คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : Chapter 16 ผู้หญิงคนนั้น... กับเรื่องที่ต้องการจะบอก
Chapter 16 ผู้หญิงคนนั้น... กับเรื่องที่ต้องการจะบอก
“ถ้าหากคนๆนั้นที่นายรักมีหน้าที่ๆจะต้องเลือกระหว่างนายกับคนที่สำคัญมากคนหนึ่งในชีวิตของเขาล่ะก็... นายจะยังเลือกที่จะรักเขาอยู่ไหม?”
คำถามนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังจากที่ผมได้รับรู้ถึงความลับที่ถูกปิดบังไว้ภายในหัวใจของเด็กคนนั้น เขาแบกรับทุกๆสิ่งไว้โดยที่ไม่เคยบอกใครเลยสักคนเดียว ผมเกิดความรู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้มาตลอดขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับโชคร้าย แต่เธอโชคดีที่มีเด็กคนนั้นคอยดูแล เธอถือเป็นคนที่โชคดีเอามากๆเลยที่เดียวที่ได้เป็นคนสำคัญอันดับหนึ่งของเด็กคนนั้น เขาสามารถทำทุกสิ่งได้เพื่อคนที่สำคัญของเขา ถึงแม้มองแล้วมันจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บลึกๆภายในใจ... แต่ก็คงต้องปล่อยมันไปตามกาลเวลา
ถ้าหากถามว่า... เมื่อเขาต้องผูกติดอยู่กับภาระหน้าที่ตรงนั้นแล้วล่ะก็ ผมจะยังคงรักและเลือกที่จะรอเขาอยู่อย่างนี้อีกหรือเปล่า?... ผมจะไม่ลังเลเลยที่จะตอบว่า “ใช่” ผมรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้หญิงคนนั้นมากกว่า... แต่ผมก็จะไม่ตัดใจ
ผมอยู่ในฐานะของคนๆหนึ่งที่เขาใช้เป็นที่พึ่งพิง เป็นเพียงสถานที่เดียวที่เขาเลือกที่จะวิ่งกลับมาและร้องไห้เวลาที่เขาเสียใจ ผมไม่ลังเลและไม่รังเกียจที่จะกอดปลอบให้เขาใจเย็นลง คอยบอกอยู่เสมอๆว่า “ไม่เป็นไรนะ” ถึงแม้ว่าอยู่ในสถานะที่เป็นรองอยู่เสมอ แต่ผมก็ยอม... ถ้าหากว่ามันจะสามารถทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้แม้สักนิดก็ยังดี
ถึงผมจะเป็นรอง... แต่ผมก็จะทำให้เขาได้รับรู้ว่าผมสามารถทำหน้าที่ๆเขาโยนมาให้นี้ได้ดีอย่างที่เขาเคยคาดหวังไว้... ผมจะไม่เป็นคนที่ทำให้เขาต้องเสียใจเป็นอันขาด... เพราะว่าผมรักเขายิ่งกว่าใครๆ... และความรักของผมจะไม่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดเหมือนกับที่เขาต้องเผชิญอยู่ในตอนนี้อีกต่อไปแล้ว...
“พี่คุณ พี่หลับอยู่เหรอ?” เสียงเล็กๆที่ดังขึ้นในโสตประสาทปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากความคิดฟุ้งซ่านภายในสมองหลังจากที่ผมเผลอตัวสัปหงกไประยะหนึ่ง ผมเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆก่อนที่จะหันกลับไปมองเด็กแก้มย้วยที่กำลังจับพวงมาลัยรถอยู่ที่นั่งคนขับข้างๆด้วยท่าทางงัวเงียเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน “ตื่นได้แล้วครับพี่ เรามาถึงแล้วนะ”
ผมเริ่มต้นที่จะอ้าปากหาว วันนี้ผมสบายหน่อยเพราะว่าไม่ต้องขับรถเอง มีโชเฟอร์ประจำตัวคอยขับรถไปไหนมาไหนให้ ด้วยสาเหตุที่ว่าวันนี้ผมรู้สึกง่วงกว่าปกติ อูยองเลยเสนอตัวขอขับให้เองเพราะรบกวนผมมาหลายครั้งแล้ว เขาบอกว่าเขาน่ะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับรถเลยแหล่ะ เอ่อ... ถ้าหากไม่นับรวมตอนที่เขาขับรถเฉี่ยวผมล่ะก็นะ
“หาว... หลับไปซะนานเชียว ถึงโรงพยาบาลแล้วเหรอเนี่ย?”
“พี่อ่ะหลับไปตั้งครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ออกมาจากบ้านแล้วนะ เมื่อคืนพี่นอนไม่หลับเหรอครับ?” อูยองถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยแบบสุดๆ ส่วนผมก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี...
“เอ่อ... มันพูดไม่ถูกอ่ะ” ผมตอบพลางเกาหัวแกรกๆ พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วมันก็รู้สึกเครียดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “พอดีเมื่อวานถูกคนบ่นใส่มากเกินไปหน่อยก็เลยเก็บเอาไปคิดมากเสียจนนอนไม่หลับ อย่าถามนะว่ามันเรื่องอะไร... เพราะว่ามันอาจจะแทงใจดำใครบางคนได้”
ซึ่งไอ้คนที่มันมาบ่นยาวใส่ผมเมื่อคืนก่อนก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอีกล่ะ นอกจากอ๊คแทคยอนผู้เป็นที่รู้จักกันอย่างทั่วถึงในฟิคเรื่องนี้ และพวกคุณก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าเมื่อวานเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับมัน ในตอนแรกผมก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอรู้ว่าผู้หญิงหน้าด้านคนที่ว่านั่นเป็นใครผมก็ถึงกับต้องเบิกตากว้างด้วยความอึ้ง เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นคือ จอง ซูยอง หรือที่รู้จักกันในนาม เจสสิก้า จอง นั่นเอง ถ้าถามว่าทำไมผมถึงตกใจที่ได้ยินชื่อเธอน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเธอมีดีกรีเป็นถึงน้องร้องสาวสวยไอด้อลขวัญใจมหาชนประจำปี 2010 นี่น่ะสิ!! ผมก็รู้อยู่แล้วนะว่าพี่เจย์เป็นคนที่มีเสน่ห์ต่อทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามเอาอย่างมากๆ บวกกับความน่ารักแบบธรรมชาติของเขาก็ยิ่งทำให้คนอื่นหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปได้ง่ายๆ แต่ไม่นึกว่าหนึ่งในนั้นจะรวมถึงผู้หญิงหัวสูงอย่างเจสสิก้า จองคนนั้นด้วย อย่างนี้ไอ้แทคมันจะต้องได้รับศึกหนักพอตัวเลยอย่างแน่นอน เพราะอย่างเจสสิก้า จองคนนั้นคงจะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ...
แต่ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับมันก็คงจะไม่พ้นจุนโฮหรอก
“อืม... ถ้างั้นผมก็จะไม่เซ้าซี้แล้วกันนะ” ดีมาก... นายนี่มันเป็นเด็กดีถูกใจพี่จริงๆอูยอง มาให้จุ๊บสักทีมามะๆ (แอ้ก... ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวโดนข้อหาพรากผู้เยาว์)
“งั้นเราลงกันเถอะ”
“คู่หมั้นของนายเขาอยู่ห้องไหนเหรอ?” ผมกล่าวถามขึ้นในขณะที่เราสองคนกำลังสาวเท้าเดินไปด้วยกันตามเส้นทางในโรงพยาบาล เพื่อเป็นการทำให้บรรยากาศดูไม่อึมครึมเสียจนเกินไป ถึงแม้ว่าการเอ่ยปากถึงคำๆนั้นมันจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดในอกอย่างบอกไม่ถูกก็ตามที...
“อยู่ไม่ไกลมากนักหรอกครับ... ประมาณห้องที่สี่จากตรงนี้” อูยองกล่าวขึ้นพลางชี้นิ้วไปยังจุดที่เขาต้องการจะหมายถึง ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“อืม...” อีกไม่นานแล้วสินะ... ที่ผมจะได้พบกับผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงที่แสนจะโชคดีบนความโชคร้าย... ผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ในที่ๆผมต้องการแต่ไม่สามารถเอื้อมไปถึงได้...
หัวใจของผมเต้นแรงราวกับจะร่ำร้องหาอะไรสักอย่าง พอนึกถึงในเรื่องที่ไม่มีสักครั้งเลยที่ตัวเองต้องการจะนึกถึงมันแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในทันที สายตาของผมทอดมองไปยังผู้ชายคนที่เดินอยู่เคียงข้าง ทำไมกันนะ... ทั้งๆที่ระยะห่างมีเพียงเท่านี้ ดูเหมือนจะอยู่ใกล้ แต่จริงๆแล้วกลับไกลอย่างบอกไม่ถูก ไกลจนแทบจะไม่สามารถเอื้อมไปถึงได้... เขาอยู่คนละมิติกับผมมาตั้งแต่แรก
“อูยอง...” แขนของผมเอื้อมมือไปแตะที่บ่าของคนร่างเล็กข้างๆทันทีที่ความคิดทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นมาในหัว อยู่ใกล้กันแค่นี้... สามารถจับต้องสิ่งที่เป็นรูปธรรมของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่สามารถหยั่งลึกถึงจิตใจของเขาได้เลย “นาย... ทนได้ยังไงกัน?”
“...” อูยองมองหน้าผม ชั่ววูบหนึ่งผมเห็นประกายแห่งความโศกเศร้าฉายว่าบอยู่ในดวงตาสีมืดคู่นั้น “พี่... หมายถึงอะไรเหรอครับ?”
ผมรู้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะหมายถึงเป็นอย่างดี... แต่เพียงแค่เขาไม่ต้องการที่จะยอมรับมันเท่านั้นเอง...
“เรื่องของ... คู่หมั้นของนาย”
“...” อูยองกัดปากตัวเองก่อนที่จะแย้มรอยยิ้มออกมาเล็กๆเป็นการตอบ เขาส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ... ราวกับอยากจะสื่อความหมายว่าเขาไม่ต้องการที่จะพูดถึงมันในตอนนี้
“...” ผมถอนหายใจออกมาอย่างเบาบางก่อนที่จะพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว...”
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มตอบผมก่อนที่จะยื่นมือของตัวเองออกไปบิดลูกบิดประตูตรงหน้า ในวินาทีนั้นเขาหันหลังให้ผม ดูๆไปแล้วเหมือนเขากำลังเปิดประตูห้องเหมือนปกติ แต่สำหรับผมแล้วผมกลับเห็นว่าเขากำลังพยายามที่จะหนีจากความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหลังเสียมากกว่า
ประตูห้องถูกเปิดออกตามแรงผลักของอูยอง เขาเดินนำหน้าเข้าไปในห้องนั้นเป็นคนแรกก่อนที่ผมจะเดินตามเข้าไปติดๆ ภายในห้องนั้นปรากฏร่างของคนสองคนขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ข้างเตียงคนป่วย ในขณะที่อีกคนซึ่งเป็นผู้หญิงนั้นนอนราบอยู่บนเตียงโดยที่มีผ้าห่มผืนหนาห่มทับร่างกาย อูยองที่เดินเข้าไปก่อนผมกล่าวทักทายผู้ชายคนนั้นที่นั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างสนิทชิดเชื้อ
“สวัสดีครับพี่จุนซู” อูยองกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง ทำให้ผู้ถูกทักต้องถอนสายตาที่เคยจดจ้องอยู่กับตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษขึ้นมามองแทบจะภายในทันทีด้วยความตกใจ
“อ้าว... อูยอง แล้วนั่นพาใครมากันน่ะ?” ผู้ชายคนนั้นที่กำลังคุยกับอูยองกล่าวถามขึ้นแล้วพะยักพะเยิดมาทางผมเป็นเชิงสงสัย อูยองหันกลับมามองผมเล็กน้อยพร้อมยิ้มร่าเริง ส่วนผมก็เอียงคอด้วยความงุนงง
“อ๋อ... เขาเป็นเพื่อนของผมน่ะครับ พี่เขาชื่อนิชคุณ พี่คุณครับแนะนำตัวหน่อยสิ” อูยองพูดกับคนตรงหน้าแล้วหันกลับมากล่าวกับผม ผมชี้นิ้วไปที่ตัวเองอย่างงงๆเป็นเชิงว่าฉันเหรอ?? ส่วนอูยองก็ถอนหายใจใส่ผมด้วยท่าทางหน่ายๆก่อนที่จะจับให้ผมมายืนอยู่ตรงหน้าแทนเขา สายตาของผู้ชายคนนั้นที่นั่งอยู่กับเก้าอี้ตรงหน้าของผมจดจ้องมาแน่นิ่งทันทีที่ผมก้าวเดินไปอยู่ตรงหน้า ผมค้อมหลังเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวแนะนำตัวเองออกไป
“สวัสดีครับ... ผมชื่อนิชคุณ หรเวชกุล เป็น... เพื่อนของอูยองเองครับ” ผมรู้สึกแปลกๆที่จะต้องกล่าวคำๆนั้นออกไปต่อหน้าคนที่ (น่าจะ) มีศักดิ์เป็นถึงพี่ชายของคู่หมั้นของอูยอง มันไม่ใช่อะไรหรอก... แต่ผมแค่รู้สึกขัดใจนิดๆกับคำๆนั้นที่เขายัดเยียดมาให้ต่างหาก ทั้งๆที่ผมคิดเกินเลยไปมากกว่านั้นตั้งเยอะ
ผมไม่น่าเลย... ไม่น่าเลยจริงๆ... ไม่งั้นตอนจบคงจะแฮปปี้เอ็นดิ้งมากกว่านี้...
“ผมชื่อคิมจุนซูครับ อ่า... ผมคิดว่าเราน่าจะอายุพอๆกันนะ ไม่ต้องพูดสุภาพนักก็ได้ครับ” ผู้ที่ชื่อคิมจุนซูกล่าวพลางยันตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ พอเขายืนเต็มความสูงแล้วผมถึงได้รับรู้ว่าเขาเตี้ยกว่าผมแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
“เอ่อ... คือว่า...ผมชินกับแบบนี้มากกว่า” ผมเกาหัวแกร่กๆแล้วกล่าวตอบไป หวังว่าเขาจะไม่หาว่าผมบ้าหรอกนะ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ชินกับการพูดแบบเป็นกันเอง แต่ผมแค่... รู้สึกแปลกๆ
“อ้อ... เหรอครับ แบบนี้ดีกว่าสำหรับคุณสินะ งั้นก็ได้” คิมจุนซูตอบรับด้วยท่าทีที่เหมือนกับว่าไม่ค่อยเข้าใจที่ผมต้องการจะหมายถึงเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น “อูยอง... เดี๋ยวพี่ปลุกแทยอนให้นะ เอามั้ย?”
“เธอหลับอยู่เหรอครับ อ่า... งั้นไม่เป็นไรหรอก ผมนี่กะจังหวะไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆนะ งั้นวันหลังผมค่อยมาใหม่แล้วกันนะครับพี่จุนซู”
“ไม่ต้องหรอก ฉันตื่นแล้ว...” เสียงเล็กๆของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ก่อนที่ผมจะเห็นว่าร่างของหญิงสาวที่เคยนอนราบหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงลุกขึ้นมาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน สายตาของเธอมองไปยังอูยองในครั้งแรก ก่อนที่จะเบือนมามองผม แล้วเธอก็แย้มรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ คุณนิชคุณใช่มั้ยคะ?”
“ครับ... อ่ะ... เอ๋... คุณรู้จักชื่อผมได้ยังไงกันครับ?”
“คิกๆ ก็อูยองน่ะสิคะ” เธอหัวเราะคิกคัก เธอดูเป็นคนที่สดใสและมีชีวิตชีวาเอามากๆเลย ตอนแรกก่อนที่จะมาเจอผมนึกว่าเธอจะเป็นคนที่เซื่องซึมมากกว่านี้ซะอีก “อูยองน่ะ... มาที่นี่กี่ทีๆ ก็ไม่มีเคยเลยสักครั้งที่เขาจะไม่พูดถึงเรื่องของคุณขึ้นมา ดูเขาจะเชื่อใจคุณเอามากๆเลยนะคะ”
“คือว่า... ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งครับ...”
“อูยองน่ะสนิทกับคุณมากๆเลยนะคะ” เธอยิ้มกว้างเสียจนตาหยี ก่อนที่จะเบือนหน้าไปขอความเห็นจากอูยองที่ยืนอยู่ข้างๆผม “เนอะ... ใช่มั้ยอูยอง?”
“อืม... ก็พี่เขาน่ะเป็นคนดีสำหรับฉันมากเลยนี่นา” อูยองกล่าวขึ้น ผมมองเขานิ่ง... ถึงจะบอกว่าเป็นคนดี แต่นายก็คงจะคิดกับฉันแค่ พี่ชาย สินะ
“นี่! อูยอง มานี่หน่อยได้มั้ย?” เสียงของคุณจุนซูดังขึ้นจากที่หน้าประตูห้องขัดบทสนทนาของเราลงอยู่เพียงเท่านั้น อูยองพยักหน้าตอบรับน้อยๆก่อนที่เขาจะวิ่งไปทางคนที่เรียกตัวเองอยู่ทันที ผมทำท่าจะวิ่งตามไป แต่กลับถูกมือของใครบางคนรั้งชายเสื้อไว้เสียก่อน
“คุณ...?”
“ไม่ต้องไปหรกค่ะ ปล่อยให้เขาสองคนเคลียร์เรื่องกันเองดีกว่า พวกเขารู้เรื่องนี้ดีมากกว่าคุณ” คุณแทยอนกล่าวกับผม พลันรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเธอ “แล้วอีกอย่าง... ถ้าไม่ใช่ครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราจะได้คุยกันอย่างเปิดอกอย่างนี้อีก”
“คุณต้องการอะไรกันแน่ครับ?” ผมถามออกไปอย่างระหวาดระแวง... ทั้งๆที่ไม่มีอะไรที่ผมสมควรจะต้องระแวงเลยสักนิด
“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณหรอกค่ะ” เธอยิ้มให้กับผม “ฉันเพียงแค่อยากจะบอกกับคุณว่าฉันน่ะมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับคุณก็เท่านั้นเอง”
“เรื่องที่อยากจะพูดกับผม?”
“ใช่ค่ะ” เธอกล่าวตอบพร้อมพยักหน้ารับน้อยๆ “เรื่องเกี่ยวกับคุณและ... อูยอง”
อูยอง...?
นี่ผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรจากผมกันแน่นะ??
“คุณคงจะรู้เรื่องของฉันกับอูยองมาแล้ว เรื่องที่ฉันกับอูยองเป็นคู่หมั้นกันมาตั้งแต่เด็กๆ รวมถึงเรื่องโรคร้ายที่หัวใจของฉัน” แทยอนเรื่มต้นเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่รอยยิ้มก็ไม่ได้จางหายออกไปจากใบหน้าของเธอแต่อย่างใด “ฉันน่ะเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว แต่มันเพิ่งมาออกอาการเรื้อรังมากขนาดนี้เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วนี่เอง ฉันถูกส่งตัวมาอยู่ที่โรงพยาบาล มีเพียงพี่ชายคนเดียวที่คอยดูแล กับอูยองที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจมาตลอด”
“...”
“แต่คุณก็คงจะดูออกสินะคะว่าอูยองน่ะเอาใจใส่ฉันมากขนาดไหน” คำๆนั้นที่ออกมาจากปากของเธอทำให้ผมรู้สึกอึดอัด... ทำไมผมจะดูไม่ออกล่ะ ในเมื่อเขาแสดงอาการออกมาตั้งมากขนาดนี้แล้ว... “แต่คุณไม่รู้หรอก... ว่าที่เขาทำไปน่ะเพียงแค่เพราะว่าเขามีหน้าที่ติดพันอยู่เพียงเท่านั้นเอง”
“เอ๋?”
“ดังนั้นอย่าห่วงไปเลย...” เธอเหยียดยิ้มพราวส่งมายังผม แต่เบื้องหลังรอยยิ้มนั่นกลับมีความหายบางอย่าง “อูยองน่ะเห็นว่าฉันเป็นคนสำคัญ... แต่ว่าฉันไม่ใช่คนที่ ‘ใช่’ สำหรับเขาหรอกนะคะ”
“คุณหมายความว่ายังไงกันครับ... ที่ว่า... คนที่ ‘ใช่’ น่ะ?”
“ฉันว่าคุณน่าจะเข้าใจนะ” เธอเอียงคอมองผม “ใช่มั้ยคะ? เพราะคุณเองก็คงหวังว่ามันจะไม่ใช่เหมือนกัน”
“...” ผู้หญิงคนนี้ดูออกด้วยเหรอ... ความรู้สึกของผมต่อเด็กคนนั้น
“อูยองน่ะยึดติดกับคำว่า ‘คู่หมั้น’ ของฉันกับเขามากเกินไป... จนทำให้เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหัวใจของเขาต้องการใครกันแน่” เธอกล่าว “ใครที่เขาต้องการที่จะเฝ้ามองตลอดเวลา ใครที่เขาต้องการจะใช้เป็นที่พึ่งพิงในเวลาที่รู้สึกเศร้าใจ ใครที่เขาต้องการจะโอบกอดในวันที่เหน็บหนาว และ... ใครคนนั้นที่เขาต้องการให้ดูแลตัวเองไปตลอดชีวิต”
“...” ม... หมายความว่ายังไง
“ฉันเคยได้ยินเรื่องของคุณมาจากปากของเขาตั้งนานแล้ว ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เขามาที่นี่แล้วจะไม่พูดเรื่องของคุณออกมา เวลาที่เขาพูดถึงคุณเขาจะมีใบหน้าที่สดใสยิ้มแย้มตลอดเวลา เขามีความสุขมากเลยนะคะที่ได้อยู่กับคุณ” แทยอนยิ้ม “เขาเป็นฝ่ายดูแลฉันมาตลอด เขาเหนื่อยล้ามามากแล้วกับโรคที่แสนจะเลวร้ายของฉัน และในวันนั้นคุณก็เข้ามาในชีวิตของเขา... เขาใช้ฝ่ามือของคุณเป็นตัวที่ฉุดดึงให้ตังเองลุกขึ้น เขาใช้บ่าของคุณเป็นที่พึ่งพิง เขามีคุณเพียงคนเดียวที่เป็นสถานที่สำหรับพักใจของเขา เขามีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น...”
“ผมเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อูยองน่ะ... เขาต้องการคุณนะคะ”
“ไม่หรอกครับ... มันจะเป็นไปได้ยังไง” ผมรีบปฏิเสธทันควัน ทั้งๆที่ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “อูยองน่ะให้ความสำคัญกับคุณมากเลยนะครับ แล้วเขาจะ... เลือกผมได้ยังไง”
ยังไงๆ... คู่หมั้นในสมัยเด็กก็คงจะสำคัญกว่าคนที่มาทีหลังอย่างผมอยู่แล้ว...
“มันก็จริงนะคะ... ที่ว่าเขาให้ความสำคัญกับฉันมากเสียยิ่งกว่าอะไร” เธอกล่าว “แต่ว่า... ฉันรู้ค่ะว่าคนที่เขาต้องการจริงๆน่ะไม่ใช่ฉันหรอก”
“เอ๋?” แปลว่า... ผม... มีโอกาสเหรอ?
“แต่ฉันเกรงว่า... ฉันจะเป็นคนที่ทำให้เขาไม่สามารถรู้สึกถึงความต้องการลึกๆในหัวใจที่แท้จริงของตัวเองได้” เธอก้มหน้าลง น้ำเสียงของเธออ่อนลงเล็กน้อย เชื่อว่าเธอคงจะต้องรู้สึกแย่ขึ้นมาแน่ๆเลย “แต่ฉันคิดว่า... ฉันคงจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้อีกไม่นาน...”
“คุณ... คิดจะทำ...” คงไม่คิดจะเสียสละตัวเองเพื่อใครหรอกนะ...
“การจากไปของฉันจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดใจ... มีเพียงแค่คุณเท่านั้นที่จะสามารถอุดช่องว่างที่หัวใจของเขาตรงนั้นได้” เธอกล่าว รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเธอยังคงฉายแววอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย แต่มันกลับให้ความรู้สึกเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก “ฉันไม่ได้จะหมายความว่าคุณเป็นตัวแทนของฉันหรอกนะคะ แต่เพียงแค่ฉันเป็นคนขวางกั้นเส้นทางของพวกคนสองคนไว้เท่านั้นเอง ถ้าหากฉันหายตัวไปในสักวันหนึ่ง... มันก็จะเป็นการง่ายที่เขาจะมองเห็นคุณ”
“คุณ... คุณคงไม่คิดที่จะเสียสละตัวเองสินะครับ” ผมโพล่งขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว การพูดแบบนี้... มันเหมือนกับว่าตัวเองจะต้องตายเพื่อผมกับเขาเลยนี่นา “ไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดคุณจากไป... เขาก็คงจะ...”
เขาก็คงจะ... เจ็บปวดมากๆเลยอย่างแน่นอน...
“อย่าทำอย่างนั้นนะครับ...”
“...” เธอยิ้ม... แต่เป็นยิ้มแห่งความโศกเศร้า “ฉันจะไม่ทำอะไรหรอกค่ะ เป็นเพราะว่าถึงแม้ฉันจะอยู่เฉยๆอย่างนี้ต่อไป... แต่ฉันก็คงจะไม่รอดพ้นจากชะตากรรมอยู่ดี”
“คุณ... คิดว่าตัวเองจะตายเหรอครับ?”
“...” รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า “ทำไมกันนะ... เวลาที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ แทนที่ฉันจะเสียใจ... แต่ฉันกลับรู้สึกโล่งอกเสียมากกว่า”
“...”
“คงเพราะว่า... มันเป็นสิ่งที่ดีต่อคนที่ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนแท้เพียงคนเดียวของฉันล่ะมั้ง คงเพราะอย่างนั้นแหล่ะค่ะ” แทยอนกล่าว... ที่หางตาของเธอมีน้ำตาปริ่ม “ตั้งแต่เด็กแล้ว อูยองเป็นเพียงคนเดียวที่คอยปกป้องฉันมาตลอด เพราะว่าฉันเป็นคนที่มีสภาพร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อนคนสำคัญของฉันกำลังมีความสุข... ก็เลยอดที่จะที่จะมีความสุขตามไปด้วยไม่ได้น่ะค่ะ”
อูยองสำคัญกับผู้หญิงคนนี้มากเลยจริงๆ... เธอจึงถึงกับยอมที่จะรอรับความตายอยู่อย่างนี้โดยที่ไม่ทำอะไร...
ความตายของผู้หญิงคนนี้จะเป็นการทอดสะพานทำให้เราสองคนพบรักกันได้อย่างนั้นน่ะเหรอ?
แบบนั้น... ดีแล้วจริงๆน่ะรึ...?
“ผมไม่ต้องการความรักที่เกิดจากการสูญเสียหรอกนะครับ” ผมกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ผมจะต้องทำให้เขารักผมเพราะว่าผมเป็นผมจริงๆ ไม่ใช่ในฐานะตัวแทนของใคร”
“...”
“ผมจะปกป้องเขาเองครับ อย่าเป็นห่วงไปเลยนะ”
“...”
“ผมจะไม่มีวันทำให้เขาต้องเสียใจ... หรือร้องไห้อย่างเด็ดขาด ผมจะไม่ยอมแน่ๆครับ”
“...”
“เพราะว่าผม... รักเขาจริงๆ”
“...” เมื่อได้ยินดังนั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเด็กสาว เธอจ้องมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน “ถ้าเป็นคุณ... ฉันก็คงพอจะฝากฝังเขาไว้ได้”
“...”
“ช่วยปกป้องอูยองด้วยนะคะ ถ้าเป็นคุณ... ฉันก็คงจะเชื่อใจได้”
“...” ผมเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนที่จะกล่าวตอบรับออกไปด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ครับ”
______________________________________________________________________________
ความคิดเห็น