คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 9 เรื่องของฉันกับเขา... (1)
Chapter 9 เรื่องของฉันกับเขา... (1)
ซีแอทเติ้ล... สหรัฐอเมริกา...
“นักเรียน... นั่งที่ได้แล้ว” เสียงของอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องที่ดังขึ้นทำให้เสียงคุยจ้อกแจ้กจอแจอย่างกับแมลงวันบินเงียบกริบลงแทบจะในทันที อาจารย์ที่ปรึกษาวัยไม้ใกล้ฝั่งเดินไปยังหน้าห้องแล้วกวาดตามองนักเรียนรอบห้องอย่างถี่ถ้วน พอมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีเสียงคุยดังขึ้นมาอีกอาจารย์ก็เริ่มต้นชั่วโมงโฮมรูมทันที
ส่วนผมที่รออยู่หน้าห้องก็ได้แต่หายใจเข้าออกด้วยความตื่นเต้น พอมาอยู่เงียบๆเพียงคนเดียวแล้วก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเลยว่าเต้นเร็วขนาดไหน แต่ก็ยังคงพยายามที่จะเก๊กหน้าขรึมต่อไปและเฝ้ารอเวลาที่อาจารย์จะบอกให้เข้าไปได้
“วันนี้มีนักเรียนเข้ามาใหม่จะมาแนะนำให้กับทุกคนนะ เอ้า... เธอน่ะ... เข้ามาได้” อาจารย์ที่ปรึกษาหันกลับมามองผมที่อยู่นอกห้อง ส่วนผมที่ยังอึ้งๆก็ชี้ไปที่ตัวเองเป็นเชิงถามว่าให้เข้าไปได้แล้วเหรอ อาจารย์ทำหน้าหน่ายๆตอบด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก็ได้ๆ ให้ผมเข้าไปใช่มั้ย
“สวัสดีครับ... ปาร์ค แจบอมครับ” ผมโค้งทักทายต่อหน้าเพื่อนร่วมห้องทั้งหมดด้วยท่าทางเกร็งๆผิดปกติ “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
ทันใดนั้นเสียงกระซิบกระซาบก็ดังแว่วเข้ามาในหู ด้วยความที่ผมเป็นคนหูผีจมูกมดอยู่แล้วจึงพอจะแยกออกว่ามีเสียง... ซึ่งฟังดูแล้วไม่น่าจะน้อยเลยทีเดียว คนทั้งห้องกำลังมุ่งเป้าความสนใจมาที่ผม
เสียงคุยนั้นดังขึ้นเรื่อยๆตามระดับความอยากรู้อยากเห็นจากตอนแรกที่เป็นเพียงเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ จนอาจารย์ที่ปรึกษาถึงกับเส้นประสาทกระตุกด้วยอารมณ์หงุดหงิดและตบโต๊ะดังๆเป็นเชิงให้ทุกคนเงียบ และก็ได้ผลอย่างดีเยี่ยม... เพื่อนทั้งห้องเงียบกริบกันไปตามๆกันในทันที
“เอาล่ะ... คุณปาร์คแจบอม เธอไปนั่งที่โต๊ะริมสุดนั่นก็แล้วกันนะ” ผมมองตามมือที่มีรอยเหี่ยวย่นของอาจารย์ที่ปรึกษาไปยังโต๊ะริมหน้าต่างตัวหนึ่งที่แทบจะเรียกได้เลยว่าอยู่หลังห้องจริงๆ ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกระชับกระเป๋าเป้ที่อยู่บนหลังด้วยอารมณ์ตื่นเต้นและออกตัวเดินไปยังโต๊ะตัวนั้นทันที
“ฮาย... สวัสดี... ฉันชื่อเฮนรี่นะ” นักเรียนคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าของผมหันหลังกลับมาพูด ทำให้ผมรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยที่อยู่ดีๆก็โผล่มาอย่างนั้น “ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ผมตอบห้วนๆแล้วยื่นมือออกไปจับทักทายตามมารยาทคนอเมริกัน
“นายมาจากที่ไหนเหรอ หน้านายดูไม่เหมือนคนอเมริกาเลย”
“ฉันเป็นคนเกาหลี... แต่ว่าเกิดที่นี่”
“ถ้าเกิดนายมีอะไรก็ปรึกษาฉันได้เลยนะ เรานั่งใกล้ๆกัน”
“ขอบใจนายมาก”
ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ที่โรงเรียนเก่าผมเป็นคนไม่ค่อยจะมีเพื่อนสักเท่าไหร่นัก ผมเป็นคนที่คุยไม่ค่อยเก่ง... ผูกสัมพันธ์กับใครก็ไม่ค่อยจะเป็น... เพื่อนส่วนใหญ่ก็บอกว่าผมเป็นคนที่น่าเบื่อ ซึ่งมันก็อาจจะจริงนะ
“สวัสดีครับ... พี่เจย์ใช่มั้ยครับ?” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นเหนือศรีษะของผม ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อมอง ต้นเสียงเป็นผู้ชายร่างสูง... ผิวขาว... และที่สำคัญก็คือหล่อลากไส้ ผมเอียงคอมองเขาเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่นักจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
“พอดีผมรู้จักกับคุณพ่อของพี่น่ะครับ... เขาก็เลยขอให้ผมมาช่วยดูแลพี่” หมอนั่นกล่าวพร้อมยิ้มแฉ่ง... มันบ้ารึเปล่าเนี่ย
“นายเป็นใคร?” ผมถามด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก อะไรกัน... อยู่ดีๆก็เข้ามาพูดแบบนี้แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง
“อ้อ... ผมชื่อนิชคุณ หรเวชกุลน่ะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“นิชคุณ หรเวชกุล?” ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย “นายไม่ใช่คนอเมริกาอย่างนั้นเหรอ?”
“ผมเป็นคนไทยน่ะครับ แต่แม่ส่งผมมาเรียนต่อที่อเมริกา” ผู้ชายคนนั้นตอบพร้อมรอยยิ้ม... นี่เป็นแป๊ะยิ้มรึยังไงกันน่ะ “พี่เป็นคนเกาหลีใช่มั้ยครับ”
“เออ” ทำให้หมอนี่รู้เรื่องของเราดีจังเลยวะ
“ให้ผมพาพี่เดินทัวร์โรงเรียนมั้ยครับ?”
“ไม่ต้อง... ไม่จำเป็น”
“เอาเหอะน่า... ยังไงหลังจากนี้เราก็คงจะต้องเจอกันบ่อยอยู่แล้วล่ะนะ เราควรจะทำตัวสนิทๆกันไว้สิครับ” นิชคุณกล่าว ส่วนผมก็แค่ฟังผ่านๆไปงั้น “นะ... พี่เจย์”
“นายชื่อนิชคุณใช่มั้ย?” ชื่อเรียกยากดีจริงๆเลย... แนะนำให้ไปเปลี่ยนชื่อเหอะ
“ถ้าเรียกยากเกินไปก็เรียกว่าคุณเฉยๆก็ได้ครับ”
“โอเค... คุณ”
หลังจากนั้นนิชคุณก็พาผมเดินรอบโรงเรียน ไปดูสถานที่ต่างๆ... ห้องสมุด... หอประชุม... ตึกวิทยาศาสตร์... สนามกีฬา... หอพักนักเรียน (ที่ผมเองก็ต้องไปอาศัยอยู่)... แล้วก็ตึกเรียนของแต่ละระดับชั้นด้วยว่าอยู่ตรงส่วนไหนบ้าง พาทัวร์ไปแล้วก็พล่ามไปด้วยอย่างไม่มีเหน็ดไม่มีเหนื่อย ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันเป็นเวลาแค่ชั่วโมงนิดๆแต่ผมก็รับรู้ได้เลยว่าหมอนี่เป็นคนพูดมากจริงๆ ถึงจะพูดมากแต่ก็ใช่ว่าจะน่าเบื่อซะทีเดียว... นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่มีคนมาคุยกับผมมากถึงขนาดนี้ ซึ่งมันก็... ไม่เลวนะ
“งั้นเดี๋ยวแยกกันตรงนี้แล้วกันนะครับพี่” พอเดินมาถึงหน้าสนามกีฬาแล้วนิชคุณก็พูดขึ้น ส่วนผมก็ได้แต่ทำสีหน้าสงสัยตอบไป
“ทำไม? นายจะไปไหน?”
“ขากลับผมต้องไปแวะที่ห้องวิชาการหน่อยน่ะครับ”
“งั้นก็... เจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน...”
“ครับ... พรุ่งนี้เจอกันแน่ๆ”
พอเราทั้งสองคนปิดบทสนทนาลงแล้วนั้น... ผมกับนิชคุณก็แยกกันเดินไปคนละทาง นิชคุณจะไปห้องวิชาการที่อยู่บริเวณตึกวิทยาศาสตร์ ส่วนผมก็จะเดินไปยังหอพักนักเรียนที่อยู่ไกลออกไปจากที่นี่อีก ต่อจากนี้ไปผมจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อนซักเท่าไหร่หรอก... เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่นอนและได้รับอิสระมากขึ้นก็เท่านั้นเอง
ไม่อยาก... ที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสถานที่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว...
ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงภาพในอดีต... อดีตที่แสนจะปวดร้าว และเดียวดาย อยู่คนเดียวท่ามกลางความหนาวเหน็บมาตลอดหลายสิบปีที่เติบโตมานี้ ไม่อยาก... ที่จะกลับไปที่แบบนั้นอีกแล้ว
เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆอยู่... ผมจึงไม่ได้คิดที่จะสนใจสนใจรอบตัวนัก... และผลปรากฏว่า...
โป๊กกกก!!
“โอ๊ย!!!!!!!” รู้สึกเหมือนมีวัตถุอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาอัดหัวของผมเต็มๆจนผมถึงกับเซไปด้านข้างตามแรงอัดของอะไรบางอย่างที่ว่านั้น และผมค่อนข้างมันใจว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า พอมองลงไปใต้ฝ่าเท้าก็พบกับลูกฟุตบอลสมบุกสมบันลูกหนึ่งกลิ้งอยู่ และนั่นทำให้สติสัมปชัญญะของผมถึงกับหลุดหายออกไปหมดจากสมอง ผมเริ่มต้นที่จะแหกปากโวยวาย “ไอ้ห่านี่!!! เตะบอลประสาอะไรวะ?!!! อย่าให้เห็นหน้านะมึง!!! เดี๋ยวเหอะ.......”
“ข... ขอโทษนะครับ... ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่ระวังมากเกินไปหน่อย” ก่อนที่ผมจะได้วีนแตกออกมามากกว่านั้น เด็กหนุ่มซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของลูกบอลลูกนี้ก็รีบกุลีกุจอเข้ามากล่าวขอโทษขอโพยเสียก่อน แต่อย่าคิดว่าฉันจะเป็นคนใจเย็น... และยอมยกโทษให้กับแกง่ายๆอย่างนั้นนะเฟ้ย!!
“นี่แก!!!! เตะบอลประ..................”
“งั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ ให้ผมเลี้ยงไอติมคุณดีมั้ยล่ะครับ” นี่แกคิดว่าแค่ไอติมจะทำให้ฉันยกโทษให้แกได้เลยอย่างนั้นน่ะเหรอ... เฮอะ... หวังสูงไปแล้วมั้งไอ้ตาตี่!!!
“นี่แกคิดว่า...............”
“งั้นเราไปกันเถอะครับ”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ไอ้ตาตี่ที่ว่านั้นก็รีบลากแขนของผมออกไปจากบริเวณนั้นแทบจะในทันทีทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ สองครั้งแล้วนะแกที่แกไม่ยอมฟังอะไรฉันเลย!! คิดว่าแค่ไอติมลูกเดียวมันจะทำให้ฉันลืมความผิดครั้งนี้ของแกไปได้รึยังไงกันน่ะห๊ะ?!!
“คุณเอารสอะไรล่ะครับ? เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”
“นี่แก... ฉัน...............”
“งั้นเอารสสตรอว์เบอร์รี่นะครับ ส่วนของผมเอาเป็นวนิลา” ไอ้เวรนี่!!! สามครั้งแล้วนะมึง!!!
“นี่แก... หยุด!!! อย่าเพิ่งพูดอะไรขึ้นมานะเฟ้ย... รอให้ฉันพูดให้จบก่อน” ผมรีบกล่าวดักคอก่อนที่จะเปิดโอกาสให้มันได้พูดขัด “แกคิดว่าแค่ไอติมเท่านั้นน่ะเหรอที่จะทำให้ฉันยกโทษให้แกน่ะห๊ะไอ้ตาตี่?!!”
“เอ๋?”
“แล้วอีกอย่าง... ฉันเกลียดรสสตรอว์เบอรรี่โว้ย!!!”
“อ้อ... ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ เอ้า... ของคุณน่ะ” เขาพูดขึ้นแล้วยื่นไอติมสีชมพูหวานแหววมาให้ผม ตอนแรกผมทำท่าจะปัดมันออกแต่ก็โดนคำพูดของใครบางคนขัดไว้เสียก่อน “ถ้าไม่ลองดู... แล้วจะรู้ได้ยังไงกันล่ะครับ”
“ห๊ะ...” ผมย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ... ไอ้นี่วอนซะแล้ว
“ลองชิมดูก่อนสิครับ ไอติมร้านนี้อร่อยมากเลยนะ” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มตาหยีให้กับผมอีกรอบ ทำให้ผมต้องจำใจที่จะรับไอติมสีชมพูแป๋นนั้นมาลองกินดู เหอะ... รสชาติก็คงงั้นๆล่ะมั้ง
“...” ทันทีที่กัดลงไปคำแรกความเย็นก็แพ่ซ่านเข้ามาในปากทันที มันเย็นมากจนรู้สึกจี๊ดขึ้นสมอง มันเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ว่าทำไมผมถึงไม่ชอบกินไอติม เพราะว่ามันเย็นจนรู้สึกปวดหัวเนี่ยแหล่ะ
“เป็นไงครับ?” เจ้าของเสียงถามนั้นก็ยังคงส่งยิ้มตาหยีมาให้เหมือนเดิม ผมมองหน้ามันเล็กน้อยก่อนที่จะยักไหล่
“งั้นๆแหล่ะ... เหอะ... ขอบอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ชอบกินไอติม” ผมมองค้อนมันไปทีนึงด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ส่วนคนที่ได้รับสายตาจิกกัดของผมไปแทนที่จะทำหน้าหงอยแต่กลับยิ้มแก้มแทบปริแทน... ไอ้หมอนี่มันบ้ารึเปล่า?
“ผมชื่อลีจุนโฮนะครับ”
“ไม่ได้อยากรู้จัก” ผมตอบไปทันทีอย่างไม่คิดอะไรมาก
“ฮ่าๆๆ คุณนี่ตลกดีจริงๆเลย”
“ขำอะไรไม่ทราบ...” ผมจิกสายตาไปที่มันอีกครั้งหนึ่งทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าถึงจะทำไปคนบ้าๆอย่างหมอนี่ก็คงจะไม่สะทกสะท้าน “เอ้า... ชื่อลีจุนโฮใช่มั้ย ส่วนฉันชื่อ........”
“เดี๋ยวครับ”
“ไอ้บ้านี่... ขัดฉันเป็นรอบที่สี่แล้วนะโว้ย” ผมอดรนทนไหวที่จะต้องโดนขัดซ้ำๆแบบนี้จึงแหกปากโวยขึ้นมาทันที “ตกลงนายอยากจะรู้จักฉันจริงรึเปล่าเนี่ย”
“เพราะว่าผมอยากจะรู้จักคุณจริงๆน่ะสิครับ... ผมถึงไม่ให้คุณบอกชื่อตอนนี้” คำๆนั้นของจุนโฮทำให้ผมถึงกับชะงักกึก “เพราะผมอยากจะรู้จักคุณจริงๆ... จึงอยากที่จะรู้เรื่องของคุณด้วยตัวของตัวเองเสียมากกว่า”
“...” ผมย่นจมูก “นายนี่แปลกคน”
“งั้นเอาไว้เดี๋ยวเราเจอกันวันหลังแล้วกันนะครับ... บายนะ” ลีจุนโฮกล่าวพลางโบกมือหยอยๆเป็นการร่ำลาก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไป ส่วนผมก็ไม่ลืมที่จะตะโกนไล่หลัง
“เออ... ชาตินี้อย่าเจอกันอีกเลยเหอะ คนบ้าๆแบบนายน่ะมีแต่จะทำให้ฉันปวดหัว...” เสียงที่ตอบกลับมาหลังจากที่ผมพูดประโยคนั้นจบก็มีแต่เสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่อยู่ไกลลิบๆตรงนั้นเท่านั้น ก่อนที่แผ่นหลังของเขาจะหายไปจากกรอบสายตา ผมถอนหายใจออกเฮือกใหญ่... วันนี้มันวันอะไรกันนะ
แต่ว่า... จะได้เจอกันอีกมั้ยน้อ... ถ้าเจอกันอีกก็คงจะดีสินะ...
วันนี้ผมต้องมารออยู่หน้าตึกวิทยาศาสตร์เสียจนเย็น ด้วยความที่ว่าตัวปัญหาตัวหนึ่งที่ผมมักจะใช้มันเป็นเพื่อนเดินกลับหอพักด้วยกันทุกวันๆมันลืมของเอาไว้ข้างใน ซวยจริงๆ... ไอ้คุณนี่วันๆมีแต่จะสร้างปัญหาให้หนักหัว แต่ก็เอาเถอะ... น้องมันนิสัยดีถึงจะเฟอะๆไปหน่อยแต่ก็ช่างหัวมัน นิชคุณนี่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมมีอยู่ในโรงเรียนเลยก็ว่าได้ จริงๆแล้วเฮนรี่ (เพื่อนร่วมห้องของผม) ก็นิสัยดีอยู่ไม่น้อย แต่เขาเองก็มีกลุ่มอยู่แล้ว จะไปไหน... ไปกินข้าว... ไปเล่นกีฬา... เขาก็มีกลุ่มของเขาที่จะไปโน่นไปนี่ด้วยกัน เคยมีอยู่หลายครั้งที่เขาพยายามชวนผมเข้ากลุ่ม แต่ผมบอกไปแล้วว่าผมเป็นผูกมิตรไม่ค่อยจะเก่งซักเท่าไหร่นัก รั้งแต่จะทำให้เขาลำบากใจเสียมากกว่า ผมจึงปฏิเสธไป แต่โดยรวมแล้วเขาก็เป็นหนึ่งในเพื่อนที่ดีแต่ก็แค่ไม่ได้สนิทด้วยกันเท่านั้น
จะว่าไป... หลังจากวันนั้นที่ผมโดนลูกบอลอัดหัวแล้ว... ผมก็ไม่ได้เจอไอ้ตาตี่นั่นอีกเลยแฮะ...
ฟุ่บ!!!
“เฮ้ย?!!” ผมอุทานขึ้นด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆมีอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาที่ข้างซ้ายของผม พอหันกลับไปก็พบว่ามันเป็นไอติมโคนๆหนึ่ง ซึ่งก้อนไอติมนั้นมีสีชมพูหวานแหวว... แต่ว่า... ไอ้สีแบบนี้มันคุ้นๆที่ไหนกันนะ
“สวัสดีครับ... รับไอติมหน่อยมั้ย?” ผู้ที่ยื่นไอติมโคนนั้นมาให้ได้แต่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่เบื้องหลัง หน้าตาก็คุ้นๆ “รุ่นพี่ปาร์คแจบอม”
“นาย... ทำไมนายรู้จักชื่อฉัน?” จำได้ว่าครั้งที่แล้วที่เจอกันมันยังไม่ได้ให้ผมบอกชื่อเลยไม่ใช่เหรอ
“คำตอบก็คือ... เพราะผมฉลาด” เป็นคำที่ทำให้ผมถึงกับอยากจะอ้วกออกมาตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป...คนบ้าอะไรชมตัวเองก็เป็นด้วย “ล้อเล่นน่ะครับ พี่รู้จักพี่คุณใช่มั้ย... นั่นแหล่ะ เขาเป็นรุ่นพี่ในชมรมของผม”
“แล้วนายก็ไปถามเขา?” ผมพูดขึ้น จุนโฮพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเข้าใจถูกแล้ว “แล้วนายรู้ได้ไงว่านิชคุณรู้จักฉัน”
“ผมเคยเห็นพี่เดินกับพี่คุณน่ะครับ ก็เลยคิดว่าน่าจะรู้จักกัน” จุนโฮตอบ “เพราะปกติพี่เป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใครนี่ครับ เห็นเดินคนเดียวตลอดเลย ก็พี่คุณคนเดียวเนี่ยแหล่ะที่พี่ยอมให้เดินด้วยกันได้”
“เฮ้ย... อย่าบอกนะว่านี่นายตามดูฉันมาตลอดเลยน่ะ?”
“ปิ๊งป่อง... ถูกต้องนะคร้าบบ” ไม่ใช่รายการยกสยามเฟ้ยไอ้ตาตี่... เดี๋ยวปั๊ดเสยคาง
“แล้วทำไมนายไม่มาทักฉันล่ะ?” ที่ผมถามแบบนี้เพราะว่าอะไรน่ะเหรอ... เอิ่ม... ไม่รู้สินะ
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่า... ผมอยากเจอเขา... ล่ะมั้งน่ะ?
“ผมดีใจนะครับที่ได้มาเจอกับพี่อีก” เพิ่งเจอกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองไม่ใช่รึไงวะ “พี่ยังทำหน้าถมึงทึงเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“.....” ผมหันกลับไปมองหน้ามันตาขวาง ตูก็เป็นของตูแบบเนี้ย... แกมีสิทธิ์อะไรมายุ่งห๊ะไอ้ลีจุนโฮ
“ผมว่า... พี่ยิ้มก็น่าจะดูดีออก จริงม้า?” จุนโฮพูดขึ้น “ขนาดพี่คุณยังบอกเลยนะครับว่าพี่ยังไม่เคยยิ้มให้เขาเลยด้วยซ้ำ”
“...” ผมมองหน้ามัน... ไอ้หมอนี่มันคิดจะบอกอะไรกันแน่นะ
“พี่ยิ้มให้ผมดูเป็นคนแรกได้มั้ยล่ะครับ?” คำๆนั้นเองทำให้แก้มของกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ... มัน... มันพูดบ้าอะไรของมัน??
“เป็นคนแรก? นายหมายความว่ายังไงมิทราบลีจุนโฮ??”
“ก็ผมอยากจะเป็นคนแรกที่พี่ยิ้มให้นี่ครับ... ไม่ได้เหรอ?” อย่ามาทำท่าใสซื่อแบบนั้นนะไอ้เด็กบ้า... มันทำให้ฉัน... ฉัน... เอ่อ... แล้วผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย???
“พอเหอะน่า หยุดทำหน้าแบบนั้นซะที มันน่ารำคาญ” ผมเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้เขาเห็นแก้มที่กลายเป็นสีชมพูเหมือนไอติมที่ผมกำลังกินอยู่ในตอนนี้ แล้วนี่ผมจะเขินไปเพื่ออะไรกันนะ....
ไอ้บ้า... ลีจุนโฮเอ๊ย...
น่าโมโหจริงๆเลย... ให้ตายเหอะ... แล้วเมื่อไหร่นิชคุณจะออกมากันเนี่ย??
“ผมจะรอพี่นะครับ” ใครสั่งให้แกรอกันนะหา???
“รออะไรมิทราบ??” ผมตวาดใส่ทั้งๆที่แก้มก็ยังเป็นสีชมพูระเรื่อไม่หาย โอ๊ยยย... นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย
พอมันบอกว่าจะรอ... หน้ามันก็ร้อนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ...
“ผมจะรอวันที่พี่ยิ้มให้ผมไงล่ะครับ”
“อึ่ก.... เชอะ!!!!” ผมสะบัดหน้าใส่อย่างเชิ่ดๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเองต่างหากเล่า “ถ้าอยากจะรอนักก็เชิญ เชิญรอไปเลย แล้วอย่าหวังว่านายจะได้อย่างที่นายหวังก็แล้วกันนะ”
บ้าจริงๆแฮะเรา... ทั้งๆที่แสดงอาการเขินออกมามากซะขนาดนี้...
บ้าจริงๆเลย...
“ถึงแม้จะไม่ได้อย่างที่หวังไว้ แต่แค่ได้รู้ว่าตัวเองกำลังรออยู่... ผมก็สุขใจแล้วล่ะครับ” จุนโฮกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ อ... ไอ้หมอนี่... ไม่รู้ว่าที่มันตอบออกไปอย่างนั้นเพราะความซื่อมากเสียจนเกินไป... หรือว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่กันแน่
ไม่เอาน่าเจย์... ไอ้เด็กนี่มันก็แค่ซื่อ... ซื่อมากเกินไปเท่านั้น... จะไปเอาอะไรกับมันได้ล่ะ?
เราเจอกันมาแค่สองครั้งเองนะ... สองครั้งเอง...
“...” ผมก้มหน้าลงและตั้งหน้าตั้งตากินไอติมสีชมพูในมือของตัวเองต่อไป หมอนี่อุตส่าห์เอามาให้แล้วถ้าปล่อยไว้อย่างงี้เดี๋ยวก็ละลายหมด นี่ผมไม่ใช่คนตะกละนะครับ... แค่ชอบของฟรีเท่านั้นเอง
จะว่าไป... ทำไมวันนี้ไอติมมันหวานจังเลยนะ...
______________________________________________________________________________
ความคิดเห็น