คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : รู้จักคนอย่างไอ้เจ๋งน้อยไปซะแล้ว
ตอนที่ 10 : รู้จักคนอย่างไอ้เจ๋งน้อยไปซะแล้ว
ไอ้เชนบังคับผมนั่งเขียนไอ้บันทึกตัวละครจนถึงเที่ยงคืน ทั้งๆที่ผมง่วง หาว โชว์มันไปหลายรอบ ก็ทำหน้านิ่งไม่สนใจ แถมยังยื่นคำขาดอีกว่าถ้าวันนี้เขียนไม่เสร็จ 3 หน้าจะไม่ให้นอน เอาเข้าไป นี่มึงเป็นเตี่ยกูหรือไงวะ แต่ขนาดเตี่ยยังบังคับกูไม่ได้ขนาดนี้เลยนะเว้ย
ตอนที่วิเคราะห์ตัวละครแล้วเล่าให้ครูไอ้เชี่ยสัดเชนฟัง (ขออภัยที่หยาบ เนื่องด้วยโมโหมันสุดขั้น) มันบอกว่าผมไม่มีข้อไหนที่ไม่เหมือน พัดเลย มิน่า พี่แบงค์ถึงอยากให้แสดงบทนี้ ผมก็เถียงสุดชีวิตว่าตัวละครที่ผมจะเล่น แม่งนิสัยไม่เห็นเหมือนผมเลย ใครจะเป็นคนเอาแต่ใจ โวยวาย ไม่มีสติ ซื่อบื้อ ชอบเอาชนะ ขนาดนั้น ผมไม่ใช่คนแบบนั้นแน่ๆ
“ถ้ากูนิสัยเหมือนไอ้พัดนะ กูขอกลั้นใจตายดีกว่า ใครมันจะเหี้ยได้ขนาดนั้นวะ” พอผมอ่านบทจนเข้าใจก็รู้สึกว่าไอ้คนแบบนี้อยู่ไปก็เป็นภาระกับคนอื่น เอ๊ะ เหมือนผมจะจำได้ว่าไอ้เชนเคยด่าผมแบบนี้
“งั้นคุณก็รีบกลั้นใจตายไปเลย” มันพูดแถมทำท่าพยักเพยิดให้ผมทำ
“ม่ายยยย กูไม่ใช่คนแบบนั้น” ผมส่ายหัวสุดแรง ไม่เอา ผมไม่ยอมรับเด็ดขาด
“ถ้าคุณไม่ยอมรับตัวคุณเองก่อน แล้วคุณจะไปยอมรับคนอื่นได้ไง” อึ้งอีกแล้วครับท่าน นี่มึงเป็นแอดมินเพจคำคมใช่มะ สรรหาคำสอนแต่ละอย่างมาบอกเนี่ย คมซะไม่มี
“ก็มันไม่ใช่นี่หว่า” ไอ้เจ๋งขอดื้อแพ่งไว้ก่อน ยังไงผมก็ไม่คิดจะเป็นคนแบบนั้น
“งั้นคุณลองบอกมาซิ ว่าคุณเป็นคนยังไง” ไอ้ยินเช่นนั้นคำสีเสริญเยินยอทั้งชีวิตที่เคยได้ยินก็ผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด
“จะว่าไป กูก็เป็นคน เก่งนะ หล่อ รวย มีความสามารถ แถมยัง”
“ขอเรื่องนิสัย” ไอ้เชนตัดบทพูด นี่ผมยังสาธยายไม่หมดเลยเรื่องความดีงามของผม
“นิสัยเหรอ ไร้เดียงสา ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จริงใจ รู้จักรับผิดชอบ มีเหตุผล เป็นผู้ใหญ่ ใจเย็น”
“พอก่อน ผมว่าคุณคิดขึ้นมาเองนะ” ไอ้เชนขัดผมอีกละ อารมณ์เสียได้ตลอดเลยเวลาอยู่กับมัน
“ไม่นิ ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว” เท่ไหมล่ะครับ ไอ้เจ๋ง คุณสมบัติภายในภายนอกเพียบพร้อม
“งั้น........คุณมีคนที่คุณไม่ชอบไหม” ผมล่ะอยากจะตอบว่า ‘มึงนั่นแหละ’ มากๆ แต่ไม่ได้ๆ เดี๋ยวโดนมันด่าเอา
“ไม่ชอบเหรอ มีอยู่คนนึง ชื่อ ไอ้ยุทธ มันเป็นเจ้าของบริษัทผลิตเครื่องดนตรีที่เคยไปเล่นคอนเสิร์ตเปิดตัวบริษัทให้ ไม่ชอบขี้หน้ามัน แม่งชอบมากวนตีนใส่ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนจ่ายตัง กูท้าต่อยมันไปละ” ไอ้ยุทธจริงๆผมต้องเรียกมันว่าพี่ เพราะว่ามันอายุมากกว่าไปประมาณสามสี่ปี แต่ผมไม่เรียกมันพี่หรอก แม่งชอบกวนตีนใส่ เจอหน้าทีไรกัดกันตลอด นี่ก็เพิ่งมารู้ตอนหลังว่ามันเป็นลูกของเพื่อนเตี่ย
“โอเค ยุทธใช่ไหม.........อืม..........ถ้าคุณต้องไปร้องเพลงให้กับงานคุณยุทธ” มึงอย่าเรียกคุณยุทธได้ไหม กูฟังแล้วจะอ้วก
“แล้วคุณยุทธเปลี่ยนลิสต์เพลงคุณกะทันหันก่อนขึ้นเล่น”
“ไม่ให้เปลี่ยน!” ผมตอบไปอย่างไม่ต้องคิดเลย อะไรวะ ถ้าจะเปลี่ยนก็ควรบอกแต่เนิ่นๆดิ
“แล้วถ้าคุณยุทธบอกว่า ลิสต์เพลงที่คุณเตรียมมามันยาวไป เวลาไม่พอ ช่วยตัดให้สั้นลง”
“ยาวก็ช่างแม่งดิ ไม่บอกกูก่อนนี่หว่าช่วยไม่ได้” อันนี้ก็ไม่ได้กลั่นหรองเหมือนกันครับ ออกมาจากไขสันหลังทั้งสิ้น
“อืม...ถ้าสมมติคุณยุทธเขาเป็นคนร้องเพลงเพราะมาก แล้วเขาอยากจะไปแบทเทิ่ลร้องคู่กับคุณ คุณจะ”
“มาเลย..... กูพร้อมเสมอ จะร้องเพราะขนาดไหนเชียว กูยอมแหกปากจนคอแตกแข่งกับมัน” พูดแล้วก็โมโหครับ ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเป็นเรื่องสมมติ
“แล้วถ้าคุณยุทธเขาขอให้คุณถอยไปเป็นคอรัสให้เขาร้องโชว์เด่นในงานที่เขาเป็นเจ้าภาพ”
“สัด มึงอยากร้องเอง ไม่ไปเช่าคาราโอเกะมาวะ ทำไมต้องให้กูไปเป็นแบคอัพให้ด้วย” ผมพูดจบประโยค ไอ้เชนก็ส่ายหัวหน่ายทันที
“ทุกอย่างที่คุณตอบมาเนี่ย บ่งบอกตัวตนของพัดทุกอย่าง ลองกลับไปนึกดูดีๆ” เหมือนยังไงวะ ผมก็นั่งนึก เอาแล้วไง เรื่องที่ไอ้เชนถามนี่มันเป็นฉากในหนังนี่หว่า ไอ้พัดในหนังเป็นนักร้องเหมือนกับผม ต่างกันตรงที่ ไอ้พัดไม่ได้ดังเหมือนผม แต่เริ่มมาจากวงดนตรีเล็กๆ ก่อนจากนั้นก็ค่อยมาดังทีหลัง แล้วตอนที่พัดกับวงยังไม่ดัง ก็ได้ไปเล่นในงานงานหนึ่ง ที่โดนตัดเพลง โดนขอให้มีคนร้องเพลงเก่งขึ้นไปแบทเทิ่ลด้วย สุดท้ายก็โดนขอให้เป็นวงแบคอัพ แล้วในเรื่องไอ้พัดทำไงรู้ไหมครับ ตอนท้ายงานมันไปต่อยเจ้าของงานเพราะว่าไม่ชอบที่เอาวงมันมาทำแบบนี้ แล้วผมก็เดินเข้าล็อคเดียวกับไอ้พัดเลย ไอ้เชนนะไอ้เชน ทำเอากูอึ้งไปเลย โอเค มึงเก่ง มึงทำกูจนมุมได้
“เออ!!!” ตอบอะไรไม่ได้นอกจากคำนี้ครับ เซ็งครับ ปกติไม่ชอบแพ้ แต่พอเจอไม้นี้ของไอ้เชนเข้าไป ผมจุกจนตอบโต้ไม่ได้เลย แล้วนี่มึงจะขำทำไม หน่อยแน่ ยังมาส่ายหน้าใส่อีก เดี๋ยวแม่งต่อยเลยนิ
การบังคับขู่เข็ญของไอ้เชนมาสิ้นสุดตอน ตี 2 หนังตาผมปิดแล้วปิดอีก จนสุดท้ายผมก็เขียนบันทึกตัวละครเสร็จไป 4 หน้าอย่างที่ไอ้เชนมันบังคับ มันถึงปล่อยผมกลับห้อง ผมไม่อาบน้ำละครับ รีบทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วหลับไปทันที
จนมีเสียงโทรศัพท์โทรมาปลุกเป็นเสียงอีเจ๊ส้ม บอกว่าวันนี้มีนัดคุยกับลูกค้าเรื่องเป็นพรีเซนเตอร์
“กี่โมงนะ อีเจ๊” ผมงัวเงียถาม
“เขานัด 11 โมง นี่มัน 10 โมง 20 ละ รีบตื่นเดี๋ยวนี้นะ นี่ถ้ากูไม่โทรมา มึงก็คงไม่ตื่นใช่มั้ย” เสียงเจ๊ส้มแว้ดๆจนเจ๋งได้สติ
“เชี่ยละ” ผมไม่รอบอกลาอะไรอีเจ๊อีก รีบวางหูไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว
10 โมง 45 ผมขับรถออกมาจากคอนโด ไหนๆก็ผ่านมาละ ชะเง้อดูจักรยานไอ้เชนหน่อยว่าอยู่ไหม ไม่อยู่นี่ สงสัยจะไปมหาวิทยาลัย ปกติถ้าออกไปข้างนอกไกลๆไอ้เชนมันจะใช้รถยนต์ แต่ถ้าไม่ไกลมากมันก็จะปั่นจักรยานไป แล้วนี่ผมมารู้เรื่องของมันได้ยังไง ใส่ใจมันเพื่อ ไม่เอาไอ้เจ๋ง อย่าไปสนใจมันมาก แค่นี้มันก็ทำให้ชีวิตลำบากมากพอละ
ผมถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แต่จะไม่สวัสดิภาพก็เมื่อเห็นเจ๊ส้มตรงดิ่งมาหาที่รถ วันนี้เจ๊ส้มมันใส่ชุดอะไรของมันวะ อย่างกับต้นกล้วย เขียวเหลือง แล้วมึงก็ใช่ว่าจะหุ่นปกตินะ ตัวมึงก็ใหญ่กว่ากูอีก ผมว่าถ้ามันแต่งเป็นต้นกล้วยจริง คงเป็นต้นกล้วยเป็นโรคที่อยู่มานานพันปีจนต้นใหญ่เท่าต้นขนุน
“อีเจ๋ง กูนัด 11 โมง นี่มัน 11 ครึ่งละ ถ้ามึงจะตื่นสายขนาดนี้ กูว่ามึงหลับให้ถึงชาติหน้าเลยดีมั้ย กูจะได้สงเคราะห์” เจ๊ส้มทำท่าจะเอากระเป๋าถือสีเหลืองสดมาตี ผมก็ต้องรีบหลบอย่างไวสิครับ
“โทดทีว่ะ พอดีเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย” อีเจ๊คว่ำปากใส่ แถมทำเชิ่ดแบบในละคร ผมเห็นแล้วก็สังเวช นี่มึงนึกว่าตัวเองสวยขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“เร็วๆ ตามมา ลูกค้ารออยู่ ดีนะ ที่เขาไม่ว่าอะไร ไม่งั้น มึงชวดเงินล้านค่าตัวพรีเซนเตอร์แน่” ผมรู้ว่าเจ๊ส้มมีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งอยู่แล้ว
ผมเดินตามเจ๊ส้มมาจนถึงห้องประชุม ผมว่าที่นี่มันคุ้นๆเหมือนเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็จำไม่ได้
“นี่คุณจรุงจิต ไหว้สิ” เจ๊ส้มสั่ง ผมก็เลยยกมือไหว้ และยิ้มหวานให้ทีนึง ยิ้มแบบนี้ใครที่ไหนก็ต้องหลง ซึ่งก็ไม่ผิด คุณจรุงจิต ยิ้มตอบตาเคลิ้มทันที
“นี่น้องเจ๋งค่ะ พี่จิตน่าจะรู้จักอยู่แล้ว” เจ๊ส้มแนะนำเสียงสุภาพ
“รู้จักสิคะ ตอนต้นปีวงแบกแฝก ก็มาเล่นเปิดบริษัทให้ พี่ยังมีรูปคู่กับน้องอยู่เลย” โอ้โห จำได้เลยครับ เมื่อคืนเพิ่งคุยกับไอ้เชนไปหยกๆเรื่องมาเล่นงานเปิดตัวบริษัทให้ไอ้ยุทธ
“สวัสดีครับ ทุกคน” นึกถึงผี ผีก็มา ไอ้ยุทธทำหน้ายิ้มร่าเข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะ คุณยุทธ” เสียงหวานเชียวนะมึง อีเจ๊ส้มสวัสดีแบบผู้หญิงย่อจนจะติดพื้นอยู่แล้ว แถมตอนขาขึ้น ไม่ยอมขึ้นเอง ต้องเหนื่อยผมดึงมันขึ้นมา
“นี่...อีเจ๊ มึงเก็บอาการหน่อย น้ำลายย้อยมาถึงคอละ” อีเจ๊นี่เห็นคนหล่อเป็นไม่ได้ ผมเลยต้องกระซิบบอกหน่อย
“อีบ้า เว่อไป” อีเจ๊กระซิบกลับมาเช่นกัน
“หวัดดี” ผมยกมือไหว้ไปส่งๆ นี่ถ้าอีเจ๊ไม่ส่งซิกให้ผมไหว้จนตามันจะถลนออกมา ผมคงไม่ทักทายมันหรอก แต่ดูมันครับ พอเห็นผมไหว้ มันยิ้มมุมปากมาแถมยักคิ้วให้ทีหนึ่ง กวนตีนนะมึง
“งั้นเรามาเริ่มคุยกันเลยดีกว่าไหมคะ เสร็จแล้วจะได้ไปทานอาหารกลางวันกัน” ดีนะครับที่คุณจรุงจิตพูดเข้าเรื่องงานเสียก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงได้ฉะฝีปากกับไอ้ยุทธแน่ๆ
งานก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่จะให้ผมเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องดนตรีแบรนด์ที่ผลิตจากบริษัทนี้ โดยจะเน้นไปที่กีต้าร์เป็นหลัก ก็มีถ่ายแบบ ถ่ายหนังโฆษณา แล้วก็มีจัดอีเวนท์ตลอดปี ซึ่งผมต้องไปร่วมงานทุกครั้ง ก็โอเคนะ เหมือนพรีเซนเตอร์สินค้าทั่วๆไป นี่ถ้าไม่ติดที่ต้องทำงานกับไอ้ยุทธล่ะก็ ผมคงมีความสุขมากกว่านี้
คุยเสร็จคุณจรุงจิตก็เชิญผมกับเจ๊ไปกินข้าวเที่ยงที่โรงแรม แต่โรงแรมมันอยู่ติดกับบริษัท ก็เลยพากันเดินต๊อกแต๊ก ออกมาจากบริษัท โดยมีไอ้ยุทธเดินตามมาด้วย
“อ้าว...ไหนคุณยุทธบอกว่าจะไปทำธุระไงคะ” คุณจรุงจิตถามพลางเดินนำไป
“ก็ เซเลบอย่างคุณเจ๋งอุตส่าห์เสียเวลามากินข้าวด้วย ผมจะพลาดได้ยังไง นี่กว่าจะแต่งตัวออกจากบ้านมาได้ก็เลทไปตั้งครึ่งชั่วโมง แต่ก็ว่าเขาไม่ได้นะ เขาเป็นคนดัง เดี๋ยวถ้าเขาไม่พอใจขึ้นมา ถ้ามาว่าเสียๆหายๆกับบริษัทละก็ ซวยแน่ๆ” มึงช่วยด่ากูตรงๆดีกว่านะไอ้ยุทธ ถ้ามึงจะเหน็บแนมกับกูขนาดนี้ ต่อยกับกูเลยมะ
ผมกำลังจะด่ามันคืนแต่อีเจ๊ก็รีบปิดปากผมแล้วรีบดึงผมให้เดินนำไปไกลๆ
เราเดินมาจนถึงห้องอาหารหรู ผมรู้เลยว่ามาแล้วต้องกินอาหารเลี่ยนๆแน่ๆ โต๊ะจัดแบบฝรั่งขนาดนี้ นี่ถ้ามีสปาเกตตี้นะ ผมจะอ้วกโชว์เลยคอยดู
พอมานั่งที่โต๊ะ อ่านเมนูก็ทำผมพะอืดพะอม โดยเฉพาะสปาเกตตี้ ผมแค่เห็นรูปก็ไม่ไหวละ ไอ้ยุทธ เจ๊ส้ม แล้วก็คุณจรุงจิต สั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้วเหลือผมคนเดียว ผมเห็นหน้าไอ้ยุทธก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา ไม่ชอบขี้หน้ามัน ทำไงถึงจะเอาคืนมันได้นะ เมื่อกี้ก็ไม่ได้ด่าคืน นี่อีเจ๊ก็กระดิกเท้าจิ้มขาผมยิกๆให้ผมรีบสั่ง
“พี่...มีส้มตำปะ” ผมสั่งเสียงดัง ทุกคนในโต๊ะเริ่มอึ้ง คนรับออเดอร์ก็อึ้ง ส่วนผมเหรอ ไม่อายหรอก ถ้าได้แก้แค้น แถมยังจะได้กินของที่ตัวเองชอบอีกด้วย ถึงผมจะโดนเลี้ยงมาเหมือนลูกหนูแบบนี้ แต่จะบอกอะไรให้ คนที่เลี้ยงผมเนี่ย เป็นคนอีสานทั้งนั้น สอนผมให้กินเผ็ด กินอาหารอีสาน กินปลาร้ามาแต่เด็ก โตมาก็เลยชอบ
“เอ่อ....น้องเจ๋งคะ พี่ส้มคิดว่า...”
“ขอตำปูปลาร้าแซ่บๆ เผ็ดๆ ข้าวเหนียว ไก่ย่างด้วย” ผมไม่รอให้อีเจ๊พูดจบหรอก ผมสั่งเสร็จก็ปิดเมนู วางบนโต๊ะสบายใจเฉิบ คนรับออเดอร์ก็งงไม่รู้จะทำยังไง
เจ๊ส้มอายจนหน้าเหลือไม่ถึงนิ้วแทบจะอยากมุดไปอยู่ใต้โต๊ะ คุณจรุงจิตแค่นยิ้มให้ผมแหยๆ ส่วนไอ้ยุทธน่ะเหรอ ตอนแรกมันก็อึ้งนะ แถมมองซ้ายมองขวาดูคนที่หันมามองผมสั่ง จากนั้นไอ้ยุทธก็ทำแมน บอกให้คนรับออเดอร์ไปทำตามที่ผมบอก ผมเห็นมันเหวอ โคตรจะสะใจ เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับไอ้เจ๋ง
ความคิดเห็น