ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Love Gray รักสีเทา l LUMIN CHANSOO KRISHO

    ลำดับตอนที่ #2 : Love Gray :: Chapter 1 Luhan

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 367
      6
      18 พ.ค. 59




    Chapter 1 - Luhan

     

    .

    .

     

    แหมะ!

     

    หยดน้ำฝนที่หยดลงบนมือบางของคุณหมอมินซอกนั้นมันทำให้เขาเกลียดมาก หยดแรกหยดลงมาตามด้วยหยดเม็ดฝนที่ร่วงลงมาอย่างหนัก นี่ไม่ใช่หน้าฝนสักหน่อย พายุเข้าอีกแล้วสินะ มินซอกคิดและยืนมองสายฝนที่ตกลงมาอย่างเบื่อหน่าย เขาเพิ่งจะเคลียร์งานเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน แต่ฝนกลับตกลงมาซะได้ แถมเขายังลืมเอาร่มมากอีกด้วย

     

     “ติดฝนหรอครับพี่มินซอก

     

    เสียงทักทายจากหมอหนุ่มรุ่นน้องแผนกจิตเวช เขาเดินมาหามินซอกด้วยรอยยิ้มที่ชนิดฆ่าสาว ๆ ที่ติ่งโอปป้าไอดอลหน้าจอต้องตายแน่นอน แต่.... หมอหนุ่มอย่างมินซอกไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้มที่ติ่งโอปป้าที่น่าหมั่นไส้พวกนั้นนี่

     

    ใช่อ่ะ พอดีว่าฉันไม่ชอบพกร่ม เพราะฉันไม่ชอบหน้าฝนมินซอกบอกก่อนจะยืนมองสายฝนต่อ

     

    งั้นกลับบ้านกับผมไหม เดี๋ยวผมไปส่งเขาบอกแล้วชี้ไปทางที่มีรถของเขาจอดอยู่

     

    ก็ดีนะ... แต่นายว่างไปส่งฉันหรอมินซอกปรายตามองรุ่นน้องเพื่อหยั่งเชิง

     

    สำหรับพี่มินซอก... ผมว่างอยู่แล้วล่ะ

     

    เขาโน้มตัวมากระซิบข้าง ๆ หูหมอรุ่นพี่ มินซอกแทบจะกระโดดถีบ ถ้าหมอนี่เข้ามาใกล้เข้าอีกแค่คืบเดียวนะ ให้ตายเหอะ! ประโยคเลี่ยน ๆ แบบนี้ เขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะมันคงจะเหมาะถ้าเอาไว้พูดกับสาว ๆ แต่ไม่ใช่หนุ่ม ๆ อย่างคิม มินซอก แต่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง มินซอกไม่ยอมพลาดเด็ดขาด

     

    งั้นไปกันเถอะ หมอโอ เซฮุน ฉันอยากกลับไปนอนแล้วพูดจบมินซอกก็ดึงร่มที่อยู่ในมือของหมอโอเซฮุนไปกางแล้วเดินไปทันทีจนเจ้าของร่มเดินตามแทบไม่ทัน

     

    ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถหรูสีขาวแล่นเข้ามาในซอยบ้านของมินซอกอย่างช้า ๆ มินซอกงีบหลับในรถของเซฮุนอย่างอดไม่ได้ เพราะวันนี้ทั้งวันมีคนไข้มาหาหมอหนุ่มแทบจะไม่ได้พักจนต้องบอกพยาบาลสาวว่า ขอหมอพักสักสิบห้านาที ถึงจะได้มีเวลานอนงีบพักสมองสักหน่อย เมื่อรถแล่นมาถึงหน้าบ้าน มินซอกก็ยังไม่ตื่นจนเซฮุนต้องสะกิดที่แขนมินซอกเบา ๆ

     

    “พี่มินซอกครับ... พี่มินซ..”

     

    “อะไรวะ! คนจะหลับจะนอน” มินซอกพูดออกมาทั้งที่ยังหลับตา เซฮุนขำเล็กน้อยที่มินซอกละเมอออกมาจริงจังแบบนี้

     

    “พี่มินซอก... ตอนนี้พี่อยู่บนรถของโอ เซฮุนนะครับ ถ้าพี่ยังหลับอยู่แบบนี้ ผมจะคิดซะว่าตอนนี้พี่ยอมใจอ่อนให้ผมจูบพี่ได้แล้วนะ..”

     

    ได้ผล เมื่อคำพูดพวกนี้ของโอเซฮุนดังขึ้น ทำให้มินซอกลืมตาขึ้นทันที ก่อนจะผลักเซฮุนให้ออกห่างจากตัวอย่างอัตโนมัติ มินซอกแค่รู้สึกสบายมากไปกับอากาศที่เย็นสบายในรถแบบนี้พร้อมกับเสียงฝนที่ตกลงมา มันทำให้มินซอกอยากเข้าบ้านไปนอนหลับบนเตียงนุ่ม ๆ ทันที

     

    “อยู่ให้ห่างฉันมากที่สุด ไม่อย่างนั้น...” มินซอกชี้หน้าเซฮุนอย่างคาดโทษ

     

    “ไม่อย่างนั้น?” เซฮุนมองหน้ามินซอกนิ่ง ๆ

     

    “เลือดนายได้ออกจากหัวแน่” พูดจบมินซอกก็คว้าร่มที่อยู่ข้าง ๆ เขากางออกแล้วเปิดประตูรถ

     

    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเอามาคืนให้”

     

    มินซอกบอกแค่นั้นแล้วปิดประตูรถทันที โดยไม่รอให้เซฮุนพูดอะไร มินซอกรีบวิ่งไปหลบฝนที่ตรงประตูบ้านทันที โชคดีที่มันมีที่บังแดดบังฝนให้สำหรับผู้มาเยือนใหม่ มินซอกไม่ใจดีขนาดที่จะยืนรอให้รถของเซฮุนขับออกไปจนลับสายตา ตอนนี้เขาหนาวและอยากจะล้มตัวนอนลงบนเตียงใจจะขาดแล้ว แต่ว่า...

     

    “อือ...”

     

    เสียงครางต่ำ ๆ ที่ดังขึ้นมา ถึงมันจะมีเสียงฝนกลบไปบ้าง แต่มินซอกก็ได้ยินมันชัดเจน เขารีบมองหาต้นเสียงทันทีอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ใช่ว่าคนเป็นหมอจะไม่กลัวเรื่องลี้ลับแบบนี้ในเมื่อมันมาหาแบบน่ากลัวเขาก็ควรจะกลัวจริงไหม หมอหนุ่มมองไปรอบ ๆ และเดินกางร่มดูอีกครั้ง ก่อนจะเห็นอะไรบางอย่างข้าง ๆ ถังขยะ

     

    “ใช่คนหรือเปล่าว่ะ”

    มินซอกเห็นกลุ่มก้อนสีดำที่อยู่ข้าง ๆ ถังขยะ มันมีรูปร่างไม่เหมือนถุงขยะสีดำที่เวลาจะทิ้งแล้วคนมักจะมัดปากถุงไว้ด้านบน มินซอกเห็นมันสั่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว มันสั่นไม่หยุด จนเขาสงสัยว่าทำไมมันถึงสั่นขนาดนั้น มินซอกจึงลองเอื้อมมือไปจับ

     

    “คนนี่หว่า..”

     

    มินซอกคลำจนหาส่วนหัวเจอถึงรู้ว่าเขาเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ดูจากสภาพแล้วไม่น่ามีสติหลงเหลืออยู่ มินซอกจับหัวคน ๆ นั้นแล้วหาส่วนของใบหน้าก่อนจะเห็นว่า ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวจนเริ่มจะไม่ไหวแล้ว

     

    “ทำไมมานั่งตากฝนแบบนี้ล่ะ ดูไม่น่าใช่คนจรจัดนี่ แต่งตัวก็ดูดีมีราคาขนาดนี้ หรือว่า... โดนปล้นแล้วก็... เมาชัวร์”

     

    มินซอกสันนิฐานคร่าว ๆ จนได้ข้อสรุปก่อนจะยอมเปียกแล้วพยุงร่างของผู้ชายคนนี้เข้าไปในบ้าน ชานยอลที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาด้านล่างได้ยินเสียงเปิดประตูก็เลยหันไปดู

     

    “อ้าว นั่นใครอ่ะ” ชานยอลถามอย่างสงสัย

     

    “นายรีบ ๆ มาช่วยกันหน่อยสิ! ฉันแบกคนเดียวไม่ไหวเนี่ยเห็นไหม” มินซอกบอก ชานยอลรีบวิ่งมารับช่วงต่อก่อนจะขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเพราะร่างที่เปียกฝน ซึ่งเขาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จแล้วลงมาดูทีวี นี่เขาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ใช่ไหมเนี่ย

     

    “ใครเนี่ย ทำไมเปียกมาแบบนี้” ชานยอลถามและพยุงร่างนั้นมาที่เก้าอี้ห้องครัว

     

    “ไม่รู้อ่ะ รู้แต่ว่าถ้าปล่อยเขาไว้หน้าบ้านเราแบบนั้น มีหวังบ้านหลังนี้มีข่าวลือเรื่องผีมาแน่ ๆ” มินซอกบอก

     

    ทั้งสองคนช่วยกันหาเสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนให้ผู้ชายคนนั้น ก่อนจะพามาเขานอนที่โซฟาด้านล่าง มินซอกเช็คดูอาการเบื้องต้นของเขา ก่อนจะให้ยาเขากิน

     

    “ปล่อยให้นอนข้างล่างแบบนี้จะดีไหม ไม่ใช่ตื่นมาแล้วทีวีหายนะ ต้องถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานก่อน” ชานยอลล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปชายคนนั้นทันที มินซอกมองหน้าชายคนนั้นเพื่อสำรวจอาการให้แน่ใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น

     

    “เขาเมาอยู่ พรุ่งนี้โน่นล่ะถึงจะตื่น ปล่อยไว้แบบนี้ล่ะ ถ้าอ้วกก็...”

     

    ...เสียงดนตรี...

     

    เสียงเครื่องดนตรีชนิดสายที่คล้ายไวโอลินแต่เสียงมันทุ้มต่ำกว่า ดังมาจากห้องของนักดนตรีอิสระคนนั้นที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพวกเขา

     

    “ไหนบอกว่ามันไม่เล่นดนตรีตอนกลางคืนไงวะ” มินซอกขมวดคิ้วหันไปถามชานยอล ชานยอลมองหน้ามินซอกแล้วก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาเชิงบอกว่า ก็ไม่รู้สินะ ให้

     

    “ผู้ชายคนนี้คงไม่อ้วกแล้วมั้ง นั่งตากฝนนานขนาดนี้ พิษไข้คงเล่นงานแทน หาผ้าห่มหนา ๆ ห่มให้เขาด้วยล่ะ ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำล่ะ” มินซอกบอกชานยอลแล้วขึ้นไปข้างบน

     

    เมื่อขึ้นมาถึงห้องมินซอกก็เดินไปอาบน้ำทันทีก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดขนหนูที่ขยี้ลงบนหัวไปมา เขานั่งเช็ดผมไปพลาง ๆ ก่อนจะหยิบแฟ้มรายงานของนักศึกษาแพทย์ที่เขาดูแลอยู่มาอ่าน สายตาของมินซอกสั้นเล็กน้อย เลยต้องใส่แว่นอ่านรายงาน เขาเดินมาหยิบแว่นที่หัวเตียงแล้วนั่งอ่านรายงานที่โต๊ะ

     

    ....เสียงดนตรี...

     

    “ไอ้บ้านั้นมันจะเล่นไปถึงไหนวะ” มินซอกบ่นเมื่อเสียงดนตรียังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ

     

    มินซอกไม่ใช่คนที่ชอบฟังเสียงดนตรีเวลาทำงานหรือคิดอะไร ถึงแม้ว่าเสียงมันจะเข้ากับบรรยากาศฝนตกแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์สุนทรีขนาดนี้ เขาเหนื่อยเกินไปที่จะใช้ใจฟังเสียงดนตรีของนักดนตรีอิสระ

     

    ก๊อก ๆ ๆ

     

    มินซอกยืนอยู่หน้าห้องนักดนตรีหนุ่มและเคาะประตูสองสามครั้ง เสียงดนตรีหยุดลง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินมาเปิดประตูให้เขา อี้ฟานมองหน้ามินซอกอย่างงุนงง

     

    “มีอะไรหรอครับ” เขาถาม

     

    “นายชอบเล่นดนตรีตอนกลางคืนหรอ” มินซอกถามกลับ

     

    “บรรยากาศมันน่าเล่นน่ะครับ ผมเลยหยิบมันมาเล่น คุณชอบไหมครับ” เขาบอก

     

    “ก็ชอบนะ ตอนที่ฉันอารมณ์ดี แต่ตอนนี้ฉันต้องการความเงียบ ซึ่งเสียงฝนก็ทำให้ฉันประสาทเสียพอแล้ว เสียงดนตรีของนายฉันขอซื้อด้วยกาแฟตอนเช้านะ คืนนี้หยุดเล่นได้แล้ว” มินซอกบอก

     

    “เฉพาะคืนนี้หรอครับ” คำพูดของอี้ฟานมันฟังดูกวนประสาทของมินซอกทันทีในสภาวะที่สภาพจิตใจไม่คงที่

     

    “เอาไว้อากาศดี ๆ นายอยากเล่นก็เล่นเถอะ แต่วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์เข้าใจไหม” มินซอกตั้งสติก่อนบอกออกไปแล้วเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที

     

    “เชลโลของฉัน ฉันว่าเสียงมันดีที่สุดในร้านเลยนะ พวกหัววิทย์คงไม่มีอารมณ์สุนทรีเอาซะเลย” อี้ฟานบ่นอย่างขัดใจนิดหน่อย ก่อนจะปิดประตูเข้าห้องไป

     

    ชานยอลยืนมองผู้ชายที่นอนอยู่บนโซฟาอย่างสงสัย ใบหน้าของเขาคุ้นมาก ๆ เหมือนชานยอลเคยเห็นที่ไหนสักที่ แต่จำไม่ได้

     

    “ถ้าไม่ใช่ลูกค้าซ่อมรถที่ร้าน ก็ต้องเป็นคนที่ฉันอาจจะเจอบ่อย ๆ ทำไมมันคุ้นมากเลยนะ” ชานยอลยืนมองใบหน้าของชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างคิดไม่ตก ก่อนจะหันมาดูข่าวทีวีที่กำลังฉาย

     

    “(สวัสดีคะ ข่าวบันเทิงวันนี้ เรามีข่าวของนักแสดงหนุ่มจีนที่เคยโด่งดังในเกาหลีมาอัพเดทกันคะ โดยเมื่อวานนี้เหยี่ยวข่าวสาวของเราก็ได้สัมภาษณ์นักแสดงหนุ่มลู่หาน ที่กำลังจะมีผลงานในรอบสองปี หลังจากที่เขาโดนทำร้ายจากกลุ่มแฟนคลับที่เป็นซาแซงแฟนในครั้งนั้น ตอนนี้เขากำลังถ่ายทำละครเรื่องหนึ่งอยู่ โดยผู้กำกับลี ทงเฮของเราก็เลือกหนุ่มลู่หานมารับบทนำในครั้งนี้คะ...)”

     

    “โอ๊ะ! ใช่แล้ว หน้าเหมือนกัน... ลู่หานหรอ...” ชานยอลชี้ที่จอทีวีก่อนจะหันมามองหน้าผู้ชายที่หลับอยู่บนโซฟา

     

    “อ่า... เมาขนาดนี้เลยหรอเนี่ย ฉลองได้เล่นละครเรื่องใหม่จนหมดสภาพเลยสินะ แล้วอย่างนี้เขายังจะทำงานไหวหรอเนี่ย”

     

    ชานยอลยืนมองลู่หานสักครู่ก่อนจะเดินไปปิดทีวีเพื่อขึ้นไปนอน เขาหวังว่าตื่นเช้ามาทีวีที่ห้องรับแขกจะยังอยู่ ของกินในตู้เย็นยังเหมือนเดิม และคนที่นอนอยู่ที่โซฟาคงไม่นอนคว่ำหน้าจมกองอ้วกหรอกนะ

     

    “ราตรีสวัสดิ์นะครับ คุณลู่หาน...”

     

    .

    .

     

    “อ๊ากกกกกกก!!!!!!

     

    เสียงโวยวายดังลั่นบ้านพัก มินซอกตะเกียกตะกายลุกขึ้นออกจากกองผ้าห่มที่ทับตัวเขาอยู่ ก่อนจะได้ยินเสียงร้องนี้อีกครั้ง พร้อมกับเสียงพูดเป็นภาษาแปลก ๆ อะไรไม่รู้ดังมาจากข้างล่าง มินซอกมองนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง ก่อนจะถีบผ้าห่มออกจากตัวแล้วเดินลงไปข้างล่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    “เขาโวยวายอ่ะ”

     

    พอเปิดประตูมา มินซอกก็เห็นชานยอลยืนขมวดคิ้วอยู่หน้าห้องเขาแล้วหันมาบอก อี้ฟานก็เปิดประตูออกมาดูเหมือนกัน

     

    “เกิดอะไรขึ้นหรอครับ”

     

    คำถามของอี้ฟานลอยมาแล้วก็ผ่านไป มินซอกและชานยอลเดินลงไปดูข้างล่าง เมื่อวานเขาจำได้อยู่ว่าเขาพาผู้ชายคนหนึ่งที่นอนเมาไม่รู้เรื่องอยู่หน้าบ้านเข้ามา แล้วก็ดูแลเขาเพื่อไม่ให้เขาตาย ตอนนี้เขาโวยวายและรบกวนการนอนของมินซอกมาก

     

    “นี่คุณ! จะโวยวายอะไรนักหนา ผมเป็นคนพาคุณเข้าบ้านมา พวกเราแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณเพราะว่ามันเปียก ถ้าคุณนอนทั้งอย่างนั้นมีหวังเป็นไข้แน่นอน และอีกอย่างผมจะไม่ให้คุณนอนในบ้านแน่” มินซอกพูดด้วยความหงุดหงิด

     

    ผู้ชายคนนั้นหรี่ตามองมินซอก และหันไปมองชานยอลและอี้ฟานที่เดินตามมาสมทบทีหลัง ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่า พวกเขาต้องทำอะไรไม่ดีกับเขาแน่ ๆ

     

    “ฉันจะไม่เอาเรื่องพวกแกก็ได้นะ แต่เอาเงินฉันมาซะดี ๆ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว

     

    “เงิน? นี่หน้าพวกผมเหมือนพวกคนหิวเงินหรือไง” ชานยอลบอกด้วยความหงุดหงิด

     

    “ถ้าไม่ใช่พวกหิวเงินและเงินที่อยู่ในกระเป๋าฉันมันหายไปไหนหมด” เขายังพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอยู่

     

    “คุณก็คิดดูแล้วกันนะ กว่าผมจะมาเจอคุณ คุณนอนตากฝนมานานเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าคุณอยู่นั่น นอนอยู่ข้างถังขยะแถมตัวก็สั่นเหมือนผีเข้า ถ้าคุณจะโดนปล้นเงินก่อนหน้านั้น มันก็เป็นไปได้หรือเปล่าล่ะ” มินซอกบอก เขาเริ่มรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้พูดยากชะมัด

     

    “...”

     

    “พวกเราไม่ทำอะไรสิ้นคิดขนาดนั้นหรอก ถ้าพวกเราจะปล้นคุณ เราปล่อยให้คุณนอนตากฝนข้างนอกจนตายไม่ดีกว่าหรอ พวกเรามีงานทำกันทุกคน ผมเป็นหมอ ส่วนหมอนี่ก็เป็นช่างซ่อมรถ แล้วหมอนั้นก็เป็นนักดนตรีอิสระ คุณเข้าใจพวกเราแล้วใช่ไหม” มินซอกบอก

     

    ผู้ชายคนนั้นยังนิ่งเงียบอยู่ เหมือนเขากำลังใช้ความคิดเพื่อนึกถึงเรื่องของเขาก่อนที่จะถึงเช้านี้ เขาทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก แล้วหันหลังให้พวกเขา

     

    “นี่กูเมาขนาดนี้เลยหรอวะ” เขาพูดออกมาอย่างลืมตัว

     

    “คุณนึกอะไรได้แล้วใช่ไหม คุณคงโดนปล้นมาแหละ ถ้าจะเอาเรื่องก็ไปแจ้งความซะล่ะ ชานยอล นายทำอะไรง่าย ๆ ให้เขากินก่อนจะออกไปด้วยล่ะ ฉันไปอาบน้ำก่อนล่ะ” มินซอกบอกแล้วก็เดินกระแทกส้นเท้าขึ้นไปข้างบน

     

    ชานยอลยืนรอให้ผู้ชายคนนั้นหันมาอย่างใจจดใจจ่อ อี้ฟานเดินมาหาชานยอลก่อนจะบอกว่าเดี๋ยวเขาทำอาหารเช้าให้ผู้ชายคนนั้นเอง ชานยอลพยักหน้าให้และเดินไปหาผู้ชายคนนั้น

     

    “นี่! คุณลู่หาน...” ชานยอลเรียก

     

    “ห๊ะ! นี่นาย เออ.. คุณรู้จักผม?” เขาถาม

     

    “เหมือนคุณคิดว่าตัวเองไม่ดังอย่างนั้นแหละ นี่! เมื่อก่อนย่าผมชอบคุณมากเลยนะ ตอนที่คุณเล่นเรื่องรักใส ๆ หัวใจชายสี่อ่ะ คุณเล่นได้สมบทบาทคนเย็นชามากเลย จนผมคิดว่านี่คุณเล่นแล้วหรอเลย” ชานยอลบอกด้วยรอยยิ้ม

     

    “หรอครับ...” ลู่หานรู้สึกแปลก ๆ กับคำชมของชานยอล แต่เขาก็ยิ้มให้ แต่ชานยอลก็หุบยิ้มลงทันที ก่อนจะเปลี่ยนเสียงเป็นเสียงเรียบๆ

     

    “เมื่อคืนคุณหลับสบายนะ”

     

    “ก็ดีครับ แต่ผมตื่นมาแล้วตกใจว่าที่นี่ที่ไหน แล้วทำไมเสื้อผ้าของผมเมื่อคืนหายไปแล้วเงินในกระเป๋าก็หมดเกลี้ยงเลย” ลู่หานบอกพร้อมกับท่าทางที่ดูแปลกใจกับสิ่งรอบตัว ชานยอลมองลู่หานนิ่ง ๆ

     

    “คุณคงตกใจมากสินะ ที่คนเคยดังอย่างคุณต้องมานอนข้างถังขยะแบบนั้น ไม่เป็นไรเดี๋ยวเพื่อนร่วมบ้านผมเขาจะทำอาหารเช้าให้นะครับ เดี๋ยวคุณคุยกับเขาไปก่อน ผมขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวล่ะ” ชานยอลบอกแล้วตบบ่าลู่หานก่อนไป

     

    ลู่หานมองตามชานยอลไป ก่อนจะเดินมาหาอี้ฟานที่กำลังต้มโจ๊กสำเร็จรูปให้ลู่หานกิน อี้ฟานยิ้มให้ลู่หาน ก่อนจะยกชามโจ๊กมาให้ที่โต๊ะ

     

    “กินซะล่ะ” ภาษาจีนที่คุ้นเคยทำให้ลู่หานมองหน้าอี้ฟานอย่างแปลกใจ เขาไม่ได้ยินภาษาจีนมานานแค่ไหนแล้วนะ

     

    “โอ๊ะ! คุณพูดจีนได้หรอ” ลู่หานถาม

     

    “ผมเป็นคนจีนนี่ครับ ผมก็พูดได้สิ” อี้ฟานบอกด้วยใบหน้านิ่ง ๆ

     

    “ดีใจมากเลยอ่ะ ที่ได้เจอคนจีน ผมเจอคนจีนที่นี่ไม่เท่าไหร่ ได้รู้จักคุณมาอีกคน ดีใจมากเลย คุณชื่ออะไรหรอ”

     

    “อู๋ อี้ฟาน เป็นนักดนตรีอิสระน่ะ”

     

    “จริงดิ ผมลู่หานนะ เป็น.. เออ...ช่างเถอะ คุณเพิ่งมาอยู่ที่นี่หรือเปล่า”

     

    “ใช่ ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่เมื่อวาน มาหาแรงบันดาลใจน่ะ คงอยู่ไม่เกินหนึ่งปี ก็จะไปที่อื่นล่ะ” อี้ฟานบอกก่อนจะเริ่มทำอาหารอย่างอื่นสำหรับมื้อเข้าของเพื่อนร่วมบ้านด้วย

     

    “อ๋อ... ดีนะ เที่ยวหาแรงบันดาลใจ แล้วก็จัดคอนเสิร์ตใช่ไหม”

     

    “ก็คงประมาณนั้น ผมมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้” อี้ฟานบอก

     

    ลู่หานพยักหน้า เขาอิจฉาเล็ก ๆ ที่อี้ฟานได้ทำในสิ่งที่เขาทำแล้วมีความสุข แต่ลู่หาน เขาทำในสิ่งที่เขาคิดว่ามันคือความสุขของเขา ทั้งที่จริง ๆ ในชีวิตนี้เขาแทบจะไม่มีความสุขกับชีวิตนักแสดงของเขาเลย

     

    “พี่อี้ฟานทำไรอ่ะ” ชานยอลถาม เมื่อเขาจัดการธุระส่วนตัวของเขาเสร็จแล้ว

     

    “ห๊าว...” เสียงหาวที่ตามมาทีหลัง ลู่หานคิดว่าคงเป็นเสียงของอีกคนที่บอกเขาว่าพาเขาเข้ามาบ้าน

     

    “ผัดบล็อกโคลี่หรอ น่ากินจัง” มินซอกนั่งลงข้าง ๆ ลู่หานก่อนจะหยิบบล็อกโคลี่กิน แล้วลุกไปตักข้าว

     

    “ข้าวเพิ่งหุงเองครับ เอาผัดบล็อกโคลี่ไปดูก่อนนะครับ” อี้ฟานบอกแล้วหันไปทำอาหารต่อ

     

    มินซอกเบ้ปากก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบแกลอนนมสดกับซีเรียลมากินรองท้องก่อน ชานยอลเดินมาแย่งแกลอนนมสดจากมินซอกไปก่อนแล้วเทใส่แก้วตัวเอง มินซอกตีแขนชานยอลอย่างโมโหเล็ก ๆ ก่อนจะแย่งแกลอนนมสดกลับ ลู่หานมองการกระทำของทุกคนแล้วแอบยิ้ม พวกเขาทำไมดูมีความสุขกันจัง

     

    “คุณรีบ ๆ กินแล้วก็รีบ ๆ ออกไปซะล่ะ รีบไปแจ้งความซะก่อนที่คนร้ายจะลอยนวล” มินซอกบอกเมื่อเขาเดินมานั่งข้าง ๆ ลู่หาน มินซอกเห็นลู่หานนั่งเขี่ยโจ๊กไม่ยอมกินให้หมดสักที

     

    “ช่างมันเถอะ ผมมันโง่เองล่ะ ยังไงก็ขอบคุณพวกคุณทุกคนนะครับที่ช่วยผม ไว้ผมกลับไปแล้วจะรีบหาของมาตอบแทนนะครับ” ลู่หานบอก

     

    “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมายุ่งอะไรกันอีกจะดีกว่านะ” มินซอกบอกอย่างไม่ใส่ใจ ลู่หานมองหน้าแล้วรู้สึกหงุดหงิดกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ

     

    “คุณพูดแบบนี้ผมรู้สึกเสียใจนะครับ” ลู่หานบอก มุมปากของเขากระตุกนิด ๆ

     

    “เสียใจหรอ? คุณจะเสียใจทำไม พวกเราช่วยคุณโดยไม่ได้หวังผลอะไร เพราะฉะนั้น จบ ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกัน โอเคป่ะ” มินซอกหันมายิ้มให้แล้วนั่งกินซีเรียลข้าง ๆ ลู่หานต่อ ลู่หานรู้สึกว่าคำพูดของคนในบ้านนี้แต่ละคนมันช่างดูถากถางยังไงไม่รู้ ได้ฟังแล้วเหมือนของขึ้น

     

    “คุณพูดแบบนี้กับคนที่คุณช่วยทุกคนหรอ” ลู่หานหันหน้าไปถามคนข้าง ๆ

     

    “ก็แล้วแต่บางคนนะ อย่างคุณเนี่ย ผมแค่รู้สึกว่า คุณเป็นพวกเข้าใจยาก ผมเลยไม่อยากคุยด้วยเท่าไหร่” น้ำเสียงที่เหมือนไม่เป็นมิตรของคนข้าง ๆ ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น

     

    “ถ้าผมเข้าใจยาก คุณไม่เข้าใจยากกว่าอีกหรอ” ลู่หานตอบกลับ มินซอกรู้สึกเหมือนเริ่มเปิดศึกยังไงไม่รู้ เขาวางช้อนลง ก่อนจะหันมามองหน้าลู่หานเต็ม ๆ

     

    “งานเข้าแน่ ๆ อาจเป็นข่าวหน้าหนึ่งได้ ถ้าพี่มินซอกยกส้อมขึ้นมาจ้วกลู่หานนะ” ชานยอลบ่นออกมาเมื่อเขาได้ยินบทสนทนาอันดุเดือดที่เริ่มขึ้น อี้ฟานที่ได้ยินชานยอลบ่นเลยละความสนใจเรื่องในครัวแล้วสนใจสองคนนั้นบ้าง

     

    “ผมคิดว่าผมพูดอะไรชัดเจนไปแล้วนะ” มินซอกบอก

     

    “ผมไม่เข้าใจ ว่าคุณพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ยังไง”

     

    “สงสัยคุณจะเข้าใจยากจริงๆ ผมว่าไม่จำเป็นที่เราต้องรู้จักกัน เพราะยังไงเราก็คงจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”

     

    “อ๋อ.. นี่ถ้าผมเกี่ยวข้องกับคุณ คุณก็จะยอมพูดดี ๆ กับผมใช่ไหม”

     

    “ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ผมพูดกับคุณไม่ดีตรงไหน”

     

    “ตรงที่คุณพูดเหมือนกับว่า หวังว่าเราจะไม่ต้องเจอกันอีก ตลอดไป... อย่างนี้ คุณคิดว่าคนที่ฟังเขาจะรู้สึกยังไงล่ะ”

     

    “แล้วทำไมผมต้องแคร์ ในเมื่อคุณกับผม เราไม่รู้จักกัน และผมก็คิดว่า คุณคงจะไม่ป่วยแล้วมาหาผมที่โรงพยาบาลแน่ ๆ แล้วอีกอย่างโรงพยาบาลที่เกาหลีก็มีตั้งกี่แห่ง เพราะฉะนั้นการที่เราจะเจอกันอีกครั้งคงเป็นไปได้ยาก แล้วอย่างนี้เราจะเชื่อมความสัมพันธ์กันไปทำไมล่ะครับ”

     

    สิ้นเสียงมินซอก ลู่หานรู้สึกว่าเขาต้องเอาชนะมินซอกให้ได้ เขาไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับมินซอกหรอกนะ แต่คนตรงหน้าทำตัวได้น่าหมั่นไส้เหลือเกิน หลังจากจ้องหน้ากันอยู่นาน ลู่หานเลยลุกขึ้นยืน

     

    “โอเค หวังว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ และขอบคุณที่ไม่รับสิ่งตอบแทนจากผม เสื้อผ้าผมอยู่ไหนหรอครับ” ลู่หานหันไปถามชานยอล ชานยอลที่ยืนนิ่งอยู่กับอี้ฟานก็ชี้ไปที่บ้านหมาของเจ้าไค

     

    ลู่หานเดินไปหยิบเสื้อผ้าของเขาที่วางไว้บนหลังคาบ้านเจ้าไค ก่อนจะเดินเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ แล้วเอาเสื้อผ้ามาคืน

     

    “เราคงไม่มีอะไรติดค้างกันนะครับ งั้นผมลาล่ะ สวัสดีครับ” ลู่หานโค้งหัวให้ทุกคนเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไป

     

    มินซอกตักซีเรียลเข้าปากอย่างอารมณ์เสีย เขาแค่พูดออกไปตรง ๆ แล้วมันผิดตรงไหน ใช่มันผิดที่ผู้ชายคนนั้นทำประชดเขา เขารู้ว่าที่ผู้ชายคนนั้นทำและพูดออกมาก็ประชดเขาที่บอกว่า เราจบกันแค่นี้ เราไม่มีอะไรต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก ชานยอลกับอี้ฟานตัดข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จมาให้มินซอก มินซอกยังคงถือช้อนและตักซีเรียลเข้าปากอย่างไม่สนใจ จนชานยอลต้องสะกิด

     

    “พี่...”

     

    “อะไร!!

     

    “ข้าวสุกแล้ว กินข้าวก็ได้นะ” ชานยอลบอก

     

    “ไม่กินมันแล้ว หงุดหงิด!” พูดจบมินซอกก็เดินไปหยิบกระเป๋าแล้วออกจากบ้านไปทันที

     

    “เขาเป็นคนแบบนี้หรอ” อี้ฟานถามชานยอล

     

    “ใช่ พี่ก็... ทำใจหน่อยนะ เขาค่อนข้างนิสัย..เหมือนผู้หญิงน่ะ แถมเป็นวัยทองด้วย” ชานยอลบอกใบหน้านิ่ง ๆ

     

    อี้ฟานพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาก็ไม่ค่อยชอบนิสัยที่ดูจะขี้หงุดหงิดและพูดตรงของมินซอกเท่าไหร่เหมือนกัน อี้ฟานคิดว่า เขาคงต้องหาวิธีรับมือกับมินซอกเอาไว้บ้างแล้วล่ะ

     

    .

    .

     

    ลู่หานโทรหาจงอินทันทีที่ออกมาจากบ้านหลังนั้น เขาเดินออกมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าปากซอย ก่อนจะเดินเข้าร้านกาแฟหน้าปากซอยหาอะไรกินแก้หิว ซึ่งแค่โจ๊กที่ได้กินไปนั้น ยังไม่ถึงครึ่งท้องของเขาเลย แต่เขาก็ต้องขอบคุณในความมีน้ำใจของผู้ชายคนนั้นที่ยอมช่วยให้เขาไม่ต้องตายอยู่ข้างถังขยะ

     

    “ไอ้ถ่าน มึงมารับกูหน่อยดิ”

     

    “(อ้าว มึงอยู่ไหนอ่ะ นี่กูเพิ่งเข้าออฟฟิศ)”

     

    “กูอยู่... ไหนว่ะ” ลู่หานมองหาป้ายบอกทางที่พอจะเป็นประโยชน์ให้เขาได้บ้างเพื่อบอกจงอิน ใช่ว่าเขาอยู่เกาหลีมาหลายปีแล้วจะจำทางได้ เขายังต้องอยู่อีกนานกว่าจะจำทางทั้งหมดให้กรุงโซลได้

     

    “(ไม่เป็นไร เปิดจีพีเอสไว้เดี๋ยวกูตามหามึงเอง แล้วไปทำอะไรแถวนั้นวะ ถึงกับจำทางกลับบ้านไม่ได้อ่ะ)”

     

    “เรื่องมันยาว เดี๋ยวเจอกันกูจะเล่าให้ฟัง กูอยู่ร้านกาแฟนะ มึงเอาเงินมาจ่ายค่ากาแฟให้กูด้วยล่ะ”

     

    “(ได้... นี่... กูเจอมึงแล้ว งั้นเดี๋ยวไปรับล่ะ)”

     

    “อืม”

     

    พูดจบลู่หานก็กดวางสายไป ก่อนจะนั่งจิบกาแฟรอจงอินมารับ ความคิดต่าง ๆ พลันไหลเข้ามาในสมองอย่างต่อเนื่อง ลู่หานได้เจอกับความคิดของตัวเองที่ว่า บางที เขาควรจะกลับประเทศจีนได้แล้ว

     

    “คิดถึงที่นั่นจัง นี่เราควรจะกลับจีนได้แล้วสินะ”

     

     

     

     

     

    TBC…

     

     

    ไรท์ทอล์ค : เป็นยังไงบ้างล่ะ ตอนแรก ลู่หมินฉะกันซะแล้ว มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ลู่หานรู้สึกว่า ทำไมต้องพูดอะไรตรงขนาดนั้นแถมพูดแบบไม่แคร์ขนาดนี้ มินซอกก็แค่หาอะไรมาเป็นเกราะให้ตัวเองเท่านั้น เดี๋ยวอ่านต่อไปแล้วกันคะ

                วันนี้มากับบทสัมภาษณ์ของพี่ลู่หานที่ทำเอาใครหลายคนถึงกับอึ้งเลย ไรท์เองก็อึ้งคะ ใช้เวลาเข้าใจประมาณสามชั่วโมง ชีวิตของเขาเขาเลือกเองได้คะ แฟนคลับอย่างเราก็เลือกได้คะว่าจะสนับสนุนต่อไปหรือปล่อยมือเขาไป ไรท์รู้สึกว่า ในเมื่อเขาเลือกแล้ว เราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา เพลงมา ให้เธอได้กับเขาและจงโชคดี 555555 ไม่ใช่ล่ะ ไรท์ก็ยังซัพพอร์ตพี่ลู่ต่อไปนะ มินซอกของเราด้วย ได้ข่าวว่าเรียนป.โท อยู่ ไรท์ปลื้มคะ มินซอกรักเรียนเหมือนกัน ยังไงก็รักศิลปินอย่างพอดีนะ พอดีไรท์เห็นหลายคนฟูมฟาย เอาล่ะคะ เหมือนเดิม สนุกไหม สนุกก็เม้นบอกกันด้วย ติชมได้ ยินดีปรับปรุงคะ อยากเม้าท์ อยากบอกต่อ ติดแท็กในทวิตเลย #ficlovegray

     

    ทอล์ค 2 : เรารีไรท์ให้รีดเดอร์อ่านนิดหน่อย พอดีว่าเรากำลังปรับเนื้อเรื่องให้มันมีเส้นโครงเรื่องมากกว่านี้ เดิมทีเราวางพล๊อตไว้ แต่บางครั้งก็แต่งออกมาไม่ค่อยจะเข้าพล๊อตเท่าไหร่ เรากำลังปรับปรุงนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านอีกครั้งนะ

     
       
    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×