ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Memories Of A Morning Light Angel

    ลำดับตอนที่ #9 : Memory Piece 9

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 64


    Memory Piece 9

    "ฉันดีใจที่มีแกเป็นลูกชายลู แต่แกเคยรู้สึกแบบนั้นแม้สักนิดรึเปล่าที่มีฉันเป็นพ่อ ไม่คิดว่าแกจะออกนอกลู่นอกทางแห่งคุณธรรมได้ขนาดนี้ อย่างแกอย่าว่าแต่พระเจ้าเลย แค่นางฟ้าก็ยังเป็นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ"

    ชายชราในชุดคลุมขาวประดับด้วยอัญมณีหลากหลายชนิดจนแค่เห็นก็รู้ว่าต้องเป็นคนใหญ่คนโตพูดขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็นกับชายร่างสูงผมบลอนด์ทองซึ่งกุมไหล่ซ้ายที่ปราศจากแขน หน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดแม้เลือดจะไม่ไหลสักหยด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงมีรูปหน้าอันหล่อเหลาโดยเขาใช้มันจ้องชายชราด้วยความอวดดี

    "คุณธรรมงั้นเหรอ? การดับวิญญาณหญิงชาวมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องอะไรคือคุณธรรมสินะ งั้นผมว่าตัวเองคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่เลือกดำเนินอยู่บนคุณธรรมของพ่อ…"

    ชายหนุ่มยิ้มเยาะ ทว่าชายชรายังคงนิ่งสงบจนน่าสงสัยว่านั่นคือใบหน้าของผู้ที่สะบั้นแขนซ้ายของชายหนุ่มจริงหรือ

    "ผิดแล้ว ที่เธอต้องตายเป็นเพราะว่าเธอรู้มากไปต่างหาก และคนที่ผิดคือแกลูอิส แกไม่ได้รักเธอหรอก มันแค่อารมณ์หน้ามืดตามัวเท่านั้น แล้วการปกปิดเรื่องของเราให้เป็นเพียงสิ่งที่ให้มนุษย์จินตนาการถึงและเป็นแรงบันดาลใจในการทำความดี นี่ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นคุณธรรมเหมือนกัน"

    "หึ...เอะอะก็อ้างคุณธรรมๆ อยากจะอ้วก ผมอาจผิดที่เปิดเผยเรื่องของเรา แต่พ่อไม่มีวิธีอื่นแล้วรึไง? เป็นถึงพระเจ้าหมดปัญญาแค่นี้ใช่มั้ย!!!"

    เสียงชายหนุ่มสั่นเครือด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ปนเปกันโดยที่ไม่มีวันจะเข้ากันได้ และอาจเพราะเหตุนั้นจึงทำให้น้ำตาของเขาไหลออกมา

    "สิ่งที่ผมได้รับจากเธอเสมอคือความรู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่ออยู่ใกล้ ผมได้เรียนรู้ที่จะมองทุกอย่างให้เป็นบวกจากเธอ ผมมีเธอคอยเป็นห่วงเป็นใย ผมได้เธอเรียกในชื่อที่ผมอยากได้ยิน และวันนี้…วันนี้เธอมอบคำพูดที่ผมรอคอยมาแสนนานตั้งแต่แม่จากไป คำที่แสนล้ำค่า ผมแค่อยากจะตอบแทนเธอ…แค่นั้น...แต่พ่อกลับทำลายเธอ!!!"

    "งั้นแกก็แค่คนเห็นแก่ตัว ถึงฉันจะรู้อยู่แล้วแต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ แกต้องการให้คนอื่นหมุนรอบตัวแกไปซะหมดโดยไม่คิดถึงอะไรสักอย่าง ฉันยังขอยืนยันว่าสิ่งที่ฉันทำทุกอย่างมันคือคุณธรรม และเพื่อคุณธรรม"

    ชายหนุ่มมองผู้เป็นบิดาด้วยสายตาราวกับเหยี่ยวที่รอตะครุบงู เขาหัวเราะหึกับบางอย่างพร้อมสอดมือขวาที่ยอมละจากไหล่ซ้ายเข้าไปในรอยแหวกอากาศเพื่อดึงบางสิ่งออกมา

    "ว่าแล้วต้องคุยกันไม่รู้เรื่อง ถ้าพ่อกล้าพูดว่าตัวเองคือคุณธรรมนักล่ะก็..."

    สิ่งนั้นมีลักษณะเป็นคันร่มสีขาว จนถึงตอนนี้เขายังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้จับมันอีกครั้ง พลังมหาศาลกำลังไหลพล่านอย่างรวดเร็วดุจสัตว์กระหายเลือด พลังที่เหนือกว่าทุกสิ่งอย่างแล่นพล่านทั่วกายของชายหนุ่ม

    "...ผมจะฆ่าพ่อเพื่อคุณธรรมของผมบ้าง"

    พริบตาที่เขาหยิบร่มออกมาจากมิติ ด้านซ้ายที่ปราศจากแขนของเขากลับถูกเส้นแสงสว่างสีขาวเข้าม้วนพัน เพียงแค่ไม่ถึงสามวินาทีแขนซ้ายเรียวยาวมีสภาพเป็นปกติเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์พรรค์นั้นเกิดขึ้น

    แล้วก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคิดไว้ ใบหน้าตกใจสุดขีดของชายชราผู้เป็นพ่อทำให้เขาเบิกบานใจ

    "แก…ตกต่ำขนาดนี้เลยรึ? แกตกต่ำถึงกับยอมใช้ของๆ คนที่เคยฆ่าแม่ของแกเลยเรอะ!"

    ชายชราทิ้งความเยือกเย็นตะโกนใส่ลูกชาย เขาหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า แต่ไม่ใช่ความกลัวที่จะมีอันตรายกับตนเอง

    "ไม่ใช่! มันบอกผมว่าพ่อนั่นแหละที่ปล่อยให้แม่ตาย!!!"

    "แล้วแกเชื่อมันงั้นเรอะ! แกจะโง่ไปถึงไหนกันวะ!!!"

    "อ๋อใช่!!! ผมก็โง่มาตลอดแหละ ที่ตลอดมาตัวเองทำได้เพียงแค่รู้สึกว่าสวรรค์มันน่ารังเกียจ แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าที่รู้สึกนั้นไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง!!!"

    ชายหนุ่มตะโกนแข่งกับพ่อ ลมหนาวเริ่มพัดกระหน่ำตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครสนใจ

    "ร่มคันนี้ถ้าไม่ได้ฝึกวิชาของซาตานไประดับหนึ่ง ก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงพลังของมันได้..."

    ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพ่อหลังตัวเองพูดจบ

    "จริงสิ…มีเรื่องที่ผมอยากจะขอบคุณพ่ออยู่เหมือนกัน ขอบคุณครับที่ส่งผมไปนรกจนทำให้ได้เจอกับของสิ่งนี้"

    เขาพูดราวกับรักมัน แต่ชายชรานั้นรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน

    "ไม่ต้องห่วง พ่อจะตายและกลายเป็นคุณธรรมของผมอย่างแน่นอน"

    สายตามุ่งร้ายพุ่งสู่ชายชราพร้อมกับแสงสีขาวสว่างจ้าที่ถูกเกลาให้เป็นรูปดาบนับพันเล่ม มันแล่นไปอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน แต่เมื่อมันกำลังจะพรากชีวิตไปจากชายผู้เป็นพ่อ มันกลับสลายเป็นฝุ่นผง ชายชราตัดสินใจเด็ดขาดหลังจากนั้นทันที

    เป็นดั่งที่ชายหนุ่มคาด บิดาของเขาหลบการสังหารพ้น และขณะนี้ ร่างของชายชราไม่ได้อยู่ในทัศนวิสัยของชายหนุ่ม

    จิตสังหารอันหนักหน่วงกำลังก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขา ชายหนุ่มผู้รู้ตัวว่ากำลังมีดาบสายฟ้าฟาดมาจากจุดมวลของจิตสังหาร ได้เสกดาบแสงขึ้นมาทานไว้ได้อย่างทันควัน

    ทว่าชายชราไม่ยอมเพียงแค่นั้น เขาใช้มือข้างที่ว่างจัดการเสกสายฟ้าพร้อมเกลาให้อยู่ในรูปร่างของแส้ เพียงแต่ชายหนุ่มผู้คล่องแคล่วกว่าได้กระโดดกลับหลังและฟาดขาไปยังข้อมือข้างนั้น ส่งผลให้อาวุธมี่เคยสะบั้นแขนชายหนุ่มขาด หลุดหายไปในกอหญ้าที่รกทึบ

    "อั่ก!!"

    สบโอกาส ชายหนุ่มตวัดดาบกลับหลัง แต่ชายชรานั้นสามารถก้มหลบได้พ้น และสวนหมัดเปลือยเปล่าเข้าที่หน้าบุตรชายอย่างรุนแรง

    เมื่อร่างโปร่งปลิวไปไกลจนพ้นระยะ ชายชราเริ่มร่ายคาถาบทถัดไป แววตาอาฆาตที่บุตรชายส่งมา มิอาจทำให้เขายั้งมือ

    โลงศพรูปหกเหลี่ยมสีดำตกลงมาจากอากาศแห่งความว่างเปล่าและกระแทกกับพื้นดินเสียงดังสนั่น ฝาโลงค่อยๆ เลื่อนเปิดออกเองอย่างผิดวิสัย สิ่งที่รออยู่ในนั้น ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจ

    ด้านในโลงศพสว่างจ้าด้วยแสงสีขาว สิ่งมีชีวิตที่ราวกับสร้างจากอณูแสงนั่นบินทะยานออกมาเป็นสิ่งแรก จากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ แสงที่คล้ายกับถูกเกลาให้มีรูปร่างคล้ายแขนมนุษย์ก็ได้ยืดยาวออกมาตามสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่บินไปยังจุดหมาย นั่นคือศัตรูหนึ่งเดียวของผู้เสก

    เป้าหมายกระโดดขึ้นฟ้าอย่างคล่องแคล้วราวกับได้พักฟื้นอย่างเพียงพอ เขาหรี่ตาลงเพื่อตั้งสมาธิร่ายคาถา แต่ก็พบว่าตนไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นอย่างก่อนนี้เพื่อคลายคาถาบิดา

    โลงศพ สิ่งมีชีวิตเปล่งแสง หรือมือสว่างเจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนสลายตัวไปราวกับหมอกควัน ทว่ามันไม่ได้หายไป มันกลับรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อก่อรูปใหม่เป็นมนุษย์

    ชายหนุ่มเสกมีดเล่มเล็กจำนวน 3 เล่มเพื่อซัดไปยังกลุ่มก้อนแสงที่เริ่มมีเค้าร่างใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ เพียงแต่มีดทั้งหมดของชายหนุ่มกลับถูกสกัดด้วยแส้ของชายชรา ก่อนเขาจะสวนกลับด้วยสายฟ้าฟาดลำเล็ก

    เปรี้ยง!!!!

    ชายชรามิได้หวังว่าคาถาเมื่อครู่จะสามารถสังหารบุตรชายได้ เขาเพียงแต่ใช้เพื่อถ่วงเวลา

    “บัดซบ”

    เมื่อรู้ตัว ชายหนุ่มขบกรามแน่นอย่างโกรธแค้น คาถาแสงที่เมื่อรวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์ความสว่างก็ได้ถูกลดทอนลงไป จนขณะนี้ บุคคลที่สามก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์

    ทว่าบุคคลที่สามนั้นมิได้มีความแตกต่างในด้านบุคลิกภายนอกกับชายหนุ่มแต่อย่างใด ทั้งเกศา อาภรณ์ หรือใบหน้าอันหล่อเหลา

    "ที่ฉันใช้คาถานี้เพราะแกมันงี่เง่าลู ก่อนจะฆ่าฉันลองชนะตัวเองก่อนจะดีไหม เป็นรึเปล่า การเอาชนะตัวเองน่ะ ไอ้เด็กอมมือ"

    "ถ้ามาขวางไม่ว่าจะใครฉันก็จะฆ่ามันให้หมด กะอีแค่คาถาหลอกเด็กทำเป็นพูดดี"

    "ถ้ามันหลอกเด็กแกก็เอาชนะมันให้ดูหน่อยเป็นไร"

    สิ้นคำชายชรา ฝาแฝดกับชายหนุ่มที่เกิดมาจากคาถากระโดดเข้าใส่ศัตรูพร้อมดาบในมือทั้งสอง ชายหนุ่มกัดฟันและโจนเข้าใส่ด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม

    เสียงการประดาบเพียงครั้งเดียวดังเสียดโสตประสาท อาวุธโลหะเล่มยาวของผู้ที่เกิดจากคาถาแตกสลาย ร่างที่ขาดเป็นสองท่อนทำให้ผู้ชนะแค่นยิ้มอย่างสะใจ

    เพียงแต่...

    ชายชราชูมือขึ้นและตวัดลงล่าง สายฟ้าขาวลำมหึมาแล่นแหวกอากาศจากผืนฟ้าดำมืดลงสู่เบื้องล่างโดยมีเป้าหมายเป็นชายร่างสูงผู้เป็นบุตรเพียงพระองค์เดียว เขาร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว

    "พ่ออย่าทำผม!!!!!!!!!!"

    แต่สายไปเสียแล้ว คาถาอันทรงพลังไม่เคยฟังคำวอนของสิ่งใด

    เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง !!!!!!!!!!!!!!!!

    มันเกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็วสมชื่อสายฟ้า ร่างของชายหนุ่มหายไปแล้ว คันร่มที่น่าพรั่นพรึงนั่นก็ด้วย บริเวณที่เป็นจุดตกของฟ้าผ่าไม่มีแม้แต่ร่องรอย เพียงสิ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งใหม่ ณ เวลานี้คือน้ำอุ่นใสจากดวงตาสีขุ่นของชายชรา เขาเช็ดมันออกด้วยแขนเสื้อก่อนจะเสกผลึกใสที่ด้านในบรรจุวัตถุเรืองแสงสีชมพูสว่างเจิดจ้าออกมาพินิจ

    "ขอบใจ มิคาเอล ออกมาได้แล้วล่ะ พวกเธอปลอดภัยแล้ว"

    สิ้นคำ วงแหวนเวทย์สีทองปรากฏเหนือท้องฟ้าในยามค่ำคืน ผู้มาใหม่ทั้งสองสยายปีกบินออกมาจากวงแหวนนั่น ทันทีที่เขาและเธอปรากฏออกมาเต็มตัววงแหวนก็หายไป

    "ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ยพะย่ะค่ะ"

    ชายผู้มีผมสั้นสีเงินแสกกลางยาวระคอถามขึ้น ผมสีเงินของเขาที่ว่าเด่นแล้วก็ยังไม่เท่าดวงตาสีฟ้าที่โตจนแทบไม่เห็นตาขาว ชายชราส่ายหน้าเงียบๆ กับคำถามนั่น

    "แล้วลูอิสล่ะเพคะ?"

    หญิงสาวร่างเล็กผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนหยักศกแต่งกายด้วยอาภรณ์คล้ายแฟชั่นบนโลกมนุษย์ถามชายชรา แต่เธอได้รับความเงียบเป็นคำตอบ ชายผมเงินนามมิคาเอลจึงพูดในสิ่งที่กำลังคิด

    "เธอถามเพราะไม่รู้จริงๆ เหรอนาตาลี?"

    เสียงเข้มเปล่งเชิงต่อว่า น้ำตาหญิงสาวไหลอาบสองแก้ม

    "ก็มันรับไม่ได้น่ะมิคาเอล ฉันรับไม่ได้จริงๆ ฮือๆ"

    "ที่ว่ารับไม่ได้น่ะหมายถึงเรื่องอะไร? ถ้าการกระทำของพวกเราไม่ใช่เพื่อคุณธรรมแล้วก็คงหวังให้เผ่าพันธุ์อื่นมีคุณธรรมอยู่ในหัวใจไม่ได้หรอก แล้วถ้าคิดจะเล่นกับเวลาอย่างพวกลูซิเฟอร์ ปีกของเธอก็จะถูกสาป หวังว่าเธอคงเข้าใจที่ฉันพูดนะ"

    นาตาลียกมือปิดปาก เธอพยายามกลั้นน้ำตาและสะอื้นจนตัวกระตุกคล้ายคนเป็นโรค

    "กลับกันเถอะ"

    ชายชราสยายปีกซึ่งมีอยู่ถึงสามคู่บนหลัง ผมสีเงินยาวของเขาพลิ้วลู่กับลมเมื่อโจนขึ้นฟ้า ชายชราทอดสายตาลงเบื้องล่างที่ผู้คนมากมายกำลังเฉลิมฉลองงานวันคริสมาสอย่างสนุกสนาน ดอกไม้ไฟถูกจุดเป็นรูปต่างๆ สวยงามแต่งแต้มให้ฟ้ายามค่ำคืนมีสีสันชีวิตชีวา

    พวกเขาสนุกสนานจนไม่มีใครคิดสงสัยเลยว่า ต่อจากนี้ไปหมู่บ้านของพวกเขาจะกลายเป็นเพียงสถานที่ที่เคยมีอยู่จริงในแผนที่ และชาวบ้านทุกคนจะถูกทำให้กลายเป็นนางฟ้า

    "มิคาเอล ที่เหลือฝากจัดการต่อทีนะ"

    องครักษ์หนุ่มได้ยินจึงน้อมรับคำสั่ง ไม่กี่วินาทีทั้งสามคนได้อันตรธานหายไปจากโลกนี้ราวกับน้ำหยดเล็กที่ระเหยเป็นไอ

    .

    .

    .

    "นี่คุณครับ ตื่นซะที เป็นนางฟ้าต้องนอนหลับด้วยเหรอ?"

    ใครกันนะโหวกเหวกโวยวายอยู่ได้น่ารำคาญจัง ถึงจะเป็นนางฟ้าแต่ขอฉันอยู่ในความฝันต่ออีกหน่อยเหอะ เพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าความฝันมันน่าหลงใหลเพียงใด ฉันรับโลกแห่งความจริงไม่ได้ ตอนนี้มันเจ็บปวดเกินไป เกินกว่าจะลืมตาตื่นขึ้น ไว้ฉันเข้มแข็งพอที่จะลืมตาได้แล้วจะขอบคุณนายให้พอใจเลย แต่ตอนนี้ขอล่ะ

    .

    …..

    "หวัดดีครับพ่อ ไม่ได้เจอกันนานเหมือนกันนะ"

    ผมเริ่มต้นด้วยคำทักทายที่พยายามฝืนทำให้เป็นธรรมชาติที่สุด แต่เพื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน

    "พ่อมีข่าวดีจะบอกแก"

    มีข่าวดีเหมือนกันเนอะเรา อะไรจะโชคดีปานนั้น นี่พูดจากใจจริงเลยนะเนี่ย ไม่ได้ประชดแม้แต่น้อย

    ว่าแต่มีใครเชื่อบ้างล่ะ?

    "อะไรของแกวะ ที่ฉันจะบอกก็คืออาแกฝึกวิชานั้นสำเร็จแล้ว"

    พ่อพูดด้วยรอยยิ้มก่อนหันกลับไปมองหน้าต่างบานโตที่มองเห็นวิวสุดลูกหูลูกตาแสนงดงามของสวรรค์ได้แทบทั้งหมด ดอกไม้ใบหญ้าเอย เหล่านางฟ้าชายหญิงบินว่อนหยอกล้อกันภายใต้แสงสีทองที่คล้ายแสงอาทิตย์ที่จริงๆ ใช่รึเปล่าก็ไม่รู้เอย…แล้วจะนอกเรื่องอีกนานมั้ย

    ความรู้สึกตอนได้ยินก็...อืม...ยินดีด้วยมั้ง ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แค่คำปกติอย่างยินดีด้วยก็น่าจะพอแล้ว

    "อีกอย่างนะ เจ้านั่นก็ยอมตอบรับสารของเราที่ขอร้องให้เปลี่ยนวิธีการจูงวิญญาณแล้ว การเจรจาจะมีขึ้นตอนประชุมสามภพครั้งหน้า"

    พูดมาถึงตรงนี้มันก็เป็นเรื่องน่ายินดีจริงแฮะ จากนี้ไปผู้นำทั้งสองก็คงทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ตอนเจอกันก็คงไม่ต้องทนเห็นสีหน้าเหม็นเบื่อของอาที่พูดตามตรงว่ามันทำให้เสียบรรยากาศไปซะทุกครั้ง น่ายินดีมากๆ

    "ทั้งหมดก็เป็นเพราะแกนั่นแหละ ขอบใจมากนะ"

    ผมเบือนหน้าหนีที่เห็นพ่อยิ้มซะเต็มที่จนรอยตีนกาโผล่ ถ้าทำให้ดีใจซะขนาดนั้นก็น่าจะมีรางวัลให้ลูกชายบ้างน้า

    "แกจะเอาอะไรล่ะ?"

    ผมล่ะงงนางฟ้าที่เป็นฆาตกรฆ่าพ่อกับแม่เมย์ 2 คนนั้นจริงๆ เอาอะไรมาคิดว่าพ่อจะไม่รู้เรื่องที่มันทำ เพราะขนาดผมคิดเรื่องที่จะเอารางวัลอยู่ในใจก็ยังอุตส่าห์รู้อีก ที่จริงไม่เห็นต้องตกใจอะไรเลย พระเจ้ารับรู้ได้ทุกอย่างมันก็เรื่องธรรมดา

    "แค่คิดเล่นๆ น่ะพ่อ ผมเคยต้องขออะไรพ่อด้วยรึไง"

    เจ้าสวรรค์ยิ้มยิงฟันส่งมาเหมือนเด็ก เฮ้อ...รอบปากก็มีหนวดยาวเฟื้อยแล้วนะ ส่วนสีก็จางลงทุกวัน

    "ก็ฉันดีใจนี่ แกจะว่าอะไรนักหนา"

    เลิกดีกว่า พูดต่อก็เหมือนเถียง ขี้เกียจร่ำรี้ร่ำไรด้วย

    "ยังไงก็ขอบใจนะลู"

    ผมโค้งตัวให้ผู้เป็นพ่อนิดหนึ่งและกำลังจะเดินออกจากห้อง ขณะที่รอไอ้ประตูบานเท่าบ้านเปิดตัวเองก็ได้ยินเสียงแหบอันทรงพลังพูดขึ้นไล่หลัง

    "แกไม่ต้องไปไหนแล้วนะ อยู่ที่สวรรค์นี่แหละ"

    ฟังจากอารมณ์ที่เจือในน้ำเสียงก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าหมายความยังไง อารมณ์ผมเลยเริ่มกรุ่นๆ

    "งั้นผมขอแค่เรื่องนี้ละกัน"

    ผมพูดโดยแค่หันคอกลับไป

    "เรื่องนี้เท่านั้นที่ฉันให้แกไม่ได้"

    เลิกความคิดที่จะเดินออกจากห้องและหันกลับมา ผมมีความคิดใหม่มาแทนที่ว่าต้องคุยกันให้เคลียร์

    "เรื่องที่แกกำลังทำอยู่และที่กำลังจะทำ มันจะทำให้มนุษย์รับรู้ได้ถึงพวกเรา"

    ผมเงียบ

    "ลู ความฝันน่ะมีอยู่แค่ในมนุษย์ที่ต้องนอนหลับเท่านั้นแหละ จะไปไขว้คว้าหาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพื่ออะไร"

    "จะไขว่คว้าหรือไม่…แต่เรื่องอะไรเหรอครับที่ว่าเป็นไปไม่ได้น่ะ?"

    ว่าจะไม่พูดแล้วนะ

    "ขนาดราชินีที่ว่ากันว่าควรจะอยู่คู่กับราชาแห่งสวรรค์ไปตลอดกาลก็ยัง..."

    "ลูอิส!!!"

    พ่อตัดบทผมด้วยเสียงดังลั่น ดีที่ประตูปิดตัวลงแล้ว ไม่งั้นเสียงได้ดังไปถึงชั้นล่างแน่

    "แกรักเธอใช่มั้ย?"

    ถ้ายังไงก็ปิดไม่มิดอยู่แล้วก็พูดตรงๆ ไปเลยละกัน

    "ใช่ครับ ความรู้สึกเดียวกันกับที่พ่อมีให้แม่เลยล่ะ"

    "ถ้าอย่างนั้นแกจะทำยังไง แกจะบอกเธอว่าผมเป็นนางฟ้างั้นรึ ความรักของแกพูดตามตรงว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าแกไม่เรื่องมากฉันจะช่วยรับเธอขึ้นสวรรค์เอามั้ยล่ะ"

    อารมณ์ผมพุ่งสูงขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำนั้น ความรู้สึกละเอียดอ่อนเช่นความรักของผม คนอย่างพ่อกลับเห็นว่าเป็นแค่เรื่องน่ารำคาญ ผมล่ะเกลียดคนที่ชอบดูถูกความรู้สึกคนอื่นเป็นที่สุด

    "ไม่ต้อง เอาเป็นว่าผมไม่ทำให้พ่อเดือดร้อนหรอก โอเคป่ะ"

    ผมไม่อยากจะมองหน้าพ่อตอนนี้จึงหันกลับไปเพื่อเตรียมออกจากห้องอีกครั้ง

    "ถ้าแกทำอะไรไม่เข้าท่าฉันจะลงไปจัดการด้วยตัวเอง จำไว้ให้ดี"

    ผมหยุดเพื่อรอประตูเปิดโดยไม่คิดจะพูดอะไรต่อ

    "แกก็รู้ว่าพ่อทำได้"

    อยากจะทำอะไรก็เชิญเหอะ หลังจากคิดแบบนั้นผมก็เดินออกจากห้องทันทีเมื่อประตูเปิด โดยทิ้งชายชราในชุดคลุมสีน้ำเงินไว้หลังประตูที่กำลังจะปิดตัวลงอย่างช้าๆ

    เอาละสิชีวิตผม คราวนี้จะเอาไงต่อดี ข่าวดีมีอย่างเดียวคือรู้ว่าสังหรณ์ตัวเองทำหน้าที่ได้ดีเกินคาดอีกครั้ง นอกนั้นข่าวร้ายหมด ที่จริงผมตั้งใจจะบอกรักเมย์ในคืนวันคริสมาสแต่ก็มาเป็นซะแบบนี้

    สำหรับผมคำว่ารักนั้นยิ่งใหญ่ เป็นสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะแยกจากกันได้ ตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าทำไมเมย์ถึงต้องอยู่คนเดียวก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะขอเป็นคนที่ดูแลเธอตลอดไป ผมจะเฉยเมยต่อสวรรค์ ไม่สนใจมัน และมีความสุขอยู่กับคนที่ผมรักในฐานะของมนุษย์ธรรมดา แต่สิ่งที่พ่อพูดวันนี้มันเกินกว่าที่คาด ถ้าหากผมทำอะไรแบบนั้นเป้าหมายที่เขาจะจัดการไม่ใช่ผมแต่เป็นหมู่บ้าน พ่อเป็นคนพูดจริงทำจริงไม่ออมชอมกับสิ่งใด ซึ่งบางครั้งหรือทุกครั้งมันก็ดี ไม่งั้นจินตนาการที่มนุษย์มีต่อพวกเราก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่คลุมเครือไปตั้งนานแล้ว

    ผมรู้เสมอว่าจะทำไงต่อ แต่พอมาฟังเรื่องนี้ก็ต้องหยุดคิด อย่างที่บอกไปแล้ว ทางออกที่เมย์จะจำผมไม่ได้ผมไม่มีวันเลือก ผมคงรับไม่ได้ที่ทุกคนในหมู่บ้านนี้จะต้องถูกกำจัดความทรงจำหรืออะไรที่ร้ายกว่านั้นเพราะผม

    เจออย่างนี้เข้าอย่าว่าแต่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดเลย แค่บอกรักก็ยังทำไม่ได้ ถ้าเกิดดันทุรังบอกไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังมันไม่ต่างอะไรกับคำว่า'ฉันเกลียดเธอ' เพราะสุดท้ายของสุดท้ายจริงๆ มันก็จะเหลือเป็นเพียงตะกอนแห่งความเจ็บปวดตกค้างอยู่ในใจเราทั้งคู่แทนที่จะเป็นความทรงจำที่ยิ้มได้เมื่อนึกถึง

    ........

    ตอนนี้ผมคิดนะว่ามีใครรึเปล่าที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้ามีจริงหมอนั่นคงมีอคติกับผมน่าดู เพราะไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็แทบจะมาลงที่ผมไปซะหมด ถ้าให้ผมเป็นตัวเอกที่จะคอยดำเนินเรื่องราวไปจนจบล่ะก็มันจะต้องมีวิธีที่จะคลี่คลายเรื่องที่กำลังแบกอยู่นี่และจบอย่างสวยงามสิ แต่ผมยังหาอะไรพรรค์นั้นไม่เจอ มันสมองที่ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะก็เหมือนจะลองดัดนิสัยผมที่คอยพึ่งแต่มัน หรือราวกับมันไม่สนว่าผมจะเป็นยังไงจึงทำให้ตอนนี้มันขอตื้อไปก่อน อย่ามาแกล้งกันเลย ถ้าไม่อยากบอกกันตรงๆ ขอแค่คำใบ้ก็ยังดี

    แต่คร่ำครวญไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา…

    จริงสิ ลองขอพรในวันคริสมาสอีฟดูดีมั้ยนะ ถึงจะเป็นการขอกับพระเจ้าที่ในมุมของมนุษย์เป็นเพียงแค่ความเชื่อที่เล่าต่อกันมา แต่ของแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้

    อืม...ถ้าขอจะขออะไรดีน้า...คิดออกแล้ว

    ขอให้ผมได้อยู่กับเมย์ตลอดไปด้วยเถอะครับ พระผู้เป็นเจ้า

    ………...

    ฮึ ฮึ สงสัยจะไม่ทัน พลาดไปหน่อยเดียวเอง เพราะสิ่งที่ได้ยินอยู่ตอนนี้เหลือเป็นแค่เพียงเสียงกังวานของระฆังที่ถูกตีไปแล้วกับเสียงของสายลมเย็นเฉียบ หิมะน้อยใหญ่ตกลงมาเอื่อยๆ ใส่พื้นสะพานไม้จนเป็นจุดสีขาว

    ใช่เลย ขณะนี้ผมได้มาอยู่ที่โลกมนุษย์อีกครั้ง

    อากาศที่นี่หนาวมากจริงๆ ผมจึงเอาผ้าพันคอและถุงมือที่เมย์ทำให้ออกมาสวม กลิ่นหอมยังคงเหมือนเดิม ความรู้สึกอบอุ่นเมื่อสวมมันก็เหมือนเดิม จะว่าไปทุกๆ อย่างมันก็เป็นอย่างเดิมของมัน คงมีแต่ผมนั่นแหละที่เปลี่ยนไป แต่มันคืออะไรที่เปลี่ยนไปก็ไม่รู้ มันเป็นแค่เพียงความรู้สึกวูบหนึ่งเท่านั้นที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไป

    "เฮ้อ…"

    ถ้าถอนใจดังๆ แล้วมันพาเรื่องน่าอึดอัดที่กำลังเจออยู่นี้ออกไปจากอกได้ผมก็ยินดีสละเวลาหนึ่งวันเพื่อถอนหายใจ

    "เฮ้อ…"

    อยากจะปรึกษาใครสักคนว่าพอมีทางมั้ยนะ แมวน้อยนามคิเรนะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีแน่ๆ นอกจากจะไม่ช่วยลดเรื่องกังวลใจให้ผมได้แล้ว เผลอๆ ยังจะเพิ่มเรื่องกังวลใจให้ซะเปล่าๆ

    "เฮ้อ…"

    เมย์จะอธิษฐานว่าอะไรในวันที่เธอก็เจอเรื่องที่อึดอัดใจไม่น้อยไปกว่าผม เธอจะมีวิธีที่ทำให้จิตใจเบิกบานได้รึเปล่า? ถ้าพรุ่งนี้เจอกันแล้วเธอมีท่าทีปกติเห็นทีผมคงจะต้องถามเคล็ดลับบ้างซะแล้ว แต่ก็ต้องถามให้เนียนๆ ด้วย ไม่งั้นก็คงเป็นผมซะเองที่ทำให้เมย์ต้องเป็นห่วง ผู้หญิงที่ผมรักทุกคนมักจะมีนิสัยประมาณนี้แหละ

    (ฮิ ฮิ)

    นี่คือเสียงหัวเราะของสัตว์สี่เท้าที่ทั้งตัวมีขนอยู่สามสี เพียงแต่ตอนนี้มันมีเสื้อไหมพรมสีพีชสวมอยู่ ร่างเล็กๆ กระโดดขึ้นมาบนตักผมซึ่งตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมในบ้านเมย์ที่นั่งเมื่อวานตอนฟังพี่น้องตกลงเรื่องการย้ายที่อยู่ ไฟในเตาผิงเองก็ลุกโชนไม่แพ้กัน

    "หัวเราะอะไรน่ะคิเรนะ?"

    ผมพูดเบาๆ อย่างระวังเพื่อไม่ให้เมย์ซึ่งกำลังแต่งตัวอยู่ในห้องได้ยิน

    (ก็...ก็ คิเรนะมีความสุขนี่เจ้าคะ)

    มันใช้หัวถูไถตัวผมโดยไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องค้อนของเจ้าลูอิสเลยแม้แต่น้อย แต่แหม...ถึงแฟนนายจะน่ารักก็เหอะ ฉันก็รู้ว่าสายพันธุ์มันต่างกันเกินไปนา อย่าคิดมากกับเรื่องไร้สาระน่า ว่าแต่ยังไม่รู้เลยว่าคิเรนะมีความสุขเรื่องอะไร

    (คิเรนะอ๊ายยย อายนะเจ้าคะ อย่าพูดถึงเลย)

    มันเหลียวหน้าไปที่ลูอิสแวบหนึ่ง แต่เจ้าหมาขาวกลับหันหนีแฟนของมัน

    (แต่ที่ลุคมาเร็วก็ส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ ประมาณ 30%ได้)

    โฮะ…อยากรู้จังว่าอะไรคือ 70 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ มันต้องเกิดขึ้นเมื่อคืนระหว่างที่ผมกลับไปสวรรค์แน่นอน ถ้าให้เดาอ่ะนะ

    (ยัยนี่มันก็เริงร่าได้ทุกวันแหละ ว่าแต่นายเหอะ ทำหน้าอย่างกับแบกโลกไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว เกิดอะไรขึ้นที่สวรรค์รึไง?)

    ก็ว่าซ่อนสีหน้าไว้อย่างเนียนแล้วนะ

    (ลุคบอกพวกเราได้นะเจ้าคะ คิเรนะไม่อยากเห็นใครมีความทุกข์เลย)

    (ไม่มีอะไรหรอกคิเรนะ ถ้าจะมีมันก็เป็นแค่เรื่องน่าหงุดหงิดน่ะ)

    พูดจบ เจ้าลูอิสทำหน้าทำตาเหมือนตอนที่ผมบอกลุงเกร์ยว่าตัวเองมาจากประเทศที่มีชื่อว่าอังกฤษ ที่จริงผมไม่ได้โกหกพวกมันนา แค่พูดไม่หมดเอง

    (เอาเถอะ ไม่เซ้าซี้หรอก)

    (ขอบใจพวกนายจริงๆ ถ้าที่นี่ไม่มีพวกนายฉันคงไม่รู้ว่าจะ...ช่างเถอะ ขอบใจนะลูอิส ขอบใจคิเรนะ)

    สัตว์เลี้ยงของผู้หญิงที่ผมได้แต่แอบรักทั้งสองตัวมองหน้ากัน แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรออกมาประตูไม้เงาวาวก็ถูกผลักเปิดออก

    "ไปกันเถอะจ้ะ เมย์ว่างานน่าจะเริ่มกันแล้ว"

    วันนี้ก็เช่นเคย ไม่ว่ายังไงเมย์คืออาหารตาสำหรับผม เธอน่ารักได้ทุกวัน วันนี้หรือวันต่อๆ ไปก็คงจะเหมือนเดิม ผมคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีที่สุดที่ได้รักเธอ ถึงแม้จะบอกออกไปไม่ได้แล้วก็ตาม

    จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคิเรนะออกนอกบริเวณบ้าน พอลองถามแฟนมันดูมันก็ตอบโดยไม่หันมามอง

    (ส่วนใหญ่แมวจะขี้เกียจเวลาเจออากาศหนาวๆ น่ะ มันจะขดตัวนอนอยู่ในบ้านทั้งวัน แต่วันนี้วันสำคัญทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงสัตว์จะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเทศกาลของมนุษย์ แต่ของอร่อยๆ จะรวมกันอยู่ที่นั่นก็วันนี้นี่แหละ)

    มันแจกแจงขณะที่เดินไปโดยที่มีคิเรนะอยู่บนหลัง ส่วนเมย์ผมเป็นคนเดินจูงมือเธอมาเอง แม้มือของเราจะอยู่ใต้ไหมพรมหนาแต่ผมว่าต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านระหว่างกันเพราะผมก็รู้สึกแบบนั้น มันอบอุ่นมากจนหัวใจผมชักจะเริ่มทนไม่ไหวกับการที่ต้องเก็บคำว่ารักไว้ภายในแล้ว

    "ลุคเป็นอะไรหรือเปล่า? มือสั่นเชียว"

    เอ๊ะ?

    "ลุคไม่สบายหรือเปล่า?"

    ความอ่อนโยนที่แสดงออกทางเสียงใสทำให้ผมต้องไม่ลืมสิ่งที่พ่อเตือน ต้องอดทน ต่อให้ทรมานขนาดไหนก็ต้องทนเท่านั้น

    "เปล่าหรอกเมย์ อ๊ะ ใกล้ถึงแล้ว"

    สิ่งที่ทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นงั้นคือผู้คนมากมายที่ทยอยเดินไปในทิศทางเดียวกัน ทุกคนแย้มยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อก่อนผมก็สงสัยว่าทำไมกับเรื่องนั้นแต่ตอนนี้รู้แล้ว ทำให้มันเป็นภาพที่น่าชื่นใจจริงๆ

    "อ้าว หนูมีมี่มาแล้ว มานี่ มานั่งข้างๆ ป้านี่มา"

    เมื่อไปถึงป้าคนนี้ที่ไม่เคยเห็นหน้าเรียกพวกผมให้ไปยังที่ว่างข้างตัวแก มันพอสำหรับเราสองคน ส่วนจานสองใบที่วางอยู่ตรงพื้นข้างล่างถูกเตรียมไว้สำหรับคู่รักต่างสายพันธุ์หลังจากนั้น

    ณ ตอนนี้ผมจะอธิบายบรรยากาศคร่าวๆ ของสถานที่แห่งนี้ให้ฟัง ที่ต้องบอกว่าแบบคร่าวๆ เพราะถ้าให้บอกทั้งหมดก็คงยาวไม่จบในตอนนี้แน่นอน

    มันต่างกับเมื่อวานเอามากๆ วันนี้หิมะไม่ตกทำให้พวกชาวบ้านถอดหลังคาออกได้ โต๊ะที่ตั้งยาวสุดปลายสนามทั้งสองแถวนั้นแทบไม่เหลือที่ว่างให้แม้แต่จะเท้าแขนเพราะเต็มแน่นไปด้วยจานและถาดใส่อาหารนานาชนิดซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรบ้าง แต่ทุกอย่างก็มีหน้าตาที่ดีกับกลิ่นที่หอม เห็นแบบนี้ถึงจะเป็นนางฟ้าที่ไม่จำเป็นต้องกินอะไรก็คงอดใจไม่ไหวกับภาพตรงหน้า

    สังเกตเห็นว่านอกจากโต๊ะยาวเฟื้อยนี่แล้วก็ยังมีโต๊ะกลมๆ เล็กๆ ตั้งอยู่กระจัดกระจายอย่างเป็นระเบียบอยู่รอบนอกอีก แต่มันวางอาหารอีกแบบที่ต่างจากตรงนี้ซึ่งเป็นอะไรเดี๋ยวลองไปดูก็รู้ แต่บอกได้คำเดียวว่ามีสีสันจัดจ้านดีซะจริง

    ถัดจากเรื่องอาหารก็คือบรรยากาศ อย่างที่บอกไว้แล้วว่าที่จริงผมเห็นการตกแต่งประปรายตามบ้านเรือนตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว พวกเขาจะประดับต้นสนด้วยเส้นสีสันสดใสกับของกระจุกกระจิก ที่นี่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่ที่ลานกว้างนี่ขนาดของต้นสนใหญ่โตมโหฬารมาก ที่ใต้ต้นมีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดน้อยใหญ่วางเต็มและสว่างไสวสวยงามด้วยหลอดไฟดวงเล็กๆ ที่ระยิบระยับ ที่กว้างๆ แบบนี้ถูกแปลงโฉมได้ในเวลาอันรวดเร็วมันน่าทึ่งไม่น้อยเลย

    ที่แปลกตาสุดคือชาวบ้าน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็จะสวมหมวกทรงสามเหลี่ยมสีสันลวดลายสวยงามอยู่บนหัว มันมีความหมายลึกซึ้งอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ทำให้ดูเป็นความพิเศษของเทศกาลดี โดยรวมแล้วทุกอย่างโอเคสำหรับผม

    ไม่สิ มันถึงกับดีมากเลยล่ะ เพราะแน่ใจว่าตัวเองจะลืมความอัดอั้นตันใจและสามารถมีความสุขได้ ถึงจะแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่มีช่วงเวลาแบบนั้นบ้างก็ดีกว่าไม่มีเลย คนเรื่องมากอย่างผมแค่นี้ก็ดีถมไป

    คิดแล้วผมก็เอื้อมมือออกไปเพื่อจะคว้าชิ้นเนื้ออะไรสักอย่างจากกองภูเขาเนื้อนั่น

    "อ๊ะๆ พ่อหนุ่ม อย่าใจร้อน เรายังไม่ได้ขอบคุณพระเจ้ากันเลยนะจ๊ะ"

    ป้าคนที่เรียกพวกเราให้นั่งห้ามผมไว้

    "นั่นไงเขามาแล้ว"

    ป้าชี้ไปบนเวทีซึ่งมีชายคนหนึ่งก้าวขึ้นมาพร้อมกับหญิงสวมชุดและคลุมหัวเป็นสีดำที่รู้ภายหลังว่าเป็นนายอำเภอของหมู่บ้านนี้กับแม่ชี เมื่อพวกเขาขึ้นมายืนประจำที่แล้วนายอำเภอจึงกล่าวทักทายใส่วัตถุที่มีขาตั้งสูงถึงระดับอก ซึ่งพอเขาพูดใส่ของสิ่งนั้นเสียงก็ถูกขยายจนระดับที่เรียกได้ว่าหนวกหู แต่ผมรู้สึกสนอกสนใจเจ้าอุปกรณ์นั่นมากกว่าเรื่องหยิบย่อยพรรค์นั้น เพราะมันทำให้ทึ่งในความสามารถของมนุษย์ยิ่งขึ้นไปอีก

    ขอข้ามเรื่องน่าสงสารของมนุษย์อย่างคำที่พวกแม่ชีใช้กล่าวเพื่อขอบคุณพระเจ้าเลยละกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นคำที่สวยหรูขนาดไหนหรือดีมากเพียงใดมันก็ไม่เคยส่งถึงสวรรค์หรอก ผมถึงได้เรียกสิ่งที่พวกเขาทำว่าเป็นความน่าสงสารไง

    "จริงสิ แล้วกิลเบิร์ตล่ะเมย์?"

    หลังนึกขึ้นได้ผมจึงถาม ซึ่งก็หลังจากที่ได้กลืนไก่ทอดลงไปแล้วเช่นกัน

    "พี่เขาไม่ค่อยชอบสังคมแบบนี้น่ะจ้ะ ช่างเขาเถอะ"

    ถือเป็นเรื่องน่าตกใจที่บุคลิกอย่างหมอนั่นไม่ชอบที่คนเยอะๆ แต่ผมก็ช่างเขาตามที่เมย์บอก

    (ลุคหยิบปลาตรงนั้นให้คิเรนะหน่อยสิเจ้าคะ)

    ต้องขอโทษแมวน้อยอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่รู้จัก'ปลา'จริงๆ

    (ก็จานข้างเชิงเทียนนั่นแหละ ที่เป็นชิ้นสีส้มๆ อ่ะ)

    ผมหยิบจานมาตามที่ลูอิสบอก คิเรนะขอบคุณผมก่อนที่จะไปกินปลาที่วางอยู่บนจานที่พื้น ที่จริงผมอยากจะอาสาตักอาหารให้เมย์เหมือนกันเพราะรู้ว่าเธอมองไม่เห็น แต่ถึงกระนั้นก็มีคนมากมายทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว

    "พอแล้วค่ะป้า หนูว่าจานหนูต้องเต็มแล้วแน่ๆ เลย"

    เมย์หัวเราะแห้งๆ ส่งคืนแทนคำขอบคุณ

    ........

    มีบางอย่าง…

    บางอย่าง ที่ผมสัมผัสได้ในรอยยิ้มของเธอตอนนี้ มันเหมือนคนไม่สบายที่ฝืนยิ้มทั้งที่เก็บความเจ็บปวดไว้อยู่ภายใน ผมเดาว่าเรื่องที่เมย์ต้องไปจากที่นี่ยังเป็นเรื่องที่รู้กันแค่ 3 คนคือ ผม เธอ และกิล

    อันที่จริงการเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ พอถึงเวลาก็จากไปโดยที่ไม่คิดจะลาใครสักคำเหมือนที่เมย์กำลังคิดอยู่ตอนนี้ผมว่าไม่ใช่เรื่องถูกต้อง โมนิก้า เมย์รี่ ที่ราวกับเป็นศูนย์กลางของคนในหมู่บ้านต้องบอกทุกๆ คนแล้วก็ร่ำลากันให้มันเป็นเรื่องเป็นราวถึงจะถูก

    แต่เรื่องไม่ถูกต้องเช่นนั้นผมกลับเข้าใจและสนับสนุนความคิดเธอ ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอต้องจากที่นี่ไปเพราะปัญหาเรื่องการเงิน พวกชาวบ้านไม่อยู่เฉยแน่ เป็นผมก็ทำอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นแบบนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความลำบากใจก็จะมีด้วยกันทั้งตัวเมย์เองและผู้รับดูแลเธอ ซึ่งก็ถูกอย่างที่กิลมันพูด เพราะงั้นผมถึงเลือกที่จะอยู่เฉยกับเรื่องนี้โดยปล่อยให้เธอทำตามใจถึงแม้จะโมโหตัวเองที่ทำได้เพียงแค่นั้นก็ตาม

    ได้ยินมาว่าไฮไลท์เด็ดของคริสมาสนี้คือการจุดดอกไม้ไฟพันนัด ดอกไม้ไฟคืออะไรผมก็ไม่รู้จักอีก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญของงานแล้วก็น่าจะเจ๋งที่สุดและน่าจะทำให้ประทับใจได้ไม่ยาก ซึ่งขณะนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว อีกแค่ชั่วโมงเดียวก็คงได้เห็นกัน

    ตั้งแต่ที่เรามาจนถึงตอนนี้โต๊ะก็ว่างลงไปเยอะ ผู้ใหญ่หลายคนจับกลุ่มคุยกันไปกินอาหารกันไป เด็กส่วนใหญ่กินอาหารได้น้อยเลยดูเหมือนจะสนใจของสีฉูดฉาดที่โต๊ะกลมรอบนอกมากกว่า ลองถามพวกเขาดูก็ได้รู้ว่ามันคือลูกกวาดกับขนมหวานซึ่งมีไว้ล้างปากหลังกินอาหารเสร็จ ผมรู้สึกสนใจเลยลองหยิบมาชิมดูบ้างก็พบว่าอร่อยไม่น้อย ที่จริงเนื้อแกะกับเนื้อวัวอบก็อร่อยมากแต่ดูเหมือนผมจะถูกใจของหวานมากกว่าจึงกินไปซะเยอะและเอามาเผื่อเมย์ ลูอิสกับคิเรนะด้วย

    (โอย ปกติหมาไม่กินของแข็งๆ แบบลูกกวาดหรอก ฉันเคยกินเข้าไปตอนเล็กๆ ติดคอเกือบตาย)

    เจ้าหมาลูอิสว่างั้น แล้วคิเรนะล่ะว่าไง?

    (เหมือนลูอิสเจ้าค่ะ ฟันของแมวไม่ได้มีไว้เคี้ยวของพวกนี้จริงๆ แต่ก็ขอบคุณลุคมากมายเจ้าค่ะ)

    ผมลูบหัวแมวสาวด้วยความมันเขี้ยวในความน่ารัก ฉันขอแนะนำอะไรบ้างนะลูอิส หัดขอบคุณในความปรารถนาดีของฉันบ้างก็ดีนะ ถึงนายจะฉลาดแต่ไม่ค่อยจะน่ารักเลย หัดดูแฟนตัวเองเป็นตัวอย่างบ้างดี้

    (อะไรนักหนาเนี่ย)

    มันว่าขณะเคี้ยวเนื้อวัวชิ้นเป้งเต็มปาก

    (ช่าย ตัวเองหัดชมเค้าเหมือนลุคบ้างสิ แค่พูดตามที่ตัวเองรู้สึกไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลยเนอะ)

    ได้ทีคิเรนะก็ร่วมวงตัดพ้อหมาขาวกับผม ลูอิสส่ายหน้าพลางกินเนื้อชิ้นต่อไป เอ่อ...นายยังไม่อิ่มเลยเหรอ เท่าที่ฉันเห็นนี่นายยังไม่หยุดเลยนะ

    "ลุค…เมย์...ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย?”

    จู่ๆ เมย์ก็พูดขึ้นเบาๆ น่าประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องนั้น ก่อนจะตกใจที่สาวสวยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

    "กะ...เกิดอะไรขึ้นเหรอเมย์...?"

    เธอไม่ตอบ แต่กลับเรียกเจ้าลูอิสมาหา หมายักษ์ขาวดูเหมือนจะรู้หน้าที่จึงวิ่งออกมาจากจานอาหารจนคิเรนะกระโดดเกาะแทบไม่ทัน หรือว่าเมย์บอกอะไรนายไว้งั้นเรอะ? ถ้ามีก็น่าจะบอกฉันบ้างนา

    หญิงสาวที่อยู่บนหลังของสัตว์สี่ขาถูกพาตัวไปด้วยความเร็วที่ไม่มากแต่ผมก็ต้องวิ่งเหยาะๆ กว่าจะตามทัน ตลอดทางเมย์นิ่งเงียบ ผมเดาเรื่องที่เธอต้องการจะพูดไปต่างๆ นานา ร้ายสุดคือ 'เมย์รู้นะว่าลุคไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา'

    ไม่มีทางหรอกน่า ก็จำได้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดแปลกไปจากคนปกติเลยนะ อีกทั้งตาเมย์ก็มองไม่เห็น แต่ว่าถ้าจะมีอะไรที่แปลกก็คงเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยจะรู้อะไรที่มนุษย์ปกติควรจะรู้กัน…เป็นประเด็นนี้รึเปล่าหว่า?

    คิดจบก็ส่ายหน้า พอมาสังเกตดูเส้นทางดีๆ ก็รู้ว่าเมย์ต้องการจะไปไหน

    ในที่สุดก็มาถึง ที่นี่คือสถานที่ที่อคติที่ผมเคยมีต่อโลกมนุษย์เริ่มเปลี่ยนไปหลังได้ชมความงดงามของพระอาทิตย์ตกดินครั้งแรก ผมได้คุยกับลูอิสที่นี่เป็นครั้งแรก เฉลยคือหน้าผาเล็กๆ บนเขาหลังวัด

    "ทำไมถึงมาเอาตอนนี้ล่ะเมย์ คุณลุงคุณป้าจะเป็นห่วงเอานะ"

    ผมพูดไปตรงๆ และสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นความลับถึงขนาดต้องมาไกลหูไกลตาผู้คนขนาดนี้เชียวหรือ

    "คุณแม่เคยเล่าให้เมย์ฟังว่าท่านบอกรักคุณพ่อที่นี่น่ะจ้ะ"

    เจ้านายสาวลงจากหลังของพาหนะร่างยักษ์ก่อนคลำมือเรียวยาวไปตามต้นไม้ราวกับกำลังนึกถึงเรื่องในอดีต ในที่สุดผมก็พอจะเข้าใจเหตุผลที่เธอมาที่นี่แล้ว เพราะพรุ่งนี้เธอก็จะจากไปยังสถานที่ไกลแสนไกล

    "อื้มๆ ข้างต้นโอ๊คนี่แหละ"

    เหมือนเธอกำลังพูดกับตัวเองผมจึงฟังอย่างเดียว

    "เมื่อตอนที่พวกท่านยังอยู่รู้มั้ยลุค พวกท่านจะพาเมย์มาที่นี่ในวันนี้ของทุกปี ถ้าถามว่าทำไม อีกเดี๋ยวเดียวลุคก็รู้"

    เมย์เดินมาคว้าข้อมือผมและพาเดินไปเกือบสุดขอบผา ผมมองเห็นเส้นผมเป็นลอนอ่อนสวยงามกำลังพลิ้วเล่นลมจากแสงสว่างอันน้อยนิด ความรู้สึกเศร้าใจอย่างประหลาดส่งผ่านกลิ่นหอมที่คุ้นเคยจากผมสวยงามนั้น มันทำให้คำพูดผมจุกอยู่ที่คอ เมย์ต้องการบอกอะไรกันแน่?

    มันน่าแปลก ทั้งที่ผมควรจะต้องกำลังลุ้นอยู่แต่หัวใจกลับไม่เต้นแรงเลย ราวกับว่ามันได้รับผลกระทบจากออร่าแห่งความเศร้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าจนไม่มีแรงยังไงอย่างงั้นแหละ แต่ไม่ได้โทษเธอนะ

    ที่จริงแค่อ้างไปแบบนั้นแหละ เพราะถึงไม่มีเรื่องของเมย์ผมก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน ถ้าดวงตาเธอมองเห็นก็คงจะเห็นใบหน้าที่เหมือนอยากจะร้องไห้ของผมเช่นกัน

    ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงต้องเกิดเป็นนางฟ้าด้วย ทำไมถึงไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้เจอเมย์เหมือนอย่างตอนนี้ หากเป็นอย่างนั้นได้ผมมั่นใจว่าตัวเองจะทำให้เธอมีความสุขได้ ไม่ใช่ทำได้เพียงแค่มองด้านหลังเธอและต้องเก็บงำทุกอย่างไว้ภายในแบบนี้

    แต่ก็นะ ถึงจะเอาความคิดนี้ไปลงกับใครในรูปแบบไหนก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี

    "ลุค…"

    เมย์เรียกชื่อตัวเองคิดขึ้นมาเมื่อเดือนก่อนซึ่งมันเป็นของผมมาตั้งแต่บัดนั้นด้วยเสียงที่เบากว่าเสียงกระซิบนิดเดียว

    "เมย์รักลุคนะ"

    เสียงอันอ่อนหวานเปล่งค่อย ผมไม่เชื่อหูตัวเอง บางทีเสียงลมหนาวที่พัดอยู่นี่อาจจะทำให้ระบบการทำงานของหูผมเพี้ยนไปแล้วหรือไม่หัวสมองก็อาจจะสั่งให้เข้าข้างตัวเองจนได้ยินเป็นแบบนั้น

    "เมย์ไม่รู้ว่าสมควรพูดดีรึเปล่าเพราะพรุ่งนี้เมย์ก็จะไปในที่ๆ ลุคตามไปไม่ได้แล้ว แต่อดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าไม่บอกไปเมย์ว่าตัวเองต้องเสียใจทีหลังแน่เลย…เมย์รักลุคจ้ะ"

    หูไม่ได้ฝาด สมองไม่ได้เพี้ยน ถ้อยคำจากเสียงหวานใสของเมย์คือเรื่องจริง เมื่อคิดแบบนั้นได้แล้วผมก็ใช้เวลาไม่นานในการจัดเรียงความคิดและทำความเข้าใจ แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็เกิดคำถามตัวเป้งที่จัดการได้ยากขึ้นมา

    ผมควรจะตอบเธอว่าอะไรดี…

    ถ้าเอาความรู้สึกจริงๆ ก็รู้กันตั้งนานแล้วว่าผมก็รักเธอมาก แต่ผมกลัว กลัวสิ่งที่พ่อบอกเป็นนัยว่าหากทำอะไรล้ำเส้น คนที่จะโดนจัดการไม่ใช่ตัวผม ถึงก่อนนั้นผมจะพูดไปอย่างไม่แยแสว่าอยากจะทำอะไรก็ทำแต่พอมาเจอเข้าจริงมันไม่ใช่เรื่องที่ทำเป็นไม่สนอะไรแล้วจะจบโดยบริบูรณ์

    แต่หัวใจ…ก็อยากตอบรับความรักที่เมย์อุตส่าห์ส่งมาให้คนอย่างผมเหลือเกิน

    ตู้มๆๆๆ

    ไม่ใช่!

    คิดได้แล้ว

    ผมไม่ใช่สิ่งของที่ใครจะมาชี้สั่งนี่สั่งนั่นได้ ดอกไม้ไฟที่ทยอยผุดขึ้นมาอย่างร่าเริงนั้นให้คำตอบแก่ผม ผมจะไม่โกหกตัวเองและเมย์อีกแล้ว…จะเล่าทุกอย่างให้เมย์ฟังและจะปกป้องเธอจากสิ่งที่จะเข้ามาคุกคามให้ได้ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ผมจะสู้กับมัน ในเมื่อเป็นถึงอัจฉริยะก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวทั้งนั้น

    ทำไมถึงได้คิดออกตอนนี้นะ? แต่ก็โชคดีที่คิดทัน

    และจากนี้ ผมก็จะขอตอบกับสาวสวยที่ยืนอยู่ตรงหน้าว่า

    "ลุคก็รักเมย์มากเหมือนกัน ดีใจจริงๆ ที่เมย์บอกลุค ดีใจจริงๆ เลย"

    เมย์ปิดปากก่อนน้ำตาจะไหลออกมา เธอโถมตัวเข้าสวมกอดผม…

    ไม่รู้สึกถึงออร่าแห่งความเศร้าอีกแล้ว…โล่งอกเหลือเกิน หัวใจของผมกลับมาเต้นแรงอีกครั้งอย่างมีชีวิตชีวา ที่แท้เมย์กังวลเรื่องนี้เองเหรอ? ดีจริงๆ ที่รู้สักที

    "เมย์รู้สึกกับลุคแบบนี้ตอนไหนเหรอ บอกลุคได้มั้ย"

    หลังจากพาเมย์มานั่งตรงที่ว่างซึ่งราวกับธรรมชาติจงใจสรรค์สร้าง ผมถามทั้งที่ยังเขินอยู่ไม่น้อย

    "อืม...ตอนไหนน้า...รู้ตัวอีกทีเมย์ก็คิดถึงแต่เรื่องลุคแล้วล่ะ"

    "งั้นก็ช้ากว่าลุคน่ะสิ ลุคเห็นเมย์ครั้งแรกก็ตกหลุมรักเมย์แล้ว"

    มาถึงตรงนี้หญิงสาวก็เริ่มแสดงอาการเขินออกมาซึ่งน่ารักจับใจ

    ดอกไม้ไฟยังคงถูกจุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มันแตกตัวราวกับอยู่ตรงหน้าเราพอดี ที่แห่งนี้นี่พิเศษจริงๆ ด้วย

    สำหรับหลายสิ่งหลายอย่างเลย...

    "สวยมากจริงๆ"

    ความประทับใจของผมเปลี่ยนเป็นคำพูดออกมา แต่เรื่องที่ประทับใจไม่ได้มีแค่เรื่องดอกไม้ไฟ มันมีอะไรที่มากกว่านั้นซึ่งมันเป็นเรื่องอะไรทุกคนคงรู้

    ไม่สิ สำหรับผมตอนนี้รู้สึกมากกว่าคำว่าประทับใจ ลองคิดดูนะ เดาไม่ยากเลย

    "อยากเห็นจัง…"

    เสียงเมย์พูดเหงาๆ จริงสิ ผมลืมบางอย่างไป มัวแต่ตื่นเต้นอยู่นั่นแหละ

    "…แต่ที่อยากเห็นมากกว่าคือใบหน้าของคนที่เมย์รัก…และคนที่รักเมย์…ที่อยู่ตรงนี้…แต่มันคงไม่มีทางหรอกเนอะ"

    เมย์ลูบใบหน้าผมด้วยมือแสนอ่อนนุ่ม ผมยิ้มและจับมือเธอไว้

    "ขอบคุณนะเมย์ที่มอบความรักให้กับคนอย่างลุค…หลับตาก่อนนะ ลุคมีของขวัญชิ้นพิเศษจะมอบให้เมย์ด้วย"

    เสียงดอกไม้ไฟยังระเบิดปุ้งๆ แสงไฟจากมัน ทำให้ได้เห็นเมย์ทำหน้างงๆ

    "จะหลับตาหรือลืมตาเมย์ก็มองไม่เห็นอยู่ดี"

    "ไม่เป็นไรหรอกเมย์ ลุคขอนะ"

    หญิงสาวที่สวยที่สุดในโลกทำตามอย่างว่าง่ายด้วยเปลือกตาที่เลื่อนปิด ผมยื่นหน้าตัวเองเข้าไปใกล้กับใบหน้างดงามของเมย์ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากและกระซิบ

    "ลุคจะรักเมย์ตลอดไปนะ…เอาล่ะ ลืมตาได้แล้วครับ"

    เปลือกตาบางเลื่อนขึ้น

    เห็นแล้ว...แพขนตางอนยาว

    เห็นแล้ว...ดวงตาสีเทาคู่โตที่เป็นประกายสดใส

    เห็นแล้ว...มันกำลังปรับโฟกัสมาที่ใบหน้าของผม

    เห็นแล้ว...น้ำตาหยดแรกของดวงตาที่ได้แสงสว่างกลับคืน

    ในที่สุด…เราก็มองเห็นกันได้เสียที…

    "ลุคทำได้ยังไง…?"

    เมย์มองผมด้วยตาเป็นประกายจากน้ำหยดใสที่หลั่งอาบสองแก้ม

    "ไม่สำคัญหรอกเมย์ ลุคจะบอกเมย์หลังจากนี้ ในทุกๆ เรื่องเลยลุคสัญญา"

    ดูเหมือนความดีใจของเมย์ที่ดวงตามองกลับมามองเห็นจะอยู่เหนือความสงสัยในเรื่องเดียวกัน เธอโผกอดผมอีกครั้งซึ่งผมก็ยินดี เมย์พูดขอบคุณใส่อกผมหลายครั้งจนเหมือนท่องมนต์

    การกระทำนี้ของผมเท่ากับเป็นกบฏต่อสวรรค์ไปแล้ว ซึ่งจากนี้ไปคงต้องเตรียมตัวรับมือกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ผมแน่ใจว่าจะผ่านมันไปได้

    ส่วน ณ ตอนนี้ ผมขออยู่อย่างมีความสุขกับ'แฟน'คนแรกและคนสุดท้ายก่อน

    "ลุครักเมย์นะ"

    ผมกอดเธอแน่นขึ้นอีก เมย์เงยหน้าขึ้นมองผมราวกับคิดถึง ไออุ่นจากร่างกายนุ่มนิ่มหอมหวนทำให้หัวใจผมยังเต้นโครมครามไม่หยุด

    "ขอลุคพิสุจน์ได้มั้ย? ว่าลุครักเมย์แค่ไหน"

    หน้างดงามแดงซ่านแต่ไม่มีท่าทีปฏิเสธ ผมจึงจุมพิตอีกหนึ่งครั้ง แต่คราวนี้ลงบนเรียวปากอวบสวย…

    ช่างหอมหวานเหลือเกิน อยากจะหยุดเวลาตรงนี้ไว้ตราบนานเท่านาน ความสุขกำลังหลอมรวมพวกเราเป็นหนึ่งเดียว คิดถูกแล้ว คิดถูกแล้วจริงๆ ที่เดินมาทางสายนี้

    เราทั้งคู่นั่งดูดอกไม้ไฟที่ยังผุดขึ้นมาไม่หยุดและจูบกันต่อหน้ามันหลายครั้ง แต่กระนั้นผมก็ยังไม่มีความรู้สึกอยากจะพอ ลมหายใจเราเป็นหนึ่งเดียวกันจนหิมะที่เริ่มตกลงมาละลายหายไปแทบจะทันที

    จนกระทั่ง

    .

    .

    "พอได้แล้วลูอิส"

    เสียงเข้มพูดราวกับคำสั่งที่ต้องปฏิบัติตาม ทำให้ผมต้องถอนริมฝีปากจากเมย์ เรามองผู้มาใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญและไม่คาดคิด

    ไอ้หมอนี่คือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนของผม

    "นายเปิดเผยเรื่องของเราจนได้สินะ"

    ชายร่างสูงใหญ่ในชุดอย่างเป็นทางการของทหารฟ้าย่างเท้าเข้ามาใกล้พวกผม เมย์ซึ่งอยู่ในอ้อมกอดตัวสั่นรุนแรงกว่าตอนที่ได้ตื่นมาจากฝัน ผมโอบไหล่เธอไว้และพยายามปลอบว่าไม่เป็นไรทั้งที่ความจริงก็ยังเดาไม่ได้

    "แล้วทำไม? จะดับวิญญาณฉันเหรอ?"

    ผมพูดใส่ใบหน้าที่บึ้งตึงตลอดเวลาของหมอนั่น ตั้งแต่ที่รู้จักกันยังไม่เคยเห็นมันยิ้มสักที งานในกองทัพคงจะหนักมากสินะหือ?

    มิคาเอลจอมทัพแห่งสวรรค์

    "เธอทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่าลูอิส?"

    เสียงเล็กๆ ซนๆ ดังจากด้านหลังมิคาเอล สาวผมสั้นหยิกเผยร่างเล็กจากความมืด

    "ฉันก็รู้ตัวตลอดแหละถึงได้ทำแบบนี้ไง นาตาลี ขอร้องล่ะอย่ามายุ่งกับฉันเลย"

    "นายก็รู้ว่าเราอยู่เฉยกับเรื่องนี้ไม่ได้ ยอมกลับไปรับโทษซะดีๆ เถอะ"

    ท่องบทละครอยู่รึไง ว่าแต่เดี๋ยวนี้ใช้คำพูดอวดดีกับฉันได้แล้วรึนี่ ทึ่งเลยแฮะ แต่ว่าถ้าฉันปฏิเสธจะมีปัญญาลากตัวฉันไปรึเปล่า?

    "ลุคไปทำอะไรผิดมาหรือคะพวกคุณถึงได้พูดแบบนี้"

    เหมือนเมย์รวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดพูดออกไป

    "ไม่จำเป็นต้องตอบมนุษย์อย่างเธอ ขอโทษทีว่ะลูอิส"

    ว่าจบ ทั้งมิคาเอลและนาตาลีที่คิดว่าคงนัดแผนกันมาแล้วก็โจนเข้าใส่เราโดยเป้าหมายหลักคือแยกผมกับเมย์ออกจากกัน ไม่เห็นเป็นแผนที่ซับซ้อนอะไรเลยว่ามั้ย? เพราะงั้นจึงไม่มีความลำบากในการหลบให้พ้น

    "เมย์กอดลุคไว้แน่นๆ นะ"

    ผมกระซิบบอกหญิงสาวที่ไม่เข้าใจสถานการณ์แม้แต่นิดเดียว แต่ดีที่เธอเลือกที่จะเชื่ออย่างไม่ต้องการเหตุผล ผมโอบเธอให้กระชับวงแขนและสยายปีกออกก่อนจะบินขึ้นฟ้า นางฟ้าสองคนนั่นบินตามมาอย่างไม่รอรี

    แต่ว่าพวกเขาติดกับผมแล้ว

    มิคาเอลที่คิดว่าไล่ตามผมจนทันได้เสกมีดสองเล่มออกมา เขาปามันใส่เป้าหมายเช่นผมได้แม่นจนพุ่งทะยานปักที่อกทั้งคู่ ไม้กางเขนยักษ์ปรากฏขึ้นด้านหลังทันทีและตรึงผมไว้จนผมต้องสบถคำหยาบออกมา เมย์ถูกนาตาลีฉุดตัวไปและกำลังถูกทำให้มีสภาพเดียวกัน ไม่ถึงเสี้ยววินาทีดาบยักษ์อาวุธประจำกายของมิคาเอลก็ฟาดฟันลงมาที่ผมจนตัวขาดสองท่อนเป็นเส้นตรง

    "จบซะที"

    หมอนั่นพูดอย่างมั่นใจ เมย์ก็คงมีสภาพเหมือนผมตามมาติดๆ และก็จริง นาตาลีฟันเธอด้วยดาบประจำตัว เมย์กรีดร้องและดับสลายไป

    "กะฆ่ากันจริงๆ เลยล่ะสิ?"

    ผมอยู่บนพื้นดินตั้งแต่แรกแล้ว ที่ถูกฆ่าไปมันแค่ภาพลวงจากวิชาที่ผมสร้างขึ้น ทำเป็นบอกว่าให้ยอมรับความผิดแต่ที่จริงอยากจะฆ่าฉันแต่แรกแล้วสินะ นาตาลีมีสีหน้าตื่นตกใจแต่มิคาเอลหน้าไม่เปลี่ยน

    "นายตกต่ำถึงขนาดเรียนวิชาของซาตานเลยรึ? ลูอิส"

    "จะเป็นคนที่สูงส่งได้ต้องถูกนายฆ่าก่อนใช่มะ?"

    พอกันที ผมยอมลงให้กับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ผมรัก

    "สูงส่งหรือตกต่ำ คนที่รอดเท่านั้นแหละที่มีสิทธิ์ตัดสิน"

    ผมพูดพร้อมอัดกระแทกมือไปในอากาศ เศษซากจากร่างสองซีกของผมขมวดตัวกลับเป็นกลุ่มก้อนสีดำ มันขยายตัวเองกลืนนางฟ้าทั้งสองคนเข้าไปโดยที่พวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว หลังจากการกลืนกินเสร็จสิ้นก้อนสีดำก็หดตัวเล็กลงจนหายไปในที่สุด แต่แค่นั้นมันยังไม่พอ…

    ที่ทำให้ผมแค้นที่สุดคือภาพนาตาลีฆ่าเมย์โดยไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเสียใจหรือความลังเล ความเป็นเพื่อนกันกว่าล้านๆ ปีของพวกเราขาดสะบั้นกันแค่นี้

    ผมร่ายคาถาใส่ลงไปอีกบทเพื่อปิดฉาก มันจะทำให้มารร้ายสองตนนั้นถูกกักขังอยู่ในมิติอันว่างเปล่าตลอดกาล ข้างในนั้นทั้งคู่จะได้พบกับความเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าความตายเพื่อให้มันสาสมกับสิ่งที่ทำเป็นของแถม ผมน่ะไม่กระจอกเหมือนพวกลูซิเฟอร์หรอก

    สำเร็จ...ทว่ายังไม่ทันได้หายใจก็รับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของมิติอันรุนแรง

    'เขา'กำลังมาแล้ว

    ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาช้ากว่าสองคนเมื่อกี้ แต่เขาจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีหรือเร็วกว่านั้น

    ทำไงดี…จะทำยังไงดี ไม่มั่นใจเลยว่ามันจะง่ายที่จะต้องรับมือกับคนๆ นั้น แต่ผมจะต้องปกป้องเมย์ให้ได้ ขณะที่หัวใจผมกำลังหวาดหวั่นกับสิ่งที่รับรู้ สาวน้อยในอ้อมแขนก็พูดขึ้น

    "เมย์ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน แต่เมย์อยู่ข้างลุคนะ"

    พร้อมน้ำตาคลอเบ้า เนื้อตัวสั่นเทาจากการกดกลั้นความหวาดกลัว ทำไมเมย์ต้องเจอแต่เรื่องแบบนี้เพราะพวกชาวสวรรค์ด้วย ทำไมกัน! จริงสิ ต้องหนี วิธีเดียวที่จะป้องกันเธอจากสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้คือต้องซ่อนตัว แล้วผมจะจัดการกับสิ่งนั้นเอง ว่าแต่จะไปไหนดี? ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ต้องถูกเจอตัวแน่ ต้องสร้างมิติที่ 4 ขึ้นและคลุมตัวเมย์ด้วยคาถาป้องกันการกดทับของมิติ

    ใช่แล้ว มีวิธีเดียวเท่านั้น…

    ต้องใจเย็นๆ ระบบการหายใจของผมติดขัดอย่างรุนแรง สมองก็กำลังสับสนรุนแรงเช่นกัน

    'ไม่เป็นไรนะ' เมย์บอกอย่างนี้ เสียงที่ฟังแล้วชื่นใจนี้ช่วยผมไว้เสมอและจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป แต่ต้องรีบอีกหน่อยแล้ว

    เขาใกล้เข้ามาทุกที

    "เมย์หลับตาอีกครั้งนะ ลุคจะพาไปที่ปลอดภัย"

    โชคดีที่เธอเข้าใจสถานการณ์ ใบหน้าแสนสวยบอกผมว่ากำลังมีคำถามมากมายแต่กลับไม่ปริปากถามออกมาสักคำ ทุกคำพูดที่เธอพูดตอนนี้ล้วนแต่ให้กำลังใจผม ขอบคุณอีกครั้งนะเมย์ ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนี้เพราะลุคแท้ๆ แต่เมย์ก็ไม่คิดโทษลุคเลย…เอาล่ะ ทุกอย่างพร้อมแล้ว

    ไปเลย!!!

    "ขอโทษนะลุค เมย์คงไม่ไหวแล้วล่ะ"

    เกิดอะไรขึ้น!?!

    ทำไมถึงไปไม่ได้!?!

    ผมจึงหันไปดู ข้อมือของเมย์ถูกมือใครบางคนรั้งไว้ มือที่บ่งบอกถึงความชราและความยิ่งใหญ่ด้วยนิ้วชี้ที่ประดับด้วยแหวนวงโต

    มันมาแล้ว…

    อันที่จริงกายหยาบของมนุษย์ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันแบบนี้ได้ อย่าว่าแต่โดนจับข้อมือเลย แค่พวกนางฟ้ามาใกล้ๆ ร่างก็สลายแล้ว แต่เมย์ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะคาถาที่ผมร่ายไว้ ทำให้ร่างของเมย์ยัง...

    "ไม่จริง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ปล่อยเธอน้าาาาาาาาาาาาาาาาา !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

    ผมตะโกนลั่นและเสกดาบแสงขึ้นมาในมือขวาเพื่อแทงไปยังร่างที่อยู่ในความมืด มือเหี่ยวย่นผละจากข้อมือเมย์แล้ว แต่สิ่งที่เห็นไม่อาจทำใจให้เชื่อได้

    ร่างของเมย์กำลังจะสลาย…โดยเริ่มจากข้อมือ

    "ไม่จริงๆๆๆๆๆๆๆๆ"

    สติเริ่มจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ผมพยายามเค้นสมองเพื่อหาวิธีหยุดยั้งสิ่งที่กลัวที่สุด แต่ใบหน้างดงามกลับยิ้มหวานส่งมาให้

    "ต้องตายแน่เลย แต่เมย์คิดว่าตัวเองไม่เสียใจนะ"

    ผมคุกเข่าลงเพื่อประคองร่างเมย์เอาไว้ น้ำตาผมไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถ้าไม่เกิดเรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นก็คงอยากจะถามเธอว่าทำไม

    "พ่อกับแม่เมย์เป็นคนดี ป่านนี้ท่านคงรอเมย์อยู่บนสวรรค์ เมย์คิดว่าตลอดมาเมย์ก็เป็นเด็กดี ถึงตายไปก็คงได้ขึ้นสวรรค์ แล้วเมย์ก็รู้ด้วยว่าลุคไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา คนอังกฤษไม่มีใครไม่รู้จักวันคริสมาสหรือซานตาครอสหรอกนี่นา"

    เมย์รู้ว่าผมโกหกเธอตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่จะเป็นยังไงก็ช่าง ร่างของเจ้าของเสียงหวานใสเริ่มสลายไปเรื่อยๆ เสมือนไฟลามกระดาษ ผมรู้แล้วว่าไม่มีทางหยุดมันได้ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือฟังเมย์พูดให้จบ

    "ลุคไม่เห็นต้องร้องไห้เลย ลุคเป็นนางฟ้าใช่มั้ย? เมย์เดาเก่งนา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเดี๋ยวเราก็เจอกันบนสวรรค์ได้นี่จริงมั้ย?"

    เมย์หัวเราะแห้งๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอกำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่ทำไมถึงไม่ร้องไห้ออกมาล่ะ

    บัดนี้ร่างของเมย์เหลือเพียงแค่ท่อนบนเท่านั้น

    "โชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมา โชคดีจริงๆ ที่มีทุกๆ คนคอยเป็นห่วงเป็นใย โชคดีจริงๆ ที่ได้เจอลุค โชคดีจริงๆ ที่รู้จักว่าความรักเป็นสิ่งที่งดงามเช่นไร ลุค เมย์ขอบคุณนะ ช่วงเวลาที่มีลุคอยู่ใกล้ๆ เมย์อบอุ่นมากจริงๆ มีความสุขมากจริงๆ"

    เหมือนเธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แบบเดียวกับที่ผมทำอยู่และเธอก็ทำได้ดีกว่ามาก ตอนนี้หัวใจของผมเหมือนมีบางอย่างที่คมกริบกรีดเฉือน

    เอาสิ เอาให้ฉันตายไปเลย

    "แต่ไม่ว่าเมย์จะเกิดเป็นอะไร…หรือไม่ได้เกิดเป็นอะไรเลยก็ตาม ถ้าเมย์ยังพอมีความรู้สึกนึกคิดอยู่บ้างล่ะก็ ขอให้ลุครู้ไว้นะ ว่าเมย์รักลุคเสมอและตลอดไป"

    หัวใจของผมกำลังจะแตกสลายไปพร้อมๆ กับร่างของผู้ที่ผมฝากดวงใจกว่าครึ่งเอาไว้

    "ชีวิตเมย์นี่น่าอิจฉาจังเลยเนอะ ลุคว่างั้นมั้ย ไม่ต้องร้องไห้นะคะ แฟนเมย์ไม่หล่อแล้วเนี่ย"

    เธอใช้มือข้างที่เหลืออยู่พยายามเช็ดน้ำตาผมออก ผมกุมมือแสนเรียวขาวงดงามไว้

    "หล่อจริงๆ เลย…เท่มากด้วย ที่จริงเมย์ไม่ใช่คนขี้อวดนะ แต่เรื่องนี้สงสัยจะอดคุยไม่ได้แน่ๆ คุณพ่อคะ คุณแม่ รู้มั้ยคะว่าเมย์มีแฟนที่หล่อมากๆ อยู่คนหนึ่งด้วยนะคะ ฮิฮิ"

    "ลุครักเมย์นะ ลุคขอโทษ ลุคขอโทษ"

    สิ่งที่ผมประคองไว้เหลือเพียงแค่ส่วนศีรษะ

    "รู้อยู่แล้วค่ะ อีกอย่างลุคก็ไม่ต้องขอโทษเมย์แล้วนะ แฮะๆ อืม...สงสัยเมย์คงต้องพักสายตาสักหน่อยแล้ว ฮิฮิ บ๊ายบายค่ะ แล้วเจอกันนะลุค…"

    สาวน้อยหัวเราะเหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้ สุดท้ายสิ่งที่ผมประคองไว้ก็เหลือแค่เพียงอากาศธาตุ

    …ร่างของเมย์ สลายไปพร้อมกับหัวใจของผม

    "ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

    ผมร้องเหมือนคนบ้า เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอยากจะต่อว่าเมย์ ทำไมกัน ทำไมถึงต้องพูดเหมือนกับว่าเรื่องนี้มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่เป็นคนผิด ทำไมเธอถึงไม่โทษสิ่งรอบข้างบ้างว่าเป็นเพราะแกนั่นแหละที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ทำไมเธอไม่โทษผม ทำไมไม่โทษนางฟ้า ทั้งๆ ที่ความจริงควรจะกล่าวโทษแต่กลับไม่ทำ…

    จริงสิ เมย์ไม่ผิดนี่ ต่อให้เธอจะคิดหรือพูดอะไรก็ไม่ผิด เมื่อคิดงั้นได้ผมก็เกิดละอายใจขึ้นมาที่คิดอยากจะติติงเธอ

    ใช่แล้ว

    ผมควรจะทำอะไรสักอย่างกับผู้ที่ทำผิดอย่างแท้จริงซึ่งก็คือพวกสวรรค์

    ชีวิตของเมย์ต้องเจอกับประสบการณ์แสนเจ็บปวดตั้งแต่ยังเด็ก เธอสูญเสียพ่อแม่ สูญเสียดวงตาและต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นโดยที่มองไม่เห็น ทั้งหมดเป็นความผิดของนางฟ้าที่อ้างตัวว่าเป็นตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ทั้งปวง และวันนี้เธอก็ยังต้องมาตายเพราะพวกนั้น

    ผมรู้ว่าเมย์ไม่มีทางได้ไปสวรรค์หรือเกิดเป็นอะไร เธอถูกดับวิญญาณจนสลายไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเชื่ออย่างไร้เดียงสาราวกับเด็กๆ ว่าจะต้องได้เจอกับผมอีก

    ภูมิใจกันมั้ย? เจ้าพวกคนชั่วช้า

    รอยยิ้มสุดท้ายของเธอทำให้ผมเจ็บปวดรุนแรงที่จิตใจ มันเหมือนแตกสลายไปแล้วครั้งหนึ่งและกำลังพยายามก่อรูปขึ้นมาใหม่แบบลวกๆ

    เจ็บปวดเหลือเกิน…

    มันสามารถแตกสลายได้อีกกี่ครั้งก็ได้ขอแค่เพียงมีลมพัดมาบางเบา ตอนนี้ตัวผมเปราะบางราวกับทารกในฝูงสัตว์ร้าย ปวดร้าวสุดๆ ความเจ็บนี้ทำให้ผมตาพร่าและหายใจไม่ออก หัวเต้นตุ้บๆเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ บางทีคนใกล้ตายอาจมีความรู้สึกแบบนี้ก็ได้มั้ง

    แต่ผมไม่ตาย ผมจะไม่ตาย ใช่แล้ว โลกนี้ไม่มีเมย์อีกต่อไป เสียงใสแสนหวานนั่น แก้วตาเป็นประกายสดใสนั่น ผมไม่มีวันได้พบกับสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว ทำได้อย่างเดียวคือเก็บมันไว้อยู่ในความทรงจำตราบนานเท่านาน

    หยุดร้องไห้ฟูมฟายกับความเป็นจริงได้แล้วลุคเอ๋ย นายยังต้องอยู่ต่อไป อยู่เพื่อแก้แค้นให้กับคนที่ทำนายกับคนที่นายรักจนต้องเป็นแบบนี้ ในเมื่อความยุติธรรมมันหาได้ยากสำหรับผู้ที่อ่อนแอผมก็จะขอใช้ความแค้นนี้เป็นพลังที่จะลากมันออกมาจากมุมมืดเอง ผมไม่ผิดที่คิดแบบนี้นะ ทุกอย่างมันบังคับเอง ผมจะเรียกความยุติธรรมกลับมาคืนให้เมย์ถึงแม้เธอจะไม่ได้มารับรู้ใดๆ เลยก็ตาม ชีวิตเธอไม่ได้มีอยู่เพื่อเจ็บปวดขนาดนี้ ผมก็เช่นกัน ชีวิตผมก็ไม่ได้มีไว้ให้ใครต่อใครมาสร้างรอยแผลได้ตามใจชอบ แต่ในเมื่อดันทุรังจะทำก็ย่อมได้…ผมจะทุ่มกำลังทั้งหมดทำลายมันผู้นั้นเอง

    ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นวัตถุเรืองแสงสีชมพูสว่างสดใส มันลอยอยู่เหนือหัวเพียงไม่กี่นิ้ว มันคืออะไรกันเพิ่งจะเคยเห็น นี่คือบางส่วนจากร่างของเมย์หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็คงเป็นอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากนี้แล้ว

    เสี้ยววินาทีที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าวัตถุนั้น แส้สีขาวเส้นยาวถูกฟาดออกมาจากความมืด

    จิตใจที่เจ็บปวดส่งผลถึงร่างกาย ถึงจะรู้ตัวแต่ผมกลับหลบไม่พ้น แขนซ้ายตั้งแต่รักแร้ของผมขาดกระเด็นก่อนจะไหม้เป็นจุลและสลายเป็นละอองแสงระเหยไปในอากาศสวนทางกับหิมะที่ตกลงมาโปรยปราย

    เจ็บอีกแล้ว…

    แต่บาดแผลซึ่งไม่มีเลือดไหลแค่นี้เมื่อเทียบกับหัวใจ ความเจ็บปวดก็ไม่ต่างอะไรกับตัดเล็บแล้วพลาดโดนเนื้อ

    วัตถุสีชมพูปริศนาถูกบางอย่างที่คล้ายกับเชือกเรืองแสงดึงไปในทิศทางที่แส้ถูกฟาดลงมา ชายชราในชุดคลุมโอ่อ่าอลังการเดินออกมาจากความมืด เขาประคองสิ่งนั้นอยู่ในมือก่อนที่จะถูกทำให้หายไปพร้อมกับแส้

    มาแล้วสินะ ชายผู้สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้อื่นได้อย่างหน้าตาเฉยและคิดว่าตัวเองถูกต้องตลอดเวลา

    "แค่ผู้หญิงคนเดียวแกถึงกับจะฆ่าพ่อเลยรึ?"

    คงต้องเผชิญหน้ากันจริงๆ แต่ผมไม่กลัวอะไรอีกต่อไป

    "บอกฉันสิเจ้าลูกชาย…คุณธรรมอันน้อยนิดที่เคยมีอยู่ในตัวแกมันหายไปไหนซะแล้ว"


     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×