ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic 2PM TJ & KD & CH] Hyung, Can we be more than friend?

    ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 9 เรื่องของฉันกับเขา... (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 419
      1
      17 ต.ค. 53

    Chapter 9 เรื่องของฉันกับเขา... (1)


                    ซีแอทเติ้ล... สหรัฐอเมริกา...

                    นักเรียน... นั่งที่ได้แล้ว เสียงของอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องที่ดังขึ้นทำให้เสียงคุยจ้อกแจ้กจอแจอย่างกับแมลงวันบินเงียบกริบลงแทบจะในทันที อาจารย์ที่ปรึกษาวัยไม้ใกล้ฝั่งเดินไปยังหน้าห้องแล้วกวาดตามองนักเรียนรอบห้องอย่างถี่ถ้วน พอมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีเสียงคุยดังขึ้นมาอีกอาจารย์ก็เริ่มต้นชั่วโมงโฮมรูมทันที

                    ส่วนผมที่รออยู่หน้าห้องก็ได้แต่หายใจเข้าออกด้วยความตื่นเต้น พอมาอยู่เงียบๆเพียงคนเดียวแล้วก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเลยว่าเต้นเร็วขนาดไหน แต่ก็ยังคงพยายามที่จะเก๊กหน้าขรึมต่อไปและเฝ้ารอเวลาที่อาจารย์จะบอกให้เข้าไปได้

                    วันนี้มีนักเรียนเข้ามาใหม่จะมาแนะนำให้กับทุกคนนะ เอ้า... เธอน่ะ... เข้ามาได้ อาจารย์ที่ปรึกษาหันกลับมามองผมที่อยู่นอกห้อง ส่วนผมที่ยังอึ้งๆก็ชี้ไปที่ตัวเองเป็นเชิงถามว่าให้เข้าไปได้แล้วเหรอ อาจารย์ทำหน้าหน่ายๆตอบด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก็ได้ๆ ให้ผมเข้าไปใช่มั้ย

                    สวัสดีครับ... ปาร์ค แจบอมครับ ผมโค้งทักทายต่อหน้าเพื่อนร่วมห้องทั้งหมดด้วยท่าทางเกร็งๆผิดปกติ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ

                    ทันใดนั้นเสียงกระซิบกระซาบก็ดังแว่วเข้ามาในหู ด้วยความที่ผมเป็นคนหูผีจมูกมดอยู่แล้วจึงพอจะแยกออกว่ามีเสียง... ซึ่งฟังดูแล้วไม่น่าจะน้อยเลยทีเดียว คนทั้งห้องกำลังมุ่งเป้าความสนใจมาที่ผม

                    เสียงคุยนั้นดังขึ้นเรื่อยๆตามระดับความอยากรู้อยากเห็นจากตอนแรกที่เป็นเพียงเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ จนอาจารย์ที่ปรึกษาถึงกับเส้นประสาทกระตุกด้วยอารมณ์หงุดหงิดและตบโต๊ะดังๆเป็นเชิงให้ทุกคนเงียบ และก็ได้ผลอย่างดีเยี่ยม... เพื่อนทั้งห้องเงียบกริบกันไปตามๆกันในทันที

                    เอาล่ะ... คุณปาร์คแจบอม เธอไปนั่งที่โต๊ะริมสุดนั่นก็แล้วกันนะ ผมมองตามมือที่มีรอยเหี่ยวย่นของอาจารย์ที่ปรึกษาไปยังโต๊ะริมหน้าต่างตัวหนึ่งที่แทบจะเรียกได้เลยว่าอยู่หลังห้องจริงๆ ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกระชับกระเป๋าเป้ที่อยู่บนหลังด้วยอารมณ์ตื่นเต้นและออกตัวเดินไปยังโต๊ะตัวนั้นทันที

                    ฮาย... สวัสดี... ฉันชื่อเฮนรี่นะ นักเรียนคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าของผมหันหลังกลับมาพูด ทำให้ผมรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยที่อยู่ดีๆก็โผล่มาอย่างนั้น ยินดีที่ได้รู้จัก

                    ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ผมตอบห้วนๆแล้วยื่นมือออกไปจับทักทายตามมารยาทคนอเมริกัน

                    นายมาจากที่ไหนเหรอ หน้านายดูไม่เหมือนคนอเมริกาเลย

                    ฉันเป็นคนเกาหลี... แต่ว่าเกิดที่นี่

                    ถ้าเกิดนายมีอะไรก็ปรึกษาฉันได้เลยนะ เรานั่งใกล้ๆกัน

                    ขอบใจนายมาก

                    ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ที่โรงเรียนเก่าผมเป็นคนไม่ค่อยจะมีเพื่อนสักเท่าไหร่นัก ผมเป็นคนที่คุยไม่ค่อยเก่ง... ผูกสัมพันธ์กับใครก็ไม่ค่อยจะเป็น... เพื่อนส่วนใหญ่ก็บอกว่าผมเป็นคนที่น่าเบื่อ ซึ่งมันก็อาจจะจริงนะ

     

                    สวัสดีครับ... พี่เจย์ใช่มั้ยครับ? เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นเหนือศรีษะของผม ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อมอง ต้นเสียงเป็นผู้ชายร่างสูง... ผิวขาว... และที่สำคัญก็คือหล่อลากไส้ ผมเอียงคอมองเขาเล็กน้อยด้วยความสงสัย แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่นักจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

                    พอดีผมรู้จักกับคุณพ่อของพี่น่ะครับ... เขาก็เลยขอให้ผมมาช่วยดูแลพี่ หมอนั่นกล่าวพร้อมยิ้มแฉ่ง... มันบ้ารึเปล่าเนี่ย

                    นายเป็นใคร? ผมถามด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก อะไรกัน... อยู่ดีๆก็เข้ามาพูดแบบนี้แล้วจะให้เชื่อได้ยังไง

                    อ้อ... ผมชื่อนิชคุณ หรเวชกุลน่ะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก

                    นิชคุณ หรเวชกุล? ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย นายไม่ใช่คนอเมริกาอย่างนั้นเหรอ?

                    ผมเป็นคนไทยน่ะครับ แต่แม่ส่งผมมาเรียนต่อที่อเมริกา ผู้ชายคนนั้นตอบพร้อมรอยยิ้ม... นี่เป็นแป๊ะยิ้มรึยังไงกันน่ะ พี่เป็นคนเกาหลีใช่มั้ยครับ

                    เออ ทำให้หมอนี่รู้เรื่องของเราดีจังเลยวะ

                    ให้ผมพาพี่เดินทัวร์โรงเรียนมั้ยครับ?

                    ไม่ต้อง... ไม่จำเป็น

                    เอาเหอะน่า... ยังไงหลังจากนี้เราก็คงจะต้องเจอกันบ่อยอยู่แล้วล่ะนะ เราควรจะทำตัวสนิทๆกันไว้สิครับ นิชคุณกล่าว ส่วนผมก็แค่ฟังผ่านๆไปงั้น นะ... พี่เจย์

                    นายชื่อนิชคุณใช่มั้ย? ชื่อเรียกยากดีจริงๆเลย... แนะนำให้ไปเปลี่ยนชื่อเหอะ

                    ถ้าเรียกยากเกินไปก็เรียกว่าคุณเฉยๆก็ได้ครับ

                    โอเค... คุณ

                    หลังจากนั้นนิชคุณก็พาผมเดินรอบโรงเรียน ไปดูสถานที่ต่างๆ... ห้องสมุด... หอประชุม... ตึกวิทยาศาสตร์... สนามกีฬา... หอพักนักเรียน (ที่ผมเองก็ต้องไปอาศัยอยู่)... แล้วก็ตึกเรียนของแต่ละระดับชั้นด้วยว่าอยู่ตรงส่วนไหนบ้าง พาทัวร์ไปแล้วก็พล่ามไปด้วยอย่างไม่มีเหน็ดไม่มีเหนื่อย ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันเป็นเวลาแค่ชั่วโมงนิดๆแต่ผมก็รับรู้ได้เลยว่าหมอนี่เป็นคนพูดมากจริงๆ ถึงจะพูดมากแต่ก็ใช่ว่าจะน่าเบื่อซะทีเดียว... นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่มีคนมาคุยกับผมมากถึงขนาดนี้ ซึ่งมันก็... ไม่เลวนะ

                    งั้นเดี๋ยวแยกกันตรงนี้แล้วกันนะครับพี่พอเดินมาถึงหน้าสนามกีฬาแล้วนิชคุณก็พูดขึ้น ส่วนผมก็ได้แต่ทำสีหน้าสงสัยตอบไป

                    ทำไม? นายจะไปไหน?

                    ขากลับผมต้องไปแวะที่ห้องวิชาการหน่อยน่ะครับ

                    งั้นก็... เจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน...

                    ครับ... พรุ่งนี้เจอกันแน่ๆ

                    พอเราทั้งสองคนปิดบทสนทนาลงแล้วนั้น... ผมกับนิชคุณก็แยกกันเดินไปคนละทาง นิชคุณจะไปห้องวิชาการที่อยู่บริเวณตึกวิทยาศาสตร์ ส่วนผมก็จะเดินไปยังหอพักนักเรียนที่อยู่ไกลออกไปจากที่นี่อีก ต่อจากนี้ไปผมจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อนซักเท่าไหร่หรอก... เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่นอนและได้รับอิสระมากขึ้นก็เท่านั้นเอง

                    ไม่อยาก... ที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสถานที่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว...

                    ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงภาพในอดีต... อดีตที่แสนจะปวดร้าว และเดียวดาย อยู่คนเดียวท่ามกลางความหนาวเหน็บมาตลอดหลายสิบปีที่เติบโตมานี้ ไม่อยาก... ที่จะกลับไปที่แบบนั้นอีกแล้ว

                    เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆอยู่... ผมจึงไม่ได้คิดที่จะสนใจสนใจรอบตัวนัก... และผลปรากฏว่า...

                    โป๊กกกก!!

                    โอ๊ย!!!!!!!” รู้สึกเหมือนมีวัตถุอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาอัดหัวของผมเต็มๆจนผมถึงกับเซไปด้านข้างตามแรงอัดของอะไรบางอย่างที่ว่านั้น และผมค่อนข้างมันใจว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า พอมองลงไปใต้ฝ่าเท้าก็พบกับลูกฟุตบอลสมบุกสมบันลูกหนึ่งกลิ้งอยู่ และนั่นทำให้สติสัมปชัญญะของผมถึงกับหลุดหายออกไปหมดจากสมอง ผมเริ่มต้นที่จะแหกปากโวยวาย ไอ้ห่านี่!!! เตะบอลประสาอะไรวะ?!!! อย่าให้เห็นหน้านะมึง!!! เดี๋ยวเหอะ.......

                    ข... ขอโทษนะครับ... ขอโทษนะครับ พอดีผมไม่ระวังมากเกินไปหน่อย ก่อนที่ผมจะได้วีนแตกออกมามากกว่านั้น เด็กหนุ่มซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของลูกบอลลูกนี้ก็รีบกุลีกุจอเข้ามากล่าวขอโทษขอโพยเสียก่อน แต่อย่าคิดว่าฉันจะเป็นคนใจเย็น... และยอมยกโทษให้กับแกง่ายๆอย่างนั้นนะเฟ้ย!!

                    นี่แก!!!! เตะบอลประ..................

                    งั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ ให้ผมเลี้ยงไอติมคุณดีมั้ยล่ะครับ นี่แกคิดว่าแค่ไอติมจะทำให้ฉันยกโทษให้แกได้เลยอย่างนั้นน่ะเหรอ... เฮอะ... หวังสูงไปแล้วมั้งไอ้ตาตี่!!!

                    นี่แกคิดว่า...............

                    งั้นเราไปกันเถอะครับ

                    ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ไอ้ตาตี่ที่ว่านั้นก็รีบลากแขนของผมออกไปจากบริเวณนั้นแทบจะในทันทีทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบ สองครั้งแล้วนะแกที่แกไม่ยอมฟังอะไรฉันเลย!! คิดว่าแค่ไอติมลูกเดียวมันจะทำให้ฉันลืมความผิดครั้งนี้ของแกไปได้รึยังไงกันน่ะห๊ะ?!!

                    คุณเอารสอะไรล่ะครับ? เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง

                    นี่แก... ฉัน...............

                    งั้นเอารสสตรอว์เบอร์รี่นะครับ ส่วนของผมเอาเป็นวนิลา ไอ้เวรนี่!!! สามครั้งแล้วนะมึง!!!

                    นี่แก... หยุด!!! อย่าเพิ่งพูดอะไรขึ้นมานะเฟ้ย... รอให้ฉันพูดให้จบก่อนผมรีบกล่าวดักคอก่อนที่จะเปิดโอกาสให้มันได้พูดขัด แกคิดว่าแค่ไอติมเท่านั้นน่ะเหรอที่จะทำให้ฉันยกโทษให้แกน่ะห๊ะไอ้ตาตี่?!!”

                    เอ๋?

                    แล้วอีกอย่าง... ฉันเกลียดรสสตรอว์เบอรรี่โว้ย!!!”

                    อ้อ... ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ เอ้า... ของคุณน่ะ เขาพูดขึ้นแล้วยื่นไอติมสีชมพูหวานแหววมาให้ผม ตอนแรกผมทำท่าจะปัดมันออกแต่ก็โดนคำพูดของใครบางคนขัดไว้เสียก่อน ถ้าไม่ลองดู... แล้วจะรู้ได้ยังไงกันล่ะครับ

                    ห๊ะ... ผมย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ... ไอ้นี่วอนซะแล้ว

                    ลองชิมดูก่อนสิครับ ไอติมร้านนี้อร่อยมากเลยนะ ว่าแล้วก็ส่งยิ้มตาหยีให้กับผมอีกรอบ ทำให้ผมต้องจำใจที่จะรับไอติมสีชมพูแป๋นนั้นมาลองกินดู เหอะ... รสชาติก็คงงั้นๆล่ะมั้ง

                    ... ทันทีที่กัดลงไปคำแรกความเย็นก็แพ่ซ่านเข้ามาในปากทันที มันเย็นมากจนรู้สึกจี๊ดขึ้นสมอง มันเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ว่าทำไมผมถึงไม่ชอบกินไอติม เพราะว่ามันเย็นจนรู้สึกปวดหัวเนี่ยแหล่ะ

                    เป็นไงครับ? เจ้าของเสียงถามนั้นก็ยังคงส่งยิ้มตาหยีมาให้เหมือนเดิม ผมมองหน้ามันเล็กน้อยก่อนที่จะยักไหล่

                    งั้นๆแหล่ะ... เหอะ... ขอบอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ชอบกินไอติม ผมมองค้อนมันไปทีนึงด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ส่วนคนที่ได้รับสายตาจิกกัดของผมไปแทนที่จะทำหน้าหงอยแต่กลับยิ้มแก้มแทบปริแทน... ไอ้หมอนี่มันบ้ารึเปล่า?

                    ผมชื่อลีจุนโฮนะครับ

                    ไม่ได้อยากรู้จัก ผมตอบไปทันทีอย่างไม่คิดอะไรมาก

                    ฮ่าๆๆ คุณนี่ตลกดีจริงๆเลย

                    ขำอะไรไม่ทราบ... ผมจิกสายตาไปที่มันอีกครั้งหนึ่งทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าถึงจะทำไปคนบ้าๆอย่างหมอนี่ก็คงจะไม่สะทกสะท้าน เอ้า... ชื่อลีจุนโฮใช่มั้ย ส่วนฉันชื่อ........

                    เดี๋ยวครับ

                    ไอ้บ้านี่... ขัดฉันเป็นรอบที่สี่แล้วนะโว้ย ผมอดรนทนไหวที่จะต้องโดนขัดซ้ำๆแบบนี้จึงแหกปากโวยขึ้นมาทันที ตกลงนายอยากจะรู้จักฉันจริงรึเปล่าเนี่ย

                    เพราะว่าผมอยากจะรู้จักคุณจริงๆน่ะสิครับ... ผมถึงไม่ให้คุณบอกชื่อตอนนี้ คำๆนั้นของจุนโฮทำให้ผมถึงกับชะงักกึก เพราะผมอยากจะรู้จักคุณจริงๆ... จึงอยากที่จะรู้เรื่องของคุณด้วยตัวของตัวเองเสียมากกว่า

                    ... ผมย่นจมูก นายนี่แปลกคน

                    งั้นเอาไว้เดี๋ยวเราเจอกันวันหลังแล้วกันนะครับ... บายนะลีจุนโฮกล่าวพลางโบกมือหยอยๆเป็นการร่ำลาก่อนที่จะหันหลังและเดินจากไป ส่วนผมก็ไม่ลืมที่จะตะโกนไล่หลัง

                    เออ... ชาตินี้อย่าเจอกันอีกเลยเหอะ คนบ้าๆแบบนายน่ะมีแต่จะทำให้ฉันปวดหัว...เสียงที่ตอบกลับมาหลังจากที่ผมพูดประโยคนั้นจบก็มีแต่เสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่อยู่ไกลลิบๆตรงนั้นเท่านั้น ก่อนที่แผ่นหลังของเขาจะหายไปจากกรอบสายตา ผมถอนหายใจออกเฮือกใหญ่... วันนี้มันวันอะไรกันนะ

                    แต่ว่า... จะได้เจอกันอีกมั้ยน้อ... ถ้าเจอกันอีกก็คงจะดีสินะ...

     

                    วันนี้ผมต้องมารออยู่หน้าตึกวิทยาศาสตร์เสียจนเย็น ด้วยความที่ว่าตัวปัญหาตัวหนึ่งที่ผมมักจะใช้มันเป็นเพื่อนเดินกลับหอพักด้วยกันทุกวันๆมันลืมของเอาไว้ข้างใน ซวยจริงๆ... ไอ้คุณนี่วันๆมีแต่จะสร้างปัญหาให้หนักหัว แต่ก็เอาเถอะ... น้องมันนิสัยดีถึงจะเฟอะๆไปหน่อยแต่ก็ช่างหัวมัน นิชคุณนี่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมมีอยู่ในโรงเรียนเลยก็ว่าได้ จริงๆแล้วเฮนรี่ (เพื่อนร่วมห้องของผม) ก็นิสัยดีอยู่ไม่น้อย แต่เขาเองก็มีกลุ่มอยู่แล้ว จะไปไหน... ไปกินข้าว... ไปเล่นกีฬา... เขาก็มีกลุ่มของเขาที่จะไปโน่นไปนี่ด้วยกัน เคยมีอยู่หลายครั้งที่เขาพยายามชวนผมเข้ากลุ่ม แต่ผมบอกไปแล้วว่าผมเป็นผูกมิตรไม่ค่อยจะเก่งซักเท่าไหร่นัก รั้งแต่จะทำให้เขาลำบากใจเสียมากกว่า ผมจึงปฏิเสธไป แต่โดยรวมแล้วเขาก็เป็นหนึ่งในเพื่อนที่ดีแต่ก็แค่ไม่ได้สนิทด้วยกันเท่านั้น

                    จะว่าไป... หลังจากวันนั้นที่ผมโดนลูกบอลอัดหัวแล้ว... ผมก็ไม่ได้เจอไอ้ตาตี่นั่นอีกเลยแฮะ...

                    ฟุ่บ!!!

                    เฮ้ย?!!” ผมอุทานขึ้นด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆมีอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาที่ข้างซ้ายของผม พอหันกลับไปก็พบว่ามันเป็นไอติมโคนๆหนึ่ง ซึ่งก้อนไอติมนั้นมีสีชมพูหวานแหวว... แต่ว่า... ไอ้สีแบบนี้มันคุ้นๆที่ไหนกันนะ

                    สวัสดีครับ... รับไอติมหน่อยมั้ย? ผู้ที่ยื่นไอติมโคนนั้นมาให้ได้แต่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่เบื้องหลัง หน้าตาก็คุ้นๆ รุ่นพี่ปาร์คแจบอม

                    นาย... ทำไมนายรู้จักชื่อฉัน? จำได้ว่าครั้งที่แล้วที่เจอกันมันยังไม่ได้ให้ผมบอกชื่อเลยไม่ใช่เหรอ

                    คำตอบก็คือ... เพราะผมฉลาดเป็นคำที่ทำให้ผมถึงกับอยากจะอ้วกออกมาตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป...คนบ้าอะไรชมตัวเองก็เป็นด้วย ล้อเล่นน่ะครับ พี่รู้จักพี่คุณใช่มั้ย... นั่นแหล่ะ เขาเป็นรุ่นพี่ในชมรมของผม

                    แล้วนายก็ไปถามเขา? ผมพูดขึ้น จุนโฮพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงว่าเข้าใจถูกแล้ว แล้วนายรู้ได้ไงว่านิชคุณรู้จักฉัน

                    ผมเคยเห็นพี่เดินกับพี่คุณน่ะครับ ก็เลยคิดว่าน่าจะรู้จักกัน จุนโฮตอบ เพราะปกติพี่เป็นคนไม่ชอบสุงสิงกับใครนี่ครับ เห็นเดินคนเดียวตลอดเลย ก็พี่คุณคนเดียวเนี่ยแหล่ะที่พี่ยอมให้เดินด้วยกันได้

                    เฮ้ย... อย่าบอกนะว่านี่นายตามดูฉันมาตลอดเลยน่ะ?

                    ปิ๊งป่อง... ถูกต้องนะคร้าบบ ไม่ใช่รายการยกสยามเฟ้ยไอ้ตาตี่... เดี๋ยวปั๊ดเสยคาง

                    แล้วทำไมนายไม่มาทักฉันล่ะ? ที่ผมถามแบบนี้เพราะว่าอะไรน่ะเหรอ... เอิ่ม... ไม่รู้สินะ

                    ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่า... ผมอยากเจอเขา... ล่ะมั้งน่ะ?

                    ผมดีใจนะครับที่ได้มาเจอกับพี่อีก เพิ่งเจอกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองไม่ใช่รึไงวะ พี่ยังทำหน้าถมึงทึงเหมือนเดิมเลยนะครับ

                    ..... ผมหันกลับไปมองหน้ามันตาขวาง ตูก็เป็นของตูแบบเนี้ย... แกมีสิทธิ์อะไรมายุ่งห๊ะไอ้ลีจุนโฮ

                    ผมว่า... พี่ยิ้มก็น่าจะดูดีออก จริงม้า? จุนโฮพูดขึ้น ขนาดพี่คุณยังบอกเลยนะครับว่าพี่ยังไม่เคยยิ้มให้เขาเลยด้วยซ้ำ

                    ... ผมมองหน้ามัน... ไอ้หมอนี่มันคิดจะบอกอะไรกันแน่นะ

                    พี่ยิ้มให้ผมดูเป็นคนแรกได้มั้ยล่ะครับ? คำๆนั้นเองทำให้แก้มของกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ... มัน... มันพูดบ้าอะไรของมัน??

                    เป็นคนแรก? นายหมายความว่ายังไงมิทราบลีจุนโฮ??

                    ก็ผมอยากจะเป็นคนแรกที่พี่ยิ้มให้นี่ครับ... ไม่ได้เหรอ?อย่ามาทำท่าใสซื่อแบบนั้นนะไอ้เด็กบ้า... มันทำให้ฉัน... ฉัน... เอ่อ... แล้วผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย???

                    พอเหอะน่า หยุดทำหน้าแบบนั้นซะที มันน่ารำคาญ ผมเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากให้เขาเห็นแก้มที่กลายเป็นสีชมพูเหมือนไอติมที่ผมกำลังกินอยู่ในตอนนี้ แล้วนี่ผมจะเขินไปเพื่ออะไรกันนะ....

                    ไอ้บ้า... ลีจุนโฮเอ๊ย...

                    น่าโมโหจริงๆเลย... ให้ตายเหอะ... แล้วเมื่อไหร่นิชคุณจะออกมากันเนี่ย??

                    ผมจะรอพี่นะครับ ใครสั่งให้แกรอกันนะหา???

                    รออะไรมิทราบ?? ผมตวาดใส่ทั้งๆที่แก้มก็ยังเป็นสีชมพูระเรื่อไม่หาย โอ๊ยยย... นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย

                    พอมันบอกว่าจะรอ... หน้ามันก็ร้อนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ...

                    ผมจะรอวันที่พี่ยิ้มให้ผมไงล่ะครับ

                    อึ่ก.... เชอะ!!!!” ผมสะบัดหน้าใส่อย่างเชิ่ดๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วกลบเกลื่อนอาการเขินของตัวเองต่างหากเล่า ถ้าอยากจะรอนักก็เชิญ เชิญรอไปเลย แล้วอย่าหวังว่านายจะได้อย่างที่นายหวังก็แล้วกันนะ

                    บ้าจริงๆแฮะเรา... ทั้งๆที่แสดงอาการเขินออกมามากซะขนาดนี้...

                    บ้าจริงๆเลย...

                    ถึงแม้จะไม่ได้อย่างที่หวังไว้ แต่แค่ได้รู้ว่าตัวเองกำลังรออยู่... ผมก็สุขใจแล้วล่ะครับ จุนโฮกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ อ... ไอ้หมอนี่... ไม่รู้ว่าที่มันตอบออกไปอย่างนั้นเพราะความซื่อมากเสียจนเกินไป... หรือว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่กันแน่

                    ไม่เอาน่าเจย์... ไอ้เด็กนี่มันก็แค่ซื่อ... ซื่อมากเกินไปเท่านั้น... จะไปเอาอะไรกับมันได้ล่ะ?

                    เราเจอกันมาแค่สองครั้งเองนะ... สองครั้งเอง...

                    ... ผมก้มหน้าลงและตั้งหน้าตั้งตากินไอติมสีชมพูในมือของตัวเองต่อไป หมอนี่อุตส่าห์เอามาให้แล้วถ้าปล่อยไว้อย่างงี้เดี๋ยวก็ละลายหมด นี่ผมไม่ใช่คนตะกละนะครับ... แค่ชอบของฟรีเท่านั้นเอง

                    จะว่าไป... ทำไมวันนี้ไอติมมันหวานจังเลยนะ...

    ______________________________________________________________________________

    Talk with Writer :

    ในที่สุดเรื่องของโฮกับเจย์ก็เปิดเผยแล้ว (แต่ยังไม่จบแค่นี้!!!)
    ส่วนเรื่องมุม Talk with Writer  เนี่ยขอยกยอดไปต่อพาร์ทหน้าเลยแล้วกัน
    แต่ขอคอมเม้นสำหรับพาร์ทนี้ด้วยนะคะ ^^

    ติดตามชมต่อพาร์ทหน้านะคะ Let's go!!! >>>>>>>


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×