ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Memories Of A Morning Light Angel

    ลำดับตอนที่ #8 : Memory Piece 8

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 64


    Memory Piece 8

    "เอ้าพ่อหนุ่ม ด้านนั้นลงอีกนิด"

    ผมเอียงป้ายตามที่ลุงสมิทบอก เมื่อเข้าที่แล้วจึงลงจากบันไดสูงที่ค้ำต้นไม้อยู่ ส่วนผู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งที่ปีนขึ้นมาพร้อมกันก็ลงไปอยู่ข้างล่างเรียบร้อยแล้ว

    "รบกวนอีกอย่างนะพ่อหนุ่ม ช่วยไปยกต้นสนที่อยู่ในกระถางตรงนั้น..." ลุงสมิทชี้ไปที่ใกล้ๆ โขดหินซึ่งมีกระถางต้นสนตั้งอยู่ มันสูงกว่าตัวผมและประดับประดาด้วยของวิบวับเป็นประกายเงินๆ ทองๆ "...เอาไปไว้ข้างรูปปั้นนั่นนะ"

    เขาชี้ไปที่รูปปั้นชายแก่ร่างท้วมหนวดเครารุงรัง ผมถามเมย์เมื่อตอนเห็นมันครั้งแรกว่าเขาคือใคร

    "ซานตาครอสจ้ะ"

    หลังจากที่รู้ว่า'ซานตาครอส'เป็นใครก็อดขำไม่ได้

    "ว่ากันว่าเขาจะขี่เลื่อนที่มีกวางเรนเดียร์ลากอยู่ลงมาจากดวงจันทร์เพื่อให้ของขวัญเด็กดีในคืนวันคริสมาสน่ะ"

    ว่ากันว่าเหรอ?

    "อื้ม เพราะเมย์ไม่ค่อยเชื่อหรอก ก็เมย์ไม่เคยได้เลยนี่นา หรือบางที..."

    เมย์โปรยยิ้มในแบบที่ว่าทำให้ผู้พบเห็นเอ็นดูได้ไม่ยาก

    "...เมย์อาจจะไม่ใช่เด็กดีล่ะมั้ง ฮิฮิ"

    ใครที่กล้าบอกว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ใช่เด็กดีผมจะขอออกตัวเถียงก่อนคนแรกเลย ไอ้หมอนั่นมันไม่ได้มีสมองเหมือนคนปกติทั่วไปแน่ มั่นใจในตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าถ้าผมได้เกิดเป็นซานตาครอสจะขอมอบของขวัญชิ้นพิเศษให้เมย์เลยทีเดียว แถมรับไปดูแลด้วยก็ยังได้

    หลายคนคงอาจกำลังสงสัยอยู่ว่าตอนนี้ผมทำอะไร อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ผมก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่ดีอะไรหรอก สนุกดีด้วยซ้ำ ได้เห็นพวกชาวบ้านสมัครสมานสามัคคีกันแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ค่าอคติของผมลดน้อยลงไปทุกที จนอาจไม่เหลือให้ลดอีกต่อไปแล้ว

    แต่ว่าทำไมผมถึงต้องมาแบกกระถางต้นไม้ ผมจะเล่าให้ฟัง

    เมย์บอกว่างานคริสมาสของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น ก็ไม่รู้หรอกว่าที่อื่นเขาทำอะไรยังไง ที่จริงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคริสมาสคืออะไร แต่ในวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ที่หมู่บ้านนี้จะมีการเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ซึ่งจะทำกันบริเวณลานกว้างแห่งนี้ จึงต้องมีการจัดเตรียมสถานที่ให้รับกับเทศกาลที่กำลังจะมาถึง แต่เนื่องจากวันนี้คือวันที่ 24 จึงได้มีเส้นตายอยู่ที่ 6 โมงเย็น พวกชาวบ้านจึงได้เกณฑ์กันมาแต่เช้าเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

    ขณะที่ผมกำลังจะเดินไปตลาดกับเมย์และเจ้าลูอิสก็เห็นชาวบ้านแบกไม้แบกอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านไปเป็นกลุ่ม สุดท้ายก็มีลุงคนหนึ่งท่าทางแข็งแรงกำยำซึ่งก็คือลุงสมิทชวนกึ่งบังคับให้ไปช่วยกัน ความคิดที่ว่ายิ่งช่วยกันเยอะยิ่งเสร็จเร็วอาจจะอยู่ในหัวของลุงในตอนนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าถึงจะมีกำลังคนมากแต่ถ้าไร้ประสิทธิภาพในการนั้น สู้ไม่มีเลยจะดีกว่า

    แต่อย่างที่เห็น ผมไม่ได้ปฏิเสธอะไร พอมาทำดูมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น แค่ช่วยยกของกับจัดนู่นจัดนี่ ส่วนที่สำคัญอย่างพวกป้ายต่างๆ พวกเขาจัดการกันเองหมดแล้ว

    "ขอบใจมากพ่อหนุ่ม"

    ลุงสมิทพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดีหลังจากผมยกกระถางต้นสนมาวางไว้ตรงที่แกต้องการ

    "ว่าแต่พ่อหนุ่มบอกว่าตัวเองชื่ออะไรนะ?"

    ก่อนหน้านี้ผมบอกชื่อเล่นอันแสนภาคภูมิกับลุงไป ที่ไม่ค่อยอยากพูดชื่อจริงก็เพราะเดี๋ยวจะขำกัน เนื่องจากดูเหมือนว่าในหมู่บ้านนี้จะไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าหมาขาวที่ชื่อเหมือนผม

    "ถ้าเอาชื่อจริงๆ ก็ลูอิสครับ"

    ลุงสมิทพยักหน้ารับ น่าแปลกที่ไม่ยักขำ

    "ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนนี่" ลุงพูดยิ้มๆ "บนโลกนี้มีคนหรือว่าอย่างอื่นชื่อลูอิสอีกตั้งแยะ แต่ที่สำคัญคือชื่อทุกชื่อก็มีความหมายดีทั้งนั้นใช่รึเปล่าล่ะ?"

    ผมคิดว่าลุงไม่ได้ต้องการคำตอบจึงไม่ได้พูดอะไร

    "ลุงคิดว่าทุกชื่อน่ะถูกตั้งขึ้นด้วยความรักของผู้ตั้งนะ เพราะชื่อที่มีความหมายไปในทางที่ไม่ดีน่ะไม่มีหรอก นอกจากคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่เกลียดลูกตัวเองเท่านั้นแหละ ซึ่งตลอดชีวิตนี้ของลุงก็ยังไม่เคยเจอเลย"

    ผมก็ไม่เคยครับ ผมตอบแบบนั้นและยิ้มตอบลุงที่ตอนนี้แบกเสาไม้ต้นเล็กกลมๆ เดินไป

    ชื่อทุกชื่อตั้งขึ้นด้วยความรักงั้นเหรอ? บางทีก็อาจจะจริง เพราะผมก็มีชื่อที่เมย์ตั้งให้ใหม่

    ลุค

    ที่มีความหมายว่าโชคดี

    ในตอนนี้ผมคิดว่าตัวเองรับรู้ได้แล้วว่าเมย์รู้สึกยังไงกับผม ใจหนึ่งก็ดีใจไม่น้อย แต่อีกใจหนึ่งก็กลัว ยังไงซะความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ ความสัมพันธ์ที่ได้เริ่มต้นขึ้นจากความเป็นไปไม่ได้ยังไงซะมันก็คงดำเนินไปด้วยความเป็นไปไม่ได้อยู่ดี เรื่องราวที่ดำรงอยู่ด้วยความเป็นจริงนั้นผมไม่เถียงว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและสมเหตุสมผล แต่บางทีมันก็น่ากลัวมากเสียจนอยากจะบิดเบือนมันถ้าทำได้ ไม่ว่าจะพวกไหนก็ไม่อยากจะเจอสิ่งที่ตนเองคิดว่าน่ากลัว ด้วยเหตุนี้ทุกคนก็เลยต่างพยายามสร้างหน้าฉากไว้ปิดบังความเป็นจริงอันแสนน่ากลัวนั่น ผมก็คงเป็นหนึ่งในนั้น การที่ผมยังอยู่บนโลกมนุษย์ก็เป็นหลักฐานชั้นดี

    น่ากลัว แค่สิ่งที่เรียกว่าความเป็นจริงก็ทำให้ตัวผมสั่นเทาได้ แม้แต่สิ่งงดงามเช่นความรักก็ยังอุ่นไม่พอรึนี่?

    ..............

    แต่ว่าพอนึกถึงบทสนทนาแสนหวานของสัตว์ทั้งสองที่มีเจ้านายเป็นสาวสวยเมื่อวานก็ทำให้ผมยิ้มออก ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าถึงจะมองจากสายตาของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ยังรู้ว่าลูอิสกับคิเรนะไม่ใช่สัตว์สายพันธุ์เดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังมีความสุขที่หล่อหลอมจากความรักกันได้ ทั้งที่พวกมันต่างก็รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นหมากับแมว แต่มันก็ยังร่วมกันทักทอความรู้สึกดีจนเกิดเป็นสายใยแห่งความรักที่ผมว่าน่าจะยืนยาวด้วย ถึงตรงนี้ก็ทำให้ผมคิดได้ว่าความรักนั้นคงเป็นความอิสระถึงขีดสุด เพราะมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวและแปรเปลี่ยนรูปแบบได้ตามที่ใจต้องการ

    แล้วนี่มันอะไร?

    ขนาดตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้วนะว่าจะทำอะไรต่อไปหลังจากที่รู้อดีตของเมย์ แต่ตัวเองก็ยังมีความโลเลได้ถึงขนาดนี้ แย่ที่สุดเลย แล้วอย่างนี้ผมจะมีหน้าไปบอกว่ารักใครได้ยังไงกัน เรื่องอนาคตมันก็เป็นเรื่องหลังจากนี้แท้ๆ จะไปคิดอะไรให้ปวดหัวทำไม

    "หึหึ"

    ผมหัวเราะเยาะตัวเองพลางเดินไปหากลุ่มเด็กๆ ที่นั่งล้อมวงกันรอบกองไฟ พวกเขากำลังสนอกสนใจฟังเรื่องราวที่เหมือนเทพนิยายจากหญิงสาวผู้มีดวงตาสีเทาคู่โตซึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินและมีหมาตัวใหญ่นอนหมอบอยู่ข้างกายราวกับเป็นองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิงแสนสวย

    "ผมไม่อยากตกนรกเหมือนนักบวชเฟร็ดเลยฮะพี่เมย์"

    เด็กชายที่สวมเสื้อหนาสีส้มแสดงความเห็น เด็กคนอื่นพยักหน้าพร้อมส่งเสียงอื้มๆ อย่างคล้อยตาม

    "ถ้าพวกเราเป็นเด็กดีของพ่อแม่และหมั่นทำความดีก็จะไม่มีวันตกนรกหรอกจ้ะ"

    เสียงหวานใสที่ผมพร้อมจะทำตามทุกอย่างพูดขึ้น

    "ถ้าเกิดยังทำไม่ได้แล้วเกิดตายขึ้นมาก่อนหนูจะตกนรกมั้ยคะ? ถ้าอย่างนั้นหนูก็ไม่อยากตายเลยค่ะพี่เมย์"

    "ใครๆ ก็ต้องตายทั้งนั้นแหละยัยบ้า! เธอได้ฟังที่พี่เขาพูดรึเปล่า ถ้าทำตัวดีถึงจะเป็นความตายเราก็ไม่กลัวหรอก"

    เด็กชายที่ถามคนแรกพูดขัดเด็กหญิงผมยาวใส่ชุดถักลูกไม้สีขาวซึ่งเธอทำปากยื่นใส่เด็กชาย

    "นายว่าใครยัยบ้าฮึ ความดีคืออะไรฉันก็แค่สงสัยเหมือนกับที่นายสงสัยนั่นแหละ"

    อย่างกับได้ดูคิเรนะกับลูอิสเวอร์ชั่นมนุษย์เลยแฮะ

    "เอ้า อย่าทะเลาะกันสิจ๊ะ ไม่งั้นพี่ไม่มาเล่าอะไรให้ฟังแล้วนา"

    เมย์หยุดเด็กทั้งคู่ที่ส่อเค้าว่าจะทะเลาะกันด้วยเสียงเนิบอันเด็ดขาด ทำให้ทั้งคู่เงียบกริบเหมือนกับเด็กคนอื่นที่กำลังตั้งใจฟัง

    "เด็กๆ จ๊ะ ที่จริงแล้วตอนนี้พวกเราอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าอะไรคือความดีความเลว แต่สักวันในอนาคตที่ไม่ไกลนี้พวกเราจะรู้อย่างแน่นอน"

    เรื่องนี้แม้แต่ผมก็จะต้องตั้งใจฟัง

    "แต่ถ้าให้อธิบายง่ายๆ ก็คือ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีแล้วก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน แค่นั้นก็น่าจะพอแล้วสำหรับพวกเราตอนนี้"

    เมย์โปรยยิ้มหวานให้เหล่าเด็กๆ มันคือรอยยิ้มราวกับผู้ที่พร้อมจะเป็นแม่คน รอยยิ้มอันอบอุ่นแม้จะอยู่กลางหิมะหนาว เชื่อว่าเด็กทุกคนก็รู้สึกเหมือนผม

    ไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้นที่สนใจการเล่าเรื่องของเมย์ ผู้ใหญ่ที่ผ่านไปมาแถวนั้นต่างก็พากันมองด้วยสายตาชื่นชมในความสามารถของเธอ ผมก็ด้วย

    เมื่อลองเหลียวกลับไปดู สถานที่ซึ่งตอนแรกนั้นเป็นเพียงสนามโล่งไม่มีอะไร ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยสิ่งของที่คิดว่าเข้ากับบรรยากาศของงาน โต๊ะต่อกันเป็นแถวยาวจนเกือบสุดปลายสนามสองแถวมีหลังคาผ้าใบกางไว้กันหิมะแล้วเรียบร้อย มีเวทีซึ่งจากการสอบถามดูเขามีไว้ใช้แสดงละครกัน หิมะที่ถูกกวาดต้อนไปไว้ข้างต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้กันกับป้ายครึ่งวงกลมเผยให้เห็นหญ้าเขียว ตามต้นเสาก็ห้อยสายคล้องระโยงระยางเป็นสีสันสวยงาม ข้างเวทีมีต้นสนตั้งคู่กับรูปปั้นซานตาครอส สรุปคือมันเปลี่ยนไปเร็วมากจนน่าตกใจ ถึงจะยังเสร็จไม่สมบูรณ์แต่คิดว่าไม่ถึงสี่โมงเย็นก็เสร็จแล้ว

    "เอาล่ะเด็กๆ แยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้เจอกันจ้ะ"

    กลุ่มชายหญิงอายุเฉลี่ยไม่เกินสิบขวบทำตามคำสั่งของพี่สาว ทุกคนลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าที่มีหิมะติดอยู่ออก

    "ขอบคุณครับ/ค่ะ พี่เมย์"

    เด็กๆ พูดพร้อมกัน เมย์ยิ้มตอบ เมื่อพวกเขากลับผมก็เดินตรงไปหาหญิงสาวที่กำลังจะลุกขึ้น

    "เรื่องที่เมย์เล่าสนุกจัง"

    ผมกล่าวด้วยความรู้สึกชื่นชมจากใจจริง

    "มันเป็นนิทานที่คุณพ่อเมย์ท่านชอบเล่าน่ะจ้ะ ตอนที่ท่านเล่านะ ขนาดคุณแม่เมย์ยังมานอนฟังเลย"

    ผมนึกถึงบุคลิกของแม่เธอก็ไม่คิดว่าแปลกแต่อย่างใด

    "ว่าแต่เสร็จแล้วเหรอลุค?"

    "จ้ะ ลุงสมิทบอกว่าที่เหลือจะจัดการเอง เมย์จะกลับบ้านเลยมั้ย ถึงจะอยู่ใกล้กองไฟแต่มันก็หนาวนา"

    เมย์ยิ้มพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย

    "งั้นลุคแวะบ้านเมย์ก่อนมั้ย เดี๋ยวเมย์อุ่นน้ำถั่วแดงให้ดื่ม"

    อย่างกับว่าเมย์จับจุดได้แล้วว่าผมชอบอะไร เธอแย้มยิ้มซุกซนราวกับคิเรนะ ฟันขาวตัดกันดีกับริมฝีปากชมพูอ่อนใสน่ารัก ผมตอบตกลงและช่วยพยุงแขนผอมของร่างบางให้ลุกขึ้น เจ้าลูอิสที่นอนอยู่บนหิมะจนผมรู้สึกหนาวแทนก็ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจตามสไตล์หมาและส่งสายตาดุมาที่ผม ซึ่งไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

    เพิ่งจะเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าคนที่ยังอยู่ใกล้กองไฟนี้ไม่ได้มีแค่ผม เมย์ กับลูอิส แต่ยังมีเด็กชายอีกคนหนึ่งแถมมาด้วย เขาสวมหมวกไหมพรมสีขุ่นกับเสื้อกันหนาวสีเหลืองดอกทานตะวัน

    "มีอะไรเหรอเจ้าหนู"

    คำถามตามปกติเมื่อคนเราเจอเหตุการณ์ที่ต้องการคำตอบแบบนี้ แต่ที่ไม่ปกติเห็นทีคงจะเป็นสีหน้าเด็กนี่ละ ฉันเคยไปทำอะไรให้นายแค้นงั้นเรอะ?

    "พี่เมย์ หมอนี่ใครอ่ะ?"

    เสียงเล็กซึ่งยังไม่ได้แตกหนุ่มถาม

    "แฟนพี่เองจ้ะ"

    เมย์ตอบทันที

    เป็นเหตุให้เด็กนั่นช็อกราวกับเจอเรื่องที่รับไม่ได้เป็นร้อยเรื่องในวันเดียว ผมก็อยู่ในอาการเดียวกันเพียงแต่คนละอารมณ์ ที่จริงถ้าเมย์ทำท่าทีเหมือนลำบากใจที่จะตอบสักนิดหนึ่งผมก็คงจะไม่ตกใจเท่าไหร่

    แฟนเหรอ? หัวใจผมเต้นโครมครามอยู่ในอกจนแทบจะทะลุออกปากแล้ว

    "อะไรกัน...ไหนพี่เคยบอกผม เคยสัญญากับผมว่าพี่จะแต่งงานกับผมไง"

    ห๊า!! แต่งงาน!!!

    คือก็เข้าใจอยู่หรอกว่าใครได้อยู่ใกล้เมย์นั้นเป็นต้องรักเธอด้วยบางสิ่งบางอย่างหรือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยเรอะ มองมุมไหนมันก็แค่เด็กตัวกะเปี๊ยกที่ความสูงยังไม่ถึงเอวเจ้าสาวเลยด้วยซ้ำ

    "ไปกันใหญ่แล้วแม็กซ์ พี่บอกตอนไหนว่าจะแต่งงานกับเธอ"

    เมย์เอามือไปลูบหัวเด็กแม็กซ์และพูดอย่างใจดี ทั้งที่สำหรับผมคิดว่าไม่จำเป็น

    รู้สึกเหมือนใบหน้าจะร้อนขึ้นพร้อมอาการปั่นป่วนในอกกับช่องท้อง ผมรู้วิธีที่จะทำให้อาการนี้หายไปแต่ก็เท่ากับว่าชะตาของเด็กนี่ขาดแล้ว ใช่ ผมกำลังโกรธ ถึงจะรู้ว่าทำตัวเป็นเด็กแต่ผมก็ไม่คิดจะหยุดคำพูดนี้หรอก

    "นี่เจ้าหนู นายปลื้มเขาอยู่ฝ่ายเดียวล่ะมั้ง เป็นเด็กเป็นเล็กก็หัดอยู่กับความเป็นจริงซะบ้างเหอะ แม้แต่โลกแห่งความฝันนายยังไม่ได้สิ่งที่อยากได้ทุกอย่างเลย"

    สะใจจริงที่เด็กนั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้หลังอึ้งไปชั่ววินาที

    "ลุคทำไมพูดจาใจร้ายจัง"

    อ้าว?

    "แม็กซ์จ๊ะ พี่ขอบคุณในความรู้สึกที่แม็กซ์มีให้พี่นะ แต่ที่สำคัญสำหรับเราตอนนี้คืออะไรไหนตอบพี่มาซิ พี่บอกอยู่ทุกครั้งนี่"

    "กะ..การเรียนครับ"

    เด็กแม็กซ์เสียงสั่นเครือ แต่ผมกลับไม่มีอารมณ์อยากหัวเราะเยาะสักนิดเดียว

    "ดีจ้ะ กลับบ้านได้แล้ว"

    แม็กซ์ก้มหน้าเช็ดบางอย่างออกจากดวงตาและวิ่งไปจนหิมะถูกรอยเท้าเล็กๆ กดเป็นทางยาวอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็คงต้องเตรียมตัวถูกดุสินะ

    "เขายังเด็กอยู่ ไม่น่าพูดแรงขนาดนั้นเลยนะลุค"

    เสียงเมย์ดุไม่น่ากลัว ออกจะน่ารักด้วยซ้ำไป แต่บรรยากาศตอนนี้ไม่ได้อวยให้อยู่ในอารมณ์เคลิ้มแบบนั้น

    "แต่ที่ลุคพูดก็เรื่องจริงทั้งนั้นนะเมย์"

    "ก็ใช่ลุค แต่เดี๋ยวเขาก็จะรู้เองจากประสบการณ์เมื่อเขาโตขึ้น ก็เหมือนกับที่ลุครู้ เหมือนกับที่เมย์รู้"

    "งั้นลุคก็ผิดงั้นเหรอที่พูดความจริง"

    เมย์เงียบไปพักหนึ่ง ตัวเธอโคลงเคลงเล็กน้อยเพราะนั่งอยู่บนหลังเจ้าลูอิส

    "พูดความจริงก็เป็นสิ่งที่ดีนะลุค แต่เมย์แค่คิดว่าลุคจะไปเอาอะไรกับเด็กที่ยังไร้เดียงสาขนาดนั้น"

    ไร้เดียงสา? เมย์ใช้คำอ่อนโยนเกินไปรึเปล่านะ เด็กที่ไร้เดียงสาจริงๆ คงยังไม่คิดเรื่องแต่งงานหรอก แต่ก็สมกับเป็นเมย์เขาล่ะ

    "เมย์นั่นแหละที่ใจดีเกินไปจนเด็กมันไม่รู้ว่าสิ่งที่แสดงออกมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องรึเปล่า ถึงจะเป็นเด็กก็ต้องถูกอมรมสั่งสอนกันบ้างนะลุคว่า ไม่สิ ยิ่งเป็นเด็กนั่นแหละยิ่งต้องอมรมสั่งสอน"

    พวกเราเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยที่เป็นที่ตั้งบ้านสีฟ้าอ่อนซึ่งอยู่อีกไม่ไกล

    "ลุคชวนเมย์ทะเลาะรึเปล่าเนี่ย"

    ผมรีบปฏิเสธทันที สาบานได้ว่าไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว ต่อให้ใช้คาถาอะไรเสกมาก็ไม่มีวันมี ให้ตายเหอะ ไม่เคยคุยกับใครแล้วรู้สึกผิดเท่านี้มาก่อนเลย

    "งั้นลุคขอโทษนะ"

    "ที่ลุคต้องขอโทษไม่ใช่เมย์หรอก" สาวน้อยตอบทันที "แม็กซ์ต่างหาก"

    ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยสัญญาแบบไม่ค่อยเต็มใจนักว่าถ้าเจอกันคราวหน้าจะขอโทษเขาแน่นอน แต่ตอนนี้ที่สงสัยที่สุดก็คือที่เมย์บอกกับแม็กซ์ว่าผมเป็นแฟนนั้น มีความรู้สึกจริงๆ มากน้อยแค่ไหนกัน

    "เอ่อ...เรื่องนั้น..คือ.."

    เมื่ออยู่กันสองคนเธอกลับลำบากใจจะตอบ เฮ้อ...

    "แหม คุยกันสนุกสนานเชียวนะ"

    มันสนุกสนานตรงไหนมิทราบ สำคัญกว่านั้นคือนายเป็นใครฟะ ทำเป็นพูดจาตีซี้เฉยเลย ผมล่ะเบื่อไอ้พวกตัวละครบุคคลที่สามซะจริง

    "ฮ่ะ ฮ่ะ ฉันต้องถามนายมากกว่ามั้งเจ้าหัวทอง"

    ตัวกวนอารมณ์ให้เสียโผล่มาอีกหน่อและ

    "ใครเหรอลุค?"

    เมย์ถามเบาๆ ซึ่งผมก็ได้แต่บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ชายปริศนาที่มีผมยาวดำอยู่ใต้หมวกไหมพรมสีน้ำตาลกับเสื้อโค้ทตัวหนาสีเดียวกัน ข้างๆ ตัวที่วางอยู่บนพื้นคือกระเป๋าใบโตสีดำ ผิวขาวซีดมีให้เห็นแค่ส่วนใบหน้า นอกนั้นถูกปกคลุมด้วยเครื่องป้องกันความหนาวหมด

    "พอดีฉันเป็นคนขี้หนาวน่ะ"

    พูดเสร็จก็หัวเราะ ตอนนี้ปัญหามันอยู่ตรงนั้นซะที่ไหนกันเล่า

    "ขอเข้าไปในบ้านก่อนได้เปล่า เราจะมายืนคุยกันหน้าบ้านทำไมเนี่ย มันหนาวนา"

    ยังมีหน้ามาขอเข้าบ้านอีกนะ เจ้าของบ้านเขารู้จักนายรึยัง

    "จำพี่ไม่ได้จริงอ่ะ?"

    หมอนั่นหันไปหาเมย์ที่นั่งอยู่บนตัวเจ้าลูอิส ดูท่าทางจะเป็นญาติกันล่ะมั้ง ผมลองเอาความคิดนี้ถามเมย์ดูซึ่งเธอก็คงพยายามเค้นความทรงจำที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาแต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ หัวกลมที่ส่ายค่อยคือคำตอบเชิงปฏิเสธ

    "อย่างว่าแหละ ไม่ได้เจอกัน 9 ปีแล้วนี่เนอะ"

    พูดเองเออเองเสร็จสรรพก่อนจะนั่งยองแล้วเอามือลูบหัวเจ้าลูอิส ซึ่งน่าแปลกที่มันไม่ไล่เห่าเหมือนตอนที่เจอผมครั้งแรก จริงสิ ทำไมถึงไม่เฉลียวใจเรื่องนี้นะ ถามลูอิสดูก็ได้

    (กลิ่นคุ้นอยู่ แต่นึกไม่ออก)

    เลยไม่เห่างั้นสิ

    "เข้าไปในบ้านก่อนก็ได้ค่ะ ข้างนอกก็หนาวจริงๆ นั่นแหละ"

    ไม่รู้เมย์จะยิ้มทำไม ถึงจะน่ารักและผมจะชอบ แต่ก็มีครั้งนี้ที่ไม่อยากเห็นมัน

    "แหม รออยู่นานแล้ว"

    แล้วชายผมยาวที่ไม่รู้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามก็แบกกระเป๋าเดินนำไปก่อนพวกเราซะอีก เมื่อมองหมอนี่ผมก็คิดถึงคนๆ หนึ่งที่อยู่บนสวรรค์ซึ่งเธอผู้เป็นเพื่อนสนิทของผมก็ไฮเปอร์พอกันกับเขา

    "ไอ้นี่มันนาตาลีเวอร์ชั่นมนุษย์ผู้ชายชัดๆ"

    ผมพึมพำเบาๆ ก่อนเข้าบ้านเป็นคนสุดท้าย

     

     

    ปึงง!

    "ฮ้า!!! หนาวๆ มันก็ต้องดื่มของร้อนๆ นี่แหละน้า"

    พี่ชายเมย์กระแทกแก้วที่ก่อนหน้านั้นมีชาถั่วแดงอยู่เต็มลงบนโต๊ะ

    "รู้สึกว่ามีพลังเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 30 เท่าเลย"

    พอทีเหอะ ธรรมดาไอ้พลังของนายก็ไม่ได้มีประโยชน์แก่โลกตรงไหนจะมาเพิ่มอีก 30 เท่าไปเพื่ออะไร มันจะคึกอะไรกันนักกันหนานะ ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ แต่เท่าที่ดูคงไม่มีอะไรที่ทำให้หมอนี่หยุดร่าเริงได้หรอก แม้แต่พลังงานของมนุษย์ที่มีขีดจำกัดก็ตาม แต่ก็นะ มันช่วยทำให้อากาศหนาวๆ นี่ดูอบอุ่นขึ้นมาทันตาโดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเตาผิงที่มีไฟลุกโชติช่วง คิดแล้วก็ไม่อยากเจอกับหมอนี่ตอนหน้าร้อนเลยแฮะ

    "แล้วป้าเจนสบายดีมั้ยคะพี่กิลเบิร์ต"

    นี่คือชื่อของพี่ชายเมย์ จากที่ผมลองฟังดูก็รู้ว่าเขาคือลูกของป้าเธอที่อยู่ต่างประเทศ ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันนั่นเอง

    "โหยไม่ต้องห่วง ก็สบายดีกันทุกคนน่ะแหละ"

    เขาตอบหลังจากรินชาจากกาใบเล็กสีเงิน เมื่อตอบเสร็จเขาก็ซดรวดเดียวหมด นี่นาย แม้แต่ความร้อนก็ทำอะไรคนอย่างนายไม่ได้เลยเรอะ

    "แล้วจะตอบพี่ได้รึยังว่าไอ้หนุ่มหน้าเท่ห์คนนี้เป็นใคร แฟนน้องเหรอ?"

    กิลหันมองหน้าผมสลับกับเมย์ เธอสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อเจอคำถามนี้ ที่จริงผมคิดว่าเขาถามผมแต่ผมไม่ค่อยอยากตอบ แต่จะให้เมย์เป็นคนตอบก็ดูจะไม่เป็นสุภาพบุรุษเท่าไหร่

    "ผมเป็นเพื่อนเมย์ครับ"

    หลังจากนั้นกิลก็ถามนี่ถามนั่นรวมถึงชื่อด้วย ซึ่งผมเริ่มรู้สึกขี้เกียจจะตอบแล้วก็เลยเล่าตั้งแต่ที่เจอเมย์วันแรกให้ฟังซะเลย

    "อ๋อ...เข้าใจละ เป็นอย่างนี้นี่เอง ไอ้ฉันล่ะก็เป็นห่วงน้องว่าเอาคนแปลกหน้าเข้าบ้านจะไม่เป็นไรเหรอ พอได้ฟังก็ค่อยสบายใจหน่อย"

    ใครกันแน่ที่สมควรพูดเรื่องคนแปลกหน้า คนที่เดินดุ่มๆ เข้าบ้านคนอื่นถึงจะเป็นน้องสาวโดยที่ไม่แนะนำตัวเองอย่างนายงั้นสิ

    "แล้วเมย์เป็นไงบ้างล่ะ มองไม่เห็นแบบนี้อยู่คนเดียวคงลำบากมากสินะ"

    "อ๋อไม่เลยค่ะ ทุกคนคอยช่วยเหลือหนูตลอดอย่างกับหนูเป็นเจ้าหญิงแน่ะ"

    เมย์โบกไม้โบกมือไปมา เห็นได้ชัดว่าลนลานแต่ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร

    "พี่กิลบินข้ามทวีปมาแบบนี้ต้องมีธุระกับหนูแน่เลย มีอะไรเหรอคะ"

    น้องสาวถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ แปลกๆ เหมือนจะรู้จุดประสงค์ของชายผู้นี้อยู่แล้วเพียงแต่แค่ถามพอเป็นพิธี กิลเองก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงเรื่องนี้

    "ตรงๆ เลยนะ พี่จะมารับเราไปอยู่ด้วยกันที่สิงคโปร์น่ะ"

    เมย์มีสีหน้าเหมือนกับแม็กซ์ไม่ผิดเพี้ยน เธอนิ่งไปพักหนึ่งแต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือท่าทางของกิล ตอนนี้เขาตีหน้าจริงจังจนน่าขนลุก น้ำเสียงที่ใช้ก็มีระดับพอกัน ทุกสิ่งอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือต่อหน้าต่อตา แม้แต่ผมก็ต้องขอใช้เวลาไม่มากก็น้อยในการปรับตัว

    ในความเข้าใจของผม เมย์ต้องย้ายไปอยู่อีกที่ซึ่งคงไกลจากที่นี่เอามากๆ สำหรับนางฟ้า โลกใบเล็กแค่นี้บินไม่กี่นาทีก็วนรอบได้ แต่สำหรับมนุษย์ที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง การเดินทางไปที่ไกลๆ สักทีหนึ่งคงเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เมย์ก็ไม่เห็นต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นเลย เธอดูกังวลใจมาก สงสัยว่าปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่ระยะทาง

    "หนูบอกป้าเจนไปหลายครั้งแล้วนะคะว่าหนูจะอยู่ที่นี่ ที่บ้านพ่อแม่หนู"

    กิลหลับตาเม้มปากแน่น มือยกขึ้นมาประสานกันบนโต๊ะ

    "แล้วเธอจะเอาเงินที่ไหนใช้"

    "เอ๋?" เมย์อุทานเสียงน่ารัก "ก็ป้าเจนโอนให้เมย์ทุกเดือนนี่คะ"

    "ใช่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว"

    กิลเริ่มใส่อารมณ์ในคำพูดพร้อมมองหน้าน้องสาว ถึงนี่จะเป็นการตกลงระหว่างพี่น้องแต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อยากเกิดขึ้นล่ะก็ผมเอาหมอนี่ตายแน่

    "เดือนหลังๆ แม่พี่ต้องกู้เงินจากแบงค์เพื่อส่งมาให้เธอ พี่ก็ตกงาน ตอนนี้พวกเราลำบาก ไหนจะต้องส่งวิลเรียนอีก"

    เมย์นิ่งเงียบ ขอเดาว่าเธอไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่ก็กำลังคิดคำพูดอะไรอยู่

    ผมรู้เต็มอกว่าเมย์รักที่นี่ ผมก็เหมือนกัน ผู้คนที่นี่ใจดีเป็นกันเอง รู้สึกอบอุ่นราวกับครอบครัว ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจว่าเมย์จะรู้สึกยังไงถ้าต้องจากสถานที่แห่งนี้ไป เพราะขนาดผมที่มาสัมผัสสิ่งต่างๆ ของหมู่บ้านนี้ได้ไม่นานก็ยังจะรู้สึกโหวงๆ ถ้ารู้ว่าจะไม่ได้เจออีกแล้ว สำหรับเมย์ซึ่งอยู่มาทั้งชีวิตยิ่งไม่ต้องพูดถึงความผูกพันธ์ที่ต้องมากตามระยะเวลาแน่นอน แต่ถ้าถามว่าถ้าหากเมย์ต้องไปจริงๆ ผมจะรู้สึกยังไง สำหรับผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้าคิดถึงบินไปหาก็จบ อย่าลืมว่าผมเป็นนางฟ้าสิ

    "งั้นพี่กิลบอกป้าเจนว่าไม่ต้องส่งเงินมาให้หนูก็ได้นี่คะ หนูอยู่ได้"

    "โดยอาศัยเงินของพวกชาวบ้าน"

    กิลพูดดัก

    "พี่รู้ว่าคนที่นี่พร้อมจะช่วยเหลือกันถ้ามีใครลำบาก แต่เธอจะอยู่โดยต้องพึ่งพาพวกเขาตลอดไปเหรอ"

    พร้อมมองหน้าน้องสาวที่เบ้าตาเริ่มแดงเหมือนจะร้องไห้ ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดีแล้วเหมือนกันที่จะต้องเห็นน้ำตาเมย์อีก คงจะต้องพูดอะไรสักอย่าง แต่สำหรับตอนนี้ตัวผมก็คือตัวละครบุคคลที่สามซะเอง ก็ไม่แน่ใจว่าเหมือนกันว่าจะพูดยังไงดี

    "สักวันเธอจะรับรู้ด้วยตัวเองว่าเธอต้องคอยทำให้พวกเขาลำบากอยู่ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นพี่จะมีปัญญาบินมารับรึเปล่าพี่ก็ไม่รู้"

    ของเหลวใสเริ่มไหลอาบแก้มขาวอมชมพู ความรู้สึกราวกับโดนมีดกรีดที่หัวใจเข้าโจมตีผม

    "ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดแรงขนาดนั้นเลยนี่ครับ เธอไม่อยากจากที่ที่เป็นบ้านเกิดไป คุณไม่เข้าใจความรู้สึกเธอเหรอ"

    "เข้าใจ แต่ฉันสงสารแม่ตัวเองมากกว่า ยังไงซะมนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเงิน ที่เมย์พูดแบบนั้นออกมามันก็แค่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้"

    กิลพูดกับผมก่อนจะหันไปพูดกับเมย์อีกครั้ง

    "เข้าใจพี่หน่อยเถอะ อย่างเธอหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว เศรษฐกิจแบบนี้ขนาดคนปกติดียังแทบจะไม่มีใครจ้างทำงานเลย"

    เมย์สะอื้นเบาๆ และหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา

    "ส่วนบ้านหลังนี้ก็ขายซะ แล้วเธอก็เก็บเงินที่ขายได้ไว้กับเธอ พวกเราจะไม่ยุ่ง"

    ไม่ไหวละ ในเวลาแบบนี้ผมต้องพูดอะไรสักอย่าง น้ำตาของเมย์ทำให้รู้สึกเหมือนกับใจกำลังจะสลาย ผมรู้ว่าตัวเองอยากพูดอะไรเพียงแต่ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดรึเปล่า

    "ผมจะดูแลเมย์ให้เอง"

    ถึงจะยังไม่แน่ใจแต่ก็พูดไปแล้ว กิลมองมาด้วยสายตาเหยียดหยามแวบหนึ่งแต่ต้องยอมรับว่าต่อมาเขาก็ซ่อนมันไว้ได้อย่างแนบเนียน

    "นายเป็นใครงั้นเหรอ คนที่นี่ยังไม่ใช่เลย ใครจะไปกล้าฝากน้องสาวไว้กับคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างนาย พูดได้คิดรึเปล่าเนี่ย"

    ไม่ได้เหมือนเป๊ะแต่ก็ทำนองเดียวกันกับคำพูดที่คิดว่าจะได้ยิน ทั้งที่เป็นคำพูดเชิงด่ากลายๆ แต่ผมก็ไม่ยักโมโห มันก็จริงของเขาอะนะ

    "ลุคเป็นเพื่อนหนู ห้ามใช้คำพูดแบบนั้นกับเขานะพี่ ลุคไม่เกี่ยวซะหน่อย"

    สาวสวยขึ้นเสียงทั้งที่ยังไม่หยุดสะอื้น

    "ถ้าหนูทำให้ป้าเจนลำบากขนาดนั้นหนูไปก็ได้ค่ะ"

    "ดีแล้วล่ะ เข้าใจง่ายๆ แบบนี้ พวกเราไม่ใช่เด็กที่จะมางอแงเอาแต่ใจกันแล้ว"

    เมย์เงียบไม่พูดอะไร เธอหยิบไม้เท้าคลำทางเพื่อเดินเข้าห้อง ผมอาสาจะช่วยแต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างอ่อนโยน ผมรู้ว่าเธอมีหลายอย่างที่ต้องคิดจึงไม่อยากเซ้าซี้และปล่อยให้เธอเดินเข้าห้องไป

    "เก็บของเลยมั้ย พี่ช่วย"

    เมย์ปิดประตูห้อง ดูก็รู้แล้วว่าเธอยังไม่ได้เตรียมตัวจะไปแล้วไอ้หมอนี่จะพูดขึ้นมาทำไม พูดไปก็เหมือนตีน้ำให้ขุ่นเปล่าๆ มนุษย์นี่กวนประสาทได้ขนาดนี้เชียวเรอะ

    "อ๊ะ แมวน่ารักจัง"

    พี่ชายสุดกวนพูดเมื่อเห็นคิเรนะที่เดินออกมาจากที่ไหนไม่รู้ มันแลดูตกใจเมื่อเห็นคนแปลกหน้าจึงโก่งตัวด้วยความระแวงและค่อยๆ เดินมาดมตรงชายกางเกงของกิล

    (ใครเหรอเจ้าคะลุค?)

    ผมตอบไปในใจว่าเขาคือพี่ชายของเมย์ ส่วนเรื่องว่าอยู่ดีๆ ทำไมถึงมาเดี๋ยวค่อยคุยกัน ยังไงผมก็จำเป็นต้องบอกเพราะเรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับที่อยู่ที่นอนของพวกมันเหมือนกัน

    "ขนนุ่มนิ่มจัง อ๊า...จะไปไหนเล่า ขอกอดอีกหน่อยน่า"

    คิเรนะพยายามดิ้นให้หลุดออกจากวงแขนนั้นจนในที่สุดก็กระโดดออกจากการกอดรัดที่น่ารังเกียจขึ้นมาบนโต๊ะกินข้าวก่อนจะทำขนพองพร้อมทำเสียงประหลาดที่เข้าใจว่าเป็นการขู่ กิลทำหน้าเสียดายราวกับทำขนมตกลงทะเลไป

    ต้องทำใจรู้มั้ย ก็คิเรนะน่ารักนี่นา

    ขนพองๆ ของแมวน้อยกลับมาเป็นปกติ

    (ลุคอ่ะ! คิเรนะมีแฟนแล้วนะเจ้าคะ อย่าทำให้คิเรนะหวั่นไหวได้มั้ย)

    ผมยิ้มและบอกมันว่าคืนนี้ให้มาที่ต้นไม้หน้าบ้านเพราะมีเรื่องจะคุย ให้เรียกลูอิสมาด้วย

    .

    .

    ใต้ต้นไม้ในคืนวันที่หิมะตกโปรยปรายดูแล้วน่าจะขนลุกด้วยความเย็นเยือก เพียงแต่ผมไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นจึงได้สร้างมิติที่สิ่งมีชีวิตบนโลกสามารถเข้าไปได้และพวกสวรรค์ก็ตรวจสอบได้ นี่จึงไม่ใช่มิติที่ผิดกฎแต่อย่างใดเพราะมันมองจากภายนอกไม่เห็น แต่ถึงจะมองเห็นก็คงไม่มีใครมามอง เพราะที่นี่ทุกคนตอนนี้ต่างก็เก็บตัวอยู่ในบ้านของตัวเองตั้งแต่หกโมงเย็นเพื่อขอพรกับพระเจ้าในวันคริสมาส แน่นอนเมย์ก็เช่นกัน ส่วนคนชื่อกิลเบิร์ตซึ่งเป็นพี่ชายออกไปไหนไม่รู้ตั้งแต่ก่อนสี่โมง แต่ก็ช่างมันเถอะผมไม่สนใจ

    ภายในมิตินี้มีลักษณะเป็นห้องทรงกลมสีขาวถูกย้อมด้วยแสงวูบวาบสีเหลืองของเทียน พวกเราทั้งสามนั่งล้อมวงกันในระยะที่ไม่ห่างกันมาก ที่จริงจะเรียกว่าล้อมวงก็ไม่ถูกเพราะตรงหน้าผมมีแค่เจ้าหมายักษ์ที่นั่งตัวตรงอยู่เท่านั้น ส่วนแฟนตัวเล็กของมันนอนขดตัวสบายตีหางเล่นอยู่บนตักผม หลังจากที่ผมบอกว่าเมย์ต้องไปอยู่ที่อื่นแล้ว ขณะที่กำลังลุ้นว่าจะคุยกันรู้เรื่องเพราะความหึงรึเปล่าสัตว์ตัวโตก็เริ่ม

    (อย่างนี้นี่เอง...)

    มันพูดดังก้องอยู่ในหัวก่อนเห่าเสียงดังเพื่อเรียกแมวสาว แสบหูดีแท้แต่ก็ได้ผล คิเรนะผงกหัวขึ้นมา

    (นี่เธอจะเคลิ้มอีกนานมั้ย เรื่องนี้เรื่องใหญ่สำหรับพวกเรานา ช่วยกันคิดหน่อยดิ)

    (คิดเหรอ คิดแล้วพวกเราทำอะไรได้อ่ะตัวเอง เค้าว่ามีมี่ไม่ทิ้งพวกเราหรอก อย่ากังวลเลย)

    คิเรนะพูดถูก เมย์ไม่ใช่คนแบบนั้นพวกมันก็น่าจะรู้ดีกว่าใคร แต่ที่ผมต้องเล่าเรื่องนี้ก็อย่างที่บอก เพราะมันจำเป็น

    (เรื่องนั้นฉันไม่กังวลหรอก)

    งั้นพวกเราก็คิดเหมือนกันหมด แล้วมีอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่?

    (หึ นายไม่รู้อะไรซะแล้ว พวกมนุษย์น่ะกฎเกณฑ์เยอะจะตาย ไอ้นี่ก็ห้ามไอ้นั่นก็ไม่ได้ การขนสัตว์เลี้ยงข้ามประเทศเดาเลยว่าต้องเรื่องมากชัวร์)

    อ๋อ งี้นี้เอง ถ้าพูดถึงเรื่องกฎ สวรรค์เองก็มีไม่น้อยไปกว่าโลกมนุษย์หรอก เชื่อสิ แต่ผมก็รู้ว่าคงเป็นกฎที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    (ก็ปล่อยให้มนุษย์จัดการไปสิ เราจะไปยุ่งทำไม)

    เสียงเล็กบ่นแบบขอให้มันผ่านๆ ไป

    (สงสัยเธอจะยังไม่รู้ถึงความกลัวที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ ถ้าเกิดเขาห้ามขึ้นมาเราต้องอยู่ที่นี่โดยไม่มีเมย์นะ ให้ไปอยู่กับคนอื่นฉันไม่เอาหรอก และเมย์ก็จำเป็นต้องมีฉันด้วย)

    พูดจบหมาขาวหันมาหาผม

    (แล้วพวกเขาจะไปกันวันไหน)

    เสียงห้าวแลพูดด้วยความเร่งรีบซึ่งไม่จำเป็น จะรีแอ็คชั่นไปทำไมให้เปลืองพลังงาน นายไม่ใช่พวกไฟแรงอย่างกิลซะหน่อยลูอิสเอ้ย

    "เมย์ขอหมอนั่นว่าให้เธอได้ฉลองคริสมาสกับพวกลุงๆ ป้าๆ ก่อนแล้วค่อยไปน่ะ อีกอย่างนะฉันเพิ่งคิดออก สมมติว่ามีกฎห้ามเอาสัตว์ไปด้วยจริงๆ ฉันพาพวกนายบินไปส่งก็ได้นี่ ฉันไม่ธรรมดานายก็รู้"

    พอพูดจบ ผมเหมือนกับว่าจะเห็นภาพหมาขาวทำหน้าเหมือนจะหัวเราะ ฮึ

    (แล้วจะบอกเมย์ยังไงให้มันดูธรรมชาติที่สุดนายคิดออกมั้ย? นายคงไม่บอกเธอหรอกนะว่านายเป็นคนเหาะมาส่งพวกฉันเอง)

    เป็นหมาที่รอบคอบเกินหมาจริงวุ้ย

    "ฉันรู้น่า ถึงตอนนั้นก็คิดออกแล้ว"

    (ลุคเก่งจังเจ้าค่ะ คิเรนะก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย)

    พูดเสร็จคิเรนะก็กลับไปตีหางใส่ตักผมเหมือนเดิม ลูอิสถอนหายใจแรงๆ แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกโล่งอก

    (ขอให้ได้งั้นเหอะ)

    มันว่าอย่างนั้นและหมอบลง สบายใจขึ้นแล้วสิท่า

    (ซะเมื่อไหร่ ฉันเกิดรู้สึกเป็นห่วงเจ้านายขึ้นมาตะหงิดๆ แล้วล่ะสิ)

    ผมถามเจ้าหมาว่าเรื่องอะไรพลางลูบขนนุ่มๆ ของแมวน้อยบนตัก

    (ไม่ได้ว่านะ แต่ถ้านายรักเมย์จริงๆ ฉันคิดว่าการที่นายเอาแต่พูดโกหกมันคงจะไม่ดีนักหรอก ตั้งแต่รู้จักกัน นายคิดว่าเธอได้ฟังความจริงอะไรบ้างจากปากนาย ถึงต่อไปพวกนายจะรักกัน แต่ฉันเนี่ยแหละจะเป็นหมาที่ขัดขวางพวกนายเอง)

    ขอชื่นชมในความซื่อสัตย์ของนายเลยลูอิส เมย์โชคดีมากที่มีหมาอย่างนาย

    "แต่ฉันนึกว่านายจะเข้าใจสถานะฉันซะอีกนะ"

    (นั่นสิตัวเอง เค้าว่าลุคก็คงลำบากใจที่ต้องโกหกคนที่ตัวเองรักเหมือนกันนา ตัวเองก็รู้ว่าถ้าเป็นไปได้ลุคคงไม่ทำ)

    ระหว่างที่ผมหายไปเกือบเดือน สองตัวนี้คงคุยกันเรื่องผมกับเมย์ไม่มากก็น้อย ผมดีใจที่คิเรนะเข้าใจและออกโรงเข้าข้างผม แต่เรื่องที่ลูอิสพูดผมก็ใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลา

    (บางทีนายอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่เมย์ไม่ใช่คนที่ชอบเอาอะไรไปโพทะนา ถ้าเป็นฉัน เพื่อคนที่รักแล้วฉันจะเล่าความจริงเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมด จากนั้นผลจะเป็นยังไงฉันก็จะยอมรับมัน ก็ลูกผู้ชายนี่นะ)

    คำพูดนี้ของลูอิสถึงกับทำให้ผมเกือบจะขำออกมา ไม่ใช่เพราะว่ามันน่าขำแต่เป็นเพราะว่าก็จริงอย่างที่มันพูด

    หลังเอ่ยคำคมสุดเท่ห์ออกมา เจ้าหมาขาวตัวยักษ์ก็ว่าหน้ายาวๆ ลงกับพื้น หันไปทางอื่น พร้อมถอนหายใจยาวๆ จนเทียนที่อยู่ใกล้ๆ วูบไหว แมวสาวก็ลุกขึ้นจากตักผมไปหยอกแฟนหนุ่มในเรื่องที่ผมเข้าใจว่าผ่านมานานแล้ว

    ขณะที่ผมกำลังขำกับเสียงห้าวกับเสียงเล็กที่กำลังโต้ตอบกัน อากาศด้านหน้าพวกเราขมวดตัว เทียนที่สว่างอยู่ถูกพัดดับ ท่ามกลางความตกใจของสัตว์ทั้งคู่ ผมอธิบายกับพวกมันด้วยความรู้สึกเซ็งๆ แต่ด้วยน้ำเสียงสบายๆ

    "ไม่ต้องกลัว แต่ฉันคงต้องไปแล้ว"

    ลูกแก้วเปล่งแสงสีฟ้าสว่างจ้า สัญลักษณ์รูปโล่ดำเป็นเงาฝังอยู่ภายใน

    (ลุคจะหนีพวกเราไปอีกแล้วเหรอเจ้าคะ)

    "ไม่มีทางหรอกคิเรนะ ไม่มีวัน"

    ภาพแมวน้อยกลายเป็นแค่เงาลางๆ เพราะความมืด

    "ฉันจะมาฉลองคริสมาสกับทุกคนแน่ เจอกันพรุ่งนี้"

    หลังเอื้อมมือคว้าลูกแก้ว แสงสีขาวสว่างจ้าจนปวดตาเข้าปกคลุมทันที สังหรณ์ของผมบอกว่าการกลับสวรรค์ครั้งนี้ไม่ใช่หรือไม่มีข่าวดีอะไรเกี่ยวกับตัวเอง

    ถ้ามันเป็นอะไรที่พอรับได้หรือเป็นแค่เซนส์กระจอกๆ ผมก็คงจะสามารถยิ้มให้มันได้อย่างจริงใจ เพียงแต่...

    สังหรณ์ของผมมักจะไม่ค่อยพลาดหรอก



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×