คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ความช่วยเหลือ
"ข้าว่าป่านนี้พวกหม่าคงบุกเข้าไปพังเมืองเสียราบแล้วล่ะมัง"
"ยังไงเราก็ต้องไปตามคำสั่ง ต่อให้ไปแล้วพบเพียงซากของเมืองก็ตาม แต่ข้าก็ยังหวังอยู่ว่าพวกเราจะไปทัน"
น้ำเสียงของขุนอินทราเทพเจือด้วยความเศร้าอยู่บ้าง แม้ว่าลักษณะของประโยคที่พูดออกมานั้นยังแสดงถึงความมุ่งมั่น
"ทำไมเขาถึงแจ้งไปยังเมืองหลวงช้าเหลือเกิน รอจนพวกหม่ามันมาล้อมเมืองเสียทุกด้านแล้วจึงค่อยแจ้งข่าวมา แต่ข้าก็ว่าน่าแปลกอยู่นะท่านขุน ว่าทำไมทางเมืองนนท์ถึงยังสามารถส่งข่าวออกมาได้หากพวกหม่าได้ทำการปิดล้อมเมืองเสียหมดแล้ว"
หมู่มั่นทหารกล้าของกองทัพขึ้นชื่อในเรื่องเพลงดาบ และ น้ำใจอันเด็ดเดี่ยวหาผู้เปรียบได้ยาก ตั้งข้อสังเกตขึ้นกับท่านขุนผู้บังคับบัญชาการศึกซึ่งมียศศักดิ์สูงกว่าผู้หมู่นี้อยู่มาก แต่ประสบการณ์การรบนั้นหาได้เพียงเศษเสี้ยวของยอดหัวหมู่ผู้นี้
"ข่าวแจ้งว่าพวกหม่ายังคงเปิดช่องทางไว้ด้านทิศตะวันตก ซึ่งช่องทางนี้แหละคงเป็นช่องทางที่ฝ่ายเมืองนนท์ลอบออกมาส่งข่าว และ การที่พวกเราจะเข้าไปช่วยเหลือเมือง ก็น่าจะอาศัยช่องทางนี้เหมือนกัน"
ขุนไวยฤทธิ์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในขุนพลที่เป็นผู้นำของกองกำลังที่เดินทางอยู่กองนี้ พูดแทรกขึ้นมาเบื้องหลังระหว่างการสนทนาของขุนอิน กับ หมู่มั่น แต่นั้นก็สอดคล้องกับเรื่องที่นักรบทั้งสองคนนี้กำลังกล่าวถึงกันอยู่ระหว่างการเดิน
"พิกลแท้ ทางด้านตะวันตกเป็นทิศที่เราจะเข้าสู่เมืองได้โดยตรงเชียว"
"เหมือนกับเปิดทางล่อให้เราเข้าไปในเมือง" ขุนอินดูจะเข้าใจในความหมายที่หมู่มั่นกำลังพูดถึง จึงพูดสรุปความเอาเสียก่อน
"ข้าว่ามันอาจจะเกรงว่าหากยังปิดล้อมด้านตะวันตกของเมืองอยู่ หากกองทัพของเราเดินทางไปถึง พวกมันจะกลายเป็นถูกขนาบด้วยทหารฝ่ายเราทั้งสองด้านไปเสียฉิบ"
"ดั่ง sandwich"
"แซน-วิด"
หมู่มั่นเอ่ยทวนชื่อขนมฝรั่งที่ขุนไวยอ้างถึงด้วยความสงสัยยิ่งไปกว่าการที่ทำไมพวกหม่าจะต้องเปิดเมืองไว้ด้านหนึ่ง
ขุนศึกผู้มีความรู้เกี่ยวกับตะวันตกค่อนข้างมากผู้นี้จึงจำเป็นต้องรีบแถลงไขก่อนหน้าที่ท่านหัวหมู่ฝีมือเยี่ยมจะถอดใจไปเสียก่อนจะได้รบกัน
"มันเป็นขนมชนิดหนึ่งของพวกฝรั่งจะมีไส้เป็นพวกเนื้อสัตว์หรือผลไม้อยู่ตรงกลาง และก็มีแผ่นแป้งประกบทั้งสองด้าน"
"อืม
ท่านขุนเข้าใจเปรียบดีแท้"
"แต่หากพวกมันปล่อยให้เราเข้าไปในเมืองกันก่อนแล้วค่อยทำการปิดล้อม คราวนี้พวกมันก็จักได้เปรียบ และพวกเราก็จะกลายเป็นไส้ของซาลาเปาไป"
"ซา-ลา-ปาว" หมู่มั่น (*-*)
"เป็นขนมของพวกคนจีน จะเป็นแป้งปั้นทรงเกือบกลม แล้วก็มีเนื้อสัตว์ หรือพวกถั่วเป็นไส้อยู่ภายในแป้งก้อนนั้น"
ขุนอินอ้างถึงขนมที่ตนเองรู้จักขึ้นมาบ้าง เพื่อความไม่น้อยหน้าขุนไวยสหายสนิท
"ผลัดกันเป็นไส้กันเลยเทียว"
หมู่มั่นสรุปความปิดท้าย ทำให้ทั้งสามคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน การรบครั้งนี้กลายเป็นขนมไปเสียแล้ว
"แต่ถ้าหากซาลาเปามีไส้มากเกินไป มันก็จะแตกออกและไส้ของมันก็จะทะลักออกมาได้"
"แล้วพวกมันจะรู้ได้อย่างไรว่าซาลาเปาใบนี้จะมีไส้ที่มันสามารถห่อหุ้มไว้ได้หมด"
หลังจากจบประโยคที่เป็นข้อสังเกตของขุนไวยและขุนอิน ทั้งสามนักรบก็ต่างเงียบงันกันไป เป็นเรื่องที่สามารถคิดต่อไปได้ไม่ยากเลยว่าทำไมนักรบทั้งสามนี้จะต้องมีความกังวลใจ และความวิตกที่ปรากฎบนใบหน้าของพวกเขาก็คงจะไม่เกี่ยวกับขนมของชาติใดๆอีก ความกังวลอันนั้นน่าจะเกิดมาจากความสงสัยที่ว่าพวกหม่ารู้ได้อย่างไรว่ากองทัพจากเมืองกรุงนั้นจะมีจำนวนไม่มากนัก จนกล้าที่จะปล่อยให้กองกำลังของฝ่ายที่เข้ามาช่วยเหลือนี้ได้มีโอกาสผนึกกำลังกับกองกำลังของเมืองนนท์เสียก่อน แล้วถึงค่อยทำการโจมตีในทีเดียว
"พวกเราจะเดินดุ่ยเข้าไปตามที่มันวางแผนเอาไว้เลยหรือท่าน"
ขุนอินกับขุนไวยต่างมองหน้ากันเป็นเชิงตั้งคำถาม
แต่แท้ที่จริงแล้วทั้งสองขุนนี้ก็ต่างมีคำตอบของตัวเองอยู่ในใจ
"เจ้าคงอยากให้เราบุกทันที" ขุนไวยพูดแทนความในใจของเพื่อน
"ถ้าเจ้าคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป เราค่อยวางแผนกันก่อนก็ได้ น่าจะยังทันการณ์ แต่เราคงจะประชิดเมืองในตอนพลบค่ำพอดี ทางเลือกคงมีไม่มาก"
"ทางเลือกที่มีน้อยนั้นยังคงมีอยู่ ถ้าหากเจ้าจะชะลอฝีเท้าลงบ้าง และ ข้าก็คงจะเชื่อว่าเจ้าพร้อมที่จะวางแผน"
ขุนอินหยุดการก้าวเดิน ทั้งกองทัพที่เดินตามเขาจึงต้องชะลอความเร็วลงแล้วค่อยๆหยุดลงทั้งหมด
"เราจะพักกันตรงนี้ก่อน"
ขุนอินหันไปบอกทหารคนสนิทให้ช่วยป่าวประกาศต่อไป เสร็จแล้วจึงหันกลับมาพูดกับทั้งขุนไวยและหมู่มั่นอีกครั้ง
"ทีนี้เราคงมีเวลาปรึกษากันได้บ้างล่ะ"
ความคิดเห็น