ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกข้างแรม

    ลำดับตอนที่ #1 : ความช่วยเหลือ

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 50



    "ข้าว่าป่านนี้พวกหม่าคงบุกเข้าไปพังเมืองเสียราบแล้วล่ะมัง"

                 "ยังไงเราก็ต้องไปตามคำสั่ง ต่อให้ไปแล้วพบเพียงซากของเมืองก็ตาม แต่ข้าก็ยังหวังอยู่ว่าพวกเราจะไปทัน"

                 น้ำเสียงของขุนอินทราเทพเจือด้วยความเศร้าอยู่บ้าง แม้ว่าลักษณะของประโยคที่พูดออกมานั้นยังแสดงถึงความมุ่งมั่น


              "ทำไมเขาถึงแจ้งไปยังเมืองหลวงช้าเหลือเกิน รอจนพวกหม่ามันมาล้อมเมืองเสียทุกด้านแล้วจึงค่อยแจ้งข่าวมา  แต่ข้าก็ว่าน่าแปลกอยู่นะท่านขุน  ว่าทำไมทางเมืองนนท์ถึงยังสามารถส่งข่าวออกมาได้หากพวกหม่าได้ทำการปิดล้อมเมืองเสียหมดแล้ว"

                หมู่มั่นทหารกล้าของกองทัพขึ้นชื่อในเรื่องเพลงดาบ และ น้ำใจอันเด็ดเดี่ยวหาผู้เปรียบได้ยาก  ตั้งข้อสังเกตขึ้นกับท่านขุนผู้บังคับบัญชาการศึกซึ่งมียศศักดิ์สูงกว่าผู้หมู่นี้อยู่มาก แต่ประสบการณ์การรบนั้นหาได้เพียงเศษเสี้ยวของยอดหัวหมู่ผู้นี้


                "ข่าวแจ้งว่าพวกหม่ายังคงเปิดช่องทางไว้ด้านทิศตะวันตก ซึ่งช่องทางนี้แหละคงเป็นช่องทางที่ฝ่ายเมืองนนท์ลอบออกมาส่งข่าว และ การที่พวกเราจะเข้าไปช่วยเหลือเมือง ก็น่าจะอาศัยช่องทางนี้เหมือนกัน"

                 ขุนไวยฤทธิ์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในขุนพลที่เป็นผู้นำของกองกำลังที่เดินทางอยู่กองนี้  พูดแทรกขึ้นมาเบื้องหลังระหว่างการสนทนาของขุนอิน กับ หมู่มั่น แต่นั้นก็สอดคล้องกับเรื่องที่นักรบทั้งสองคนนี้กำลังกล่าวถึงกันอยู่ระหว่างการเดิน


                  "พิกลแท้ ทางด้านตะวันตกเป็นทิศที่เราจะเข้าสู่เมืองได้โดยตรงเชียว"

                   "เหมือนกับเปิดทางล่อให้เราเข้าไปในเมือง"   ขุนอินดูจะเข้าใจในความหมายที่หมู่มั่นกำลังพูดถึง จึงพูดสรุปความเอาเสียก่อน

                   "ข้าว่ามันอาจจะเกรงว่าหากยังปิดล้อมด้านตะวันตกของเมืองอยู่ หากกองทัพของเราเดินทางไปถึง พวกมันจะกลายเป็นถูกขนาบด้วยทหารฝ่ายเราทั้งสองด้านไปเสียฉิบ"

                   "ดั่ง sandwich"

                   "แซน-วิด"

                   หมู่มั่นเอ่ยทวนชื่อขนมฝรั่งที่ขุนไวยอ้างถึงด้วยความสงสัยยิ่งไปกว่าการที่ทำไมพวกหม่าจะต้องเปิดเมืองไว้ด้านหนึ่ง

                  ขุนศึกผู้มีความรู้เกี่ยวกับตะวันตกค่อนข้างมากผู้นี้จึงจำเป็นต้องรีบแถลงไขก่อนหน้าที่ท่านหัวหมู่ฝีมือเยี่ยมจะถอดใจไปเสียก่อนจะได้รบกัน

                  "มันเป็นขนมชนิดหนึ่งของพวกฝรั่งจะมีไส้เป็นพวกเนื้อสัตว์หรือผลไม้อยู่ตรงกลาง และก็มีแผ่นแป้งประกบทั้งสองด้าน"

        "อืมท่านขุนเข้าใจเปรียบดีแท้"


                   "แต่หากพวกมันปล่อยให้เราเข้าไปในเมืองกันก่อนแล้วค่อยทำการปิดล้อม คราวนี้พวกมันก็จักได้เปรียบ และพวกเราก็จะกลายเป็นไส้ของซาลาเปาไป"

                   "ซา-ลา-ปาว" หมู่มั่น  (*-*)

    "เป็นขนมของพวกคนจีน จะเป็นแป้งปั้นทรงเกือบกลม แล้วก็มีเนื้อสัตว์ หรือพวกถั่วเป็นไส้อยู่ภายในแป้งก้อนนั้น"

    ขุนอินอ้างถึงขนมที่ตนเองรู้จักขึ้นมาบ้าง เพื่อความไม่น้อยหน้าขุนไวยสหายสนิท

    "ผลัดกันเป็นไส้กันเลยเทียว"

    หมู่มั่นสรุปความปิดท้าย ทำให้ทั้งสามคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน  การรบครั้งนี้กลายเป็นขนมไปเสียแล้ว


                     "แต่ถ้าหากซาลาเปามีไส้มากเกินไป  มันก็จะแตกออกและไส้ของมันก็จะทะลักออกมาได้"

    "แล้วพวกมันจะรู้ได้อย่างไรว่าซาลาเปาใบนี้จะมีไส้ที่มันสามารถห่อหุ้มไว้ได้หมด"

     หลังจากจบประโยคที่เป็นข้อสังเกตของขุนไวยและขุนอิน ทั้งสามนักรบก็ต่างเงียบงันกันไป เป็นเรื่องที่สามารถคิดต่อไปได้ไม่ยากเลยว่าทำไมนักรบทั้งสามนี้จะต้องมีความกังวลใจ และความวิตกที่ปรากฎบนใบหน้าของพวกเขาก็คงจะไม่เกี่ยวกับขนมของชาติใดๆอีก ความกังวลอันนั้นน่าจะเกิดมาจากความสงสัยที่ว่าพวกหม่ารู้ได้อย่างไรว่ากองทัพจากเมืองกรุงนั้นจะมีจำนวนไม่มากนัก จนกล้าที่จะปล่อยให้กองกำลังของฝ่ายที่เข้ามาช่วยเหลือนี้ได้มีโอกาสผนึกกำลังกับกองกำลังของเมืองนนท์เสียก่อน แล้วถึงค่อยทำการโจมตีในทีเดียว

    "พวกเราจะเดินดุ่ยเข้าไปตามที่มันวางแผนเอาไว้เลยหรือท่าน"


    ขุนอินกับขุนไวยต่างมองหน้ากันเป็นเชิงตั้งคำถาม

    แต่แท้ที่จริงแล้วทั้งสองขุนนี้ก็ต่างมีคำตอบของตัวเองอยู่ในใจ


                      "เจ้าคงอยากให้เราบุกทันที"   ขุนไวยพูดแทนความในใจของเพื่อน
                      "ถ้าเจ้าคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป เราค่อยวางแผนกันก่อนก็ได้ น่าจะยังทันการณ์  แต่เราคงจะประชิดเมืองในตอนพลบค่ำพอดี ทางเลือกคงมีไม่มาก"


     "ทางเลือกที่มีน้อยนั้นยังคงมีอยู่ ถ้าหากเจ้าจะชะลอฝีเท้าลงบ้าง และ ข้าก็คงจะเชื่อว่าเจ้าพร้อมที่จะวางแผน"


    ขุนอินหยุดการก้าวเดิน  ทั้งกองทัพที่เดินตามเขาจึงต้องชะลอความเร็วลงแล้วค่อยๆหยุดลงทั้งหมด


                    "เราจะพักกันตรงนี้ก่อน"


                     ขุนอินหันไปบอกทหารคนสนิทให้ช่วยป่าวประกาศต่อไป เสร็จแล้วจึงหันกลับมาพูดกับทั้งขุนไวยและหมู่มั่นอีกครั้ง


                      "ทีนี้เราคงมีเวลาปรึกษากันได้บ้างล่ะ"

               
      ……………………………………………………………


                   
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×