คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Love Gray :: Character + Intro
Character
----------------------------
Intro…
นิยามของความรักมักเกิดขึ้นมาให้เฉพาะเจาะจงกับบุคคลที่มีรูปแบบการใช้ชีวิต
และการพบปะผู้คนที่แตกต่างกันไป
ความรักคืออะไรหรอ
มันอยู่ที่ว่า
ตัวบุคคลนั้นมีมุมมองการใช้ชีวิตแบบไหน
พบเจอบุคคลอย่างไร
และรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าความรักนั้นอย่างไรต่างหาก
.
.
การใช้ชีวิตของชายหนุ่มที่ผ่านความตายมานั้น
มันก็ไม่ต่างจากนกฟินิกส์ที่เผาตัวเองให้ตายไปและเกิดใหม่จากขี้เถ้าถ่าน
สำหรับชายหนุ่มที่เคยโด่งดังและมีชื่อเสียงเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนี้เขาใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้วเพียงแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปมากเลยนั้นก็คือ
“นี่ตีนกากูขึ้นขนาดนี้เลยหรอวะ”
ลู่หาน
ชายหนุ่มที่เปิดบทสนทนาในเช้าวันหนึ่งของช่วงชีวิตในห้องน้ำอย่างหงุดหงิด
เขากำลังสำรวจตัวเองเพื่อที่จะออกไปทำงานของเขา
“ก็ใช่ไง มึงอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ ล่ะ จะบ่นหาพระแสงอาทิตย์ทำไมครับ
หื้ม?”
เสียงบ่นที่ดังผ่านประตูห้องน้ำออกมานั้น
ทำให้ลู่หานชักสีหน้าเล็กน้อยกับปฏิกิริยาตอบรับที่ค่อนข้างแย่ของผู้จัดการส่วนตัวของเขาอย่าง
คิม จงอิน
“ปลอบใจกูบ้างก็ได้นะครับ กูแค่อยากเรียกความมั่นใจกลับมาว่า
ที่กูได้เล่นละครอีกครั้งในรอบสองปีนี้ หน้ากูยังเต่งตึงไร้รอยตีนกาอยู่น่ะ”
“บทมึงก็ไม่ใช่พระเอกนี่ จะห่วงอะไรมากมาย
ตอนนี้มึงตกยุคไปแล้วล่ะ ทำใจซะเถอะ”
จงอินเดินเข้ามาให้ห้องน้ำแล้วตบบ่าให้กำลังลู่หานแบบง่ายๆ
ก่อนจะเดินออกไป
ลู่หานมองแผ่นหลังของผู้จัดการเขาผ่านกระจกที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม
เมื่อจงอินเดินเกาบั้นท้ายออกไปอย่างสบายอารมณ์
“สงสัยต้องหาผู้จัดการใหม่ที่รู้จักพูดปลอบใจเก่ง
ๆ แล้วล่ะ”
.
.
กริ๊งงงงง.......
เสียงกริ่ง ณ บ้านพักหลังหนึ่งดังขึ้น
หมอหนุ่มผู้ที่ยังคงสวมชุดกาวน์สีขาวสะอาดของโรงพยาบาลชื่อดังของกรุงโซลผงกหัวขึ้นมาอย่างตกใจ
คิม มินซอก คือชื่อที่ติดอยู่ตรงป้ายหน้าอกข้างซ้ายของเขา
หมอหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นเสียงกริ่งหน้าบ้านที่ติดตั้งไว้ตรงประตู ก่อนล้มตัวลงนอนต่อเพราะเขาเพิ่งจะได้นอนไปไม่กี่นาทีนี้เอง
กริ๊งงงงง.....
เสียงกริ่งยังคงดังไม่หยุด ช่วงเช้าอากาศสบาย
ๆ น่านอนแบบนี้ ยังจะมีคนมาหาอีกหรอ ชายหนุ่มพลิกตัวแล้วจัดการเอาหมอนอีกอันมาปิดหูของเขาเอาไว้
คิดว่าคงเป็นคนขายอาหารเช้าตามบ้านมากดกริ่งเรียกลูกค้าแน่ ๆ คิม
มินซอกคนนี้จะไม่ลุกไปไหนเด็ดขาด
กริ๊งงงงง.....
เสียงกริ่งยังดังต่อเนื่องไม่มีหยุด เห็นทีหมอหนุ่มคงต้องจัดการไล่คนพวกนี้ไปให้พ้นสักที
เพราะมันรบกวนการนอนของเขาเป็นอย่างมาก ถ้าวันนี้เขาไม่ได้เข้าเวรดึกและเพิ่งกลับมาแบบนี้
เช้าวันนี้เขาอาจจะเดินงัวเงียไปเปิดประตูให้แบบงง ๆ ก็ได้
โคร้ม!!!
เสียงล้มลงกับพื้นของหมอหนุ่มนั้นเกิดจากการที่เขารีบลุกจากเตียงทันที
แต่เพราะผ้าห่มผืนบางที่พันขาเขาไว้นั้นทำให้เขาเสียหลักล้มลงไป เสียงโอดครวญของเขานั้นดังขึ้นไม่ถึงห้าวินาที
ก่อนที่สองขาเล็กคู่นั้นจะเดินลงไปยังชั้นล่างของบ้านและเดินไปยังหน้าประตูรั้วบ้านที่เขาอยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับ...”
เสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วเหมือนกับดำดิ่งลงสู่ใต้ท้องทะเลนั้น
ทำให้หมอหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้มาเยือนที่สูงกว่าเขาไปประมาณยี่สิบเซนติเมตรได้
เขารู้สึกแสบตากับแสงแดดที่ส่องผ่านติ่งหูของชายผู้มาเยือน หมอหนุ่มมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจนเท่าไหร่
ก่อนจะได้ยินเสียงของเพื่อนร่วมบ้านดังขึ้นจากข้างหลัง
“มาแล้วหรอครับ คุณอู๋ อี้ฟาน
เชิญข้างในเลยครับ”
แล้วชายผู้มาเยือนคนนั้นก็เดินผ่านหน้าเขาไปและเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับปาร์ค
ชานยอล ผู้ร่วมอาศัยกับเขาในบ้านหลังนี้
“เดี๋ยวคุณเซ็นเอกสารตรงนี้ได้เลยครับ
เจ้าของบ้านเขาให้ผมมาจัดการเรื่องของคุณแทน” เสียงชานยอลกำลังอธิบายบางอย่างเกี่ยวกับเอกสารให้ผู้ชายที่ชื่ออู๋
อี้ฟานฟัง มินซอกเดินมานั่งข้าง ๆ ชานยอลอย่างเงียบ ๆ
“ใครอ่ะ” มินซอกกระซิบถามชานยอล
“อ๋อ... ผมลืมบอกคนนี้ชื่อคุณอู๋
อี้ฟาน เขาเพิ่งมาจากจีนจะย้ายมาอยู่กับเรา พอดีจงแดบอกผมไว้แล้วล่ะ
ว่าจะมีคนย้ายเข้ามาวันนี้ แต่ว่ากว่าพี่จะกลับก็เช้านี่ ผมเลยไม่ได้บอก” ชานยอลบอก
“อ๋อ...” มินซอกพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ก่อนจะมองดูอู๋ อี้ฟานที่กำลังเซ็นชื่อลงบนสัญญาเช่าบ้านที่ชานยอลยื่นให้
เมื่อเขาเซ็นเสร็จ ทั้งสองก็สบตากันอย่างบังเอิญ จนมินซอกต้องหลบตามองไปทางอื่น
“สวัสดีทุกคนอย่างเป็นทางการนะครับ
ผมอู๋ อี้ฟาน เป็นนักดนตรีอิสระครับ พอดีว่าผมเพิ่งมาจากจีนเพื่อมาหาแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงใหม่น่ะ
เออ... แต่ที่จริงก็มาพักผ่อนด้วยน่ะครับ” อี้ฟานบอก
เขาโค้งหัวทั้งสองคนเล็กน้อย
“สวัสดีครับ ผมปาร์ค ชานยอล
เป็นช่างซ่อมรถ ส่วนนี่...”
“คิม มินซอกครับ เป็นหมออายุกรรมทั่วไปครับ” มินซอกบอกด้วยใบหน้าเรียบเฉย
อี้ฟานเหมือนขยับปากเรียกชื่อของทั้งสองคนเบา ๆ แล้วยิ้มให้
“ถ้าอย่างนั้นเรามาฟังกฎการอยู่ร่วมกันสักหน่อยไหมครับ” ชานยอลพูดขึ้น
เพื่อไม่ให้ผู้มาใหม่ต้องอึดอัดกับการต้อนรับที่ดูแย่สักหน่อยจากมินซอก
“กฎอะไรหรอครับ” อี้ฟานถาม
“คนเราเมื่ออยู่ร่วมกันก็ต้องมีกฎเอาไว้
เพื่อที่เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติครับ” มินซอกบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“อ๋อ มีกฎว่าอย่างไรล่ะครับ” อี้ฟานบอกแล้วยิ้มให้
“เราจะมีเวรทำอาหารเช้ากันทุกวันครับ
คุณทำอาหารเป็นหรือเปล่าครับ” ชานยอลถามอย่างสงสัย
“อ๋อ ผมทำอาหารเป็นบ้างนิดหน่อยครับ” อี้ฟานถาม
ชานยอลหันไปมองมินซอกที่นั่งเชิดปากเล็กน้อยๆ อยู่ข้างๆ มินซอกยืดตัวขึ้นเล็กน้อย
“คุณทำอาหารเป็นกี่อย่าง” มินซอกถาม
“ก็อาหารง่าย ๆ สไตล์คนยุโปอเมริกาพวกคุณกินได้ใช่ไหมครับ”
อี้ฟานถามมินซอก มินซอกพยักหน้าเล็กน้อยให้
“พวกคุณจัดเวรมาให้ผมเลยแล้วกันนะครับ
ผมขอตัวขึ้นห้องก่อน พอดีว่า ผมเหนียวตัวนิดหน่อย ยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ” อี้ฟานบอก
ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างบนทันที
มินซอกมองหน้าชานยอล
สลับกับอี้ฟานที่เดินขึ้นไปข้างบน ก่อนจะมองหน้าชานยอลเพื่อหาคำตอบกับเรื่องนี้
“ฉันสงสัยชานยอล”
“ว่า?”
“เป็นคนจีน แต่พูดเกาหลีได้”
“เขาก็อาจจะเรียนมาก็ได้มั้ง”
“เป็นนักดนตรีอิสระ คงไม่ชอบเล่นดนตรีตอนกลางคืนใช่ไหม”
“ตอนกลางคืนใคร ๆ
เขาก็หลับกันทั้งนั้นแหละ”
“หมอนั่น... ไม่ใช่พวกผีดิบใช่ไหม”
“โอ๊ย!! พี่มินซอก เรียนหมอมา
ถามอะไรแต่ละอย่างเนี่ย เด็กอนุบาลยังตอบได้เลย ผมไปอาบน้ำล่ะ สายแล้วเนี่ย” ชานยอลมองหน้ามินซอกแบบ
อะไรของพี่เนี่ย แล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“เออะ! วันนี้พี่ไปทำงานกี่โมงอ่ะ”
“วันนี้ฉันว่าจะเข้าบ่าย ทำไมหรอ”
“ตอนกลางวันฝากซื้ออาหารให้เจ้าไคมันด้วยสิ
ผมขี้เกียจไปแถวโรงบาลพี่อ่ะ ฝากด้วยนะ”
พูดจบ
ชานยอลก็เดินเกาบั้นท้ายขึ้นไปข้างบนอีกคน มินซอกเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า
แล้วเงินที่จะให้ไปซื้ออาหารเจ้าไคล่ะ มันอยู่ที่ไหน
ตอนที่ชานยอลปิดประตูห้องลงแล้ว มินซอกนั่งมองหน้าสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนที่ยืนลิ้นห้อยอยู่ในบ้านของมัน
ชานยอลมันจะโหดไปไหนวะ ขนาดหมามันยังเลี้ยงพันธุ์หน้าเหมือนมันอีก
มินซอกตัดสินใจลุกขึ้นไปข้างบน
ก่อนจะล้มตัวลงบนเตียงนอนของตัวเองที่เพิ่งจะลุกมาเมื่อตอนสิบห้านาทีที่แล้ว
ความง่วงทำให้มินซอกจมดิ่งลงไปในโลกของตัวเองอย่างรวดเร็ว
วันนี้ขอนอนไปจนกว่าจะถึงบ่ายเลยแล้วกันนะ ไม่ไหวจริง ๆ
.
.
“เพราะมึงนั่นแหละ ที่บอกว่าจะแวะไปให้ยัยจอง
ซูจองแต่งหน้าลบตีนกาให้ เป็นไงล่ะมาสายจนเขายกกองเลย
กูบอกแล้วใช่ไหมว่ารถจากโซลมาแดกู
ถ้าไม่มาก่อนเจ็ดโมงก็ไม่มีทางที่จะมาถึงภายในสองชั่วโมงได้หรอก ไอ้ห่าน”
เสียงบ่นนี้ยังดังอยู่ข้าง ๆ
หูลู่หาน
นิสัยกัดเล็บตอนนี้ของเขาถูกดึงมาใช้อย่างไม่รู้ตัวตอนนี้ลู่หานกำลังเครียดที่ผู้กำกับบอกเลิกกองเพราะแสงแดดในช่วงเวลานี้มันไม่ได้แล้ว
เขาต้องการแสงแดดช่วงเช้ากว่านี้ แต่นี้มันปาเข้าไปจะสิบโมงแล้วที่ลู่หานมาถึงกองถ่ายที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง
ลู่หานโทรมาบอกผู้กำกับแล้วว่าเขาอาจจะไปสายหน่อย แต่เพราะว่าการนั่งรถเดินทางไกล
ๆ ที่น่าหลับใหลนั้น ทำให้ลู่หานก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งลงจากรถตู้มาแล้วเห็นแต่ความว่างเปล่าของสถานที่ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วพบว่า
ยี่สิบกว่าสายที่ไม่ได้รับ
“มึงเลิกบ่นสักทีเถอะ
กูเป็นนักแสดงในสังกัดมึงนะ ไม่ใช่ลูกทาส บ่นจนขี้หูกูอยู่ไม่สุขแล้วเนี่ย” ลู่หานหงุดหงิด
เขาโทรหาผู้กับกำตลอดตั้งแต่นั่งรถกลับ แต่เขาไม่ยอมรับสายสักที
ลู่หานเองก็กลัวเหมือนกันว่าเขาจะโดนปลดกลางอากาศไหม
“ช่างมันเถอะ
มึงคงมาได้ไกลแค่นี้ล่ะลู่หาน กูดันมึงไม่ขึ้นจริง ๆ วะ อายุใกล้เลขสามเข้าไปทุกที
ไม่ใช่สิ ปีหน้ามึงก็สามสิบแล้วป่ะวะ”
“หยุดพูดเรื่องอายุและการตกอับของกู ยังไงกูก็ไม่ยอมเป็นดาวค้างฟ้าที่แสงหมด
เพราะมันเฉิดฉายอยู่นานจนเกือบหมดอายุขัยหรอกวะ กูจะต้องดังกว่านี้
มึงก็ช่วยสร้างข่าวและกระพือข่าวให้กูด้วยสิวะ เป็นผู้จัดการห่าอะไรไม่ดันเด็กในสังกัดตัวเองเยอะ
ๆ วะ”
กลายเป็นว่าตอนนี้ลู่หานบ่นแทนส่วนจงอินเป็นคนฟัง
แต่ไม่นานรถก็แล่นเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง
จงอินพาลู่หานมาส่งที่บ้านก่อนที่เขาจะไปที่บริษัทต่อ
ลู่หานทิ้งตัวลงโซฟาหรูที่อยู่ในบ้านของเขา
ก่อนจะคิดหนักกับชีวิตในวงการเกาหลีของเขา
ลู่หานหนีออกจากบ้านเมื่อเขาเรียนจบมัธยมปลาย
พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยกับเขาอย่างมากที่จะส่งเขาไปเรียนที่เกาหลีตามความฝันของเขา
มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเป็นไอดอลเกาหลีที่เป็นคนต่างชาติ
ลู่หานตัดสินใจแอบเบิกเงินในบัญชีของเขาและมุ่งหน้าสู่แดนโสมโดยที่ไม่สนใจเสียงคัดค้านของพ่อแม่เขา
ตอนแรกลู่หานใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก ด้วยภาษาอังกฤษที่พูดได้นิดหน่อยและคนที่นี่ก็ไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกัน
ทำให้ลู่หานหดหู่ในตอนแรก แต่แล้วเขาก็เจอจงอิน
คนที่เขาคิดว่าในชีวิตนี้ยังไงก็จะไม่ทิ้งกันเด็ดขาด เพราะจงอินเป็นเด็กมีปัญหา
เขาหนีออกจากบ้านมาเหมือนลู่หาน และมานอนที่สวนสาธารณะเหมือนกัน
ถึงแม้จะใช้ภาษามือคุยกันในตอนแรก
แต่จงอินก็ใจดีพาลู่หานมาเรียนภาษาเกาหลีที่บ้านเพื่อนของเขาที่เปิดสอนให้คนต่างชาติจนลู่หานสามารถพูดและฟังภาษาเกาหลีได้ดีแถมยังพาเขาไปเข้าเรียนสอบชิงทุนต่างๆ
จนเรียนจบมหาลัยได้ พร้อมกับหางานทำเก็บเงินเพื่อเลี้ยงตัวเองและทำตามความฝันของเขาด้วยและเมื่อเวลาผ่านไป
ความฝันที่อยากจะมาเดินเฉิดฉายอยู่ในวงการเกาหลีของเขานั้นก็ยังไม่หมด เขาพยายามทุกวิถีทางในการเป็นดาราให้ได้
ทั้งแคชงานตามบริษัทต่างๆ แม้ว่าจะล้มลุกคุกคลานมาบ้างแต่ในที่สุดความฝันของเขาก็เป็นจริง
เขาเฉิดฉายอยู่ในวงการได้สองสามปี จนเมื่อสองปีที่แล้วที่เขาโดนทำร้ายร่างกายโดนกลุ่มแฟนคลับที่คลั่งไคล้เขาอย่างบ้าคลั่งที่เรียกว่าซาแซงแฟน
จนต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว เขานอนผวาอยู่คนเดียวที่บ้านเกือบปี
และเมื่อเขากลับมาในครั้งนี้ ผู้คนต่างก็ให้ความสนใจเขาน้อยลง
เพราะคลื่นลูกใหม่ที่ซัดเข้ามาเรื่อย ๆ จนงานของเขาแทบจะไม่มีในตอนนี้
เหตุผลก็คงจะเป็นอย่างที่เขาปฏิเสธมาตลอดว่า เขาเริ่มตกอับเพราะอายุที่มากขึ้นแล้วนั่นแหละ
Rrrr…..
เสียงโทรศัพท์ทำร้ายความคิดที่ฟุ้งซ่านของลู่หาน
เขาหยิบมันมาดู ก่อนจะเห็นว่ามันโชว์เบอร์ที่คุ้นเคย
“มีอะไรวะเหล่าเกา”
“(ได้ข่าวจากจงอินว่าเฟลเลยจะชวนมาเลื้อย
ว่าไงมาป่ะ)”
“ที่ไหนวะ”
“(ที่เดิม)”
“โอเค งั้นจัดไป”
กดวางสายเสร็จ
ลู่หานรีบวิ่งขึ้นไปแต่งตัวเพื่อออกไปสังสรรค์ในสถานที่บันเทิงใจกับเพื่อนสนิทชาวจีนคนเดียวของเขาในเกาหลี
เรื่องอื่นค่อยคิดต่อวันอื่นแล้วกัน วันนี้ลู่หานขอเอาเรื่องทุกข์ใจทั้งหลายไปทิ้งในน้ำเมาแล้วกัน
TBC…
ไรท์ทอล์ค :
เพิ่งจบเรื่องพี่ชายไป เราก็มาต่อกับเรื่องใหม่เลย เลิฟเกรย์ อย่าสับสนนะคะ
เรื่องของเรา เลิฟเกรย์คะ ไม่ใช่ เลิฟเกย์ รักสีเทาคะ ไม่ใช่รักน้องเทานะคะ
อย่าสับสน เนื้อเรื่องยังวุ่นวายอยู่
เอาเป็นว่าไรท์แต่งคู่ที่ไม่ใช่คู่หลักเลยอาจจะไม่ค่อยมีใครชอบเท่าไหร่
แต่ไรท์ชิปลู่หมินเลยแต่งเป็นคู่หลัก อินโทรมาซะยาวเลย เหมือนเดิม เม้นกันหน่อย
สนุกไหม อยากบอกต่อ ติดแท็ก #ficlovegray นะคะ
ทอล์ค2 : เนื่องจากว่าเรารีไรท์เรื่องนิดหน่อยเพื่อให้เรื่องมันมีเส้นโครงเรื่องมากกว่านี้นะคะ
เรากำลังปรับแก้เนื้อเรื่องบางส่วน แต่เนื้อเรื่องต่างๆ
ที่ได้ลงไปยังมีอยู่อาจจะมีปรับบ้างนะคะ ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
ไรท์ยุ่งมากช่วงนี้ พยายามปั่นแล้วจริงๆ แต่มันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ฝากแท็ก #ficlovegray ด้วยนะคะ
ความคิดเห็น