกล่ะ?”
“ฉันแค่จะบอกว่า... ขอบคุณ”
“...” จุนซูนิ่ง... คงจะไม่นึกว่าจะได้ยินอะไรอย่างนี้ออกมาจากปากผมล่ะสิท่า
“ล้อเล่นน่ะ... แบร่” ผมแล่บลิ้นล้อเลียนพร้อมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกใจ การได้แกล้งเพื่อนเนี่ยมันสนุกจริงๆเลยแฮะ แต่ไม่เท่ากับการได้แกล้งหมวยของผม
“ฮ่าๆ ไอ้บ้าเอ๊ย” จุนซูเองก็ร่วมหัวเราะไปด้วย “งั้นวันหลังโทรมาแล้วกันนะ ฉันเปิดเครื่องอยู่ 24 ชม. แต่ขอร้องอย่าโทรมาหลังตีหนึ่งถึงตีห้า ด้วยเหตุผลที่ว่าฉันกำลังฝันถึงโซนดัมบี”
“ก็แค่ฝันล่ะวะ เจอตัวจริงเมื่อไหร่ค่อยมาโม้”
“เออน่า... ถึงจะแค่ฝันแต่ฉันก็ชอบ” จุนซูตอบ “เอาล่ะ... สายมากแล้ว... บายนะ”
บทสนทนาของเราสองคนถูกจบลงเพียงแค่นั้นด้วยการกดวางสายของจุนซู ผมจ้องมือถือของตัวเองสักพักราวกับอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนี้จะมีเขางอกออกมา... ไม่รู้ว่าทำไม ถึงสายตาของผมจะจดจ้องอยู่ที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง แต่สมาธิของผมมันกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ผมกำลังคิดอะไรสักอย่าง...
และทันใดนั้นก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นขัดสมาธิของผมพอดี...
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างนิ่มนวล ราวกับว่าผู้เคาะไม่ต้องการให้เกิดเสียงดังรบกวนคนที่อยู่ข้างในมากนัก ผมซึ่งบังเอิญได้ยินเสียงนั้นเข้าพอดีจึงผุดลุกขึ้นและเดินออกจากห้องนอนของตัวเองไปโดยอัฒโนมัติ เช่นเดียวกับคนที่อยู่ในห้องข้างๆกับห้องของผม
“ฉันได้ยินเสียงเคาะประตู” พี่เจย์ที่โผล่หน้าออกมาจากห้องของตัวเองกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าผมมีพฤติกรรมแบบเดียวกัน
“งั้นเดี๋ยวผมไปเปิดให้” ผมพูดไว้เพียงแค่นั้นแล้วเดินตัวปลิวออกจากห้องของตัวเองไปยังประตูบ้านทันที แต่ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆก่อนที่จะเอื้อมไปบิดลูกบิดมือของผมก็ถึงชะงักไปเสียอย่างนั้น ผมใช้เวลาชั่งใจอยู่เพียงชั่ววินาทีก่อนที่จะนึกได้และดันประตูออกไป “ใครครับ...”
ผมเปิดประตูห้องออกมาและพบกับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำท่ากระวนกระวายอยู่หน้าประตูราวกับเป็นผู้ร้ายในคดีโจรกรรมร้านเพชรเลยยังไงยังงั้น ผมเอียงคอมองเธอด้วยความสงสัย... ทำไมถึงต้องปิดหน้าปิดตาถึงขนาดนั้นด้วยนะ เธอใส่หมวกแก๊บสีน้ำตาลอ่อนคลุมผมไว้เสียมิดชิดปล่อยให้เห็นเพียงแค่ปอยผมที่เก็บไม่หมดเท่านั้น สวมแว่นตาดำอันใหญ่เทอะทะเกินกว่าเหตุจนแทบจะหลุดลงมาจากดั้งอยู่แล้ว ไม่ใช่ปกปิดเพียงแค่ที่ใบหน้า... เธอสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำราคาแพงหูดับตับไหม้ ทั้งๆที่นี่เป็นหน้าร้อน แต่ว่าเรื่องพรรค์นั้นช่างมันเถอะ... ท่าทางแบบนี้เหมือนเคยเจอที่ไหนกันนะ เอ๊ะ! หรือว่า...!!
“สวัสดีค่ะ... นี่บ้านคุณปาร์คแจบอมหรือเปล่าคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ส่วนผมก็ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“นี่... นี่เธอ...?”
“...” ผู้หญิงคนนั้นดึงแว่นกันแดดอันใหญ่เทอะทะเกินกว่าเหตุออกมาจากใบหน้าของเธอและสะบัดศรีษะเบาๆ เธอจ้องเขม็งตรงมายังผมและยิ้ม “สวัสดี... อ๊คแทคยอน เจอกันอีกครั้งจนได้นะ”
“เจสสิก้า จองซูยอง!!!!”
______________________________________________________________________________
ความคิดเห็น