คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Love Gray :: Chapter 11 True feeling
Chapter 11 – True
feeling
.
.
รุ่งเช้าที่แสนสดใสของผู้ชายที่ชื่อปาร์ค
ชานยอลนั้น มันช่างดีจริง ๆ ที่มีคนให้นอนกอด เขาฝันอยากจะมีช่วงเวลาดี ๆ
กับผู้หญิงสักคนที่เขารัก แต่นั้นมันคงเป็นแค่ความฝัน ถ้าตราบใดที่เขายังไม่คิดจะเปิดใจและเปิดทางให้ผู้หญิงเหล่านั้นได้เข้ามาเหยียบพื้นที่ในหัวใจของเขา
แต่ว่าวันนี้เขามีแล้ว ใช่ไหม?
“เห้ย!!!”
ตุ๊บ!!!
“โอ๊ย!!”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นความวุ่นวายที่เกิดหลังจากที่ชานยอลได้ฝันถึงผู้หญิงที่นอนอยู่ข้าง
ๆ เขา แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงที่นอนนั้นได้หายไปและกลายเป็นผู้ชายซะได้
ที่สำคัญเขาคือ เด็กมุ้งมิ้งที่ชานยอลแสนเกลียด
“นายมานอนห้องฉันได้ยังไง”
ชานยอลจ้องหน้าคยองซูที่อยู่ที่พื้นด้วยความหงุดหงิด
ความคิดที่ว่าเด็กคนนี้จะต้องเป็นพวกโรคจิตแอบปีนห้องคนอื่นเพื่อมาหลับนอนด้วยแน่
ๆ
“นี่... เมื่อคืนนี้.. พี่จำอะไรไม่ได้เลยหรอครับ”
คยองซูพูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้า ชานยอลเลยต้องนึกย้อนเวลากลับไปไกลถึงตอนที่เขากำลังจะไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนเขา
และความทรงจำครั้งล่าสุดที่เขาจำได้ เขาเดินออกมากับเพื่อนคนหนึ่ง แต่เมื่อถึงบ้านของเพื่อนคนนั้น
เขาก็แยกกลับบ้านไป หลังจากนั้นเขาก็จำไมได้แล้วว่าเขากลับมาถึงบ้านได้อย่างไร
“จำ.. ไม่.. ได้..” ชานยอลบอก
“เฮ้อ...
นี่ผมช่วยพี่ไว้จากผู้หญิงที่เขาจะมาปอกลอกเอาเงินจากกระเป๋าตังค์ของพี่
ทีนี้จำได้หรือยังครับ” คยองซูถอนหายใจอย่างน้อยใจก่อนจะทำหน้าบึ้งและเดินออกจากห้องชานยอลไป
ทำให้ชานยอลนั่งงุนงงกับตัวเองด้วยอาการที่เรียกว่าแฮงค์อยู่บนเตียง
“กระเป๋าตังค์อยู่ไหนวะ อ๊า... ปวดหัวชิบหาย”
คยองซูเดินลงมาจากห้องชานยอล
ก่อนจะเห็นมินซอกกำลังทำอาหารอยู่ที่ครัว คยองซูเดินไปหามินซอกเพื่อบอกให้รู้ว่าเขากำลังจะกลับ
“อ้าว ตื่นแล้วหรอ ชานยอลมันทำอะไรหรือเปล่า”
มินซอกถาม
“เปล่าครับ เขาแค่... นอนละเมอทั้งคืนว่า
พี่ดาร่า... มาให้ผมนอนกอดหน่อย... ผมไม่ทำอะไรหรอก อย่างนี้น่ะครับ”
คยองซูทำท่าทางประกอบ ซึ่งทำให้เรียกเสียงหัวเราะจากมินซอกได้นิดหน่อย
“ฮ่า ๆ อย่างนั้นหรอ มันก็บ้าดาราไปเรื่อยแหละ
บอกมันให้หาแฟนแล้วนะ มันก็บอกว่า เงินเก็บมันยังไม่คุ้มที่จะไปเลี้ยงใครได้น่ะ”
มินซอกบอก คยองซูพยักหน้าให้เบา ๆ
“อย่างนั้นหรอครับ งั้นผมขอตัวกลับเลยนะครับ
สวัสดีครับ” คยองซูพูดพลางโค้งให้มินซอก
“อ้าว กินข้าวเช้าก่อนสิ พี่ทำเผื่อให้ด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องรีบกลับ เดี๋ยวพ่อผมจะถามหาน่ะครับ
ไปล่ะครับ”
คยองซูบอกอีกทีแล้วเดินออกไป มินซอกเลยกลับมาสนใจทำอาหารต่อในครัว
สักพักอี้ฟานก็เดินลงมาที่ครัวแล้วทักทายมินซอก
“อ้าว กลับมาเมื่อไหร่อ่ะ เมื่อคืนไปไหนมาหรอ”
มินซอกถาม
“พอดีว่าผมเที่ยวเพลินไปหน่อยน่ะ
แล้วยังหารถแท็กซี่กลับยากด้วย”
“หรอ ระวังพวกมิจฉาชีพด้วยนะ
ช่วงนี้ก็มีข่าวออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่แถวคังนัม ขนาดเป็นที่ที่มีคนเยอะแยะนะ”
“โอเค ผมจะระวัง” อี้ฟานบอก
ก่อนจะชงกาแฟมานั่งดื่มที่โต๊ะ สักพัก ลู่หานก็เดินลงมาพร้อมกับจงอิน ลู่หานดูขอบตาคล้ำอย่างเห็นได้ชัด
ความผิดปกตินี้ทำให้มินซอกแอบคิดไปไกล
“ไปล่ะนะ ว่าง ๆ จะมานอนด้วยใหม่” จงอินบอกพร้อมกับยกมือโบกลา
“ไม่ต้องมาเลย กูนอนไม่ได้ทั้งคืนเลยนะ ไอ้ถ่าน”
ลู่หานชี้หน้าเชิงไล่จงอินไป
“เรื่องของมึง กูไปล่ะ”
จงอินบอกแค่นั้น ก่อนจะโบกมือให้คนในครัว
แล้วลู่หานก็เดินมาที่ครัวด้วยความง่วง อี้ฟานดูแปลกใจที่ลู่หานดูโทรมมากจริง ๆ
ภายในคืนเดียว
“ความจริง พวกนายจะนอนจนถึงเที่ยงแล้วเลยบ่ายไปเลยก็ได้นะ
ไม่มีใครว่าหรอก” มินซอกพูดออกมา เพราะ
“ผมไม่ชอบนอนข้ามวันขนาดนั้นหรอกนะ” ลู่หานบอก
“ก็ถ้ากิจกรรมกลางคืนมันจะทำให้เหนื่อยขนาดนี้
ทางการแพทย์แล้วร่างกายของคุณก็ต้องการการพักผ่อนนะครับ”
“หื้ม? คุณพูดแบบนี้ หมายความว่ายังไง
กิจกรรมกลางคืน” ลู่หานบอกแล้วมองหน้ามินซอกอย่างสงสัย
“ก็พวกนายทำอะไรกันตอนกลางคืนล่ะ พอดีว่าฉันหลับก่อนเลยไม่ยินเสียง”
มินซอกไม่กล้าสบตาลู่หาน เขาเลยทำอาหารเช้าต่อไป
“ไม่ได้ยินหรือไม่อยากได้ยินกันแน่
ผมแน่ใจมากเลยนะ ว่าจงอินมันส่งเสียงดังมาก จนคุณจะไม่รู้ว่าพวกผมทำอะไรกัน”
ลู่หานอธิบายพร้อมหันไปมองหน้าอี้ฟาน
“ก็... ผมไม่อยากได้ยินนั่นแหละ เลยปิดหูเอาไว้”
“อี้ฟาน นายก็ได้ยินใช่ไหม ว่าเมื่อคืนนี้
เสียงมันเป็นยังไง” คำถามภาษาเกาหลีที่ถามคนจีนอีกคนที่นั่งจิบกาแฟอยู่นั่น
ทำให้มินซอกรู้ว่าลู่หานต้องการอะไร
“ก็ดังมากเลยนะ แล้วผมก็หาอะไรอุดหูไว้เหมือนกัน
เพื่อนคุณนี่... สุดยอด” อี้ฟานหันมาบอกลู่หาน เพราะรู้ว่าลู่หานจะแกล้งมินซอก
แต่เมื่อคืนเขาก็ได้ยินเสียงกรนของจงอินบ้าง ไม่ได้ดังมากอย่างที่เขาบอก
“เดี๋ยวนะ เสียงที่ว่าเนี่ย คือเสียง...”
“เสียงกรนไงครับ เมื่อคืนกว่าผมจะหลับก็เกือบ ๆ
ชั่วโมงได้ที่ปิดหูเอาไว้” อี้ฟานบอกและยิ้มให้
มินซอกยืนนิ่งไปสักครู่
ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำอาหารให้เสร็จและรีบใส่จานวางให้อี้ฟานกับลู่หาน
“พวกนายกินไปก่อนเลยนะ ฉันไปอาบน้ำก่อน” พูดจบมินซอกก็รีบเดินขึ้นไปข้างบนทันที
ปล่อยให้อี้ฟานกับลู่หานมองหน้ากัน แล้วทั้งสองคนก็ขำ
เพราะรู้ว่ามินซอกเข้าใจผิดเรื่องเสียงยังไง
“นายคิดเหมือนฉันไหมอี้ฟาน”
“ฉันก็คิดเหมือนนายนะลู่หาน”
แล้วเสียงหัวเราะก็ดังครองห้องครัวจนชานยอลเดินลงมาอย่างสงสัย
ซึ่งเขาเห็นมินซอกหน้าแดงรีบวิ่งเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว
“พวกพี่เป็นบ้าอะไรกันน่ะ”
ชานยอลถามออกไป
ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นเพียงเสียงหัวเราะของทั้งสองคนเท่านั้น สงสัยเช้านี้
พี่มินซอกจะแพ้ศึก
.
.
เช้านี้มินซอกรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอย่างบอกไม่ถูก
ทำไมเขาถึงต้องรู้สึกถึงความอับอายอันยิ่งใหญ่ในตอนเช้ามากขนาดนี้ก็ไม่รู้
หรือเพราะเป็นคนที่ชอบเก็บเรื่องต่าง ๆ มาคิดมาก
แต่เขาก็พยายามเลิกนิสัยนี้ไปนานแล้ว
เลยไม่ค่อยมีเรื่องให้ปวดหัวนอกจากเรื่องที่ส่งผลงานเพื่อขอเลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์แล้วแพ้เด็ดเส้นอย่างหมอ
ชเว มินโฮ เรื่องอื่นเขาก็ไม่อยากเก็บมาคิดมากแล้ว
“วันนี้ดูพี่จะเครียดกว่าปกตินะ
มีอะไรกระทบกระเทือนจิตใจหรือเปล่าครับ”
เซฮุนมองหน้ามินซอกที่ขมวดคิ้วและเอาแต่เขี่ยข้าวไปมา
เมื่อรู้สึกตัว มินซอกก็วางช้อนและมองหน้าเซฮุน
“นายเคยรู้สึกเสียหน้ามาก ๆ จนแบบ
หงุดหงิดตัวเองที่ทำไมถึงได้ทำเรื่องน่าขายหน้าได้ขนาดนี้ไหม”
“นี่ถ้าพี่จะเสียหน้าเพราะอะไรก็ช่าง
แค่พี่ไม่สนใจ เรื่องมันก็จบแล้ว”
“แต่ฉัน... นั่นสิ
ทำไมฉันต้องสนใจไอ้ตอไม้นั่นด้วยนะ”
“ไอ้ตอไม้... ใครอ่ะ แฟนพี่หรอ”
“หุบปากเลยนะ! สรรพนามที่ฉันใช้เรียกนี่
ดีมากเลยสินะ นายถึงคิดว่าหมอนั่นเป็นแฟนฉันน่ะ”
“ก็ดูจากท่าทางของพี่แล้ว ก็ไม่น่าจะเรียกใครว่า
ฮันนี่ ที่รัก ได้อ่ะ อย่างผมพี่ยังเรียกว่า ไอ้หน้าหล่อเลย” ความมั่นหน้าของเซฮุน
ทำให้มินซอกมองอย่างเอือมระอา
“เชื่อเขาเลย อยากจะตัดคอนายไปเสียบประจานที่กูรีจริง
ๆ เลย ให้ตายสิ” เซฮุนยังทำหน้าตาล้อเลียนใส่มินซอก ก่อนจะเดินมาใกล้ ๆ
“นี่ ผมบอกพี่อย่างจริงจังเลยนะ ว่าช่วงนี้อ่ะ
พี่เหมือนจะสนใจใครอยู่อย่างนั้นล่ะ ผมมาหาทีไร ก็เห็นพี่นั่งหงุดหงิดแล้วบ่นถึงคน
ๆ นั้นอยู่ตลอด บอกมาเลยนะ ว่า มันเป็นใคร”
“อะไรของนาย ห๊ะ! โอ เซฮุน
หยุดพูดพร่ำเพรื่อแล้วก็ไปทำงานของนายซะ ไป! ชิว ๆ”
“นี่พี่จะพูดกับผมดี ๆ บ้างไม่ได้เลยใช่ไหมเนี่ย
เออ ๆ ๆ ไปก็ได้ เออ! แต่นึกได้อย่างหนึ่ง ศาสตราจารย์ปาร์คเรียกพี่ไปพบที่ห้องของเธอน่ะ
เหมือนเธอมีเรื่องจะคุยกับพี่”
“หมอกาฮี..”
“โชคดีนะพี่มินซอก
อย่างน้อยพี่ก็ยังแพ้อารมณ์ของผู้หญิงวัยกลางคนอยู่ หึหึ”
เซฮุนโบกมือลาอย่างยิ้มร่า
มินซอกเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับศาสตราจารย์ปาร์ค กาฮี
ยังคลุมเครืออยู่จะเดินหน้าต่อ มินซอกก็ไม่กล้า
จะถอยหลังกลับผู้หญิงคนนั้นก็คงจะกัดไม่ปล่อยเขาง่าย ๆ แน่
ในเมื่อรู้ว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ เขาไม่น่าพลาดไปออกเดทกับปาร์ค กาฮี
เลย ไหนจะโดนหมายหัวจากชานยอลที่บอกว่า ถ้าทำให้เธอเสียใจ เขาเตรียมตัวตายได้
แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นหลักของเขา ประเด็นหลักของเขาคือ การหาใครสักคนเพื่อทำให้เขาลืมชางมินให้ได้
“สวัสดีครับหมอกาฮี” เมื่อเดินมาที่ห้องทำงานของกาฮี
มินซอกก็กลั้นใจอยู่นาน กว่าที่เขาจะกล้าเคาะประตูของเดินเข้ามา
“มาแล้วหรอ ให้ฉันรอตั้งนาน”
น้ำเสียงของเธอยังฟังดูสบาย ๆ ไม่ได้มีอารมณ์หงุดหงิดอย่างที่มินซอกคิดไว้
เลยทำให้เขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
“เซฮุนบอกว่า คุณต้องการพบผม”
“ฉันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากหรอกนะ
แต่ฉันอยากจะพูดกับเธออย่างจริงจังสักที”
“เรื่องอะไรหรอครับ”
“ก็เรื่องของเราไง”
มินซอกกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและเริ่มไปต่อไม่ถูกเมื่อกาฮีเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาทันที
เธอเลื่อนเก้าอี้เพื่อให้เขาเผชิญหน้ากับเธออย่างจริงจัง เธอกุมมือมินซอกไว้
“ฉันอยากรู้ว่า เราจะเดินกันต่อไป
หรือเธออยากจะหยุดความสัมพันธ์กับฉันแล้ว”
เหงื่อที่มือของมินซอกเริ่มออก
เขากลัวว่าถ้าปฏิเสธ เธออยากจะทำเรื่องที่เขาไม่คาดคิดไว้ให้เกิดขึ้นมา เช่น การหักข้อมือของเขา
หรือการจับเขาทุ่มลงกับพื้น ซึ่งเรื่องแบบนี้ คงเกิดขึ้นได้ง่าย
เพราะเธอเป็นอดีตนักกีฬาเทควันโด้สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วย
“ผมไม่แน่ใจว่า...
ตอนนี้ความรู้สึกของเรายังเหมือนเดิมกันอยู่ไหมน่ะครับ”
“แล้วตอนนี้เธอยังรู้สึกกับฉันเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”
“ผมรู้สึกเหมือนเดิมกับคุณ
ตั้งแต่ตอนแรกที่รู้สึกยังไง ผมก็รู้สึกเหมือนเดิม”
“แต่ฉันไม่เหมือนเดิม... ฉันรู้สึกว่า...
เราไม่ได้มีความรู้สึกที่เป็นสัมพันธ์สวาทต่อกันเลยสักนิด”
“หมอกาฮี...”
“ฉันขอโทษนะ ที่คิดไปเองว่า เรารักกัน แต่ใช่
ยังไงซะ คนที่ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่อยู่ดี ต่อให้ฝืนธรรมชาติมากแค่ไหน สุดท้าย
เราก็ต้องไปตามทางของตัวเอง จริงไหม”
“หมายความว่า...”
“ฉันเจอคนที่ใช่สำหรับฉันแล้วล่ะ
และตอนนี้ฉันกำลังจะแต่งงานแล้วด้วย”
“จริงหรอครับ ยินดีด้วยนะครับหมอกาฮี
ผมขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อกับคุณเลย หลังจากวันนั้น”
“ฉันก็ขอโทษที่เร่งรัดคุณ
ทั้งที่คุณไมได้คิดอะไรกับฉันเลย พอฉันคิดได้ ฉันก็เจอคนที่ใช่สำหรับฉันแล้ว
และเราก็กำลังจะมีลูกด้วยกันด้วยนะ”
“อะไรจะเร็วขนาดนั้นครับ”
“ขอโทษด้วยนะหมอมินซอก
ฉันขอให้คุณเจอคนที่ใช่สำหรับคุณเร็ว ๆ นะค่ะ แล้วค่อยเอาลูกของเรามาปรองดองกัน
ฮ่า ๆ ๆ”
“อ่า... ได้ครับ”
“ฉันมีเรื่องจะบอกคุณแค่นี้ แล้วคุณล่ะคะ
มีอะไรจะบอกฉันไหม”
“ไม่มีแล้วล่ะครับ งั้นต่อไป
เราก็เป็นเพื่อนกันได้สินะครับ”
“ใครบอกว่าจะเป็นเพื่อนกันได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ฉันเป็นศาสตราจารย์ของที่นี่
ฉันคงต้องเป็นศาสตราจารย์ต่อไป ส่วนคุณ ก็เป็นคุณหมอหนุ่มรุ่นน้องของฉันยังไงล่ะ
ฮ่า ๆ ๆ” เสียงหัวเราะของกาฮีดังลั่นห้อง มินซอกหัวเราะออกมาพอเป็นพิธี
ก่อนจะขอตัวจากเธอ
“ไม่คิดว่าจะตัดสัมพันธ์ได้ง่ายขนาดนี้”
.
.
จงอินพาลู่หานมาที่งานอีเว้นท์ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังเพื่อร่วมเปิดร้านสาขาของที่นี่อย่างเป็นทางการในฐานะพรีเซนต์เตอร์คนล่าสุดของสินค้า
ลู่หานมองแฟนคลับที่มารอดูเขาอย่างสุขใจ ที่กระแสของเขายังมีอยู่
งานแจกลายเซ็นเป็นไปอย่างราบรื่น
ทุกคนที่ได้รับสิทธิ์รับลายเซ็นของลู่หานต่างเอาของบำรุงร่างกายหรือแม้แต่ของที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากได้มาให้
ซึ่งมันเป็นของชิ้นเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีราคามากมาย แต่คนรับอย่างเขาก็สุขใจมาก
หลังจากแจกลายเซ็นเสร็จ จงอินก็พาลู่หานออกมา เพื่อไปทำงานต่อ ซึ่งเป็นงานคอนเสิร์ตการกุศลที่บ้านของเศรษฐีณีคนหนึ่ง
“ไม่อย่างเชื่อว่ากูจะต้องมารับงานคอนเสิร์ตการกุศลของพวกเศรษฐีแล้ว”
“เอาน่า งานและเงินสมัยนี้มันหายาก
ทำอะไรได้ก็ทำไปเถอะ ไม่ได้เสียหายอะไรนี่”
“งั้นถ้ากูโดนพวกเศรษฐีลวนลามก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้
ใช่ไหม”
“ก็ให้ ๆ เขาไปเถอะ จับนิดจับหน่อย
ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ มึงเป็นผู้ชายนะ กลัวอะไรวะ”
“กลัวมีภาพหลุดกับข่าวฉาวนะสิ
พวกนักข่าวเคยปราณีใครที่ไหน”
“งั้นก็หายห่วงได้เลย เศรษฐีคนนี้น่ะ เขามาจากประเทศจีน
มาตั้งรกรากที่นี้ได้หลายปีล่ะ แล้วเขาก็อยากได้ดาราไอดอลที่เป็นคนจีน
เขาทุ่มเงินให้ไม่อั้นเลยนะ เพื่อที่จะเอาตัวมึงมา มึงยังพูดจีนได้ไหม”
“ขนาดนั้นเลย ภาษาจีนเป็นภาษาแม่กูนะเว้ย
กูไม่ลืมมันง่าย ๆ หรอก ว่าแต่ เขาทุ่มให้เท่าไหร่ แล้วกูจะได้เท่าไหร่”
“อย่าถามเรื่องเงิน ถ้ายังไม่ได้เริ่มงาน
เข้าใจไหม”
“ไม่ถามก็ได้ งก”
รถตู้แล่นเข้ามาจอดที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง
ที่นี่เริ่มมีงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ลักษณะคล้ายโต๊ะจีนแบบบุฟเฟ่อาหารจีนละลานตา
มีเวทีอยู่หน้างาน และภาษาจีนที่พ่นใส่กันของสองพิธีกรในงานนั้นดูสนุกสนาน
จงอินพาลู่หานมาที่ซุ้มแต่งตัวสำหรับพวกดารา
ลู่หานได้เจอกับดาราในวงการหลายคนที่หายหน้าหายตากันไป ซึ่งสมัยนั้น
เขายังจำได้ว่า มีรุ่นพี่ในวงการเบิกทางให้บ้างแล้ว อย่าง โจวมี่ และหลิว เซียนหัว
หรือ เฮนรี่
“สวัสดีครับรุ่นพี่!”
“อ้าว! เป็นไงมาไงลู่หาน ไม่ได้เจอกันนานเลย”
โจวมี่เดินเข้ามาทักทายอย่างอารมณ์ดี
“สบายดีครับ ตอนนี้ก็กลับมารับงานได้เรื่อย ๆ
เลยครับ”
“หายดีแล้วนะ” เฮนรี่ถามด้วยความเป็นห่วง
“ดีมาก ๆ เลยครับ
ไม่คิดว่าจะเจอพวกพี่ทั้งสองคนที่นี่”
“พอดี มีคนติดต่อผู้จัดการของพวกเรา
เขาอยากเชิญดาราและนักแสดงจีนที่อยู่ที่นี่มาร่วมงานน่ะ แต่ไป ๆ มา ๆ
ก็เหลือแค่นี้ เพราะบางคนก็กลับจีนไปแล้ว หลังจากเข้ามาที่เกาหลีได้สองสามปี”
โจวมี่บอก
“นี่คงเหลือแค่พวกเราสินะ ที่ยังยอมอยู่ที่นี่”
เฮนรี่พูดแกมหัวเราะแห้ง ๆ
“มันยากที่จะกลับมาเอาใจคนสมัยนี้แล้วสิ มีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อย
ๆ เลยนะครับ” ลู่หานบอก
“เอาล่ะทั้งสามท่านค่ะ ได้เวลาขึ้นเวทีแล้วค่ะ”
“เดี๋ยวนะครับ ผมเพิ่งมา จะต้องขึ้นไปเลยหรอครับ”
“งั้นใครพร้อมก็ขึ้นเลยค่ะ
งานเราไม่ได้ฟิกไว้ขนาดนั้น เชิญเลยค่ะ แค่ไปร้องเพลงจีนให้แขกฟัง”
“งั้นฉันขึ้นก่อนก็ได้ ฉันมาเตรียมตัวตั้งแต่
หกโมงเย็นแล้ว”
“สู้ ๆ นะครับ รุ่นพี่” ลู่หานบอก โจวมี่พยักหน้าและชูแขนขวาเชิงบอกว่าเขาพร้อมสู้แล้ว
“ใครยังไม่ได้แต่งหน้าเชิญทางนี้เลยค่ะ!” เสียงสต๊าฟสาวบอก ก่อนที่ลู่หานจะเดินตามไปเพื่อแต่งหน้าเซ็ตผมให้พร้อมกับงานในครั้งนี้
“ครั้งนี้ชื่อลู่หานจะต้องเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้นแน่นอน”
.
.
เมื่อมินซอกกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น
เขาก็เห็นคยองซูมานั่งรอที่หน้าบ้านด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“อ้าว มาทำอะไรอยู่บ้านฉันเนี่ย”
“สวัสดีครับพี่หมอ คือผมโดนพี่ชานยอลไล่ออกมาอ่ะ”
มินซอกมองอย่างสงสัย
ก่อนจะเปิดประตูแล้วมองเข้าไปในบ้าน
ก็เห็นชานยลนั่งเล่นเจ้าไคอยู่ข้างนอกอย่างอารมณ์ดี
ผิดกับเด็กที่ยืนหน้าเศร้าอยู่ตรงนี้
“แล้วไปทำอะไรให้หมอนั่นอารมณ์เสียล่ะ
มันถึงไล่เธอออกมา”
“คือว่า...”
“กูบอกแล้วใช่ไหม ว่าไม่สอนเด็กโง่ ๆ อย่างมึงน่ะ”
เสียงตะโกนของชานยอลดังออกมาแทนคำตอบของคยองซู
มินซอกเลยเดินลากแขนคยองซูเข้าบ้านมาแล้วหยุดตรงหน้าชานยอล
“พูดกันดี ๆ สิ อย่าเดือดร้อนคนอื่นแบบนี้
เข้าใจไหม” มินซอกตะโกนใส่หน้าชานยอลกลับ จนเขาต้องเบือนหน้าหนีเพราะน้ำลายที่กระเด็นออกมา
ก่อนที่มินซอกจะเดินเข้าบ้านไป
“อารมณ์เสียแล้วมาลงใส่กูตลอด”
“... พี่ชะ..”
“หยุดเลย! ยังไงกูก็ไม่สอนมึงหรอก
กลับบ้านไปได้แล้ว”
“น่า... พี่ชานยอล ถ้าผมเข้าคณะวิศวะได้
ผมจะตอบแทนพี่ให้อย่างดีเลยนะ” คยองซูเกาะแขนของชานยอลเอาไว้
สายตาที่ออดอ้อนออกมานั้น ชานยอลได้แต่ผลักหัวทุย ๆ ของเขาออก
“กูจะรับข้อเสนอของมึง ก็ต่อเมื่อมึงจ้างกูสอน
เข้าใจไหม”
“งั้นค่าจ้างพี่เท่าไหร่ล่ะ”
“ไอ้นี่... ชั่วโมงละห้าแสน
ไม่มีเงินก็ไม่ต้องมาอีก เข้าใจไหม”
“ทำไมแพงจังอ่ะ”
“นี่ค่าจ้างมาตรฐานของโรงเรียนกวดวิชาเลยนะ
ถ้าไม่มีก็ออกไปจากบ้านกูได้แล้ว”
พูดจบชานยอลก็ผลักคยองซูออกอย่างแรง
จนคยองซูล้มลงมือของคยองซูไปโดนกับก้อนหินที่อยู่พื้นทำให้มือของเขามีแผลและเลือดซึมออกมา
ชานยอลเห็นก็จะเข้าไปช่วยแต่หยุดไว้พร้อมกับทำเป็นไม่สนใจต่อไป
“ไอ้พี่เชลี่ย!!”
“มึงว่าไงนะ...”
“ผมอุตส่าห์แอบปลื้มพี่ไม่รู้หรือไง
ถ้าผมมีที่พึ่ง ผมไม่มาขอร้องพี่ขนาดนี้หรอก ถ้าผมมีเงิน
ผมก็ไม่มารบกวนพี่แบบนี้หรอก ใจร้ายที่สุดเลย”
พูดจบคยองซูวิ่งออกจากบ้านไปทันที ปล่อยให้ชานยอลมองตามอย่างรู้สึกผิด
เขาแค่อยากให้เด็กคนนั้นเลิกตื้อเขาไม่ได้คิดจะทำให้เขามีบาดแผลแต่อย่างใด
แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เด็กคนนั้นก็จะได้เลิกยุ่งกับเขาสักที
เขาไม่ใช่คนใจเย็นที่จะคอยสอนใครได้นาน ๆ หรอก
เด็กนั่นคิดผิดแล้วล่ะที่จะให้เขาสอนเรื่องเรียนเพื่อจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าเด็กคนนั้นรู้ว่าเขาจบแค่
ปวส. คงไม่มาขอร้องเขาแบบนี้แน่นอน
“นายก็พูดแรงเกินไปนะชานยอล”
“พี่มินซอก...” เมื่อคิดอะไรไปไกล
ชานยอลก็เพิ่งเห็นว่ามินซอกเดินมาอยู่ข้าง ๆ เขาแล้ว
“นายรับเด็กคนนั้นมาติวเถอะ
เดี๋ยวฉันช่วยสอนมันอีกแรง ฉันว่าเด็กคนนี้คงไม่ใช่เด็กที่ฐานะดีเท่าไหร่หรอก”
“แต่ผมรำคาญมันนี่”
“ปากบอกรำคาญ
แต่สายตาที่มองตามไปเมื่อกี๊มันไม่ใช่เลยนะ”
“พี่ก็... พูดอะไรขนลุกไปหมดแล้ว”
ชานยอลแกล้งพูดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ถูกเดาออกจากมินซอก
ซึ่งมันทำให้เขาคิดแบบนั้นจริง ๆ
“รับเด็กคนนั้นมาติวเถอะ เดี๋ยวฉันจ่ายค่าจ่ายอาจารย์ให้เอง”
TBC…
ไรท์ทอล์ค : ขอโทษที่มาอัพช้านะคะ
เราเดินเรื่องไปเรื่อย ๆ เนอะ ใครเบื่อก็คอมเมนท์บอกได้นะคะ
ใครเจอข้อผิดพลาดอะไรบอกได้คะ เราจะรีบมาแก้ไข และคิดว่าอีกหลายตอนจะจบ 5555
ยังไงเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ ขอบคุณที่อ่านกันนะคะ
ความคิดเห็น