ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step Into My World

    ลำดับตอนที่ #7 : การประชุม ทัช ออฟ ก็อด

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 55


     

    การประชุมทัชอ๊อฟก็อด

    "เฮ้อ..." เสียงถอนใจของชายหนุ่มดังขึ้นอย่างยืดยาว "ไอ้เรามันชั้นผู้น้อย การเดินทางข้ามภพแต่ละทีก็ลำบากอย่างนี้แหละ"

    ชายคนเดิมกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจกับชายอีกคนที่ทั้งวุฒิภาวะและอายุมีมากกว่า ชายร่างกายกำยำทั้งสองคนเดินอยู่บนทางตรงตลอดแนวที่สว่างจ้าด้วยแสงสีขาวปวดตา

    "ไอ้ต้องเดินน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่สำหรับฉัน ถ้าถามว่าอะไรที่ไม่ชอบมากที่สุดในบันไดนี้ก็ไอ้แสงสว่างๆ นี่ล่ะ"

    "ทำไมอ่ะลุง?"

    "ก็คนมันชินกับที่มืดๆ อย่างในนรกนี่หว่า พอมาอยู่ที่สว่างแบบนี้เลยแปลกๆ เหมือนโดนจับผิดน่ะ"

    ว่าแล้วยมทูตผู้อาวุโสกว่าก็ดึงฮู๊ดสีแดงเพลิงให้กระชับปกปิดใบหน้ายิ่งขึ้น ผิวดำแดงของทั้งสองดูซีดอย่างประหลาดเมื่ออยู่ภายใต้ความสว่างระดับนี้ บนแผ่นหลังที่เต็มแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อสะพายอาวุธยาว ซึ่งมันสั่นไหวตามจังหวะก้าวเดิน

    "พูดก็พูดเหอะลุง แต่ฉันว่าตอนที่ยังไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับพวกนั้นพวกเรายังสบายกว่าเลย ปัญหาก็น้อยกว่าตอนนี้ด้วย"

    ยมทูตหนุ่มที่ไม่ใช้ฮู๊ดคลุมหัวออกความเห็นพร้อมใช้มือที่ถือถุงกะมะหยี่แดงประกอบท่าทาง

    ด้านในถุงบรรจุลูกแก้วกลมใสขนาดเท่าลูกกอล์ฟที่ภายในฝังสัญลักษณ์สีทองรูปเคียวด้ามยาวไขว้เป็นกากบาทและลูกไฟตรงกลางที่หมุนรอบตัวเองอย่างเอื่อยเฉื่อย

    "มากคนก็มากความเป็นเรื่องธรรมดา แกจะบ่นอะไรในเมื่อเวลาก็ยังหมุนของมันไปข้างหน้า จะดีขึ้นหรือเลวลงทุกสิ่งก็ต้องย่อมเปลี่ยนแปลง การมีชีวิตเพื่อรอรับสภาพที่เปลี่ยนแปลงนั่นสำคัญสุดไม่ใช่รึ เจ้าหลานชาย"

    ยมทูตหนุ่มเดินต่ออย่างเงียบๆ พลางคิดตามอย่างเห็นด้วย เคราดำของยมทูตผู้ซึ่งอยู่ในฐานะลุงเชิดขึ้นจากมุมปากที่ยิ้มใจดี ดวงตาสีเข้มฉายแววอบอุ่นแวบหนึ่ง พวกเขายังคงต้องเดินต่อไปโดยที่ปลายทางซึ่งเป็นจุดหมายยังอยู่อีกไม่ใกล้นัก

    ว่ากันตามจริง ถ้าถามถึงเรื่องที่พวกเขาเป็นยมทูตแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่เลือกวิธีบินแทนการเดิน คำตอบก็จะออกมาเป็น 'เพื่อความเหมาะสม'

    ดูเหมือนเจ้า 'ความเหมาะสม' นี้จะเป็นเพียงความมากเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งหลาย ซึ่งถึงพวกผู้น้อยจะทำได้แค่เพียงบ่นแต่พวกเขาก็เหมือนจะไม่เหนื่อยที่ยังคงบ่นต่อไป ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ สมดั่งหวังของตัวเอง

    สถานที่แห่งนี้คือเส้นทางเชื่อมระหว่างสวรรค์กับนรกโดยตรง เป็นวันเวย์อันถูกเรียกว่า 'สะพานแห่งความสัมพันธ์' มีไว้เพื่อติดต่อประสานงานต่างๆ ของทั้งสองภพ ซึ่งก่อนหน้านี้จะต้องมี 'ศาลมหาเทพ' เป็นทางผ่านของรายงานต่างๆ นาๆ

    หลายคน ทั้งนางฟ้าและยมทูตเคยตั้งประเด็นกันอย่างเงียบๆ ในหมู่ชั้นผู้น้อยที่งานน้อยแต่เวลาว่างเยอะ ว่าการมีสะพานแห่งความสัมพันธ์ในการประสานข้อมูลโดยตรงกับการที่ต้องใช้ศาลมหาเทพเป็นตัวกลาง เส้นทางไหนถึงจะรวดเร็วกว่ากัน ผลการพิสูจน์คือความรวดเร็วในการรับข้อมูลนั้นสะพานแห่งความสัมพันธ์ใช้เวลาน้อยกว่าเพียงนิดเดียว

    ร้อนถึงเหล่าเทพระดับสูงซึ่งออกมาแก้ตัวอย่างตาลีตาเหลือกว่า 'สะพานแห่งนี้จำเป็นสำหรับรองรับการดำเนินแผนการจัดการอื่นในอนาคต'

    หลายคนหรืออาจจะทุกคนแค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์แอบแฝงต้องมีอย่างแน่นอน เหมือนกับที่หลายคนไม่เข้าใจว่า ทำไมพระเจ้าถึงได้สร้างสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ออกมา แต่เข้าใจได้ว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงไม่ต่างกัน และคงจะได้รู้เมื่อแผนการ 'ชำระล้างโลก' เสร็จสิ้น

    ย้อนกลับมาถึงเรื่องที่สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมา มันสร้างเสร็จภายใน 1 ปีหลังจากที่เหตุการณ์ที่นับได้ว่าสั่นคลอนทั้งสวรรค์และนรกเหตุการณ์หนึ่งเลยก็ว่าได้

    นั่นคือเหตุการณ์ที่ ลูอิส เดอ แฮพเว่น บุตรพระองค์เดียวแห่งพระเจ้า ถูกสังหารโดยมือของพ่อของเขาเอง

    ลูอิสนั้นเป็นที่เลื่องชื่อในความปราดเปรื่องของสมองจนถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะเทพองค์หนึ่ง ข่าวการสิ้นชีพของเขาเป็นที่เศร้าใจในหมู่นางฟ้าหรือแม้แต่ยมทูต อันที่จริง ที่สะพานแห่งความสัมพันธ์นี้สามารถสร้างขึ้นได้ก็เพราะเขา ที่ทำให้ยมบาลเจ้าแห่งนรกยอมลดทิฐิลงจนตกลงทำสัญญาผูกพันระหว่างสองภพได้ ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้บรรดาเหล่าเทพข้องใจในการกระทำที่ราวกับฆาตกรเช่นนั้น

    พระเจ้าผู้สร้างสรรค์ทุกสรรพสิ่งได้ไขข้อข้องใจเหล่านั้นในเวลาต่อมา

    "เหตุที่บุตรของเรา ลูอิส เดอ แฮพเว่น ได้ถูกเรากระทำการประหาร เนื่องจากเขาใช้ความอัจฉริยะของเขาในทางที่ชั่วร้าย เขาได้สร้างมิติต้องห้ามขึ้นและเรียนวิชาด้านมืดภายในนั้น เราได้ตัดสินแล้วว่าพฤติกรรมคลั่งไคล้สิ่งชั่วร้ายของลูอิส หากปล่อยไว้ต่อไปเขาจะเป็นผู้ก่อให้เกิดยุคมืดของสวรรค์อีกครั้ง หลังจากที่ซาตานที่เขาหลงใหลได้เคยก่อไว้เมื่อหลายล้านปีมาแล้ว..."

    หลายคนที่ได้ฟังแถลงการณ์นั้นถึงกับพูดไม่ออก ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะเชื่อว่าพระเจ้าผู้อยู่เหนือทุกสิ่งจะพูดโกหกหรือสร้างภาพ ทำให้ศรัทธาที่เหล่านางฟ้าหรือยมทูตเคยมีในตัวลูอิสหมดลง และประเด็นนี้ก็ได้เงียบไปหลังจากที่วุ่นวายกันอยู่ระยะหนึ่ง

    กลับมายังยมทูตทั้งสองซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ยังคงเดินกันไปและหัวเราะขบขันกับเรื่องที่ยมทูตหนุ่มนำมาเล่า โดยที่พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายร่างสูงโปร่งได้ยืนกอดอกอยู่ด้านหน้า แต่ในระยะที่ค่อนข้างห่างทีเดียว

    "นั่นใครน่ะลุง" ยมทูตหนุ่มที่สังเกตเห็นสักทีถามขึ้น รอยยิ้มแก้มแทบปริกับเสียงหัวเราะที่ดังลั่นก่อนหน้านี้ถูกความตึงเครียดกลืนกินในพริบตา

    "หัวทองๆ นางฟ้าล่ะมั้ง" แม้จะพยายามทำเสียงสบายๆ แต่ดวงตาสีเข้มนั้นกลับจ้องร่างปริศนาไม่กระพริบ

    "ลุง นางฟ้าที่ไหนแต่งตัวอย่างกับมนุษย์"

    ทั้งคู่จ้องเขม็งกับร่างที่เดินเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ ท่อนแขนข้างถนัดของทั้งคู่พร้อมใจกันเอื้อมไปด้านหลัง ฝ่ามือกระชับแน่นที่ด้ามของเคียวด้ามยาวอาวุธประจำกาย แต่เมื่อร่างโปร่งใกล้เข้ามาในระยะที่พอมองเห็นได้ชัดเจน มือของพวกเขาก็คลายลงทันทีก่อนจะสั่นด้วยความคาดไม่ถึง

    ผ้าสีน้ำเงินซึ่งลอยเด่นมาแต่ไกลถูกพันอยู่ที่คอ ใบหน้าหล่อเหลาสมกับเป็นเทพปั้นยิ้มเสแสร้ง ผมบลอนด์ซอยสั้นระต้นคอขยับนิดหน่อย เสื้อคอวีแขนยาวแลดูขาวขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ในสะพานแห่งนี้

    "ไง พวกนายจะไปสวรรค์กันเหรอ?"

    ราวกับเสียงนุ่มลอยมาแต่ไกลทั้งที่อยู่แค่เพียงตรงหน้า ม่านตาของยมทูตทั้งสองเบิกกว้าง แม้สมองจะยังสั่งการติดขัดกับสิ่งที่รู้มาและความจริงตรงหน้าที่สวนทางกัน แต่ร่างกายกลับตอบสนองไปก่อนราวกับเป็นเรื่องคุ้นชิน

    "ถวายบังคมพะย่ะค่ะ องค์ชายลูอิส"

    ยมทูตกล่าวพร้อมกันอย่างแข็งขันพร้อมกับคุกเข่าคำนับ ลุคยิ้มกว้างอย่างไร้ความจริงใจและเหลือบไปยังถุงแดงในมือของยมทูตหนุ่ม

    "หน้าแบบนั้นคงสงสัยล่ะสิ อยากจะถามว่าทำไมฉันถึงยังไม่ตายสินะ"

    นัยน์ตาลุคกลอกสลับซ้ายขวาถึงแม้เปลือกตายังพริ้มเพราะการปั้นยิ้ม แต่ไม่มีคำตอบของคำถามของเขาจากปากยมทูตทั้งสองซึ่งก้มหน้าหลบตา

    "หึ ช่างเหอะ นั่นอะไรเหรอ?"

    ลุคเพยิดหน้าขาวไปที่ถุงกำมะหยี่แดงในมือยมทูต ทั้งสองหันหน้าสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะตอบอย่างติดขัด

    "สาส์นจากนรกพะย่ะค่ะ ทะ...ท่านยมบาลทรงให้นำมาถวายพระเจ้าสูงสุดโดยด่วนที่สุดพะย่ะค่ะ"

    "พวกนายรู้รึเปล่าว่าข้างในมีอะไร?"

    "กะ...กระหม่อมไม่ทราบพะย่ะค่ะ"

    ยมทูตแก่โกหก

    ความจริงพวกเขารู้ถึงเนื้อหาภายในว่าเป็นสรุปผลการสังเกตการณ์ตลอด 4 ปี ของยมทูตกับเหตุการณ์คืนชีพในโลกมนุษย์ รวมถึงการจับกุมที่เกิดขึ้นได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์ ข้อมูลเหล่านั้นถูกบันทึกลงโดยโบล์ตและคริสจอมทัพสูงสุดแห่งทัพยมทูต

    "ว้า...งั้นเหรอ น่าเสียดายจังน้า"

    ลุคแสดงเสียงเสแสร้ง ที่จริงเขารู้ว่ายมทูตโกหก รวมถึงเนื้อหาของลูกแก้วเขาก็รู้อยู่แล้วเช่นกัน

    แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องทั้งหมด เหตุการณ์ที่ยมบาลและเหล่าลูซิเฟอร์ผู้ไร้ความทรงจำปะทะกันนั้นก็คือความประสงค์ของเขากับซาตาน

    ก่อนหน้านี้ที่ลุคเคยได้ไปเตือนเรย์ถึงเรื่องการเคลื่อนไหวของนางฟ้าและยมทูต ท่าทีหัวแข็งระดับเรย์มอนด์ คารอล ไม่มีทางฟังใครอย่างแน่นอน เขาจึงจำเป็นต้องจัดฉากให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ซึ่งผลนั้นลุครู้อยู่แล้วว่าพวกเรย์ต้องพ่ายแพ้ชนิดยับเยิน แต่นั่นก็ทำให้พวกเรย์ได้รู้ถึงระดับที่ยังห่างชั้นเช่นกัน ส่งผลให้ลุคเดาว่าพวกเรย์ในตอนนี้คงกำลังคิดทำอะไรสักอย่างเพื่อลดระดับความห่างนั้น ซึ่งมันเป็นจุดประสงค์ของลุคตั้งแต่แรก

    "ฉันเป็นคนขี้รำคาญ ขอพูดตรงๆ กับพวกนายละกัน" ลุคยิ้มมุมปาก "ขอสาส์นนั่นให้ฉันเถอะ"

    ได้ยินเช่นนั้นยมทูตทั้งสองถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ ข่าวลือที่พวกเขาเคยได้ยินมาเริ่มไหลกลับเข้ามาในสมอง

    ชายตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่บุคคลที่น่าไว้ใจอีกต่อไป

    "ท่านยมบาลรับสั่งให้พวกกระหม่อมนำสิ่งนี้ส่งให้ถึงมือของพระเจ้าสูงสุดด้วยตนเอง พวกกระหม่อมถูกกำชับหนักหนาว่าห้ามผ่านมือใครพะย่ะค่ะ"

    ยมทูตอาวุโสพูดด้วยเสียงที่แข็งกร้าวและทรงพลังขึ้น พวกเขาเงยหน้าและจ้องลงไปในเปลือกตาที่เริ่มคลายยิ้มอย่างปฏิเสธชัดเจน

    "แหม ถ้ายืนกรานซะขนาดนั้นฉันก็มีตัวเลือกให้พวกนายนะ นั่นคือจะส่งให้ฉันดีๆ หรือให้ฉันฆ่าแล้วแย่งเอามา"

    ยิ้มเสแสร้งที่เริ่มคลายทำให้ยมทูตมั่นใจในข่าวลือว่าแผนการบางอย่างของซาตานที่ยังไม่สิ้นชื่อได้เริ่มดำเนินมาแล้ว

    ดาบเงินเล่มยาวที่ปลายของกั่นดาบฝังด้วยอัญมณีแดงเข้มถูกเสกขึ้นในมือของลุค ยมทูตทั้งสองกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็วจนผ้าคลุมไหล่ที่เชื่อมกับฮู๊ดสะบัด

    "องค์ชาย มะ...หมายความว่ายังไงพะย่ะค่ะ?"

    แม้จะค่อนข้างแน่ใจในแววตาอันตรายที่ส่งมา แต่ยมทูตอาวุโสยังคงถามเสียงแข็งอย่างไร้ความเคารพ

    "ฉันขอดีๆ แล้วนา..."

    ลุคย่างกรายเข้ามาหายมทูตอย่างช้าๆ

    "…ไม่จำเป็นต้องพูดกันมาก มันเสียเวลา..."

    ลุคพูดลอดไรฟัน เขาเลิกปั้นยิ้ม จิตสังหารที่แผ่ออกมานั้นเข้มแข็งจนเกือบแข็งกร้าวและเยือกเย็น

    "ผมว่าชัดเจนแล้วล่ะ ข่าวลือที่ว่าซาตานยังไม่ตายเป็นเรื่องจริง และหมอนี่ต้องเป็นพวกเดียวกับมันแน่ มันต้องการชิงสาส์นจากเราเพราะถ้าสาส์นนี้ไปถึงสวรรค์พวกมันจะเคลื่อนไหวลำบาก"

    ยมทูตเคราดำฟังหลานชายพูด เขาเห็นด้วย หลักฐานก็คือพวกเขาได้หยิบอาวุธประจำกายออกมาจากแผ่นหลังและตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมืออันตรายที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วินาที

    "โอ้ พวกนายวิเคราะห์ได้เฉียบมาก ถูกต้องเลยแหละ หมอนั่นยังไม่ตาย แต่ผิดอยู่นิดนึง..."

    ลุคตวัดดาบเงินลากพื้น

    "...ตรงที่ฉันไม่เคยคิดร่วมมือกับหมอนั่น และถ้าเป้าหมายฉันสำเร็จเมื่อไหร่ฉันก็จะกำจัดพวกมันให้หมดทุกคน แต่ตอนนี้คนที่ต้องตายคือพวกแก จงดีใจเถอะ ที่พวกแกต้องตายนี่ก็เพื่อคุณธรรมจริงๆ นะ"

    "น่าสมเพช นี่เรอะอัจฉริยะเทพ ถึงจะเป็นอดีตองค์ชายแต่อย่ามาหยามเราให้มากนัก!"

    ยมทูตพุ่งเข้ามาก่อนจะพูดจบประโยคเสียอีก ร่างกายอันใหญ่โตสองร่างโถมเข้าใส่ร่างโปร่งเพรียวอย่างน่ากลัว เพียงแต่ชายผมบลอนด์ไม่รู้สึกเช่นนั้น

    "พวกแกมันไม่ได้รู้อะไรหรอก...จะบอกให้"

    เสียงนุ่มพึมพัม ใบมีดงุ้มของเคียวด้ามยาวถูกฟาดลงจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นสะพานแห่งความสัมพันธ์

    .

    .

    .

    "รู้สึกว่าพวกเขาจะมากันครบนะแล้วครับคุณสเตฟานี่"

    ทอมพูดหลังจากที่เสียงประตูไม้เงางามปิดลง สาวผมบ๊อบเพียงตอบรับในลำคอและยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ซึ่งบุด้วยฟองน้ำหุ้มหนังนุ่มสบายต่อไป ของที่วางอยู่บนโต๊ะตัวยาวที่ทำจากแก้วหรูหราคือแก้วน้ำก้านยาวที่บรรจุน้ำสีบลูฮาวายกับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหญ่สีดำเหลือบมุก ทุกด้านของโต๊ะแก้วรายล้อมด้วยเก้าอี้หรูที่เข้ากันด้านละห้า รวมสองด้านเป็นจำนวนสิบ

    ในห้องถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู ด้านหลังสเตฟานี่ซึ่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะคือจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ฝังอยู่แทนเนื้อที่ที่ควรจะเป็นผนัง ทำให้ถ้าหากปิดไฟ ห้องนี้ก็เปรียบดั่งโรงหนังดีๆ นี่เอง

    ณ ขณะนี้ไฟสีส้มอ่อนจากโคมหรูรอบห้องทำให้บรรยากาศภายในราวกับเป็นมิวเซี่ยมที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำต้านกับอุณหภูมิสูงภายนอก

    สเตฟานี่เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้น เธอกดที่หน้าจออยู่สองสามครั้งก่อนจะยกขึ้นแนบหู

    "คุณแกรนด์สโตน พวกเขาอยู่ที่ล๊อบบี้รับแขกใช่มั้ยคะ?"

    [ค่ะ ดิฉันรับรองพวกเขาอยู่ จะให้ดิฉันเชิญขึ้นไปเลยหรือเปล่าคะ?]

    "ค่ะ เชิญ 4 คนนั้นขึ้นมาเลย"

    เสียงหวานปลายสายตอบรับ สเตฟานี่โยนโทรศัพท์กลับเข้าโต๊ะและนั่งเอนหลังหลับตา สีหน้าเรียบเฉยราวกับหุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณของเธอทำให้ทอมเลือกที่จะเงียบและเดินไปมาในห้องที่ปูด้วยพรมราคาแพง ก่อนจะหยิบแม็กกาซีนขึ้นมาอย่างส่งๆ เล่มหนึ่งขึ้นอ่านให้ดูเหมือนมีอะไรทำ แต่ร่างกายที่สูงใหญ่ในชุดสูทดำสั่งตัดพิเศษกระตุกเล็กน้อยเมื่อเสียงเนิบเอ่ยถามถึงจอห์น ไลท์ทรี

    "อ๋อ หมอนั่นก็มาถึงแล้วครับ ป่านนี้เข้าไปตีสนิทจีบคุณลีอาห์แล้วล่ะ"

    ทอมยิ้มจางๆ หลังตอบ เขาวางหนังสือเข้าที่เดิมและนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ๆ

    สเตฟานี่รู้สึกขัดหูขัดตากับทรงผมของทอมที่วันนี้ดูเหมือนจะเรียบร้อยกว่าทุกวัน ทั้งที่ปกติผมหยักศกสั้นสีน้ำตาลเปลือกสนนั่นดูชี้โด่ไม่เป็นทรง

    "ดิฉันอาจจะคิดไปเอง แต่ดูท่าทางคุณกับคุณไลท์ทรีจะทำใจได้เร็วเหมือนกันนะ ดิฉันคิดว่าเรย์เป็นเพื่อนสนิทพวกคุณซะอีก"

    ทอมได้ฟังก็ชะงักเล็กน้อยก่อนหัวเราะในลำคอและมองไปยังหญิงสาวที่ประสานมือบนโต๊ะแก้ว

    "นี่ก็อาทิตย์นึงแล้วนะครับ แต่ก็เพราะสนิทกันมากนี่แหละพวกเราถึงทำใจได้เร็ว อย่างคุณน่าจะรู้นิสัยหมอนั่นดีนะ ว่ามันไม่เคยและไม่ชอบทำอะไรที่เปล่าประโยชน์ รวมถึงไม่ชอบให้คนรอบตัวมันทำอะไรเปล่าประโยชน์ สิ่งที่ควรทำ เรื่องที่หมอนั่นสั่งเสียเอาไว้ พวกเราก็กำลังทำอยู่ เรื่องไร้ประโยชน์อย่างการทำให้บรรยากาศที่หดหู่อยู่แล้วให้หดหู่กว่าเดิม หรือเรื่องร้องไห้เสียใจ เอาไว้ทำหลังจากนี้ หลังจากเคลียร์ทุกๆ สิ่งให้ลงตัวแล้ว เรย์มันคงไม่ว่าหรอกครับ"

    คำพูดที่จงใจกระแทกทำให้สเตฟานี่คิ้วกระตุก เธอเบือนหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง

    "อย่างคุณจะไปเข้าใจอะไรดิฉัน...ให้ตายสิ คุณเนี่ย หัดเข้าใจสาวๆ แบบคุณไลท์ทรีบ้างก็ดีนะ"

    ทอมรู้ทันทีว่าสเตฟานี่แกล้งใส่อารมณ์โกรธในน้ำเสียง เขาเห็นใบหน้าที่หันข้างของเธออมยิ้มเล็กน้อย ทอมเหลือบตามองแวบหนึ่งพลางหัวเราะออกมาทางจมูกและยักไหล่ขึ้นลง

    ก๊อกๆๆๆ

    ประตูไม้ส่งเสียงจากการถูกเคาะ สเตฟานี่และทอมผุดลุกขึ้นยืนเพื่อรอต้อนรับทันที

    ยังไม่ทันที่สเตฟานี่จะเอ่ยคำเชิญ ประตูห้องก็ได้เปิดออก

    "อืม เรย์มอนด์สุดยอดจริงๆ"

    ชายคนแรกกล่าวอย่างพึงพอใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราที่จัดแต่งทันสมัยนั้นหันรีหันขวางสำรวจรอบบริเวรห้องสุดหรูหรา เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายฮาวายสวมทับเสื้อยืดลายทางสีขาวดำที่คอเสื้อมีแว่นตากันแดดอันใหญ่เหน็บไว้ เขาเดินมาหาสเตฟานี่ซึ่งยืนรออยู่แล้ว

    "ริคาร์โด้ ดีใจที่ได้พบคุณ" สเตฟานี่เริ่ม

    "โอ้โห คุณสเตฟานี่ ยินดีเช่นกันครับ สวยขึ้นรึเปล่าเนี่ย"

    พวกเขาจับมือทักทายกันอย่างเป็นมิตรพลางยื่นหน้าแตะแก้มกัน

    "ผมเสียใจเรื่องเรย์มอนด์มาก หวังว่าจะได้แนวทางดำเนินการต่อจากนี้ที่นี่นะครับ"

    "ไม่ต้องห่วงค่ะ"

    หญิงสาวยิ้มตอบ ริคาโด้ยิ้มเช่นกัน ก่อนเขาจะหันมาที่ร่างสูงของทอมเพื่อจับมือทักทาย

    "คุณทอมยังฟิตปั๋งเหมือนเดิมน้า"

    ริคาร์โด้พูดเคล้าหัวเราะ แต่ทอมแค่ถามไถ่ตามมารยาทสองสามคำก่อนจะเชิญผู้เป็นแขกให้นั่ง

    คนที่สองที่เดินเข้ามาโดดเด่นด้วยการแต่งตัวอันสดใสคล้ายนักร้องเอเชี่ยนป๊อบ รูปร่างสมส่วนเข้ากันกับหน้าตาที่น่ารัก ผมยาวตรงซอยไล่ระดับสีดำขลับนั่นถูกตกแต่งด้วยหมวกสีสันสดใสเช่นเดียวกันกับเสื้อและมินิสเกิร์ต ท๊อปบู๊ทยาวปิดเข่าทำให้เห็นผิวขาวเพียงเล็กน้อย เรียวปากชมพูเล็กเผยอขึ้นเมื่อเห็นสเตฟานี่

    "ไฮ คารอลจัง ไม่ได้เจอกันนานมากๆ เลยเนอะ ถึงจะคุยกันทางอินเตอร์เน็ตก็เหอะ แต่มันก็ไม่เหมือนได้เจอกันเลยอ่ะเนอะ ว่ามั้ยล่า"

    ทั้งสไตล์การพูด บุคลิก หน้าตา ทุกอย่างที่เป็นเธอนั้นสดใสได้ตลอด รวมถึงรอยยิ้มเล็กๆ นั่นก็แสนสดใส

    "คุณดิซอนก็ร่าเริงไม่เปลี่ยนเลยนะ"

    ลีอาห์ ดิซอน คือชื่อของสาวน้อยแสนสดใสคนนี้ เธอทักทายกับสเตฟานี่อยู่พักหนึ่งก่อนจะมาทักทายทอมด้วยออร่าอันเปี่ยมไปด้วยความสดใสเช่นเดียวกัน ซึ่งทอมนั้นรู้สึกได้ว่าสำเนียงของลีอาห์นั้นเปลี่ยนไปจากที่เจอกันเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่ก็เป็นธรรมดาสำหรับคนยุโรปที่อยู่ประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็กอย่างเธอ

    คนที่สามคือ เอ็ดเวิร์ด บราวน์ ชายรูปร่างผอมแกนใส่เพียงเสื้อยืดขาดๆ วิ่นๆ สีดำ และกางเกงยีนส์ที่มีสภาพพอกัน เส้นผมดำสั้นตั้งชี้พองและไม่เป็นทรง ใต้ตาดำคล้ำบนผิวหน้าที่ขาวซีดทำให้เขาคล้ายผีดิบแม้จะมองจากระยะไกล ริมฝีปากแห้งแตกที่เผยอยิ้มให้สาวสวยผมบ็อบเผยให้เห็นฟันหลายซี่สกปรกและหักบิ่น เอ็ดเวิร์ดคุกเข่าลงหน้าสเตฟานี่ก่อนจะคว้ามือเธอไปจุมพิตลงบนหลังมือขาวเนียน ซึ่งเธอก็ไม่ได้ตกใจอะไร

    "ไปกินเลือดนักแสดงละครน้ำเน่ามารึไงพ่อคุณ"

    สเตฟานี่ยิ้มอ่านยากให้ร่างบักโกรกที่ลุกขึ้นช้าๆ

    "ก็นะ ฮึฮึฮึ"

    รอยยิ้มที่ไม่มีความอบอุ่นถูกส่งมาหลังเสียงที่แหบแห้งจนแทบฟังไม่รู้เรื่องเปล่งดัง

    "ฉันไม่ได้ดื่มมันมานานแล้ว ก็รอของเธอคนเดียวนั่นแหละยัยบี"

    "แหม เป็นเด็กดีนี่เธอ ฉันยกให้ตามสัญญาแน่ แต่ต้องหลังจากเป้าหมายสูงสุดของพวกเราลุล่วงไปแล้วนะ บราวนี่"

    "ว่ะฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเหอะ เลือดใครก็คงไม่หวานเท่าเลือดเธออยู่แล้ว"

    ตาที่ถลึงจนแทบล้นออกมากับรอยยิ้มโรคจิตของเอ็ดเวิร์ดทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องรู้สึกแหยงชายคนนี้

    เอ็ดเดินผ่านทอมไปทันทีที่สนทนากับสเตฟานี่เสร็จโดยไม่คิดจะทักทายใครต่อ

    "ไอ้นี่..." ทอมพึมพำเบาๆ คนเดียวเมื่อรู้ตัวว่ายื่นมือเก้อ

    "พูดอะไรกันน่ากลัวจริงจริ๊ง"

    เสียงเข้มของผู้ชายอีกคนเสียดสูง เขาคือชายร่างยักษ์ในชุดเสื้อยืดลายการ์ตูนทับด้วยสูทขนาดที่ใหญ่จนพูดได้ว่า ไม่มีวางขายทั่วไปตามร้านเสื้อแน่นอน

    "บอกผมสิคุณแคร์รี่ ไอ้เจ้าน้องชายห่วยแตกของผมทำอะไรอยู่ถึงได้ปล่อยให้คารอลน้องรักของผมตายได้"

    ผมหยักศกสีเปลือกสนยาวประบ่ารับกับผิวหน้าขาวที่แต่งแต้มด้วยเคราบางเกือบครึ่งหน้า

    เทอร์รี่ การ์ดเนอร์

    เขาเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ขันกับสาวสวยที่สูงเพียงลิ้นปี่

    "คุณการ์ดเนอร์ไม่ผิดหรอกค่ะการ์ดเนอร์ผู้พี่ ถ้าจะมีใครผิดก็คงเป็นดิฉันเอง"

    พลั่ก!!!

    ยังไม่ทันจะพูดกันรู้เรื่อง กำปั้นโตของทอมก็ซัดเข้าหน้าพี่ชายเต็มรัก ลีอาห์ส่งเสียงกรี๊ดเบาๆ อย่างตกใจ แต่อีกสองคน ทั้งริคาร์โด้และเอ็ดเวิร์ดคำรามในลำคออย่างพึงพอใจ

    "มาเจอกันหน่อยเด๊ะไอ้พี่บ้า อั่ก!"

    ทอมอุทาน หน้าเขาสะบัดตามแรงเหวี่ยงของกำปั้นขนาดเท่าถาดใบย่อมๆ ของเทอร์รี่

    ทั้งคู่ผลัดกันชกไปมา ริคาร์โด้ที่เห็นลีอาห์ยังตาโตเหมือนคนตกใจอยู่ก็ยื่นเอนตัวเข้าไปและพูดพร้อมขยิบตาว่าเป็นแค่การทักทายสไตล์การ์ดเนอร์บราเธอส์

    "จะต่อยกันก็ไปที่เวทีสิเฮ้ย การขวางประตูไม่ให้เลดี้เข้าเนี่ยมันไม่งดงามเลยนะ"

    เสียงหวานคล้ายเด็กสาวดังขึ้นจากหน้าประตูที่สองพี่น้องร่างยักษ์ทำการทักทายกันจนทำให้ทางเข้าห้องไม่สามารถแทรกตัวผ่านไปได้

    "ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณจอห์น"

    คราวนี้เป็นเสียงนุ่มหวานจริงๆ ของผู้หญิงที่เอ่ยอย่างเกรงใจ แต่สองพี่น้องก็หลีกทางให้ก่อนที่จอห์นจะเข้ามาคนสุดท้ายและปิดประตู

    "ดิฉันบอกแล้วใช่มั้ยคุณแกรนด์สโตน พวกเขาไม่คิดจุกจิกเรื่องที่ดิฉันไม่ไปต้อนรับเองหรอก"

    สเตฟานี่ยิ้มให้อลิซ เธอเพียงพยักหน้าและยิ้มตอบ

    "ถูกใจคุณเลยล่ะสิคุณไลท์ทรี"

    สเตฟานี่หันไปพูดอย่างรู้ทันกับชายหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตหลังกรอบแว่นพริ้มฉ่ำ น้ำหอมกลิ่นโอเชี่ยนสกายฟุ้งเมื่อร่างผอมในชุดเสื้อเชิ้ตครีมหยุดตรงหน้าเธอ

    "แหม ก็ผู้ชายนี่ครับ เป็นธรรมดาที่บุรุษทุกผู้จะต้องกระชุ่มกระชวยหัวใจ ก็สาวสวยราวเทพธิดาสถิตย์อยู่ในห้องนี้ตั้ง 3 คน"

    "คุณลีอาห์ระวังตัวด้วยนะคะ เห็นสวยๆ อย่างนี้แต่ใจเป็นชายร้อยเปอร์เซ็นต์เลยแหละค่ะ"

    สเตฟานี่หัวเราะคิกคักปิดท้ายหลังแซวจอห์นที่ทำแก้มป่องและหันควับอย่างรวดเร็วจนผมยาวที่มัดรวบเป็นหางม้าด้วยโบว์สีครีมสะบัด โดยที่หางตาเขาพลันเหลือบไปเห็นยิ้มอายๆ ของลีอาห์เข้าโดยบังเอิญ

    "สะดีดสะดิ้งอย่างเคย เห็นแล้วทุเรศว่ะ"

    เอ็ดเวิร์ดผู้นั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงปลายโต๊ะแก้วพูดเสียงเย็น

    "ไม่ต่างกันหรอกเอ็ด หึ อิจฉาฉันก็พูดมาตรงๆ ก็ได้ ด้วยรูปร่างหน้าตาภายนอกของนายการจะอิจฉาฉันก็ไม่มีใครตำหนินายหรอก"

    จอห์นขยับแว่นตาด้วยนิ้วมืออ่อนช้อยพร้อมยิ้มยียวน เอ็ดแยกเขี้ยวราวกับสัตว์กินเนื้อที่กำลังมันเขี้ยวเหยื่อชิ้นโตใต้อุ้งเท้า

    "หยุดเลยทั้งคู่"

    ไม่มีอารมณ์ในน้ำเสียงของสาวผมบ๊อบ ดวงตาสีฟ้าสดใสกลับกลายเป็นสีฟ้าขุ่นชวนสยอง แน่นอน ทุกคนในห้องนิ่งเงียบเมื่อเห็นมัน

    "จะเกลียดขี้หน้ากันแค่ไหนแต่วันนี้ดิฉันขอ อย่างน้อยก็ให้เกียรติเรย์บ้าง"

    สเตฟานี่ที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างเก้าอี้ตัวเองมองชายทั้งสองที่กำลังจ้องกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายก็เป็นจอห์นที่เบือนหน้าหนีและนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง

    บรรยากาศของการประชุมเริ่มดำเนินไปอย่างปกติ สเตฟานี่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ขวามือเธอคือ อลิซ แกรนด์สโตน ลีอาห์ ดิซอน และเว้นช่วง 2 เก้าอี้ จะเป็น เอ๊ดเวิร์ด บราวน์ ซึ่งอยู่ปลายสุดของโต๊ะ ฝั่งซ้ายที่อยู่ใกล้เธอคือ จอห์น ไลท์ทรี ถัดไปคือ ทอมและเทอร์รี่การ์ดเนอร์ และสุดท้ายที่อยู่ที่โต๊ะตัวที่สี่ คือ ริคาร์โด้ ซีสวอร์ด

    "ก่อนจะเริ่มการประชุม สเตฟานี่ คุณไม่คิดจะบอกที่มาที่ไปของคุณอลิซหน่อยเหรอ?"

    ริคาร์โด้เอ่ยด้วยรอยยิ้มไร้ความหมาย แต่ดูเหมือนผู้มาใหม่อีกสามคนก็จะอยากรู้เช่นกัน ส่วนจอห์นและทอมรู้จากเรย์แล้ว อลิซผู้ซึ่งรู้ตัวว่าเป็นหัวข้อของเรื่องยืนขึ้น รูปร่างสมส่วนใต้ชุดกระโปรงระบายลูกไม้บวกกับทรงผมที่ดัดเป็นลอนและปล่อยทิ้งลงมาสองข้างทำให้เธองดงามราวองค์หญิงแสนใจดี

    "ถ้าทุกคนรู้ต้องอึ้งแน่..." สเตฟานี่กล่าวพลางหันมองอลิซด้วยรอยยิ้ม "นี่แหละ ราชินีเหมันต์ ล่ะ"

    ผู้รับรู้ข่าวใหม่สามคนตาโตราวกับได้เจอที่ซ่อนของขุมสมบัติโบราณ ส่วนเอ็ดเวิร์ดเพียงประสานมือไว้หลังศีรษะและพ่นลมหายใจออกมา

    "มิน่า จับยัดทัชออฟก๊อดทันทีเลย" เขาแสยะยิ้ม

    "นี่ๆ ไลท์ฟอร์ไลฟ์สาขายุโรปมันจะเป็นที่รวบรวมแต่คนเจ๋งๆ เกินไปมั้งครับคุณสเตฟานี่ ที่สาขาแอฟริกาพวกได้ความมีอยู่แค่หยิบมือเดียวเอง"

    ริคาร์โด้หยอกด้วยใบหน้ายิ้ม

    "ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณริคาร์โด้ ดิฉันยังต้องเรียนรู้อีกหลายอย่าง บอกตามตรงว่าแม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังรู้สึกทึ่งไม่หาย ว่าในโลกมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย"

    อลิซปฏิเสธอย่างถ่อมตัว ริคาร์โด้ยิ้มให้สาวสวย

    "เนี่ยล่ะครับที่ว่าเจ๋งจริง พวกกร่างว่าข้าเนี่ยแหละเจ๋งเอาเข้าจริงเห็นหางจุกก้นทุกราย"

    สายตาคมมองลอดผ่านแนวผมสีควันบุหรี่ที่ปรกแก้มไปยังเอ็ดเวิร์ด สเตฟานี่ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นสายตาถากถางนั่น

    "เอาล่ะค่ะ เรามีเวลาไม่มากกันนักหรอก เริ่มประชุมเลยดีกว่า"

    อลิซเพิ่งจะรู้สึกชื่นชมความเด็ดขาดของสเตฟานี่เอามากก็วันนี้นี่เอง เพราะไปๆ มาๆ คำชมของริคาร์โด้ดูเหมือนจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำให้เธอดีใจ

    ในวันนี้ถึงจะเป็นการเรียกการชุมนุมของเหล่าผู้อำนวยการของมูลนิธิระดับโลกนี้ว่า 'การประชุม' แต่อลิซที่เป็นเลขาของเหล่าท่านประธานของคารอลคอร์ปฯมาสองรุ่นและตลอดชีวิตการทำงานของเธอนั้นไม่คุ้นชินกับการประชุมแบบนี้สักเท่าไหร่ ไม่จำเป็นต้องมีเอกสารสักแผ่น ไม่มีแม้แต่ปากกาสักด้าม เธอสงสัยอยู่ว่านี่อาจเป็นการ 'ระดมความเห็น' มากกว่า 'การประชุม'โดยอลิซรู้จากสเตฟานี่ว่าการประชุมนี้เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อหลายปีมาแล้ว

    "วาระการประชุมทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว"

    หญิงสาวหัวโต๊ะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดที่หน้าจอสามสี่ครั้งก่อนวางมันลงบนโต๊ะแก้วตามเดิม

    ชั่วอึดใจ ไฟสีส้มอ่อนในห้องมืดลง จอมอนิเตอร์ใหญ่สว่างขึ้นกลายเป็นจุดรวมของสายตาทุกคู่ เมื่อภาพปรากฏบนหน้าจอ จอห์นถึงกับร้องเสียงหลงไม่ต่างจากหญิงสาว

    "อ๋า...มาได้ไงเนี่ย?"

    "ขอให้ทุกคนดูวีดิโอนี้กันก่อนนะคะ"

    .

    .

    .

    "ว้า"

    เสียงเล็กแหลมออกแนวยียวนแสดงความผิดหวังปลอมๆ

    "ชิ้นส่วนปะปนกันแบบนี้จะรู้มั้ยครับว่าของใครเป็นของใคร ยมทูตน่ะหุ่นล่ำๆ พอกันเลยนา"

    ร่างผอมกะหร่องในชุดคลุมเดินวนอยู่รอบกองชิ้นส่วนของศพยมทูตอันมีสภาพไม่ต่างจากกองเนื้อเละๆ พลางใช้เท้าเขี่ยไปมา

    ถัดมานิดหน่อย ลูกแก้วขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กถูกโยนรับกลางอากาศอยู่หลายรอบโดยมือที่หุ้มด้วยไหมพรมสีน้ำเงินสดใส ลุคพาดดาบเงินที่อยู่อีกมือหนึ่งไว้บนไหล่และพิจารณาดูลูกแก้ว โดยที่ภายในมีสัญลักษณ์ของนรกหมุนติ้ว

    "อื้อหือ คุณอาออกโรงเองเลยแฮะ"

    ชิ้นส่วนของอวัยวะต่างๆ ที่ปนเปกันระเหยกลายเป็นละอองแสงก่อนลุคพูดจบ รวมถึงอาวุธเคียวด้ามยาวที่แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วย

    "ทำเสียงอย่างกับเห็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงอย่างนั้นแหละครับ"

    ซาตานนั่งยองๆ ลงใกล้กับละอองแสงที่กำลังระเหิดพลางมองตามมันราวกับโหยหา

    "ก็นิดหน่อยอะนะ"

    ลุคโยนลูกแก้วขึ้นเหนือศีรษะ ดาบเงินที่พาดอยู่บนไหล่ขวาฟาดลงที่วัตถุทรงกลมใสจนแตกเป็นสองเสี่ยง มันสลายกลายเป็นละอองแสงเฉกเช่นเดียวกันกับศพยมทูต

    ซาตานหัวเราะเบาๆ ก่อนยืนขึ้น เมื่ออิ่มเอมกับการชมการสลายตัวแล้ว

    "ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่คุณก็ยังโกหกได้ห่วยแตกเหมือนเดิมแหละครับ แถมเลเวลยังต่ำจนน่ากลัวอีก"

    เขาปัดผมทองที่ปรกหน้าอยู่ออก

    "ว่าแต่จะไม่เป็นไรเหรอครับ? ถึงสะพานแห่งนี้จะสร้างโดยปลอดการตรวจจับจากทั้งสองฝ่าย แต่ยมทูตหายไปสองคนอย่างนี้ อาคุณไม่อยู่เฉยแน่ถ้ารู้เข้า"

    "ป่านนั้นเรื่องก็จบแล้ว" ลุคตัดบทโดยไม่หันมองคู่สนทนา เขาปล่อยดาบเงินลงพื้นให้จมหายไปเหมือนจมน้ำ "นี่เป็นการกรุยทางให้หมอนั่นกลับมาอย่างไม่ลำบากเกินไปเพราะมันจะกระทบแผนที่วางเอาไว้ หวังผลจากไม้ต้นหนึ่งมันก็ต้องลงแรงกันหน่อย"

    เมื่อได้ฟังซาตานหัวเราะขึ้นจมูก ลุคมองค้อนกลับด้วยหางตา

    "ตัวเบี้ยน่ะ ถึงจะค่อนข้างไร้ประโยชน์แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นหมากตัวหนึ่ง จะบอกอย่างนั้นใช่มั้ยครับ อืมๆ ฉะนั้นก่อนที่เราจะเอามันไปแลก ก็ควรคิดให้ดีก่อนว่ามันจะทำให้เรารุกฆาตได้รึเปล่า"

    ชายชุดคลุมจับคางคล้อยตามอย่างไม่ปิดบังความเสแสร้งที่จงใจแสดงออกมา ลุคเม้มปากไม่พอใจ

    "มีอะไรก็พูดมาสิ จะอ้อมค้อมให้ยืดยาวทำไม"

    "ก็แค่คิดเล่นๆ ตอนว่างน่ะครับ ว่าถ้าหากตัวหมากที่ศัตรูคิดว่าหมดประโยชน์ แต่ดันเห็นเราเอามาใช้เพื่อไล่ต้อนตัวเอง มันจะน่าเจ็บใจแค่ไหนกันนะ"

    รอยยิ้มที่จวนเจียนจะเผยออกมาทำให้ใบหน้าของซาตานบูดเบี้ยว

    "ถึงจะน่าสงสาร แต่สักวันพวกเขาก็ควรจะรู้ความจริงใช่มั้ยล่ะครับ?"

    ซาตานเสริม ในที่สุดเขาก็กลั้นหัวเราะที่อุตส่าห์ทำอยู่นานไม่อยู่ แต่ลุคกลับไม่มีอารมณ์ขันด้วย

    "กลับกันเถอะ มีอย่างอื่นต้องทำอีก"

    ลุคเมินหน้าหนี ดวงตาจิกเขม็งไปยังแสงสว่างจ้า

    .

    .

    .

    ภาพเคลื่อนไหวในจอขนาดยักษ์หยุดลง เสียงที่ดังขึ้นเสียงแรกคือเสียงเข้มของทอม

    "พวกนายน่าจะเรียกฉันบ้างนะ ครั้งแรกน่ะ"

    เขากล่าวเชิงตัดพ้อเล็กๆ และหันหน้ามองสลับไปมาระหว่างจอห์นกับสเตฟานี่

    "มันฉุกละหุกว่ะเพื่อน" จอห์นแก้ต่าง

    "พวกยมทูตน่ากลัวจัง..." ลีอาห์ครางเสียงอ่อยพร้อมกัดเล็บนิ้วโป้งของตัวเอง

    "อยากลองฟัดกับพวกนั้นดูแฮะ โดยเฉพาะเจ้าเบิ้มนั่น น่าอิจฉาแกว่ะทอมมี่"

    เทอร์รี่พูดอย่างนึกสนุกกับน้องชาย ริคาร์โด้แยกเขี้ยวราวสัตว์กระหายเลือด

    "ดูก็รู้แล้วว่าไอ้บ้าเก๊กนั่นแหละต้นเหตุ ไอ้คนชื่อลุคน่ะ"

    เสียงแหบแห้งออกความเห็นเปิดประเด็น เอ็ดเวิร์ดนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้พร้อมยกเท้าพาดโต๊ะ จอห์นซึ่งเห็นกิริยานั่นไม่พอใจเป็นอย่างมาก

    "นอกจากมารยาทกับใบหน้าที่ไม่งดงามแล้วความฉลาดเฉลียวก็ยังมีไม่ถึงเกณฑ์อีกเหรอเอ็ด หากเขาจะจับกุมเราจริงๆ เขาก็ทำตั้งแต่แรกแล้ว จะส่งยมทูตมาทีหลังให้วุ่นวายทำไม"

    "ดิฉันเห็นด้วยกับคุณไลท์ทรีนะ เพราะถ้าหากนายลุคมายืนหน้าคุณจริงๆ คุณจะรู้ว่าการจะจับกุมพวกเราไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถเขาเลย"

    สเตฟานี่หนุนความเห็นจอห์น

    "ที่ดิฉันคิด นายลุคนั่นต้องถูกสวรรค์หักหลังหรืออะไรที่เข้าข่าย ทำให้เขารังเกียจที่นั่น การแก้แค้นน่าจะเป็นจุดประสงค์ของเขา และการร่วมมือกับเราน่าจะเป็นประโยชน์กับเขามากกว่า"

    "ก็จริงของคุณสเตฟานี่ แต่ที่ผมสงสัยจริงๆ คือเรื่องที่เขาพูดนั้นเชื่อถือได้มากแค่ไหน จะให้มนุษย์ไปอยู่บนสวรรค์เนี่ยนะ ฟังยังไงก็เหมือนโฆษณาชวนเชื่อกันมากกว่า"

    ริคาร์โด้หมุนแว่นกันแดดเล่นท่าทางขอความเห็น

    "เรื่องนั้นดิฉันก็ไม่ทราบ เราจะคิดในแง่นั้นเพื่อเป็นการกันไว้ก่อน"

    สเตฟานี่เอามือประสานไว้บนโต๊ะหลังแสดงความเห็นต่อคำถามของริคาโด้ และดูเหมือนประเด็นนี้จะได้ข้อสรุปแล้ว ลีอาห์เจ้าของใบหน้าสดใสน่ารักก็ยกมือราวกับนักเรียนที่กระตือรือร้นอยากจะตอบคำถามอาจารย์ทันทีเป็นการเปิดประเด็นต่อไป

    "แล้วเรื่อง 'คนสุดท้าย' ล่ะคารอลจัง? ไหนจะยังเรื่องกุญแจของพวกเราอีก มันหมายถึงอะไรเหรอ?"

    "อันนี้ผมเดานะ จะเป็นไปได้มั้ยที่คนสุดท้ายที่หมอนั่นบอกจะเป็นแอนนิต้าน้องสาวของน้องเรย์มอนด์...เหมือนผมกับทอมมี่"

    เทอร์รี่เสนอ แต่ก็โดนขัดโดยน้องชายซึ่งนั่งอยู่ขวามือเขาเอง

    "ไม่แน่หรอก ดูอย่างครอบครัวมันเดย์สิ ที่ตอนนั้นไฟไหม้ตายยกบ้านอ่ะ คนที่มี 'สิ่งนั้น' มีแค่น้องคนเล็กเอง อีกอย่างผมไม่อยากให้เธอมาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่หรอก"

    อลิซผู้ซึ่งยังไม่มีบทพูดสังเกตเห็นแววตาที่ไม่มั่นคงนักของทอม คำพูดของเขาก็คล้ายกับเป็นการปลอบใจตัวเองมากกว่าความจริง เธอเข้าใจความรู้สึกทอมดี เพราะถ้าหากเป็นตัวเธอเองก็ไม่ต้องการให้คนที่รักมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียสูงเช่นนี้ ถ้าต้องเจอเหตุการณ์อย่างคราวนั้นอีกก็ขอเป็นตัวเธอเองดีกว่าที่จะเสียสละ...เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะอยู่อย่างเจ็บปวด หรือตายเพื่อคนที่รัก ความทรมานก็อาจจะพอๆ กัน

    "เรื่องนี้อาจเป็นประเด็นหลักเลยก็ว่าได้ ถ้าหากลุคคนนั้นพูดจริง คำถามคือพวกเราที่เขาเคยรู้จักเป็นใครกันแน่ กุญแจของคำตอบคงจะอยู่กับ 'คนสุดท้าย' ที่เขาพูดมา"

    ประธานสาวจับก้านแก้วและยกน้ำขึ้นจิบ เธอกวาดตามองทัชออฟก๊อดทุกคนที่มีสีหน้าครุ่นคิดจริงจัง ยกเว้นเอ็ดเวิร์ดซึ่งอ้าปากหาวแต่กลับทำหน้าที่ไม่ต่างกับฝ่ายค้านในสภาฯได้ดีเกินคาด

    "ฉันว่าพวกนายจะยึดคำพูดของไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาเป็นแนวทางในอนาคตเกินไปหน่อยละ ที่เราควรคิดตอนนี้คือจะเอายังไงกับไลท์ฟอร์ไลฟ์มากกว่า"

    ชายผู้ซึ่งเหมือนกับไม่สนว่าโลกจะเป็นไปเช่นไรพูดต่อทั้งที่ยังหลับตา กิริยาต่อไปของเขาคือใช้แขนหนุนหัวแทนหมอน

    "ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ควรจะวางแผนยังไง จะคืนชีพมนุษย์ต่อรึเปล่า หรือจะหยุดเพื่อตัวของพวกเราเอง โดยส่วนตัวฉันอยากจะสานต่อเจตนารมณ์ของเรย์มอนด์ผู้มีพระคุณในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่ถ้าถูกจับได้ครั้งนึงแล้วครั้งต่อไปพวกมันไม่พลาดแน่ พวกยมทูตน่ะ"

    จอห์นเบ้หน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดพูด แต่เขาก็หยุดอยู่แค่นั่นและเลือกที่จะเงียบเพราะหากแดกดันไปจะเป็นเขาเสียเองที่ถูกมองในแง่ลบ

    "จะแหกตาพวกมันด้วยวิญญาณนักโทษต่อไปคงไม่ได้แล้ว..." ริคาร์โด้ไหลตามน้ำ

    ความจริงสเตฟานี่นั้นก็หนักใจเรื่องนี้ไม่น้อย เจตนารมณ์ของเรย์ก็สำคัญ แต่จะเลือกวิธีปฏิบัติให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่ยึดมั่นมานานได้อย่างไร เธอหลับตาและพยายามนึกถึงเรย์เผื่อจะเข้าใจได้บ้าง ว่าถ้าหากเรย์ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเธอตอนนี้ เขาจะทำหรือคิดเช่นไร ในเมื่อตัวเธอเองเลือกที่จะลืมคำเตือนของชายปริศนา

    ไม่สิ

    เธอไม่ได้ลืม แต่เลือกที่จะเพิกเฉยมากกว่า และการตัดสินใจนั้นของเธอกลับกลายเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ขึ้นมาโดยที่ตัวเองไม่ต้องอยู่ในฐานะผู้รับผิดชอบ

    'บีควรทำยังไงดี?'

    คำถามนี้ยังคงต้องแหวกว่ายอยู่ในวังวนความคิด ตราบใดที่ยังไม่มีแสงไฟส่องมาให้เห็นถึงทางออก การตัดสินใจต่อไปควรจะคิดถึงผลได้ผลเสีย เพราะมันหมายถึงทิศทางของโลกที่เรย์มอนด์ผู้เสียสละนั้นรักยิ่ง และมอบหมายให้เธอหมุนมันต่อจากเขา

    มีบางอย่าง

    บางสิ่งบางอย่างสะกิดใจสเตฟานี่

    มันรบกวนเธอมาตั้งแต่ที่ได้เจอชายชื่อลุค แววตาเศร้าโศกของชายผู้เต็มไปด้วยปริศนานั่นแวบเข้ามาในจิตใจเธอ

    เป็นเพียงแวบเดียว ที่รู้สึกราวกับได้เปิดประตูเข้าไปในหัวใจชายปริศนาคนนั้นได้

    หรือสเตฟานี่อาจจะลองเดิมพันดูกับสิ่งที่เห็นเพียงพริบตานั่นดู ถึงเรื่องแบบนี้จะไม่ใช่การเล่นพนันที่จะเอาโลกทั้งใบมาเสี่ยงกับความกล้าได้กล้าเสียของตัวเอง แต่เธอก็มองออกว่าเวลาไหนที่เป็นจุดสิ้นสุดของการดันทุรัง

    'ฉันเสียใจที่ต้องบอกว่า แม้แต่แผนการที่เพอร์เฟ็คที่สุดก็จำเป็นต้องมีผู้เสียสละ'

    คำพูดของลุครบกวนสเตฟานี่มาตั้งแต่ตอนนั้นมา ถ้าการตายของเรย์คือการเสียสละที่ว่า หญิงสาวแม้แต่ในตอนนี้ก็ยากจะยอมรับ

    อลิซมองสเตฟานี่ด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างเงียบๆ เพราะรู้ดีถึงหน้าที่อันหนักอึ้งที่เธอรับช่วงต่อมา

    ณ ขณะนี้บรรยากาศในห้องหรูหรานั้นสุดแสนจะอืมครืมหนักหน่วง ทั้งที่ท้องฟ้าด้านนอกสดใสไร้เมฆแม้แต่ก้อนเดียว

    ในที่สุดเปลือกตาบางได้เลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าสดใสพร้อมกับเสียงเนิบที่เอ่ยก้อง

    "ดิฉันตัดสินใจจะยุติการคืนชีพมนุษย์ ใครคัดค้านขอให้ผู้นั้นยกมือขึ้น"

    หลังหลุดออกจากภวังค์ความคิด เธอกล่าวจุดประสงค์ตัวเองด้วยคำพูดหนักแน่น

    สเตฟานี่ตัดสินใจขอลองเดิมพันกับสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นเพียงแสงประกายเดียวที่มี

    จอห์นอมยิ้มเมื่อสเตฟานี่ประกาศเช่นนั้น ทอมถอนใจเบาๆ ราวกับโล่งอก สเตฟานี่เดาว่าสองคนนี้เหมือนจะรู้อะไรแต่พวกเขายังคงปิดปากเงียบกันอยู่

    "ผมเอาด้วย" จอห์นเอ่ย

    "ผมเหมือนกัน" ต่อมาคือทอม

    "ถ้าคนเป็นผู้นำลังเลไม่ว่าอะไรก็ไม่ได้เริ่มกันสักที"

    นี่คือการเห็นด้วยสไตล์เอ็ดเวิร์ด ก่อนจะตามมาด้วยคำตอบในทิศทางเดียวกันของอีกสามคน ส่วนอลิซซึ่งรู้ตัวว่ายังใหม่เกินไปที่จะตัดสินเรื่องสำคัญขนาดนี้ก็ได้แต่เงียบ ซึ่งจุดยืนเธอก็ถูกต้องแล้ว

    "ดิฉันบอกตามตรงกับทุกคนว่าดิฉันเสียใจที่ต้องเลือกทางนี้ แต่มันเป็นเส้นทางเดียวที่จะมีผู้เสียสละน้อยที่สุด"

    สเตฟานี่ปิดท้ายอย่างจริงจัง

    "เหมือนเรย์ของเราจะคำนวณพลาดไปนิดนึงว่ามั้ยทอม?" เสียงสวยเอ่ยอย่างแปลกใจระคนดีใจ "ที่นึกว่าจะมีพวกแกะดำหลงฝูงมาแว้ดๆ เอาตำแหน่งจ่า"

    จอห์นยืนขึ้นและล้วงเอาบางอย่างในกระเป๋าด้านหลังของกางเกงยีนส์

    "พินัยกรรมของเรย์..."

    เรียวปากชมพูน่ารักเชิดยิ้ม มือขวาอ่อนช้อยจีบลูกแก้วกลมใสขึ้นชู ทุกคนมองมันด้วยสายตาสงสัยไม่ต่างกันยกเว้นทอม

    "เรย์ยังคงความสุดยอดแม้กระทั่งตอนจากไป"

    พูดสรรเสริญจบ จอห์นกลิ้งมันไปที่กลางโต๊ะ น่าแปลกคือสิ่งที่คล้ายสัญลักษณ์ไม้กางเขนสีทะมึนไม่กลิ้งกลับหัวกลับหางตาม หากแต่มันหมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆ

    ผู้ที่หยิบมันขึ้นมาโชว์ขยับแว่นตาด้วยนิ้วก้อยก่อนจะเฉลย

    "เท่าที่เรย์บอกกับผม มันคือมิติคืนชีพแบบใหม่ เขาสร้างมันเสร็จได้ไม่นาน"

    หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีฟ้าสดใสจ้องลูกแก้วนั้นพลางฟังชายหนุ่มอธิบาย

    "แล้วทำไมเพิ่งมาบอกล่ะครับคุณไลท์ทรี เรื่องอย่างนี้มาอุบกันไว้ก็ไม่เซอร์ไพรส์หรอกนะ"

    ริคาร์โด้ถามด้วยเสียงเชิงต่อว่าเล็กน้อย

    "ไม่ได้กะเซอร์ไพรส์เลยครับ แต่เพราะความเห็นตรงกันต่างหาก"

    จอห์นสวนทันที ลีอาห์ดูเหมือนจะสนใจเป็นพิเศษกับการสนทนาต่อจากนี้

    "ในสถานการณ์เช่นนี้ความเป็นเอกภาพย่อมสำคัญที่สุด สิ่งนี้ได้บอกพวกเราอ้อมๆ ว่าเรย์นั้นเชื่อคำพูดที่นายลุคคนนั้นพูด หรือถ้าไม่ใช่คำเตือนนั่นเรย์ก็หยิบเอาไปคิดไม่มากก็น้อย"

    จอห์นนั่งลง ทิ้งให้ทอมอธิบายต่อจากเขาทันที

    "เรย์กำชับพวกผมไว้ว่าถ้าหากมีทัชออฟก๊อดคนไหนไม่เห็นด้วยไม่ว่าเรื่องอะไร ห้ามเอาสิ่งนี้ออกมา"

    "ทำไมล่ะทอมมี่ แล้วเขาคิดจะให้เราเดินหน้าต่อไปแบบไม่รู้อะไรเนี่ยนะ เราสู้กับอะไรอยู่เขาก็รู้ มีอะไรก็น่าจะบอกกันก่อนสิ แล้วอย่างนี้เขายังจะพูดเรื่องเอกภาพอีกเรอะ"

    เทอร์รี่ต้องการคำตอบจากน้องชาย แต่จอห์นแทรกโดยที่ทอมไม่ตำหนิอะไรเพราะใครจะตอบก็เหมือนกัน

    "ก็เพราะว่ารู้ยังไงล่ะครับว่ากำลังสู้กับอะไร และเขาก็รู้ด้วยว่าถ้าสู้ต่อไปโอกาสชนะก็เท่ากับศูนย์ไม่เปลี่ยน เขาจึงให้สิ่งนี้และพูดแบบนั้นออกมา ถ้าหากความเห็นไม่ตรงกันแล้ว ต่อให้คุณสเตฟานี่ซึ่งเป็นผู้นำออกคำสั่งยังไงพวกนายก็จะทำตามอย่างมีข้อกังขา คนเราน่ะฝืนใจทำอะไรได้ไม่นาน และเมื่อหมดความอดทนก็จะเกิดการกระทำนอกเหนือคำสั่ง และเมื่อนอกเหนือคำสั่งก็จะตกเป็นเป้าโจมตี หรือเข้าล็อกเข้าแผนของสิ่งที่เรากำลังสู้อยู่ เมื่อความอัดอั้นถูกปลดปล่อยมันจะทำให้เราอ่อนแอลง และเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังสู้อยู่อีกครั้งในขณะที่กำลังอ่อนแอพวกเราอาจถูกจับกุม และการประชุมนี้จะเป็นข้อมูลให้พวกมันอย่างดี เข้าใจมั้ยครับคุณพี่ชาย"

    จอห์นจบประโยคด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ยิ้มหวานถูกแจกแหลกไปทั่วห้องและทั่วถึง แม้เป็นการอธิบายที่เกินจำเป็นคล้ายบทพูดในละครแต่สเตฟานี่ดูเหมือนจะเข้าใจ จึงพยักหน้าโดยที่มือลูบคางอย่างครุ่นคิด

    "หมายความว่าเราต้องเข้าไปในนี้เพื่อลับฝีมือ...นี่อาจเป็นความหมายที่เรย์ต้องการให้เราหยุดการคืนชีพมนุษย์ แสดงว่าภายในมิตินี้น่าจะมีอะไรที่ทำให้เราหนักข้อแน่นอน"

    เสียงเนิบนาบแสดงความเห็นพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ เธอเอื้อมตัวมาหยิบลูกแก้วกลมใสที่เพิ่งหยุดเคลื่อนไหวจนเกิดเสียงกริ๊กของแก้วที่กระทบกัน เธอยกมันขึ้นระดับสายตา เพ่งมองสัญลักษณ์กางเขนที่หมุนอยู่ภายในอยู่ครู่หนึ่ง

    "ดิฉันขอปิดการประชุมในวันนี้เพียงเท่านี้ ขอให้ทุกท่านนำผลการประชุมวันนี้ไปดำเนินการในไลท์ฟอร์ไลฟ์ของแต่ละทวีปทันที และในวันพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในมิติ เราไม่ต้องการสูญเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว"

    เมื่อสเตฟานี่ยืนขึ้นทุกคนจึงลุกตาม ดูเหมือนการประชุมนี้จะจบลงด้วยดี จอห์นอมยิ้มน่ารักและขยิบตาให้เธอ ทอม เทอร์รี่ ลีอาห์ และริคาร์โด้ปรบมือให้ประธานสาวสวยอย่างชื่นชม เอ็ดเวิร์ดม้วนหลังกลับและทำท่าปัดฝุ่นออกจากเสื้อ

    "บีจะไม่ทำให้เรย์ต้องตายเปล่า คอยก่อนเถอะเจ้าพวกยมทูต บังอาจทำให้คุณธรรมของเราต้องแปดเปื้อน พวกแกต้องชดใช้อย่างสาสม"

    น้ำใสราวหยาดเพชรไหลลงมาสู่แก้มขาวของสาวผมบ๊อบ อลิซเดินเข้ามาโอบไหล่ที่สั่นเทาเอาไว้ ร่างเพรียวแสนเซ็กซี่กระตุกอยู่ในอ้อมอกอลิซพร้อมเสียงครางเบาๆ อย่างเจ็บใจ อลิซลูบผมบ๊อบสีกาแฟนมที่นุ่มลื่นเพื่อปลอบใจ

    "ไม่เป็นไรนะคะ เราต้องทำได้ คุณคารอลเองก็เชื่อเช่นนั้นถึงได้ฝากให้คุณสานต่อ..."

    แม้จะพยายามพูดให้เสียงเป็นปกติที่สุดแต่เจ้าของเสียงหวานนุ่มราวขนมมาชเมลโลก็สั่นเครือไม่น้อย จอห์นซึ่งสังเกตเห็นภาพนั้นก็ยิ้มและขยับแว่นตาด้วยนิ้วก้อย

    "ร้องออกมาเถอะครับคุณอลิซ เลดี้ที่กลั้นน้ำตาเอาไว้จะทำให้ใบหน้ากับใต้ตาหมองคล้ำน้า ผมเองก็รู้สึกไม่ดีซะด้วยสิเวลาที่เห็นเลดี้แสนงดงามเป็นเช่นนั้น"

    เพียงสิ้นเสียงคล้ายหญิงสาว อลิซปล่อยโฮออกมาทันทีราวกับคำพูดของชายผู้ซึ่งเข้าใจสตรีเพศอย่างแท้จริงไปสะกิดต่อมน้ำตา

    สเตฟานี่และอลิซแม้จะไม่ได้เอ่ยคำใดๆ ออกมาอีกระหว่างที่กอดกัน แต่ความรู้สึกหลายอย่างก็ส่งผ่านถึงกันและกันโดยมีไออุ่นเป็นสื่อกลาง หนึ่งในนั้นคือคำมั่นว่านี่จะเป็นการเสียน้ำตาครั้งสุดท้าย


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×