ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter : DM/HP Drarry] (รวม OS fic)

    ลำดับตอนที่ #15 : (OS Fic) Legend

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.85K
      237
      27 เม.ย. 62




    Legend

    Pairing : Draco Malfoy x Harry Potter

    Type : one shot | AU Fantasy

     

    ⊗ ฟิคคั่นเรื่องสั้น (อีกแล้ว) ติดจะพิเรียดเล็กน้อยนะคะ งงๆ สงสัยท้วงได้ค่ะ ไม่ได้เขียนแนวนี้นานมากกกกกกกกก

     

    ______________________________

     

         ตามตำนานแต่โบราณเล่าขานกันถึงจอมปีศาจน้ำแข็งผู้ร้ายกาจที่ซึ่งมีชีวิตยืนยาวมาหลายร้อยหลายพันปี

     

         มิมีผู้ใดสามารถปราบจอมมารที่ร้ายกาจนี้ได้ลง

     

         อัศวินมากมายสังเวยชีวิตแก่จอมปีศาจ

     

         พื้นที่ที่เคยสวยงามสะพรั่งด้วยหญ้าแลผืนดินสีเขียวล้วนถูกรุกรานปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งและความหนาวเย็น

     

         อีกไม่นาน ทั่วทั้งแผ่นดินจะเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ผู้คนจะล้มตาย เมืองจะถูกปิด

     

         ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานพลังอำนาจร้ายกาจนั้นได้สักคน

     

         จนกระทั่งเมื่อหลายทศวรรษก่อน จอมเวทย์ปริศนาผู้อ้างตนว่ามีพลังเพียงพอที่จะสามารถปราบจอมปีศาจน้ำแข็งได้ได้ปรากฏตัวขึ้น

     

         มิเคยมีผู้ใดมองเห็นและรับรู้ว่าจอมเวทย์ท่านนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร

     

         ไม่รู้แม้กระทั่งว่าการต่อสู้ระหว่างจอมเวทย์และจอมปีศาจได้เริ่มไปคราใด

     

         กว่าที่จะรู้ตัว ผืนแผ่นดินที่เคยถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเย็นเยียบพลันระเหิดหาย พร้อมกับการปรากฏตัวของจอมเวทย์ผู้วิเศษต่อหน้าราชาเมือง ในมือของเขามีหัวใจที่ถูกแช่แข็งอยู่

     

         ไม่ทันที่ราชาจะได้ตอบแทนในความกล้าหาญของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาก็อันตรธานหายไป

     

         100 ปีมาแล้วกับวีรกรรมความกล้าหาญของจอมเวทย์ผู้ใช้ไฟในการปราบจอมปีศาจชั่วร้ายที่คิดจะครองเมือง เรื่องราวนี้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยเก่าลงเลยสำหรับประชาชนในเมือง ราวกับว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นไปไม่นานหรือไม่ก็ได้สลักลึกลงไปถึงจิตใจคนทุกคน และส่งต่อยันลูกหลาน

     

         วันนี้ครบรอบ 100 ปีสำหรับการล่มสลายของจอมปีศาจผู้แช่แข็งเมือง

     

         ภายในเมืองถูกประดับตกแต่งไปด้วยผ้าสี ธงต่างๆ มากมาย ที่ขาดไม่ได้ที่เห็นจะมีเสียทุกปีนั่นก็คือรูปปั้นของจอมเวทย์ผู้นั้นซึ่งตั้งตระหง่านกลางเมือง

     

         เสียงดนตรี กลิ่นอาหาร ความระอุของคบเพลิง เคล้าไปกับเสียงหัวเราะเฮฮา โห่ร้องยินดีราวเรื่องราวเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน และเหล่าผู้คนที่พากันเต้นรำอย่างสนุกสนานไปกับเทศกาลครบรอบที่เมืองเป็นอิสระจากความหนาวเย็น

     

         บางมุมก็มีการบูชาไฟ เพื่อสรรเสริญเปลวเพลิงของจอมเวทย์ที่สามารถปราบปีศาจน้ำแข็งได้

     

         การจำลองหุ่นปีศาจพ่วงด้วยการแข่งขันของเด็กๆ ในการทำลายหุ่นเพื่อชิงความเป็นที่หนึ่งก็เป็นสิ่งที่พบได้ทุกปี

     

         ไม่ได้มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลย

     

         ชายวัยกลางคนสองคนเดินเคียงไปตามงานเทศกาล สายลมอ่อนๆ พัดผ่านปะทะใบหน้าของร่างสูงที่พร่องไปด้วยรอยแผลทางยาวจากหน้าผากลากมาถึงกลางแก้มขวา ทั้งยังมีรอยแผลไหม้ขนาดใหญ่กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งหน้ามองดูแล้วให้ความรู้สึกขนลุกและเจ็บปวดพิกล

     

         แตกต่างจากชายอีกคนที่เดินเคียงกันมา ใบหน้าขาวติดจะเกรียมแดดเล็กน้อยดูหมดจด ไร้ร่องรอยของการต่อสู้ใดๆ ทรวดทรงมือเล็กใต้ถุงมือผ้ากำลังยกไม้เสียบเนื้อย่างเข้าปากอย่างสบายใจ

     

         “กินเยอะเกินไปแล้วมั้งเจ้าน่ะ” หางตาคมเหลือบมองคนข้างกาย

     

         “เจ้าก็ว่าข้าแบบนี้ทุกที” คนตอบว่าพลางเคี้ยวแก้มตุ่ย “แต่ก็ยอมให้ข้ากินทุกทีมิใช่รึ?”

     

         เจ้าของรอยแผลใหญ่บนหน้าเหยียดยิ้ม ก่อนจะเบนสายตาหลบดวงแก้วซุกซนตรงหน้าเพื่อมองทางที่ยังคับคั่งด้วยผู้คน

     

         “ดูนั่นสิ” เสียงทุ้มว่าแล้วชี้ไปทางธงผืนใหญ่ที่กำลังโบกสะบัดรับลม “หน้าเจ้าใช่ไหมนะ”

     

         “ก็รู้อยู่ว่าจะได้คำตอบแบบไหนเจ้าก็ยังจะถามข้าแบบนี้ทุกปี! ประสาท”

     

         เสียงหัวเราะต่ำดังลั่นออกมาด้วยความพึงพอใจอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใคร เรียกความสนใจจากคนรอบข้างให้หันมามองได้ไม่น้อย แต่เมื่อทุกคนพบว่าเป็นเสียงหัวเราะจากใครพวกเขาก็พากันเลิกสนใจไปเอง

     

         แต่คนตัวเล็กข้างกายกลับรู้สึกหมั่นไส้ไม่จาง จนต้องยกศอกถองใส่สีข้างให้เจ้าตัวหยุดหัวเราะ

     

         ทั้งที่ก็ผ่านมาตั้ง 100 ปีแล้ว แต่เขายังรู้สึกเหมือนมันเพิ่งมาเมื่อสัปดาห์ก่อนเท่านั้น

     

         ดวงตาข้างซ้ายที่ยังปกติดีหรี่มองอนุสาวรีย์อันเขื่องเบื้องหน้า ริมฝีปากซีดหยัดยิ้มติดขำ ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขาได้ยืนจ้องมองรูปปั้นนี้ก็จะเป็นอันขำร่ำไปเสียทุกครั้งอย่างอดไม่ได้

     

         อดีตผู้กล้าแห่งเมืองเดินหอบถุงกระดาษมาหยุดข้างร่างสูงที่กำลังเงยหน้ามองอนุสาวรีย์ผู้กล้าเมื่อร้อยปีก่อนด้วยสีหน้าขบขัน จนคนมาใหม่อดจะปั้นหน้าเหยเกออกมาไม่ได้ ดวงเนตรสีเขียวเลี่ยงที่จะไม่เงยมองเจ้ารูปปั้นตรงหน้า

     

         ไม่พิสมัยใคร่มองเลยสักนิด!

     

         “ไปกันได้แล้ว! มีอะไรให้น่ามองนักฮึ? มองมาร้อยปีมันก็อย่างเดิมนั่นล่ะน่า!” คนตัวเล็กว่าเสียงฉุนเฉียวแล้วรีบคล้องแขนคนข้างกายและดึงออกมา แต่คนตัวสูงกว่ากลับขืนตัวนิ่งเป็นกำแพงมนุษย์ที่เดิม

     

         “เดรโก” คนตัวเล็กเรียกเสียงกดต่ำ

     

             “ซักพักได้ไหม”

     

         เจ้าของชื่อตอบกลับด้วยโทนเสียงเศร้าเพียงเท่านั้น ดวงตาที่ยังใช้การได้จดจ้องมองอนุสาวรีย์ตรงหน้าแน่นิ่ง คล้ายจะเก็บและจดจำทุกส่วนของหุ่นหินเบื้องหน้าให้ได้ทุกอนู

     

         ต้องบอกว่าแท้จริงเขาจำได้เกือบทั้งหมดอยู่แล้ว

     

         100 ปีที่เขาได้มีโอกาสมาเฝ้ามองมันทุกปี ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย

     

         ความอบอุ่นที่คุ้นเคยดีแตะสัมผัสแผ่วเบาลงกลางฝ่ามือ แล่นไปตามเส้นประสาทและสัมผัสทางกาย อดีตปีศาจน้ำแข็งผู้แข็งแกร่งก้มมองที่มือตัวเองก่อนจะเบือนสายตามองเจ้าของมืออุ่นที่กอบกุมฝ่ามือเย็นชืดของเขา รอยยิ้มไร้เดียงสาดูไม่เหมาะกับวัยแต่งแต้มบนใบหน้าติดหวาน

     

         “มีอะไรอยากพูดด้วยกันหน่อยไหม?”

     

    …..

     

         “ให้ข้าได้เห็นหน้าของเจ้าได้รึไม่ ท่านจอมเวทย์ผู้หาญกล้า”

     

         เสียงเยียบเย็นจากเจ้าจอมปีศาจผู้ยืนอยู่จุดสูงสุงของพื้นที่ต่อสู้กดสายตามองจอมเวทย์หนุ่มที่กำลังคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นพลางหอบเบาๆ ด้วยสายตาดูแคลน ฮู้ดสีซีดเก่ามอซอที่หมิ่นเหม่จะหลุดออกจากศีรษะทำให้เขาสงสัยเหลือเกินว่าภายใต้ผืนผ้านั้นผู้ที่คิดกล้าต่อกรกับเขาจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร

     

         ร่างตรงหน้าไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงใดออกมา ไม่ต่างจากหลายวันก่อนเลยสักนิดที่มีเพียงปีศาจน้ำแข็งเอ่ยพูดแต่เพียงผู้เดียว

     

         จากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อใช้เวลานานมาหลายวัน ราวกับฮู้ดนั่นมีมือที่มองไม่เห็นคอยประคองไว้ตลอด ไม่ว่าร่างกายเล็กๆ นั่นจะขยับไปทางไหนมันก็ไม่แม้แต่จะหลุดออกแม้แต่น้อย

     

         จอมปีศาจค่อนข้างจะประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป จากที่คิดว่าจะจัดการได้ภายในเวลากี่นาทีเฉกเช่นพวกอัศวินไร้ฝีมือก่อนๆ กลับเป็นศึกยืดเยื้อกินเวลา จอมเวทย์ตรงหน้าก็ดูจะไม่ยอมแพ้แต่โดยดี แม้ว่าตนเองจะเริ่มเหนื่อยล้ามากขนาดไหนก็ตาม

     

         จากความพยายามที่จะจัดการจอมเวทย์ตรงหน้าให้สิ้นชีพในทีแรก ตอนนี้ปีศาจมีเป้าประสงค์ที่ต่างออกไป

     

         เรียวนิ้วเพรียวยาวขาวซีดไร้สีเลือดชี้ออกมาด้านหน้า ลิ่มน้ำแข็งพุ่งตรงไปเบื้องหน้าหมายปัดสิ่งปกปิดรำคาญตาให้พ้นออกจากศีรษะผู้ต่อกร แต่ไม่ทันที่ลิ่มน้ำแข็งจะได้เข้าใกล้ได้ในระยะห้าเมตรด้วยซ้ำ เปลวเพลิงสีส้มพลันสว่างวาบรอบตัวจอมเวทย์ที่ยังคุกเข่า ทุกสิ่งอย่างรอบกายพลันระเหิดหายไปในอากาศ

     

         จอมปีศาจกระตุกยิ้มเยาะตัวเอง เขาชักรู้สึกอยากจะยอมแพ้จอมเวทย์ตรงหน้าเสียเหลือเกิน แต่คติของเขา คือจัดการทุกคนที่คิดย่างกรายเข้ามาในถิ่นของตนให้ราบคาบ อย่างไรเสีย มนุษย์ตรงหน้าก็จะต้องหมดพลังกายและยอมศิโรราบแก่เขาแต่โดยดี

     

         ฝ่ามือขาวยกขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง จอมปีศาจอดจะรู้สึกสงสารจอมเวทย์ผู้อ่อนล้าตรงหน้าไม่ได้ เสียดายที่เขาไม่ใช่อัศวิน ไม่ใช่นักรบผู้ทรงคุณธรรมที่จะต้องคอยให้คู่ต่อสู้มีสภาพร่างกายที่พร้อมสมบูรณ์จึงจะเริ่มการโจมตีต่อ ในเวลานี้ที่อีกฝ่ายอ่อนแอ นั่นคือโอกาสของเขา

     

         ดวงตาสีเทาแกมฟ้าวาววับขึ้นมาเมื่อร่างตรงหน้ายังคงไร้ปฏิกิริยา ไอเย็นล้อมฝ่ามือ พร้อมกับร่างของเขาที่พุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถของเขา แน่นอนว่าเขาจะถึงตัวจอมเวทย์ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัวและเพียงแค่ฝ่ามือของเขาได้สัมผัสร่างกายตรงหน้า ร่างนั้นก็จะแข็งทื่อไร้ชีวิตอีกต่อไป

     

         มันก็ง่ายดายเช่นนั้น ในสนามรบต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่พ่ายแพ้ปราชัยไป

     

         เพียงแค่เอื้อมหัวใจของจอมเวทย์ก็จะถูกแช่แข็ง พร้อมสายลมวูบใหญ่พัดเข้ามา สิ่งที่จอมปีศาจปรารถนาจะไม่ให้เกิดมากที่สุดปรากฏอยู่ตรงหน้า ดวงตาคมเบิกกว้าง แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่เสี้ยววินาที แต่มันช่างยาวนานในห้วงความรู้สึก เมื่อสบเข้ากับดวงตากลมโต จอมปีศาจรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดดึงเข้าสู่วังวนแห่งความสงบ ถูกโอบอุ้มด้วยผืนแผ่นดินสีเขียวชะอุ่มที่ตนนึกปรารถนา

     

         ความเจ็บปวดรวดร้าวและไอร้อนแผดเผาเข้ามาที่ใบหน้าซีกขวาอย่างรุนแรง เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ามือของเขาสัมผัสคว้านลึกเข้าไปในทรวงอกคนตรงหน้าเช่นกัน

     

         เกิดความเงียบขึ้นโดยรอบ ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อยที่จะแสดงถึงความเจ็บปวด แม้ว่าบาดแผลที่ทั้งสองฝ่ายได้รับมันจะดูหนักหนาและฉกรรจ์มากก็ตาม

     

         สำหรับมนุษย์ การทำลายหัวใจถือเป็นจุดตาย

     

         ละสำหรับปีศาจน้ำแข็งตนนี้ จุดที่เป็นพลังของเขาก็คือดวงตา

     

         การต่อสู้ยืดเยื้อที่ผ่านมานั่นแท้จริงคือหยั่งเชิงของจอมเวทย์ตรงหน้าทั้งสิ้น

     

         จอมเวทย์หนุ่มเหยียดยุมปากขึ้นราวกับคนมีชัย โดยไม่ได้สนใจช่วงอกของตนที่กำลังถูกความเย็นกัดกินไปทีละน้อย

     

         ไม่ต่างอะไรกับจอมปีศาจแสนเย็นชา เขายกยิ้มตอบแม้ใบหน้าด้านขวาของตนกำลังจะมอดไหม้ ไปพร้อมกับดวงตา

     

         “งานของข้า…จบแล้ว”

     

         เจ้าของดวงตาสีมรกตเปร่งเสียงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้เข้ามาอาณาเขตของจอมปีศาจ ก่อนที่ร่างกายจะฟุบลงตรงหน้าเมื่อความหนาวเย็นกำลังกัดกินไปทั่วร่างกายจนยากที่จะขยับ จากอกลามไปตามส่วนที่ใกล้ที่สุดแผ่ขยายไปเรื่อยๆ โดยมีหยาดโลหิตในกายเป็นสิ่งนำพาความเย็นยะเยือกพวกนั้น

     

         ร่างทั้งร่างปวดชา เกร็งแน่น เย็นชืดและถูกกัดกร่อนด้วยน้ำแข็งจากภายใน เกินที่จะใช้พลังของตนเข้าหลอมละลายมันได้ทัน

     

         จอมปีศาจเบิกตาซ้ายที่ยังใช้การได้ด้วยความตระหนก ความรู้สึกบางอย่างในอกกำลังร้องประท้วงจากเบื้องลึกของหัวใจ — ที่คิดว่าตายด้านไปนานแล้ว หัวใจของมนุษย์ตรงหน้า ในฝ่ามือเขาเต้นแผ่วและเย็นลงเรื่อยๆ ใกล้ถึงวาระที่ร่างกายนี้จะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

     

         สำหรับปีศาจอย่างเขาแล้ว หัวใจหาใช่สิ่งสำคัญ

     

         หากสิ่งที่มนุษย์โลกภายนอกต้องการคือหัวใจของจอมปีศาจเช่นเขาแล้ว เขาก็จะยกมันให้

     

         แต่เป็นหัวใจของจอมเวทย์ดวงเนตรสีเขียวผู้กล้าหาญคนนี้เท่านั้น

     

     

         ตามตำนานเล่าขาน ถึงจอมเวทย์ผู้วิเศษผู้มีพลังแห่งไฟ เขาได้ใช้พลังของตนเข้าห่ำหั่นต่อสู้เพื่อชาวเมือง มุ่งปะทะแผดเผากับจอมปีศาจน้ำแข็ง จนมอดไหม้ ดับสูญ ชัยชนะตกเป็นของจอมเวทย์ผู้เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม

     

         หัวใจน้ำแข็งถูกควักออกและถูกส่งให้แก่ผู้เป็นราชาเพื่อเป็นสิ่งยืนยันในชัยชนะของตน

     

         ผู้คนเยินยอสรรเสริญจอมเวทย์ผู้ปราบวายร้ายและลบล้างน้ำแข็งออกจากแผ่นดินเสียยกใหญ่

     

         ตำนานถูกสลักจารึกไว้ให้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานสืบไปว่าจอมเวทย์ผู้วิเศษที่ไม่ได้ออกนามท่านนี้ได้ใช้เปลวเพลิงเผาทำลาย ยื่นมือเข้ามามอบแสงสว่างแห่งความหวัง ปัดเป่าและนำพาความสิ้นหวังออกจากเมือง

     

    …..

     

         “คิดอะไรของเจ้าน่ะ เห็นทำหน้าเครียดมาตั้งแต่ในเมืองแล้ว”

     

         สองร่างหยุดอยู่ที่ชายป่านอกเมือง คนผมดำวางถุงกระดาษในอ้อมแขนลงกับพื้นก่อนจะหันหน้าเข้าหาอดีตศัตรู สองมือยกขึ้นแนบแก้มขาวที่เย็นชืดพลางลูบไล้อย่างเบามือ

     

         ทั้งที่เป็นปีศาจที่ใช้พลังน้ำแข็งแท้ๆ แต่กลับลงใหลในความอบอุ่นจากฝ่ามือคู่นี้

     

         ถ้าเป็นตอนนี้อาจจะโหยหาเลยก็ว่าได้

     

         “ก็แค่คิดว่าร้อยปีผ่านมาแล้ว” เสียงทุ้มว่าทั้งที่ยังหลับตา ปล่อยให้นิ้วโป้งเรียบเนียนของมนุษย์ตรงหน้าเกลี่ยเปลือกตาตนเบาๆ “มันอาจจะใกล้ถึงเวลานั้น”

     

         คนฟังยิ้มรับ อดีตจอมเวทย์ผู้แข็งแกร่งไม่ได้ว่าอะไรตอบ นิ้วเรียวหยุดสัมผัสที่ใบหน้า ลดฝ่ามือลงไปจับกับมืออีกฝ่าย

     

         “อื้ม แล้วยังไงต่อล่ะ กลัวเหรอ?” คนตัวเล็กถามด้วยน้ำเสียงซุกซน

     

         “แฮร์รี่…” เป็นฝ่ายจอมปีศาจบ้างที่เรียกเสียงเครียด

     

         ประวัติศาสตร์มักถูกเขียนโดยฝ่ายชนะ ท้ายที่สุด เรื่องราวที่ปรากฏให้เห็นอาจจะถูกเสริมเติมแต่งอย่างไรก็ได้โดยที่เราก็ไม่อาจรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด

     

         ใครจะคาดคิดว่าแท้จริงแล้วหัวใจที่ถูกส่งมอบให้แก่ราชาเมื่อร้อยปีก่อน หาใช่หัวใจของจอมปีศาจน้ำแข็งไม่ แต่เป็นหัวใจของจอมเวทย์เอง

     

         ใครจะรู้ความจริงได้ว่าจอมเวทย์ผู้นั้นได้สิ้นใจลงก่อนจอมปีศาจเสียอีก

     

         ไม่มีใครรู้ความจริงที่ว่าปีศาจที่ทุกคนตราหน้าว่าร้ายกาจ โหดเหี้ยม และเห็นแก่ตัวตนนั้น ได้มอบหัวใจของตนให้กับจอมเวทย์ที่ได้ทำลายแหล่งพลังอำนาจของเขาจนสิ้นเองกับมือ

     

         เพื่อที่… จะได้มีโอกาสสบมองนัยน์ตาสีเขียวงามคู่นั้นต่ออีกสักหน่อยก็ยังดี

     

         หลังจากนั้น แฮร์รี่ก็จะมีโอกาสนับพันนับหมื่นครั้งในการที่จะปลิดชีพเดรโกได้อีกรอบ

     

         เพราะปีศาจที่สิ้นพลัง ก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาสามัญเท่านั้น

     

         แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำ

     

         บาดแผลใหญ่ฉกรรจ์ที่ท่านจอมเวทย์ได้ฝากทิ้งไว้เป็นดั่งเครื่องเตือนใจในความล้มเหลวของปีศาจผู้แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งย้ำเติมที่ทำให้ผู้วิเศษไม่สามารถหลุดไปไหนได้

     

         ไม่เพียงแค่จอมปีศาจที่มีความคิดผิดแผกไปฝ่ายเดียวเมื่อได้สบสายตา

     

         กว่าที่ต่างฝ่ายจะรู้ตัวว่าพาความรู้สึกของตนเองถลำลึกลงไปมากขนาดไหน ก็ในตอนที่พวกเขาต่างเสพติดและโหยหาบรรยากาศที่ต่างขั้วกับตัวเองเข้าเสียแล้ว

     

         ความสัมพันธ์ที่ดูประหลาดนี้เกิดขึ้นหลังจากนั้นในอีกไม่นาน ไม่มีใครที่รับรู้ นอกจากสองสิ่งมีชีวิตนี้

     

         จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่หันหลังให้กับคำเยินยอและเสียงสรรเสริญแก่เขา ไม่มีประโยชน์อันใดที่เขาจะต้องทำตัวเป็นวีรบุรุษต่อในเมื่อไม่มีใครให้เขาต้องปราบอีก หรือต่อให้มี เขาก็ยังยืนที่จะเพิกเฉยแก่มัน และปลดเปลื้องดาบคุณธรรมของตัวเองทิ้ง

     

         เพื่อปกป้องหัวใจที่ได้รับมา

     

         “เจ้ามีอายุมากี่ปีแล้วนะ” แฮร์รี่กระชับแขนที่กอดรอบแผ่นหลังกว้างของอดีตจอมปีศาจ เสียงครางในลำคอของคนในอ้อมแขนทำให้เขาตัดสินใจเงียบรอ

     

         “เกือบสองพันกว่าปี” เดรโกตอบนิ่งๆ

     

         “นานขนาดนั้นเชียว? งั้นหัวใจนี่ก็คงแก่แล้วน่าดู ถ้าอย่างนั้น…มันก็คงใกล้ถึงเวลา”

     

         “อย่าพูดแบบนั้น” วงแขนที่กอดรอบเอวเล็กกระชับแน่นพร้อมกับใบหน้าที่ฝังลงกับไหล่แคบ “ข้าไม่พร้อมซักนิด

     

         “ห่วงอะไรล่ะ? ชีวิตข้า? หรือตัวเจ้าเอง?”

     

         “ชีวิตเจ้าสิ”

     

         เดรโกผละออกจากร่างเล็ก เขาจ้องใบหน้าติดยียวนเขม็ง แต่แฮร์รี่ยังคงมีท่าทางไม่ทุกข์ร้อนเช่นเดิม

     

         ฝ่ามือเล็กใต้ถุงมือผ้ายกขึ้นทาบอกของตัวเอง อัตราการเต้นของหัวใจยังคงปกติ แม้จะเป็นหัวใจของปีศาจ แต่ในเวลานี้กลับแยกไม่ออกเลยสักนิดว่ามันต่างอย่างไรกับของเดิมของตน ตัวตนของเขาและหัวใจดวงนี้ ผสานเข้าหากันได้อย่างลงตัวที่สุดแล้ว

     

         “ข้าใช้หัวใจดวงนี้และร่างกายนี้คุ้มพอแล้ว แล้วตัวเจ้าล่ะว่ายังไง? สองพันปีพอแล้วรึยัง”

     

         คนถามถามด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เดรโกพยักหน้าอย่างจำยอม สำหรับมนุษย์แล้วที่ปกติจะมีอายุเฉลี่ยเฉียดร้อยปี แต่แฮร์รี่กลับมีอายุที่ยืนยาวไปกว่านั้นนับร้อยปีแล้ว เพราะหัวใจของปีศาจ ไม่รู้ว่าแฮร์รี่จะทรมานหรือไม่ เพราะเดรโกก็ไม่เคยรวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยถามไป

     

         แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้พวกเขาทั้งคู่ต่างมีความสุขดี

     

         หากจะต้องสลายลงไปในอีกไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ แฮร์รี่ก็คิดว่าเขาคงไม่มีอะไรที่จะต้องเสียดายอีกต่อไป ในเมื่อตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมาเขาได้ทำทุกอย่างที่ต้องการจะทำได้ครบหมดแล้ว และเขาก็หวังว่าเดรโกจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับเขา

     

         ทุกวันนี้ก็เพียงใช้ชีวิตเพื่อรอวันที่หัวใจดวงนี้จะถึงคราวลาลับ

     

         “สองพันปีของข้าที่มีเจ้าในช่วงท้ายของชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวนักหรอก ท่านจอมเวทย์” ริมฝีปากเย็นทาบลงกลางหน้าผากมนอย่างรักใคร่ “ให้อยู่นานกว่านี้ก็ได้ แต่ถ้าถึงคราวต้องจับมือกับเจ้าแล้วสลายไปพร้อมกันตอนนี้ ข้าก็คงไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้วเช่นกัน”

     

         ก้อนเนื้อในอกของแฮร์รี่เต้นรัวขึ้นมา ไม่บ่อยนักหรอกที่ปีศาจเยือกเย็นตรงหน้าจะพูดจาอะไรทำนองนี้ออกมาให้รู้สึกหัวใจเต้นผิดหวะได้ เหมือนเจ้าของหัวใจคนเดิมก็จะสัมผัสได้เช่นกัน จากใบหน้าอิหลักอิเหลื่อของเจ้าตัวที่แสดงออกมาจนผู้กล้ารู้สึกเอ็นดู

     

     

         ไม่รู้อีกกี่ปี กี่เดือน หรือกี่วันที่หัวใจดวงนี้จะทานทนไหว

     

         ตำนานบทใหม่ที่ถูกถักทอเรียงร้อยมาเป็นเวลาร้อยกว่าปีกำลังจะจบลงอย่างแท้จริงในอีกไม่นาน

     

         น้ำหมึกที่กำลังสลักเรื่องราวที่มีเพียงตัวละครเอกสองตัวเท่านั้นที่รับรู้ว่าความจริงแท้ของเหตุการณ์ว่าเป็นเช่นไรใกล้ถึงเวลาหมดลง

     

         และมันก็จะเป็นความลับเช่นนี้ไปตลอดกาลทันทีเมื่อลมหายใจและจังหวะการเต้นของหัวใจในจังหวะสุดท้ายได้จบลง

     

         ตอนจบของตำนานที่จอมปีศาจผู้โหดร้ายได้พิชิตหัวใจของจอมเวทย์ผู้กล้า พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่ดับลงไปพร้อมกัน

     

     

     

    FIN

    _______________________________________


         พล็อตเมาๆ อ๊องๆ แบบว่าชั่ววูบค่ะ นั่งคิดอะไรเพลินๆ ความกึ่งๆ พีเรียดนี้ก็ผุดมาในหัว ก็เลยต้องเขียนซะหน่อย ก่อนพล็อตมันจะปลิวจนเขียนไม่ออกค่ะ 55555

         แค่มีความคิดว่า ถ้าอัศวินไม่ได้รักกับเจ้าหญิงที่ตัวเองไปช่วย แต่เกิดรักกับปีศาจมันจะเป็นยังไงหนอ มันก็หวานอมขมกลืนดีนะคะ แต่ที่เขียนไปนี่ก็ไม่ได้ดราม่าเท่าไหร่ เพราะอยากให้เขามาหยอกๆ กันและนึกถึงอดีตแค่นั้นค่ะ แฮ่

         งงๆ สงสัยอย่างไรเมนต์พูดคุยได้นะคะ เขียนดึกแล้ว ง่วงมากเลยย #WizDMHP

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×