ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic 2PM TJ & KD & CH] Hyung, Can we be more than friend?

    ลำดับตอนที่ #19 : [SF] That day สักวัน... วันนั้น

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 53


    [SF] That day สักวัน... วันนั้น

    Nichkhun X Wooyoung

    มันเกิดขึ้นเป็นเวลานานมากหลังจากวันนั้น... วันที่เวลาทั้งหมดของผมหยุดนิ่งลง...


    พอรู้สึกตัวอีกที... ผมก็ได้กลายเป็นคนไร้ตัวตนที่พี่ไม่สามารถสัมผัสและจับต้องได้อีกต่อไปแล้ว...



    นานหลายปีแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่... ผมคิดเพียงเท่านี้ในขณะที่ย่ำฝ่าเท้าไปตามระเบียงไม้ในหน้าหนาวที่เย็นยะเยือก ลมพัดแรงทำให้ผมต้องห่อกายตัวเองลงเพื่อป้องกันความเหน็บหนาวด้วยความเคยชินถึงแม้ว่าตามความเป็นจริงแล้วจะไม่ได้รับความรู้สึกหรือสัมผัสใดๆตอบกลับมาก็ตามที ผมมองไปตามกิ่งไม้ที่ไหวเอน น่าอิจฉาจังเลย... ทำไมผมถึงเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่สามารถสัมผัสหรือรู้สึกถึงสิ่งของที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมได้เลยนะ


    ผมแค่นยิ้มให้กับตัวเอง อยากจะให้กำลังใจว่านี่มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย... แต่ผมเองก็เหนื่อยเกินไป... ผมมองผ่านกระจกบางใสที่เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงเขตแดนของพื้นที่บริเวณห้องนอนกับระเบียงเบื้องนอก พบกับเตียงนอนหนึ่งอันแสนคุ้นเคยที่ถูกทิ้งไว้ให้ว่างเปล่าอยู่เช่นนั้นอย่างไม่เป็นระเบียบ รอยยับยู่ยี่ที่บนเนื้อผ้าปรากฏให้เห็นเด่นชัดทำให้สามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าของเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นานมานี้เอง ผ้าห่มเนื้อดีถูกขยุ้มเสียจนตอนนี้กลายเป็นกองอะไรก็ไม่รู้อยู่ที่ปลายเตียง ผมมองสภาพห้องแบบนั้นแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้... ทำตัวอย่างนี้ไม่สมกับเป็นพี่เลยนะ อะไรทำให้พี่ผู้แสนระเบียบจัดคนนั้นเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้กันแน่...


    ไม่นานนักหลังจากที่ผมยืนมองอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาสักพัก ประตูที่ถ้าหากจำไม่ผิดน่าจะเชื่อมติดต่อกับห้องน้ำก็ถูกเปิดผ่างออกอย่างช้าๆ ปรากฏให้เห็นร่างสูงสง่าของใครบางคนที่เดินออกมาด้วยท่าทางง่วงงุน ดูเหมือนว่าความสูงของเขาจะเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนนิดหน่อย คาดตอนนี้หัวของผมคงจะอยู่ต่ำกว่าระดับไหล่ของเขาแล้วกระมัง เขาอ้าปากหาววอดๆไปพลางติดกระดุมเม็ดล่างสุดไปด้วย ดูจากตอนนี้เสื้อผ้าหน้าผมล้วนถูกจัดแต่งมาอย่างลวกๆทำให้ค่อนข้างจะดูยุ่งเหยิงและกระเซอะกระเซิงไปนิด ทำให้เขาดูกลายเป็นผู้ชายเซอร์ๆไปเลยผิดจากอิมเมจดั้งเดิมของเขาอย่างลิบลับ คิกๆ... พี่ชายคนนั้นเปลี่ยนไปมากๆเลยจริงๆนะ


    "ครับ... นิชคุณเอง... อ้าวพี่... วันนี้พี่จะให้ผมไปไหนอีกล่ะ?" เสียงผู้ชายที่แสนคุ้นเคยคนนั้นดังลอดออกมาจากในห้องหลังจากที่เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ที่เคยสั่นครืดๆอยู่บนโต๊ะของเขานั้นหยุดลง เกิดจากการที่เขายกมันขึ้นและกดรับสายผู้ที่โทรมาอย่างเชื่องช้า ผมเห็นภาพนั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้ม... เขาเปลี่ยนเป็นคนเซื่องๆตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ... "อ๋อพี่ วันนี้ผมคงจะไปไม่ได้หรอก พอดีผมนัดคนไว้น่ะ ครับๆ สวัสดีครับพี่"


    ผมเอียงคอมองหน้าเขาด้วยความงุนงง แต่งหล่อแถมบอกว่ามีนัดแบบนี้แสดงว่าคงจะนัดกับสาวไว้ล่ะสิ แหม... เปลี่ยนไปเยอะนะพี่คุณเนี่ย เมื่อก่อนเห็นเป็นคนขี้อายๆไม่นึกว่าจะรุดหน้ามากขนาดนี้ ผมแอบอมยิ้มนิดๆให้เขาที่ยังคงวุ่นอยู่กับการแต่งตัวให้ดูดีอย่างร่าเริง กาลเวลายิ่งผันแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ... นานวันคนเราก็จะยิ่งเปลี่ยนสินะ...


    มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลย... เพราะนาฬิกาของผมมันหยุดลงตั้งแต่ในวันนั้นแล้ว...


    "อ๋า อะไรอีกล่ะเนี่ย แทคยอนเหรอ? โทรมากันทำไมตอนนี้นะ?" ผู้ชายคนนั้นบ่นกระปอดกระแปดด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงทั้งๆที่มืออีกข้างยังคงง่วนอยู่กับการใส่รองเท้าหนังเงาวับ ผมได้แต่หัวเราะร่วนอย่างขบขัน... ท่าทางเก้ๆกังๆแบบนี้ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนักหรอกนะเนี่ย... ในขณะที่เขากดรับสายและส่งเสียงตอบรับคนที่ปลายสายไป คิ้วได้รูปของเขาก็ม้วนพันกันจนแทบจะขมวดเป็นปมได้อยู่แล้ว "ย่า! ว่าไงแทคยอน โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย?"


    ในขณะที่เขากำลังสนทนากับคนปลายสายอย่างออกรสผิดกับคนที่สนทนาด้วยเมื่อกี้อย่างลิบลับ ผมก็ได้แต่เฝ้ามองเขาด้วยแววตาอบอุ่นเหมือนอย่างที่ผมเคยมองเขามาตลอดหลายปีก่อนหน้านี้ ถึงแม้ภายนอกและนิสัยเขาจะเปลี่ยนไปมาก แต่เชื่อว่าภายในเขาจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแน่ๆ ผมปักใจเชื่อว่าอย่างนั้น


    "อืม... เออแทค... เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ ฉันจะต้องรีบออกไปแล้ว" เขากล่าวเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะปิดบทสนทนาลงอย่างรวบรับ ก่อนหน้าที่เขาจะปึงปังเปิดประตูออกไปเขาก็ชักสีหน้าเล็กน้อยพร้อมกับสบถออกมาว่า "วันนี้มันวันอะไรกันแน่เนี่ย..." ผมมองภาพนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงเวลาจะผ่านไปนานเสียจนภายนอกและนิสัยของพี่เปลี่ยนไปจนจะหมดเค้าเดิมอยู่แล้ว... แต่ไอ้นิสัยใจร้อนนี่ก็ยังแก้ไม่หายซะทีเลยสินะ


    อืม... สถานการณ์แบบนี้มีแต่ผมคนเดียวที่จะจัดการให้อยู่หมัดได้งั้นสินะ เฮ่อ... แล้วผมจะจัดการกับพี่ยังไงดีกันล่ะเนี่ยอย่างนี้...


    ผมได้แต่คิดสะระตะแล้วก็อมยิ้มอยู่เพียงคนเดียวในห้องเป็นเวลาสักพัก ก่อนที่จะใช้จังหวะที่เขากำลังจะปิดประตูลงเพื่อลอดช่องออกไปอยู่ข้างนอกด้วยเช่นเดียวกันกับเขา ผมสาวเท้าเข้าไปยืนใกล้ๆจนผิวหนังของเราแทบจะสัมผัสกันได้อยู่แล้ว และใช้เวลาเดินวนเวียนไปรอบๆกายของเขาอย่างเริงร่าราวกับกำลังเล่นเก้าอี้ดนตรี ถึงจะมองมุมไหนผมก็คิดไม่ผิดจริงๆที่พูดว่าพี่น่ะ "หล่อ" เค้าโครงใบหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนไปจะออกไปทางลักษณะโดยรวมอย่างความสูงซะส่วนใหญ่ ไม่ใช่แค่นั้น... ผมรู้สึกว่าเขาหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อยด้วย ดูดุดันแตกต่างไปจากเมื่อก่อนที่เคยมีอิมเมจเป็นคนอ่อนโยน แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงเหลือความอ่อนโยนจางๆอยู่บนใบหน้าคมเข้มนั้น พี่เปลี่ยนไปแล้ว... แต่ก็ยังคงเป็นพี่คนเดิม...


    ผมใช้เวลาเดินเคียงข้างผู้ชายคนนี้ที่ผมแสนจะคุ้นเคยมาสักพักหนึ่ง ผ่านร้านค้ามากมายที่เรียงรายอยู่ข้างทางซึ่งประดับประดาไปด้วยสีสันและดีไซด์ที่น่าสนใจเสียจนทำให้ผมลายตา เดินผ่านมาร้านแล้วร้านเล่า... ผมมองไปตามร้านค้าสวยหรูพวกนั้นด้วยความคิดถึงคนึงหา กาลเวลาทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ... ไม่เว้นแม้แต่ผู้คน ชั่ววินาทีนั้นผมเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากเสียจนจำไม่ได้นี่นา...


    โดยรวมแล้วก็ถือว่าเขายังคงเหมือนเดิม... ใช่มั้ย...?


    ผมรู้สึกว่าตัวเองเดินตามเขามาใกล้กับเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ถ้าหากความรู้สึกของผมมันไม่ผิดล่ะก็เชื่อว่าเป้าหมายของเขามันคงจะอยู่ใกล้ๆนี่ อยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆตรงหัวมุมถนนนั่น ทำไมผมรู้น่ะเหรอ... เพราะผมใช้เวลาอยู่กับเขาคนนี้มานาน ศึกษามามากมายหลายเรื่องแล้ว ทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่สายตาของเขาจ้องมองตรงไปมักจะเป็นเป้าหมายของเขาอยู่เสมอๆ ที่โต๊ะเล็กๆหน้าร้านกาแฟนั้นเป็นจุดที่สายตาของพี่จ้องมองตรงไป ที่นั่นมีผู้หญิงน่าตาน่ารักคนหนึ่งกำลังนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสืออยู่อย่างสบายอารมณ เธอเป็นผู้หญิงผมยาวที่กัดสีมาเสียจนเป็นสีออกน้ำตาลทองแถมยังมีไฮไลท์สีแดงเป็นหย่อมๆอีกต่างหาก แต่โดยรวมแล้วพิจารณาจากหน้าตาและท่าทางของเธอก็น่าจะเป็นผูหญิงที่นิสัยดีไม่หยอกเลยทีเดียว เหมาะแล้วล่ะ... เหมาะกับเขา...


    อา... สไตล์ของพี่เป็นแบบนี้สินะ... แหม... ที่ตอนอยู่กับผมไม่ยักกะเคยบอก... จะได้ช่วยหาให้สักคน...


    "พี่วิคตอเรียครับ มารอนานแล้วเหรอ?" ผู้ชายคนนั้นกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเหมือนปกติ ขนาดวิธีการสนทนาของเขายังเปลี่ยนแปลงไปเลยเสียจนเห็นได้ชัด... "ผมขอโทษนะครับ พอดีวันนี้ผมตื่นสายไปหน่อย"


    ผู้หญิงผมสีน้ำตาลทองคนนั้นละสายตาออกจากหนังสือเล่มหนาก่อนที่จะปิดมันลงอย่างแผ่วเบา ในขณะที่เธอวางหนังสือเล่มนั้นลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่เองหน้าเธอก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับเขาด้วยอย่างอ่อนโยน "ไม่เป็นไรหรอก แหม... ใครจะไปโกรธคุณลงล่ะ เอ้า... นั่งสิจ๊ะ"


    เธอเชื้อเชิญให้ผู้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ไม้สไตล์คลาสสิคฝั่งตรงข้ามกับตัวเอง ผมเห็นด้วยกับคำพูดของเธอจับใจ... ก็นั่นน่ะสิ... ใครจะโกรธพี่ลงกันล่ะ ผมได้แต่ยิ้มแล้วก็มองสองคนนั้นอย่างเงียบๆอยู่เพียงคนเดียว ทั้งๆที่ผมยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้วแต่พวกเขากลับไม่เห็น ไม่สิ... เรียกว่าไม่สามารถมองเห็นได้ต่างหากล่ะ แต่แบบนี้แหล่ะดีแล้ว... ผมเป็นคนไม่มีตัวตนแบบนี้ต่อไปแล้วมองดูเขาสองคนคุยกันอยู่อย่างนี้ดีกว่า


    ชายหญิงสองคนนี้ดูจะเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันดี ก็ดีแล้วล่ะ... ถ้าหากพี่มีความสุขผมก็มีความสุข... ผมยิ้มให้กับภาพของคนสองคนที่นั่งคุยกันอย่างสนุกสนานตรงหน้า เขาสองคนนี้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆ ใครๆเห็นก็คงจะอิจฉา ขนาดผมยังอดที่จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดๆไม่ได้เลย แต่มันรู้สึกดีใจไปกับเขามากกว่าเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็นะ... ผู้ชายหล่อเขาก็ต้องคู่กับผู้หญิงสวย คนนิสัยดีสองคนจูนติดกันได้ สองคนนี้จึงดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างมาก


    ผมเฝ้ามองสองคนนี้คุยกันอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งเดิมเป็นเวลานานมากเลยทีเดียว ถึงแม้จะได้แต่ฟังอยู่อย่างเงียบๆแต่มันก็รู้สึกสนุกไม่แพ้กับเป็นคนสนทนาด้วยตัวเองเลยทีเดียว แต่พอปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปสักพักผู้ชายคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางเร่งรีบราวกับมีธุระด่วนที่จะต้องไปสะสางต่อ...


    "พี่วิคตอเรียครับ วันนี้ผมขอตัวแค่นี้ได้มั้ยครับ? พอดีผมมีธุระที่ต้องไปทำต่อนะ" เขากล่าวกับผู้หญิงสวยที่ได้แต่เอียงคอมองอย่างงงๆอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีเหมือนรู้สึกผิดเล็กน้อย "ขอโทษนะครับที่ไม่สามารถพาไปร้านหนังสืออย่างที่สัญญาไว้ได้ แต่วันหลังเราค่อยไปกันแล้วกันนะครับ"


    ทำอย่างนี้ไม่ดีนะพี่... เที่ยวไปสัญญากับเขาพร่ำเพรื่อแล้วทำอย่างนี้มันไม่ดีนะ... ผมกล่าวทั้งๆที่ไม่มีเสียงออกจากลำคอเลยแม้สักนิดก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พี่เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆนะ...


    "ไม่เป็นไรหรอกคุณ เดี๋ยววันนี้พี่ไปเองก็ได้ แล้ววันหลังเราค่อยไปด้วยกันนะ" ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มออกมาอย่างน่ารักพลางส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงบอกว่าอย่าไปใส่ใจเลย ผู้ชายคนนั้นโค้งหลังรับเก้าสิบองศาเป็นเชิงขอโทษก่อนที่จะปลีกตัวออกมาจากตรงนั้นแทบจะในทันที เขาจะรีบเร่งไปไหนกันนะ ก่อนที่ผมจะเดินตามเขาไปต่อ... ผมก็หันกลับไปยิ้มให้กับผู้หญิงคนนั้นที่ยังคงนั่งนิ่งจิบกาแฟอยู่ที่เดิมก่อนที่จะกล่าวอะไรออกมาโดยที่ไม่มีเสียง...


    ถ้าเป็นคุณล่ะก็ผมคงพอจะฝากฝัง "เขา" เอาไว้ได้.... เขาเป็นคนใจร้อนแต่ก็อย่าไปถือสาเขาเลยนะครับ... ดูแลเขาให้ดีๆล่ะ....


    ผมเดินตามหลังผู้ชายคนนั้นไปเช่นเดิมกับเมื่อหลายนาทีก่อน ทำไมเขาดูมีสีหน้าคร่ำเคร่งกว่าปกตินะ หรือว่าธุระต่อไปของเขาจะเป็นธุระที่สำคัญเอามากๆเลย พี่ยิ่งเป็นคนที่เครียดง่ายอยู่ซะด้วยสิ... ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว อย่าเครียดเกินไปสิครับ ผ่อนคลายมั่งก็ดีนะ...


    "เอ๊ะ..." เขาอุทานขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ "เมื่อกี้... เสียงใครกัน?"


    ผมได้แต่อมยิ้มหลังจากที่เขากล่าวคำนั้นออกมา... อย่ารู้เลยจะดีกว่านะ คิกๆ...


    "ป้าครับ... ขอดอกกุหลาบสีเหลืองช่อหนึ่งครับ เอาแบบเดิมนะ" ผู้ชายคนนั้นหันกลับไปถามคุณป้าที่ประจำอยู่ที่แผงลอยขายดอกไม้ข้างทาง คุณป้าคนนั้นยิ้มแย้มเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวตอบไป


    "แหม... หนูมาซื้อป้าทุกวันเลยนะจ๊ะ ถามจริงเถอะ... จะเอาไปให้สาวที่ไหนหรือเปล่า?" คุณป้าถามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก เป็นไปได้นะคนเรา... ว่าแต่ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันนะว่าเขาจะซื้อดอกไม้ไปให้ใคร "หรือว่าจะเอาไปให้คนรักกันล่ะ?"


    "ถึงไม่ใช่... แต่ก็ใกล้เคียงครับ" เขาตอบด้วยน้ำเสียงแฝงแววหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก ผมเอียงคอมองเขาอย่างงุนงง... เขากำลังเศร้าอยู่รึเปล่านะ เขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่


    คุณป้าร้านขายดอกไม้ยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นช่อดอกกุหลาบสีเหลืองอ่อนไปให้ผูชายคนนั้นพร้อมกล่าว "ป้าล่ะอิจฉาเด็กคนนั้นจริงๆที่ได้รับดอกไม้ไปจากคนดีแถมยังรูปหล่ออย่างหนู ถ้าจะให้ป้าเดานะเด็กคนนั้นจะต้องเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเลยอย่างแน่นอน เอาล่ะ... ดูแลเด็กคนนั้นให้ดีๆแล้วกันนะจ๊ะ"


    ผมฟังสิ่งที่คุณป้าคนนั้นพูดแล้วก็ยิ้มพราวออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก... นั่นสินะ... คงเพราะเมื่อก่อนผมเป็นคนที่เคยยืนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นของเขา ผมก็เลยรู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อยเมื่อมีคนกล่าวออกไปเช่นนี้ เขาจะคิดแบบเดียวกับผมอยู่รึเปล่านะ... คงไม่หรอกมั้ง เพราะเขามีคุณวิคตอเรียอยู่แล้วทั้งคนนี่นา ดอกไม้นี้จะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์ให้แด่เธอหรือเปล่านะ?


    เขาฟังแล้วเขาก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทางที่ไม่แตกต่างไปจากผมนัก "ไม่ใช่เขาหรอกครับที่เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก แต่เป็นผมต่างหากล่ะครับ..."


    ยิ่งผมฟังที่เขาพูดแล้วก็ยิ่งไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลย... มันอ่อนโยนมากเลยจริงๆนะ...


    "หลังจากที่ผมมีเขา ผมก็ได้กลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเลยล่ะ" เขากล่าวพร้อมแย้มรอยยิ้มออกมา สำหรับผมมันเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเห็นมาภายในวันนี้เลยล่ะ ขนาดตอนที่นั่งอยู่กับคุณวิคตอเรียผมก็ยังไม่เป็นว่าเขามีรอยยิ้มที่ผ่อนคลายและอ่อนโยนเช่นนี้ มันเป็นรอยยิ้มที่เมื่อก่อนผมเคยได้รับมาตลอด... วันนี้ท่าทางจะเป็นวันที่โชคดีของผม... เพราะผมได้เห็นเขายิ้มแบบนั้นอีกครั้ง...


    เพราะรอยยิ้มนี้มันทำให้ผมคิดว่า... พี่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยนะครับ...


    ผมเดินตามเขามาอีกสักระยะ... เขาเดินไปตามเส้นทางในถนนที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่นัก ผมกวาดตามองไปรอบตัวด้วยความสงสัย ตอนนี้เราเดินเลี้ยวออกมาจากถนนสายหลักเพื่อเข้ามาในถนนสายเล็กๆแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าผมจะไม่เคยเดินผ่านมาก่อนหน้านี้ พี่มีธุระอะไรที่นี่กันนะ? สถานที่ๆเกี่ยวข้องกับดอกกุหลาบสีเหลืองนั่นหรือเปล่า?


    หลังจากสาวเท้าเดินไปตามถนนสายเล็กที่ไม่มีร้านรวงอะไรใดๆที่ค่อนข้างน่าสนใจอย่างข้างทางของถนนสายหลักไปสักพัก... ก็รู้สึกเหมือนกับว่าคนที่ผมเดินตามมาจะชะงักฝีเท้าลง สายตาของเขาจดจ้องไปที่อาคารสีขาวสูงลิบลิ่วเบื้องหน้า อืม... จะว่าไปสถานที่แบบนี้มันคุ้นหน้าคุ้นตาที่ไหนกันนะ ผมจำไม่ได้เลย ในขณะที่เขากำลังจดจ้องอาคารแห่งนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดผมก็ไม่ได้มองไปตามสายตาของเขาแต่อย่างใด แต่สายตาของผมมันกลับมีจุดสนใจอย่างอื่นมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น... ป้ายหน้าอาคาร


    'โรงพยาบาลกอซอง'


    โรงพยาบาลเหรอ... แล้วเขามาทำอะไรในที่แบบนี้กันนะ... ในขณะที่ผมกำลังจะหันกลับไปหาเขาก็พบว่าเขามุ่งหน้าเดินเข้าไปภายในอาคารนั้นเสียแล้ว เห็นแต่แผ่นหลังไวๆก็เท่านั้น แย่จริง... ทำไมไม่เคยรอกันมั่งเลยนะ ลืมไป... ก็เขามองไม่เห็นผมนี่นา แล้วนี่ผมมัวแต่คิดอะไรอยู่กันล่ะเนี่ย...


    ผมเดินตามเข้าไปในอาคารสีขาวแห่งนั้นซึ่งถูกระบุไว้ว่าเป็น 'โรงพยาบาล' ทั้งๆที่ยังคงไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่นัก แต่ก็คิดเพียงแค่ว่าถ้าหากตามเขาไปเรื่อยๆล่ะก็คงจะพบกับคำตอบเอง ผมยิ้มอย่างพึงพอใจในความคิดของตนเอง แต่... นี่ผมกำลังทำบ้าอะไรอยู่กันเนี่ย ผมเดินตามเขามาจนถึงหน้าห้องแห่งหนึ่ง ในตอนแรกผมเห็นว่าเขามีสีหน้าที่ค่อนข้างกังวลเมื่อมาหยุดยืนถึงสถานที่ๆคิดว่าน่าจะเป็นที่หมายแล้ว ผมมองเขาอย่างสงสัย... พี่กำลังกังวลเรื่องอะไรกันนะ


    ในที่สุดคนที่ยืนอยู่ข้างๆผมก็ตัดสินใจผลักบานประตูออกไป ชั่ววินาทีนั้นผมสังเกตเห็นว่ามือของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาวูบหนึ่ง... สิ่งที่อยู่หลังบานประตูนี้จะเป็นอะไรกันแน่นะ แล้วทำไม... ผมถึงรู้สึกคุ้นๆสถานการณ์แบบนี้อย่างบอกไม่ถูก...


    แล้วในตอนนั้นผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง... ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมองของผม...


    สถานที่แห่งนี้... ผมจำได้... ผมเคยพบเห็นมันมาก่อน... จนถึงบัดนี้ผมก็ยังคงเห็นมัน...


    "อูยอง... พี่มาเยี่ยมนายอีกแล้วนะ... ยังไม่เบื่อพี่ใช่มั้ย?" ผู้ชายคนนั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลปะปนไปด้วยความเศร้าโศกที่แฝงอยู่ลึกๆ สายตาที่แสนเศร้าหมองของเขาทอดมองไปยังร่างของคนๆหนึ่งที่นอนนิ่งสงบอยู่บนเตียงคนไข้อย่างเจ็บปวด


    เขาเดินไปที่โต๊ะหัวเตียงก่อนที่จะหยิบช่อกุหลาบที่แห้งเหี่ยวออกจากแจกันลายสวยและนำช่อกุหลาบใหม่สีเหลืองสวยสดใส่เข้าไปแทน เขาวางแจกันที่ประดับประดาไปด้วยดอกกุหลาบสีเหลืองงดงามนั้นไว้ที่เดิมก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไปใกล้กับเตียงมากขึ้น ที่บนเตียงนั้น... มีร่างของใครบางคนนนอนแน่นิ่งอยู่ ผู้ชายคนนั้นนอนราบอยู่บนเตียงอย่างไม่มีการเคลื่อนไหว ที่บริเวณปากกับจมูกมีท่ออะไรบางอย่างที่เรียกว่า 'ท่อช่วยหายใจ' ครอบไว้ ถ้าหากไม่มีมันอัตราการหัวใจของเขาก็คงจะเต้นแผ่วลงเรื่อยๆทั้งๆที่ตอนนี้ก็เต้นแผ่วอยู่แล้วเป็นทุนเดิม... ก่อนที่มันจะดับไปตลอดกาล... เขาหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุขราวกับกำลังอยู่ในห้วงนิทรา แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้กำลังหลับอยู่แต่อย่างใด จิตใจของเขากำลังท่องเที่ยวอยู่ในอีกมิติหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ ใช่ครับ... เขาคือผมเอง...


    เขาคือผม... จางอูยอง...


    "วันนี้ฉันไปเจอกับคุณวิคตอเรียมาอีกแล้วนะ เธอเป็นคนที่คุยสนุกเหมือนเคย แถมยังยิ้มสวยด้วย ด้วยความเป็นกันเองของเธอทำให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปอย่างราบรื่น..." เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยราวกับว่าพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างที่หลังไหลออกมาไว้ภายในใจ ก่อนที่จะกล่าวต่อไปพร้อมรอยยิ้มที่เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเขากำลังฝืน "ใช่... เป็นไปอย่างราบรื่น... อย่างที่นายต้องการไงล่ะอูยอง"


    ... เขายังคงจำมันได้...


    "เห็นไหม...? ฉันทำตามสัญญาของนายได้แล้วนะ ฉันทำได้แล้ว..." เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น แต่เหมือนว่าเขากำลังย้ำเตือนหัวใจของเขาเองเสียมากกว่า "ฉันทำตามสัญญาที่บอกว่าฉันจะต้องมีชีวิตใหม่ที่ดียิ่งกว่ากับคนอื่นๆแล้วนะ แต่ว่า..."


    เขาจำมันได้... สัญญาสุดท้ายที่ผมเคยบอกไว้ให้เขาทำตาม... ก่อนที่ผมจะตกสู่ห้วงนิทราที่ราวกับคุกที่คุมขังจิตใจของผมเอาไว้ตลอดกาล...


    "ฉันทำตามอีกสัญญาไม่ได้... ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถทำได้เลย..." เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะมีอาการสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด ในวินาทีนั้นผมขยับร่างกายของตัวเองอย่างอัฒโนมัติเพื่อเข้าไปปลอบเขาอย่างที่เคยทำมาตลอดด้วยความเคยชิน แต่ก็ลืมนึกไปว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว... ได้แต่ฟังเขาอยู่ตรงนี้อย่างเงียบๆ "นายบอกว่าอยากจะให้ฉันลืมนายให้ลงให้ได้... ไม่ว่ายังไงก็ต้องลืมให้ได้... แต่ฉันทำไม่ได้... ฉันลืมนายไม่ได้เลยจริงๆ"


    ..... พี่ยังไม่ลืมจริงๆอย่างนั้นเหรอ?.....


    "ฉันพยายามหลายครั้งแล้ว แต่หัวใจของฉันกลับร้องร่ำเพื่อไม่ให้ฉันทำอย่างนั้น ฉันทำมันไม่ได้จริงๆนะ..." เขากล่าว หยาดน้ำใสปริ่มดวงตากลมโตคู่นั้น "ในทางกลับกัน... ถ้าหากฉันคิดอยากจะลืมผู้หญิงคนนั้น ฉันกลับทำได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าจะให้ลืมนาย... ฉันไม่สามารถลืมได้เลยจริงๆนะ"


    ... อย่างนั้นก็แย่สิ... พี่ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ...


    ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดี แถมยังสวยอย่างกับนางฟ้าตกสวรรค์... เขาเหมาะกับพี่มากเลยนะ...


    "เปลี่ยนจากลืมนาย... ฉันขอรอนายแทนได้ไหม?" มือของเขายื่นออกมากุมมือที่แสนซีดเซียวของผมที่นอนแน่นิ่งเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียงกว้างเอาไว้แน่น ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณของผมจะอยู่ตรงนี้ก็ตามที แต่ความอบอุ่นของฝ่ามือนั้นกลับส่งผ่านมาถึงตัวตนของผม ผมแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ถึงแม้ภายนอกจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหนก็ตามที... ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสินะ...


    "กลับมาเถอะนะอูยอง... ได้โปรด... ถึงแม้จะต้องรอนายนานสักเพียงไหนพี่ก็จะรอ... ขอแค่เพียงนายกลับมาเท่านั้น" เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจากแรงสะอื้นไห้ ตอนนี้ใบหน้าของเขามีน้ำตาไหลนองเต็มไปหมด ผมมองเห็นภาพนั้นแล้วก็เริ่มที่จะมีน้ำตาเอ่อคลอ... "กลับมาเถอะนะ... พี่จะรอนาย... อูยอง..."


    ผมยิ้มออกมาพลางยกมือขึ้นเพื่อปาดน้ำตาให้ออกไปจากใบหน้า... ผมรอที่จะให้เขาพูดคำๆนี้มานานมากแล้ว... และในที่สุดเขาก็พูดมันออกมาเสียที...


    ผมก็ไม่อยากให้พี่เปลี่ยนไปเหมือนกัน... จะรอผมสินะครับ...


    "รอผมด้วยนะครับ... พี่คุณ..."


    ในขณะที่คนหนึ่งกำลังร้องไห้... เขาจะรู้บ้างไหมนะว่าคนที่กำลังนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่ที่เตียงก็มีน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาเช่นกัน...


    เช่นเดียวกับผมซึ่งไร้ตัวตนที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ที่ตรงนี้... ที่ใกล้ๆกัน...


    ถ้าหากมี 'วันนั้น'... พี่จะรอผมสินะครับ?... พี่คุณ...


    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    หากความรักเปรียบเสมือนเวลา... ผมกับพี่คงจะถือนาฬิกากันอยู่คนละเรือน...


    แต่ละวินาทีที่ผ่านพ้นเข็มนาฬิกาของเราทั้งสองจะเดินในจังหวะเดียวกันอยู่เสมอมา ราวกับต่างคนต่างแบ่งปันเวลาชีวิตร่วมกันและใช้ชีวิตในแต่ละวินาทีที่ผ่านพ้นไปอย่างมีความสุข...


    แต่เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลก... นาฬิกาในมือของผมหยุดเดินลงอย่างกระทันหัน ในขณะที่เข็มนาฬิกาของพี่กลับเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้นมากขึ้นทุกที ราวกับผมตกลงสู่ห้วงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหยุดนิ่งและไม่เคลื่อนไหว ไม่มีทั้งเสียงของสิ่งมีชีวิต ไม่มีทั้งเสียงของเครื่องยนต์ในชีวิตประจำที่มักจะได้ยินอยู่ทุกๆที ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายต่างพร้อมใจกันหยุด แม้แต่พี่ที่เป็นภาพติดตาก็ยังไร้การเคลื่อนไหวราวกับเป็นภาพนิ่ง ไม่สามารถที่จะแตะต้องได้แม้เพียงปลายเล็บถึงแม้จะอยู่ห่างกันแค่เพียงเท่านี้ ถึงแม้ผมจะเห็นเหมือนกับว่าพี่ยังคงอยู่ตรงนี้ แต่ตัวจริงของพี่นั้นจากไปไกลแสนไกลเกินกว่าที่จะจับต้องไว้ได้แล้ว... เวลาชีวิตของผมหยุดลง ทั้งๆที่เวลาของพี่ยังคงดำเนินต่อไป


    แม้แต่ร่างกายและหัวใจของผมเอง... ก็ยังพร้อมใจกันหยุดนิ่ง...


    "อย่าร้องไห้เลยนะ สักวันเวลาของเราจะกลับมาเดินพร้อมกันอีกครั้ง เชื่อพี่เถอะ... พี่จะรอนาย"


    แล้ว "สักวัน" วันนั้น... มันจะมาถึงเมื่อไหร่เหรอครับ...?


    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    หากความรักเปรียบเสมือนการเดินทาง... การเดินทางของเราก็คงจะเป็นการเดินทางที่ลำบากและยากเย็นอยู่ไม่น้อย...


    การเดินทางของเราทั้งสองคนเริ่มต้นขึ้นและดำเนินไปอย่างเรียบง่ายในตอนแรก แต่ยิ่งเดินไปไกลมากขึ้นทางเดินก็ยิ่งจะขรุขระและลำบากสำหรับการเดินไปข้างหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ มีหลายครั้งที่เราทั้งสองคนทะเลาะกัน บางครั้งก็เพียงแค่ต่อล้อต่อเถียงกันเล็กๆน้อยๆ บางครั้งเราก็ถึงกับขึ้นเสียงกันเสียจนสัมพันธ์เกือบขาดสะบั้นลง แต่อุปสรรคแต่ละครั้งทำให้เราได้รับรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่การทดสอบว่าเราสมควรที่จะยืนเคียงคู่กันเช่นนี้จนวันตายหรือไม่เท่านั้น...


    แต่ทั้งๆที่เขาหยุดแล้ว... ผมกลับต้องเดินต่อไป... ผมไม่สามารถหยุดขาที่กำลังก้าวเดินของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าอยากจะหยุดเดินแล้วหันกลับไปยืนอยู่เคียงข้างเขามากเท่าไหร่ ผมทำได้เพียงแค่เหลียวหลังหันกลับไปมองเขาที่กำลังนั่งทรุดร้องไห้อยู่กับพื้นเพียงเท่านั้น ภาพของคนๆนั้นที่เล็กลงๆเรื่อยๆตามจังหวะที่เท้าของผมย่างก้าวไปนั้นทำให้ผมรู้สึกปวดใจ อยากจะร้องเรียก... อยากจะวิ่งกลับไปหาแล้วปลอบให้เขาหยุดร้องไห้... อยากมากเพียงขนาดไหนแต่ก็ไม่สามารถทำได้... เหมือนผมถูกทอดทิ้งให้เดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางสายเดินสายเปลี่ยว มีแต่เมฆฝนมืดครึ้มอยู่บนท้องฟ้าที่มัวหมอง ไม่มีแม้แต่ดวงดาวบอกทาง...


    ถ้าหากไม่มีเขา... ผมก็คงจะกลายเป็นคนหลงทาง...


    "อย่าร้องไห้เลยนะ สักวันพี่จะกลับมาหานาย... ในทันทีเลย ได้โปรดรอพี่ก่อนนะ"


    ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานสักเพียงไหน... พี่ก็จะกลับมาหานายให้ได้... พี่สัญญานะจางอูยอง...

    _____________________________________________________

    Talk with Writer :

    Ya!!! วันนี้ไรเตอร์แวะมาแปะฟิคคุณด้งเด้อค่ะ อ่า... เป็นเรื่องแรกที่ไรเตอร์สามารถปั่นให้จบรวดเดียวได้ภายในหนึ่งคืน (สงสัยเพราะเนื้อเรื่องไม่มีอะไรเลย - -") สองช่วงหลังจำได้ติดใจเลยว่าไรเตอร์คิดตอนกำลังนั่งรถแม่กลับมาจากโรงเรียน ตอนแรกคิดจะให้ด้งพูดคนเดียว แต่คิดอีกทีให้พี่คุณพูดด้วยก็ดีนะ ส่วนเรื่องของทำไมในเรื่องด้งถึงเรียกพี่คุณว่า "เขา" หรือ "ผู้ชายคนนั้น" ตลอด อย่าไปใส่ใจเลยนะคะ ไรเตอร์ก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าทำไมเขียนอย่างนั้น (อ่าว... - -") สำหรับคนที่ไม่เข้าใจบทสรุป คือว่าที่พี่คุณคบกับวิคเพราะว่าสัญญาเอาไว้กับด้งนะคะ ไม่ใช่ว่าพิศวาสหรือรักชอบอะไรเป็นพิเศษ แล้วก็ขอโทษที่ไม่ได้ลงฟิคหลักเลยนะคะ อ่า... วันนี้ขอตัวลา บ๊ะบาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×