ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step Into My World

    ลำดับตอนที่ #6 : เรย์มอนด์ คารอล สิ้นชีพ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 55


    เรย์มอนด์ คารอล สิ้นชีพ

    ป๊อก...

    ลูกบอลกลมกระทบพื้นก่อนกระดอนขึ้นอย่างรวดเร็ว

    "คุณเชื่อเรื่องที่ดิฉันเล่าไหมคะ? คุณแกรนด์สโตน"

    เสียงเนิบนาบเอ่ยถาม สายตาหญิงสาวเจ้าของเสียงจับจ้องลูกบอลซึ่งเด้งมาใกล้ระยะของเธอ แร็กเก็ตม่วงเหลือบเงาหวดเต็มแรง ลูกสักหลาดสีเขียวอ่อนพุ่งข้ามเน็ทที่ขึงกึ่งกลางระหว่างสนามไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีหญิงสาวร่างบางในชุดกีฬาขาวชมพูรอสแตนบายอยู่แล้ว

    "คุณไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกนี่คะ"

    อลิซ แกรนด์สโตน ตอบคำถามพร้อมโต้ลูกกลับด้วยแร็กเก็ตที่ดูจะใหญ่โตเหลือเกินเมื่ออยู่ในมือผอมๆ ของเธอ ผมยาวสีน้ำตาลมัดเป็นหางม้าสะบัดพลิ้วสลวยตามแรงเหวี่ยง

    "ช่างไร้เดียงสาเสียจริง"

    สเตฟานี่หัวเราะคิกคัก เธอตั้งท่างดงามเพื่อรอบอลซึ่งกำลังพุ่งมา ข้อมือที่ประดับด้วยผ้ารัดสะบัดอย่างอ่อนช้อย ลูกเทนนิสที่ถูกโต้กลับโค้งวาดลงหน้าเน็ทฝั่งตรงข้ามอย่างงดงามก่อนจะกลิ้งกลุกๆ อย่างหมดแรง ส่วนสาวสวยอีกคนแม้จะพยายามวิ่งมารับอย่างสุดกำลังแต่ก็ต้องยอมแพ้ให้กับลูกดรอปอันเหนือชั้นเช่นนี้

    ตามกติกาของเทนนิส อลิซจึงเสียแต้มแก่สเตฟานี่แม้พวกเธอจะไม่ได้นับกันก็ตาม

    "อายุอานามก็จะเข้าเลขสี่แล้ว ทำไมถึงยังมีความคิดที่อ่อนต่อโลกเช่นนี้กันคะ?"

    อลิซตัวกระตุกเมื่อเจอคำเสียดสีเช่นนี้

    เธอแค่ไม่ปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องวันที่คู่แข่งของเธอได้พบกับเรย์ครั้งแรกที่เจ้าตัวเป็นคนเล่ามาเอง แต่ทำไมถึงต้องโดนว่าหนักขนาดนี้ อลิซเองก็ไม่เข้าใจ

    ถ้าไม่ใช่ผู้เข้มแข็งพอก็คงจะขอตัวไปห้องน้ำก่อนจะแอบไปร้องไห้อย่างแน่นอนเพราะวาจาเมื่อครู่ไม่ใช่คำแรกที่โดน สเตฟานี่จงใจกระแทกเธอด้วยคำพูดมาตั้งแต่เดินเข้ามาในคอร์ท แต่ไม่ใช่กับอลิซ แกรนด์สโตน เธอเดินกลับไปยังตำแหน่งผู้เสิร์ฟ หยิบลูกจากกระบอกทรงกลมก่อนจะโยนขึ้นฟ้าและหวดด้วยแร็กเก็ต

    ลูกบอลพุ่งทะยานดุจกระสุน สเตฟานี่อมยิ้มอ่านยากและง้างแร็กเก็ตรอเพื่อโต้ลูกกลับ

    วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2010 เวลา 10 นาฬิกา 52 นาที

    ปั้ก!

    อลิซโต้ลูกกลับไปยังหญิงผมบ๊อบโดยที่ในใจก็ยังคงมีความรู้สึกปฏิเสธเธอคนนี้อยู่ไม่เสื่อมคลาย

    "ดิฉันคิดว่าชมรมเทนนิสของมหา'ลัย S จะได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดในประเทศเราซะอีก ไม่เป็นอย่างนั้นหรือคะ คุณอดีตกัปตัน"

    สเตฟานี่ที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษวิ่งขึ้นหน้าเน็ทและตีหยอดลงใกล้ๆ แต่คราวนี้อลิซอ่านออกจึงวิ่งมารอที่กลางคอร์ทตั้งแต่ตีสไลซ์กลับไปแล้ว

    "ดิฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ มีผู้คนตั้งมากมายแต่ทำไมถึงต้องเป็นคุณกันนะที่มี 'สิ่งนั้น' อลิซ แกรนด์สโตน ผู้แสนหน่อมแน้มบริสุทธิ์"

    ทั้งที่โดนจิกด้วยคำที่อลิซเกลียดมากที่สุดแต่เธอก็กัดฟันและโต้ด้วยลูกหยอดกลับไปพร้อมกับความมั่นใจปนความคาดหวังว่าต้องสอยแต้มจากผู้หญิงคนนี้ได้แน่

    สิ่งที่สาวสวยร่างน้อยคาดไม่ถึงคือสเตฟานี่กระโดดตัวปลิวคล้ายต้านแรงโน้มถ่วงโลกก่อนสแมชสุดแรงกลางเวหา ลูกบอลพุ่งแรงราวกระสุนไรเฟิลผ่านหลังอลิซลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรงและกระเด็นหายไป อลิซยืนแข็งนิ่งในท่าจับไม้ก่อนร่างนักหวดมือฉมังจะร่อนลงมาสู่พื้นด้วยท่วงท่างดงาม

    เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์คารอลคอร์ปฯจึงมีผู้คนบางตา ส่วนใหญ่จะมีแต่พวกพนักงานทำความสะอาดที่ทำงานกันอย่างขันแข็ง บริษัทอันกว้างขวางแห่งนี้ดูสะอาดสะอ้านได้ก็เพราะมีพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งทุกครั้งท่านประธานใหญ่วัย 35 ปี เรย์มอนด์ คารอล ก็จะรู้สึกขอบคุณพวกเขาจากใจจริง

    คารอลคอร์ปเปอเรชั่นตั้งอยู่บนพื้นที่อันกว้างขวางจึงไม่แปลกที่นอกจากตึกออฟฟิซต่างๆ นาๆ ที่มีไว้สำหรับการทำงานแล้วยังมีพื้นที่เหลือพอที่จะสร้างลานกิจกรรมสาธารณะหรืออื่นๆ อีกมากมาย สนามเทนนิสก็เป็นหนึ่งในนั้น

    สนามเทนนิสที่ทั้งสองสาวดวลฝีมือกันอยู่ขณะนี้เป็นหนึ่งในสี่คอร์ทที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดี บรรยากาศร่มรื่นจากต้นไม้สูงเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่รอบนอกรั้วตาข่ายที่ขึงอยู่รอบคอร์ททั้งสี่เพื่อกันลูกออก ลมพัดอ่อนๆ ใต้ร่มเงาไม้คือบรรยากาศที่น่าพักผ่อนในฤดูร้อนเช่นนี้ แต่คงไม่ใช่กับสาวๆ ที่อยู่ในคอร์ทซึ่งขับเคี่ยวเกมกีฬาที่เรียกว่าเทนนิสมากว่าสองชั่วโมง โดยที่ลูกบอลที่จำเป็นสำหรับการเล่นยังไม่เคยผ่านหลังสเตฟานี่ไปแม้สักครั้ง

    "อะไรกันคุณแกรนด์สโตน ก็แค่ลูกเดียวเอง เอาแต้มจากดิฉันแค่แต้มเดียวไปให้ได้สิคะ แล้วดิฉันจะสอน 'สิ่งนั้น' ให้"

    ทั้งคู่ตีโต้กันสักพัก สเตฟานี่ก็หวดเอาคะแนนจากอลิซไปได้อีกเช่นเคย

    อย่างที่สเตฟานี่กล่าว เธอได้รับการไหว้วานจากเรย์ว่าให้ฝึกอลิซใช้ความสามารถที่เพิ่งได้รับมาให้ได้ และนี่ก็คือวิธีการสอนแบบของเธอ โดยตั้งกฎง่ายๆ สำหรับเกมนี้ว่าถ้าอลิซตีเอาแต้มจากเธอเพียงแต้มเดียวไปได้ก็จะถือว่าอลิซชนะ และเธอก็จะสอนขั้นต่อไป

    "ดิฉันน่ะเกลียดคุณเข้าไส้เข้ากระดูก แต่ที่ดิฉันรับปากเรย์วันนั้นก็เพราะไม่อยากให้เขาเห็นดิฉันเป็นคนเรื่องมาก..."

    สเตฟานี่ยิ้มหลังจากที่หวดสแมชผ่านอลิซไปอีกลูก ซึ่งเธอนั่งก้มหน้านิ่งอยู่หน้าเน็ท ไม่ว่ายังไงอลิซก็ไม่มีทางบ่นออดแอดและยอมแพ้ง่ายๆ เธอถูกคาดหวังจากเรย์ และเธอก็จะต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังเหมือนที่เธอทำหน้าที่เลขาอย่างเต็มที่แม้เรื่องนี้จะเกินกว่าที่เธอคิดไว้มากก็ตาม และในตอนนี้ อลิซควรจะเอาแต้มจากผู้หญิงที่พูดว่าเกลียดคนอื่นโดยที่ยังยิ้มอยู่ได้ ที่อยู่ข้างหน้าคนนี้

    "รีบลุกขึ้นเถอะค่ะ ทำแบบนี้ดิฉันจะยิ่งมองว่าคุณพยายามจะแอ๊บแบ๊วและนั่นก็จะทำให้ดิฉันเกลียดคุณยิ่งขึ้นไปอีก" สเตฟานี่ฉีกยิ้มกว้างขัดกับเรื่องที่พูด อลิซลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ พลางปัดเศษฝุ่น หญิงสาวผมบ๊อบที่กำลังหันหลังกลับก็ต้องชะงักเพราะคำพูดจากเสียงหวาน

    "ถ้าคุณรู้ว่าจำอะไรไม่ได้ คุณไม่นึกสงสัยหรือคะว่าตัวเองเป็นใคร…"

    "หืม…?" สเตฟานี่หันหลังกลับมา อลิซเงยหน้าขึ้น สายตาทั้งคู่ปะทะกันโดยที่ไม่มีใครยอมใคร

    "...หรือถ้าเรื่องที่คุณความจำเสื่อมเป็นเรื่องโกหก คนอื่นเขาจะไม่มองว่าคุณเป็นแค่คนหน้าไม่อายที่อยากจะสวมสกุลคารอลหรือคะ?"

    หนังตาสเตฟานี่กระตุก แพขนตางอนยาวธรรมชาติเลื่อนลงพร้อมรอยยิ้มมุมปาก มือที่ยังคงถือแร็คเก็ตยกขึ้นกอดอก

    "คุณคิดอย่างนั้นสินะ?"

    เธอผู้โดนตอกกลับถามเสียงเย็นส่อแววอันตรายเฉกเช่นแววตา แต่อลิซจ้องกลับด้วยดวงตากลมโตสีน้ำตาลหวานฉ่ำโดยไม่ยอมละ

    "ไม่ค่ะ ในเมื่อสิ่งที่ดิฉันได้ยินไม่สามารถตัดสินได้ว่าคือเรื่องจริงหรือโกหก ดิฉันจึงถามกลับ ดิฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นจึงได้ตั้งคำถามไงคะ"

    สิ้นเสียงหวานที่เจือกาแฟรสขม สเตฟานี่หัวเราะลั่นและหยุดในเวลาแทบจะไล่เลี่ยกัน ซึ่งนั่นทำให้รูขุมขนอลิซลุกชันแม้อุณหภูมิวันนี้จะสูง

    "งั้นดิฉันก็ขอตอบคำถามนั่นเลยละกัน..."

    หางตาคมส่งแหวกเสียดอากาศมาหาหญิงสาวผมยาวหางม้า ทันทีที่บางอย่างคล้ายลมกระชากผ่านร่างบางในชุดกีฬาไปความรู้สึกหายใจไม่ออกก็ถาโถมใส่อลิซจนเข่าเกือบทรุดราวกับสู้กับมือที่มองไม่เห็นที่กดไหล่อยู่

    "ปากกล้าผิดคาดแบบนี้มาเปลี่ยนเลเวลกันหน่อยดีกว่าค่ะ แต่กติกาทุกอย่างยังเหมือนเดิมนะคะ...คุณแกรนด์สโตน..."

    เหงื่อไหลเป็นสายยิ่งกว่าตอนเล่น หน้าอลิซซีดเผือดและปวดมวนท้อง

    "...รีบเสิร์ฟสิคะ"

    รอยยิ้มดุจมารร้ายฉายอยู่บนหน้าขาวผ่องของสาวผมสั้น

    .

    .

    .

    แสงไฟจากคบเพลิงที่ทำจากไม้ดำสนิททำให้เงาของสองร่างที่ทาบบนผนังอิฐดำดูเลื่อนไหลไม่มั่นคง

    "ในที่สุดก็รู้กันซะที" หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมทำเสียงพ่นออกจมูก

    "เดี๋ยวนะ ขอฉันทวนแป๊บ" เสียงแหลมเล็กของชายร่างสูงเกิน 8 ฟุตท้วงอย่างตามหญิงสาวไม่ทัน "พวกนั้นใช้พลังบางอย่างเหนี่ยวรั้งวิญญาณให้เข้าไปสู่มิติที่มันสร้างขึ้น...จากนั้นก็พาออกไปยังประตูที่พวกมันสร้างไว้โดยที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ไว้ล่วงหน้า...สินะ?"

    ท่อนแขนมหึมายกขึ้นเกาหลังศีรษะที่คลุมด้วยฮู๊ดสีแดงเพลิงอย่างไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเอ่ย เขาหันไปหาเพื่อนสาวที่สูงแค่สะโพกตัวเองเพื่อให้เธอช่วยยืนยันคำตอบ

    "พูดง่ายๆ ว่าคืนชีพน่ะแหละ ชิ เจ็บใจชะมัด เหมือนโดนตอกหน้าเลย"

    ริมฝีปากเล็กแห้งแตกเผยอขึ้นพร้อมกัดปากล่างแน่นอย่างเจ็บใจ ดวงตาโตผิดปกติจ้องเขม็งไปที่ลูกแก้ว ภายในหมุนคว้างด้วยสัญลักษณ์เคียวด้ามยาวไขว้เป็นกากบาทโดยมีลูกไฟลุกโชนอยู่ตรงกลาง

    "ใจเย็นน่าคริส ยังไงเราก็รู้แล้ว" ยมทูตหนุ่มพูดปลอบใจสหาย

    "มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิโบล์ต หลังจากพวกมันชุบชีวิตเรียบร้อยแล้วมิติจะถูกตั้งกลไกประมาณว่าดึงวิญญาณดวงอื่นมาจากอีกที่แล้วสลับกับคนที่พวกมันต้องการให้มีชีวิตต่อไป แถมน่าจะมีคาถาบางอย่างสำหรับป้องกันสิ่งแปลกปลอมอีก เข้าใจรึเปล่าโบล์ต เรากำลังเจอกับพวกที่เล่นกับความเป็นความตายได้ขนาดนี้เชียวนะ แถมตบตาเราซะเนียนเลย"

    คริสเริ่มหัวเสีย เธอดึงฮู๊ดคลุมศีรษะออกเผยให้เห็นเส้นผมสีทรายหยาบกระด้างและชี้ฟู

    "งั้นเราไปรายงานท่านยมบาลกัน" โบล์ตเสนอพลางจัดแต่งผมหน้าที่ยาวออกมาจากใต้ฮู๊ดให้เรียบร้อยจนผมดำมันด้านหลังปัดไปมา

    "อืม ฝากด้วยนะ" มือเล็กของคริสตบที่กล้ามท้องแข็งแกร่งเบาๆ ก่อนจะหันหน้ากลับเพื่อเดินไปนั่งที่เก้าอี้เอนตรงมุมห้องแต่มืออันใหญ่โตคว้าไหล่หญิงสาวไว้ทัน

    "อะไรอ่ะเธออย่าเนียนดิ มาด้วยกันเลย" โบล์ตพูดหน่ายๆ

    "ก็ลุงไว้ใจเธอนี่ กล้าๆ หน่อยที่รัก" เรียวปากบางยิ้ม ดวงตาโตผิดปกติหรี่เล็กลงจนคล้ายตาของกิ้งก่ายักษ์

    "ไม่ต้องมาอ้างข้างๆ คูๆ เธอก็รู้ว่าฝ่าบาทอารมณ์ไม่ปกติตั้งแต่องค์ชายลูอิสโดนประหาร ถึงแม้จะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็เหอะ แล้วยังจะให้ฉันไปพูดเรื่องชวนโมโหกับท่านคนเดียวอีก"

    ร่างบางในชุดเสื้อแขนกุดกับกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีแดงเพลิงถูกลากไปตามแรงโบล์ต คริสฟึดฟัดไม่พอใจและดิ้นจนผ้าคลุมที่เป็นฮู๊ดด้านหลังคอสะบัด

    "ปล่อยซี่ ฉันเดินเองได้น่า"

    ยมทูตทั้งสองเดินมาตามทางยาวที่สร้างจากอิฐดำเช่นเดียวกันกับห้องเมื่อครู่ เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังสะท้อนไปมาในทางที่ค่อนข้างแคบนี้ อิฐสีดำเป็นมันสะท้อนแสงสีน้ำเงินซึ่งมาจากแมลงนับล้านเบื้องบน มันเป็นแมลงประหลาดที่อาศัยอยู่บนเพดานสูงจนไม่เห็นเป็นเพดานของนรกเท่านั้น

    "เชื่อมั้ยโบล์ต ฉันเอะใจมานานแล้ว"

    ยมทูตหนุ่มเพียงแค่หันหน้ามาอย่างเงียบๆ เมื่อคริสเริ่ม

    "มนุษย์น่ะมีจิตใจเลวทรามเป็นส่วนใหญ่ก็จริง แต่คนดีก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี ช่วงหลายปีหลังๆ มานี่ไม่มีคนได้ขึ้นสวรรค์เลยสักคน มันแปลกมั้ยล่ะ?"

    "ก็ใช่...อย่างน้อยปีๆ หนึ่งก็น่าจะมีประมาณสักร้อย สองร้อยคนจากจำนวนคนตายทั่วโลก..." โบล์ตพึมพัมเห็นด้วย กับเรื่องที่สหายสาวกล่าวมา

    "…คิดได้อย่างเดียวคือพวกมันใช้เดนมนุษย์ในโลกของพวกมันเป็นหมากในแผนบางอย่าง" โบล์ตเสริม คิ้วหนาของคริสขมวดเข้าหากัน มือเรียวยาวสีซีดจับริมฝีปากล่าง

    "พวกนั้นเป็นตัวอะไรกันนะ?" ยมทูตสาวพึมพำเบาๆ

    "ยังพิสูจน์ไม่ได้จนกว่าจะจับพวกมันมานั่นแหละ แต่ถ้าให้เดาฉันว่าก็ไม่ยากหรอก"

    คริสเงยหน้ามองโบล์ตด้วยความสงสัยซึ่งเขายักคิ้วตอบ

    "นางฟ้า ยมทูต มนุษย์ ถ้าแยกสามเผ่าพันธุ์นี้ออกจะเหลืออะไรที่เรารู้จักอีกล่ะ" เขายกไม้ยกมือประกอบคำพูด เมื่อคริสเริ่มเข้าใจก็ทำตาโต

    "ลูซิเฟอร์กับซาตานไง ลูซิเฟอร์ตัดไปได้เลยเพราะวิญญาณพวกมันโดนดับตั้งแต่สงครามคราวนั้นแล้ว" โบล์ตยืนยันสิ่งที่เพื่อนสาวคิด คิ้วยมทูตสาวขมวดพร้อมหรี่ตาลงด้วยความสงสัยอีกครั้ง

    "ซาตานก็ถูกดับวิญญาณไปพร้อมกับพวกนั้นนี่?"

    โบล์ตที่ได้ฟังเสียงแห้งๆ กลับทำหน้าปั้นยาก

    "ไม่หรอกเธอ..." เสียงแหลมเล็กเบาลง ยมทูตหนุ่มใช้มือป้องปากก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ร่างคริสและพูดต่อด้วยเสียงที่ดังกว่าเสียงกระซิบนิดเดียว

    "…หมอนั่นมันยังไม่ตาย"

    "เห...เธอเชื่อข่าวลือนั่นด้วยเหรอ? ไม่สมเป็นเธอเลยนะ" คริสยิ้มและหันหน้าหนีพร้อมถอนหายใจ "ไปสงสัยพระเจ้าเดี๋ยวก็ไม่ตายดีหรอกพ่อหนุ่ม"

    "แล้วเธอคิดว่าถ้าไม่มีมูลหมามันจะขี้มั้ยล่ะ"

    คริสหยุดเดินเพื่อทำหน้าดุใส่โบล์ต

    "เธอฟังฉันนะโบล์ต พระเจ้ามีพลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดสร้างทุกสิ่งทุกอย่างเลยนะ ถ้าเธอไม่ลืมที่ๆ เราเดินกันอยู่นี่ก็ใช่ เป็นแบบนั้นแล้วท่านจะทำอะไรอ้อมค้อมแบบนั้นทำไม ไอ้กฎโบราณอะไรนั่นมันไม่มีจริงหรอก"

    คริสขึ้นเสียงที่ท้ายประโยคแต่โบล์ตเพียงเม้มปากแน่นก่อนตอบ

    "ก็นั่นน่ะสิ ที่จริงก่อนๆ มาฉันไม่เคยสงสัยท่านหรอก แต่เธออธิบายได้มั้ยล่ะ เรื่องบนโลกมนุษย์ในตอนนี้น่ะ ส่วนไอ้กฎโบราณเธอเอาอะไรมายืนยันล่ะว่ามันไม่มีหรือเคยมี"

    แม้คริสจะเริ่มโมโหในคำพูดของสหายหนุ่มแต่เธอก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน เธอจึงหันหน้ากลับและเดินต่อไปเงียบๆ อย่างเถียงไม่ออก พวกเขาเลี้ยวซ้ายที่สุดทางอันเป็นทางเลี้ยวสุดท้ายที่ไปสู่ห้องทำงานของยมบาล

    "พูดถึงองค์ชายลูอิส เขาไม่น่าจะไปเรียนวิชาด้านชั่วเลย ทั้งที่จริงฉันว่าท่านก็สุดยอดอยู่แล้วนะ ทำไมกัน ไม่เข้าใจหัวสมองของอัจฉริยะเล้ย..." คริสแบมือขึ้นฟ้ายักไหล่เบาๆ

    "คงจะกระหายความรู้มั้ง ก็อัจฉริยะนี่นะ เงียบเหอะถึงแล้ว" โบล์ตปราม ทั้งคู่มาหยุดที่หน้าประตูหัวโค้งที่บานประตูแกะเป็นสัญลักษณ์ประจำนรก โบล์ตชูแหวนวงใหญ่ฝังอัญมณีสีนิลขึ้นทาบกับประตู มันเปิดตัวเองทันที

    ในห้องนี้เป็นห้องทรงกลมสว่างไสวอบอุ่นด้วยคบเพลิงที่มีไฟลุกโชน พื้นปูด้วยกระเบื้องสีขาวดำสลับเป็นลายตารางหมากรุก บันไดเวียนที่กลางห้องทำให้คริสรู้สึกว่ามันเกะกะไปซะทุกครั้ง ตามผนังที่สร้างด้วยอิฐเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษและตู้มากมายทั้งเล็กใหญ่ โต๊ะน้ำชาที่อยู่เกือบติดหน้าประตูทางเข้าก็ขัดกับบรรยากาศห้องโดยรวม

    ทั้งคู่เดินเข้าไปยังตัวโถงของห้อง พวกเขาเห็นชายร่างยักษ์ยืนไพล่หลังหันหน้าเข้าชั้นวางลูกแก้วรายงานท่าทางเหมือนกับหาของบางอย่าง

    "อ้าว จะมาขอฤกษ์แต่งกันเรอะทั้งสองคน"

    ชายซึ่งหันหน้ากลับมาทักทายกวนๆ มีผมสั้นแต่งทรงเฟี้ยว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาคมเข้ม ผิวขาวต่างจากยมทูตทั่วไป เป็นสิ่งที่คริสเห็นจนเซ็ง

    "ใช่ที่ไหนล่ะ เรามารายงานสิ่งที่ลำบากสังเกตการณ์มาหลายปีต่างหาก" ผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องยืนเท้าสะเอวพร้อมใช้ปลายเท้าซ้ายเคาะพื้น ต่างจากโบล์ตที่คุกเข่าลงทันทีที่มาถึง

    "จากข้อมูลที่ได้รับมาตลอด 4 ปีมานี้ทำให้เราได้ทราบแล้วว่าวิญญาณมนุษย์ได้รับการช่วยเหลือให้คืนชีพจากกลุ่มบุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษครับ" โบล์ตรายงานอย่างแข็งขัน ยมบาลหัวเราะขึ้นจมูกและแย้มยิ้มจนรอยตีนกาโผล่

    "บุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษงั้นเรอะ? ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็ไอ้พวกลูซิเฟอร์ชั้นต่ำนั่นแหละ"

    "ลุงรู้ได้ไงอ่ะ" คริสถามทันควัน ยมบาลกอดอกด้วยท่อนแขนอันใหญ่โตท่าทางองอาจ

    "เห็นอย่างนี้ฉันก็อยู่จุดสูงสุดของโลกภพนึงเลยนา เรื่องบางเรื่องฉันก็ต้องสืบมาบ้าง แต่นั่นไม่สำคัญหรอกยัยหนู ที่สำคัญคือถ้าพวกมันเกิดมาแล้วหมายความว่าเจ้านายเก่าของมันไม่ได้ถูกดับวิญญาณเหมือนที่สวรรค์อ้าง ให้ตายเหอะ พวกนางฟ้านี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ น้า"

    "นี่ลุง ลุงก็เชื่อข่าวลือนั่นเหรอ?" คริสขึ้นเสียงถามอย่างมีอารมณ์

    "จะมาขึ้นอะไรกับผมล่ะคุณผู้หญิง รอบเดือนก็ไม่ได้มีสักหน่อย ช่างเถอะ นี่โบล์ต พวกนางฟ้ารู้เรื่องนี้รึยัง" ยมบาลถามลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ที่เงยหน้าขึ้น ทั้งคู่พูดกันโดยไม่สนใจเสียงคริสที่โวยวายกรี๊ดกร๊าดราวเด็กเรียกร้องความสนใจ

    "ผมคาดว่ายังครับ พวกเราดำเนินการกันอย่างลับๆ ตามคำสั่งท่านยมบาลทุกประการครับ"

    "อืม...ดีแล้ว" ยมบาลผงกหน้าพร้อมเดินออกจากโต๊ะทำงานไปยังตู้ไม้โอ๊คดำสนิท "แต่ต่อไปเราคงต้องแจ้งให้พวกนั้นรู้แล้วล่ะ"

    โบล์ตและคริสซึ่งเลิกแผดเสียงแว๊ดๆ แล้วมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายก่อนจะมองตามไปยังตู้ไม้โอ๊คขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดออก

    ของข้างในทำให้โบล์ตตะลึง เขาจ้องมันจนตาแทบถลน

    สิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในหลอดแก้วขนาดพอดีกับตู้มีร่างกายอันนิ่งสนิทแต่มีรูปร่างไม่ต่างจากวิญญาณมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่ส่วนหัวของมันนั้นโล่งโล้นปราศจากใบหน้า

    โบล์ตเข้าใจทันทีว่าทำไมต่อไปนี้ต้องประสานงานกับนางฟ้า

    "อย่างที่เห็น นี่คือ 'วิญญาณสังเคราะห์' ที่หลานเคยเสกให้ฉันเมื่อนานมาแล้ว"

    คริสที่เคยเห็นครั้งแรกได้ฟังก็ตกใจ นั่นทำให้เธอเข้าใจเรื่องที่ยมบาลกำลังจะพูดต่อ

    "หลานฉัน ลูอิส มันยังไม่ตาย แล้วถ้ามันเป็นอย่างที่ฉันคิดล่ะก็ เขาในตอนนี้น่าจะร่วมเคลื่อนไหวกับซาตาน"

    เขาพูดพลางปิดประตูตู้ก่อนจะเดินกลับมายังโต๊ะทำงาน

    "ทำไมลุงถึงปิดมาจนป่านนี้ นี่มันเรื่องใหญ่นะ" คริสตวาดแต่เจ้านรกหลับตานิ่ง โบล์ตตัวสั่นเมื่อนึกถึงสิ่งชั่วร้ายที่สุดในประวัติกาลตอนได้อำนาจกลับคืน

    "ที่ฉันไม่บอกอะไรพวกเธอตอนนั้นเพราะมีเหตุผลอยู่ 3 ข้อ หนึ่งฉันไม่แน่ใจว่าที่วิญญาณสังเคราะห์ไม่ได้หายไป เป็นเพราะพลังอันแกร่งกล้าของลูอิสมันรึเปล่า สองเมื่อแน่ใจแล้วว่าลูอิสมันยังไม่ตายฉันก็ออกคำสั่งอย่างที่พวกเธอรู้ นั่นคือให้ปิดเรื่องทุกเรื่องให้เป็นความลับกับพวกนางฟ้า เพื่อที่ว่าถ้าหากเราจัดการต้นตอของมหันตภัยนี้ได้ เราจะได้เอาเรื่องนี้เป็นความดีความชอบเพื่อกลับสู่สวรรค์ ข้อสาม..."

    ยมบาลหยุดพูด เขากลืนบางอย่างลงคอไปก่อนจะจบประโยคด้วยยิ้มเศร้าๆ

    "ถึงมันจะเดินทางผิดแต่ฉันก็รักมันเหมือนลูกแท้ๆ มันเป็นความปรารถนาลึกๆ ของฉันว่า อยากจะให้มันยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยฉันก็มองว่ามันเป็นลูกมากกว่าพ่อมันเอง นี่แหละ เหตุผลทั้งหมดของฉัน ที่ปิดพวกเธอและสั่งให้พวกเธอปกปิดสวรรค์ ถึงตอนนี้จะไม่จำเป็นแล้วก็เหอะ"

    โบล์ตถูกสั่งให้ยืนขึ้น เขาทำตามคำสั่งโดยพูดอะไรไม่ออกกับเหตุผลของเจ้านาย คริสทำปากแบะแต่ในใจก็พูดอะไรไม่ออกเช่นเดียวกัน ยมบาลเห็นสีหน้าของทั้งสองไม่สู้ดีนักจึงทำเสียงสบายๆ

    "แต่ถ้าลูอิสร่วมมือกับซาตานแล้วนรกคงจัดการคนเดียวไม่ไหว เราจึงจำเป็นต้องแจ้งนางฟ้า แต่ถึงฉันจะว่างั้นแต่ก็ต้องหลังจากที่เราได้หลักฐานครบก่อน ส่วนเรื่องลูอิสไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ ถ้ามันร่วมมือกับซาตานจริงก็มีแต่ต้องกำจัดทิ้งเท่านั้น"

    "ฉันเป็นลุงฉันคิดได้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้เป็นไงล่ะ พวกลูซิเฟอร์เกิดมาเป็นกองทัพ..."

    "ก็ฉันบอกแล้วไงว่าหลักฐานต้องพร้อม อย่างพวกเธอก็เพิ่งจะรู้กันเองไม่ใช่รึไงว่าพวกมันใช้วิธีไหน พวกมันไม่ได้ทำอะไรโต้งๆ โง่ๆ มันถึงแหกตาเรามาได้จนป่านนี้นี่แหละ"

    คริสเงียบ

    ก่อนที่โบล์ตกำลังจะขอคำสั่งดำเนินการต่อเสียงนกเหยี่ยวก็ดังลั่นห้อง จุดรวมสายตาของทุกคนจึงมุ่งไปยังเหยี่ยวหิมะรูปร่างสง่างามซึ่งเกาะอยู่บนคอนยักษ์ที่สร้างยืดออกมาระหว่างชั้นสองกับบันไดเวียน ตอนนี้มันขยับจงอยปากเร็วถี่เปล่งเป็นคำพูด

    "ท่านครับ เราพบกลุ่มมวลพลังขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของกลุ่มบุคคลที่มีความสามารถพิเศษครับ"

    รอยยิ้มผุดเกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อทั้งสามได้ฟังเช่นนั้น

    "พูดถึงก็เอาเลยแฮะ" ยมบาลพูดด้วยความรู้สึกราวกับได้ชัยในสงคราม

    "ให้พวกเราจัดการเองนะลุง" ความตื่นเต้นจนคุมไม่ของคริสทำให้ยมบาลขำขัน โบล์ตเองก็มีสีหน้าตื่นเต้นเช่นกัน

    "เอ้า ก็ได้ จับมันมาเป็นๆ ล่ะ และบันทึกหลักฐานมาด้วย พวกนางฟ้าจะได้ไม่ต้องโวยวายทีหลัง"

    "นี่ แถวนั้นของวันนี้มีคนตายรึเปล่า" โบล์ตตะโกนถามเหยี่ยวหิมะที่ตอนนี้ใช้จงอยปากจิกขนเล่น

    "พิกัดนั้นระบุสถานที่ว่าเป็นประเทศทางตะวันออกของทวีปยุโรป วันนี้ไม่มีคนตายตรงจุดนั้นครับ"

    โบล์ตหันหน้ามาที่ยมบาลอย่างขอความเห็น เจ้านรกกอดอกยิ้มยิงฟัน

    "ก็สร้างสถานการณ์ไปซี่ ทำให้พวกมนุษย์ไปตายกันแถวนั้นเยอะๆ เดี๋ยวพวกมันก็มาหาแผนเราเองแหละ"

    คริสและโบล์ตทำหน้าไม่เห็นด้วย การบิดเบือนชะตาของมนุษย์เป็นเรื่องไม่ถูกต้องและอาจส่งผลร้ายแรงในอนาคต ทั้งคู่รู้เรื่องนี้ดี ไม่ต้องพูดถึงยมบาลว่าเขาก็ต้องรู้ดีที่สุด แต่ทั้งคู่สงสัยว่าทำไมเจ้าแห่งนรกจึงเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล

    "พวกเธอ...ฉันจะบอกอะไรให้นะ ไม่มีอะไรจะมีความสุขไปกว่าความปกติธรรมดาอีกแล้ว การที่มนุษย์ต้องตายเป็นเรื่องปกติธรรมดา การฟื้นคืนชีพของพวกนั้นต่างหากที่ทำลายความปกติธรรมดาอย่างร้ายกาจ การกำจัดพวกมันให้สิ้นซากไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนยมทูตก็ทำแค่เพื่อปกป้องความปกติธรรมดา นี่คือหน้าที่ของยมทูตอย่างเราไม่ใช่รึ? ถึงจะดูโหดร้าย แต่ควรทำตามหน้าที่รึเปล่าเธอก็รู้อยู่"

    เมื่อเจ้าแห่งนรกยืนยันหนักแน่น ผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีแต่ต้องทำตาม แม้จะยังข้องใจในวิธีปฏิบัติแต่โบล์ตและคริสก็ยังคงเป็นลูกน้องที่ดี

    "ไปกันเหอะโบล์ต" ยมทูตสาวเรียกสหายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะดึงฮู๊ดแดงมาคลุมหัวและเดินออกจากห้องไป โบล์ตโค้งตัวคำนับยมบาลอย่างแข็งขันก่อนจะตามคริสไปด้วย

    .

    .

    .

    "ย่าห์!"

    ปั่ก

    ลูกสักหลาดสีเขียวอ่อนกระดอนใส่ข้อมือของอลิซด้วยความแม่นยำรุนแรง ความเจ็บปวดทำให้แร็คเก็ตเธอกระเด็นหลุดจากมือ อลิซกัดฟันเพื่ออดทนกับความเจ็บปวดจนแทบอยากจะร้องไห้พร้อมเดินไปเก็บแร็คเก็ตที่อยู่เกือบกลางสนาม ข้อมือบวมเป่งนั้นสั่นจนควบคุมไม่อยู่ เธอต่อสู้กับความเจ็บนี้มากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว

    ตั้งแต่ที่สเตฟานี่ได้เจอคำถามเสียดแทงจิตใจที่อลิซเป็นผู้ตั้ง แม้สเตฟานี่จะจงใจเล็งที่ข้อมืออลิซเพียงอย่างเดียว แต่ผู้หญิงอย่างอลิซก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้ เธอหยิบลูกขึ้นมาและตั้งท่าเตรียมเสิร์ฟ สเตฟานี่ที่เห็นเช่นนั่นก็ได้ส่งสายตาดูแคลนพร้อมกับถามขึ้นด้วยเสียงไร้อารมณ์

    "ไม่เข้าใจจริงๆ มันสำคัญนักรึไงคะกับการที่ต้องเอาตัวเองมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกเรา ทั้งๆ ที่จุดยืนอย่างคุณถ้าอยู่อย่างไม่รู้อะไรทำตัวหน่อมแน้มให้คนเขารักใคร่ไปวันๆ ก็จะมีความสุขมากอยู่แล้วแท้ๆ"

    แร็คเก็ตหวดลูกเสิร์ฟของอลิซซึ่งความเร็วตกลงไปมาก สเตฟานี่จงใจเพิ่มจิตสังหารเข้าไปในลูกโต้ของเธออีกแต่ดูเหมือนเวลานี้สาวผมยาวสีน้ำตาลจะเริ่มชินกับมันแล้ว

    มุมปากสเตฟานี่ชี้ขึ้นเล็กน้อย

    "นี่ไม่ใช่เล็กๆ นะคุณแกรนด์สโตน มันไม่ใช่เรื่องที่เดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกก็ได้ มันเกี่ยวกับชีวิตคน เกี่ยวกับภาระที่ต้องแบก ความรับผิดชอบของคนทั้งโลก คุณจะบอกว่าคุณสามารถสละตัวเองเพื่อใครก็ได้งั้นเหรอ งานของเรามีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะตอนนี้ที่พวกยมทูตเริ่มจะสงสัยแล้ว ที่คุณพูดกับเรย์ว่าจะทำให้ได้นั่นก็เพราะคุณยังไม่รู้จักความน่ากลัวของพวกนั้นดี"

    แม้ความเจ็บปวดที่ข้อมือจะเริ่มลามขึ้นไปทั่วทั้งแขน แม้ความกดดันจนคลื่นไส้จากสเตฟานี่จะรุนแรงจนแทบก้าวขาไม่ออก แต่อลิซก็สะกดกลั้นไว้และโต้ลูกกลับไป

    "คุณสเตฟานี่ คุณ ตัดสินคนอื่นทั้งที่ยังไม่ได้รู้หรือเห็นว่าเขาเป็นอย่างไรได้ยังไงกันคะ ดิฉันพูดจริงและทำจริง ข้อนี้คุณคารอลทราบดีที่สุด"

    ลูกสีเขียวถูกโต้ข้ามเน็ทกลับมายังอลิซ บอลสักหลาดพุ่งเร็วกระทบพื้นก่อนเด้งขึ้น

    ไม่อาจทราบได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บรรยากาศร่มรื่นนั้นเย็นลงถนัดตา อุณหภูมิรอบสนามเทนนิสที่ทั้งคู่เล่นอยู่นั้น ลดลงด้วยความเร็ว

    ไม่ช้าอากาศเย็นแทรกก็ผิวกายสเตฟานี่ไม่ต่างจากฤดูหนาว

    อลิซหวดลูกทันทีที่ระยะของแร็คเก็ตไปถึง

    "ถ้าเพื่อคุณคารอล ต่อให้เป็นเรื่องที่เกินความสามารถดิฉันก็จะดันทุรังทำให้ได้เลย!!!"

    ราวกับอลิซใช้เสียงตะโกนไล่ความเจ็บปวด ลูกที่เธอตีพุ่งไปไม่ต่างกับก่อนที่ข้อมือของเธอจะเจ็บจากประสงค์ของสเตฟานี่

    แร็คเก็ตที่เธอถืออยู่กระเด็นหลุดมือไปตามแรงเหวี่ยงอึดสุดท้ายไปยังที่ประจำของไลน์แมน

    ลูกพุ่งไปยังตำแหน่งที่สเตฟานี่รับได้ยากแต่ก็ไม่เกินความสามารถของสาวผมสีกาแฟนม เธอวิ่งตัวปลิวไปรับลูก พร้อมเตรียมตัวปิดเกมส์เทนนิสที่แสนน่าเบื่อเช่นนี้

    "ดูเหมือนดิฉันจะดีใจเก้อไปหน่อย สุดท้ายก็เหลวงั้นรึ คุณแกรนด์สโตน" เธอพึมพำพร้อมยิ้มเศร้าๆ ออกมาก่อนจะเงื้อแร็คเก็ตจนสุดแขน

    ทันทีที่เธอกำลังจะส่งกำลังทั้งหมดไปยังแขนและข้อมือเพื่อตบลูกนี้ อุณหภูมิข้อมือของเธอก็ลดลงต่ำกว่าศูนย์องศา

    ข้อมือขยับไม่ได้ราวกับถูกดึงรั้งไว้ ลูกเทนนิสพุ่งผ่านแขนเธอไปก่อนจะกระดอนกับพื้นคอร์ทและออกนอกสนามไป สเตฟานี่จ้องดูข้อมือตัวเองที่ยังค้างอยู่ในท่าเตรียมตีลูกอย่างงงงัน ที่นั่นมีผลึกฟ้าใสล้อมรอบอยู่

    ผลึกอันส่งควันขาวลอยออกมานั้นเป็นรูปทรงยาวคล้ายหินย้อยในถ้ำ มันเชื่อมกับพื้นคอนกรีตของคอร์ทเทนนิส หลายแท่งโผล่ยืดยาวออกมารอบบริเวณนั้นเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ผลึกน้ำแข็งเย็นเฉียบจะรวมกันอยู่ตรงพื้นคอร์ทด้านหลังสเตฟานี่จนมีลักษณะคล้ายกับจอมปลวกน้ำแข็ง ภาพนั้นทำให้สเตฟานี่กลับยิ้มสดใสให้อลิซ

    "ผ่านแล้วจ้า"

    เธอตะโกนจากอีกฟากของคอร์ท ภาพที่มีของคล้ายผลึกถ้ำน้ำแข็งโผล่มาในคอร์ทเทนนิสและสะกดข้อมือของสเตฟานี่ไว้นั้นทำให้อลิซตะลึงงัน แต่ก็ไม่เท่ารอยยิ้มไร้พิษภัยของสาวบุคลิกลึกลับที่กำลังส่งมาให้เธอในตอนนี้

    "คะ...คุณสเตฟานี่ เป็นอะไรรึเปล่าคะ?" เธอถามพร้อมเดินโซเซข้ามเน็ทอย่างเรียบร้อยไปหาสเตฟานี่ซึ่งยังค้างอยู่ท่าเดิม

    อลิซเห็นริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นและหุบลง ทันใดนั้นผลึกน้ำแข็งด้านหลังเธอละลายกลายเป็นของเหลวอย่างรวดเร็ว

    ค่อนข้างแน่ใจว่าผลึกน้ำแข็งกับอากาศที่เย็นลงเช่นนี้น่าจะเกิดขึ้นเพราะเธอเป็นต้นเหตุ

    "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สบายมาก" สเตฟานี่โยนไม้แร็คเก็ตทิ้งพลางลูบที่ข้อมือที่เย็นจัด

    "นี่คือพลังที่จำเป็นสำหรับพวกเราในอนาคตที่จะต้องเตรียมรับมือกับพวกยมทูต มันคืออาวุธที่มีไว้สำหรับปกป้องคุณธรรมของพวกเราอย่างการคืนชีพมนุษย์"

    สเตฟานี่พูดก่อนจะคว้าข้อมือขวาที่บวมช้ำของอลิซขึ้นมาดูโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อลิซสะดุ้งนิดหน่อยแต่ไม่ได้เกี่ยวกับความเจ็บปวด

    ความรู้สึกเยียบเย็นที่ส่งผ่านมาจากมือเรียวขาวทำให้อลิซสงสัยว่าแม่สาวอ่านยากนางนี้มีอุณหภูมิร่างกายเหมือนมนุษย์ทั่วไปหรือเปล่า

    พริบตาที่ความสงสัยยังไม่ทันเลือนไปจากสมอง ความเจ็บปวดและความบวมช้ำหายไป จากข้อมือจากที่เคยช้ำจนเขียวกลับกลายเป็นข้อขาวๆ ผอมๆ ดังเดิม

    อลิซเงยหน้าที่ตกตะลึงมองสเตฟานี่ ซึ่งเธอก็ได้ยิ้มหวานส่งมาให้

    แม้ทั้งคู่จะยังไม่ได้พูดอะไรกันต่อแต่อลิซคิดว่านี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆ และพอคิดได้อย่างนั้นเรื่องที่สเตฟานี่ว่าเธอแรงๆ ก็พอจะอธิบายได้ ถึงจะไม่จำเป็นก็ตาม อลิซเป็นถึงแม่คนแล้วจะจุกจิกกับเรื่องเล็กน้อยก็ใช่ทีอยู่

    ตอนนี้อากาศที่เย็นลงเฉียบพลันได้สลายหายไป บรรยากาศกลับมาร้อนตามวันเวลาของฤดูกาลเช่นเดิม

    อลิซยังรู้สึกแปลกใหม่อยู่ไม่น้อย ในช่วงที่เก็บอุปกรณ์เข้ากระเป๋าเธอบังเอิญสบตาสเตฟานี่พอดี และสาวลึกลับอ่านยากคนนั้นก็ได้ส่งยิ้มไร้พิษภัยมาอีก

    ทุกสิ่งเริ่มดำเนินไปยังทางบวกได้แค่อึดใจ เพียงชั่วครู่ความรู้สึกเศร้าโศกอย่างที่ไม่ค่อยได้เป็นบ่อยนักได้เข้าควบคุมในหัวอลิซ

    ความเสียใจล้นทะลักออกมาพร้อมใบหน้าซีดเผือด อลิซหันหน้ามองสเตฟานี่ซึ่งเก็บของอยู่โดยอัตโนมัติ และเธอ ก็พอจะเดาสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นออกจากใบหน้าสวยของสเตฟานี่ซึ่งเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

    "คุณแกรนด์สโตน..."

    เธอวางขวดน้ำลงบนเก้าอี้ยาวพร้อมเสริมให้จบในประโยคที่อลิซไม่อยากได้ยิน

    "…ใกล้ๆ นี้มีคนตาย"

    เป็นครั้งแรกที่อลิซได้เห็นสเตฟานี่มีท่าทีตระหนก แต่ก็เพียงนิดหน่อย ถ้าวัดเป็นหน่วยวัดแบบความยาวก็เพียง 2 มิลลิเมตร แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้อลิซรนได้แล้ว

    "คุณตามดิฉันมา"

    "เอ๋?"

    "นึกถึงสิ่งที่คุณกำลังอยากจะสลัดทิ้งไปให้พ้นจากสมองตอนนี้ เมื่อมันไหลบ่าเข้ามาในหัวใจของคุณแล้วก็ไปกันได้เลย"

    สิ้นเสียงเนิบนาบคล้ายคนสบายอารมณ์ อลิซทำตามที่ตนเองเข้าใจ

    ดวงตากลมโตกระพริบแค่เพียงครั้งเดียว หญิงสาวทั้งสองก็ได้มายืนอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง

    ด้วยเหตุนี้ทำให้อลิซเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความหมายของคำว่า 'แค่พริบตาเดียว'

    ที่นี่มีลักษณะคล้ายทางเดินแคบๆ แต่ติดกระจกเงารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเท่าฝ่ามือจนเต็มพรืด อลิซเห็นใบหน้าที่ซีดจางของตัวเองก็ตะลึงเล็กน้อย ข้อมือขาวถูกคว้าไปโดยสเตฟานี่ พวกเธอวิ่งไปด้วยความเร็วไม่ต่างกับนักเรียนที่รู้ว่าตัวเองมาสายแล้ว

    "ครั้งแรกไม่เลวเลยนี่คะ" หญิงสาวที่ฉุดมืออลิซมาขยิบตาให้ เธอเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเรย์มอนด์จึงพูดถึงสาวคนนี้บ่อยๆ บางเวลาที่อยู่ด้วยกัน

    "เขาพูดถึงดิฉัน...ตอนอยู่กับคุณหรือคะ?" เธอถามอย่างประหลาดใจไร้ความเสแสร้ง อลิซยิ้มและพยักหน้าตอบ

    ทั้งคู่วิ่งมาจนออกจากตรอกกระจกเงามายังโถงขนาดกลางพอกันกับซุปเปอร์มาเก็ต ผนังทั้งสี่ด้านถูกปูด้วยกระจกเช่นเดิม

    สิ่งเดียวที่ภายในห้องนี้มีอยู่คือร่างของผู้คนราวสิบกว่าคน ทุกคนมีใบหน้าเศร้าหมอง บางคนร้องไห้ บางคนนั่งกอดเข่าอย่างหมดอาลัยตายอยาก เด็กเล็กร้องไห้จ้ากอดขาพ่อแม่

    "พวกเขา...?" อลิซถามขึ้น เธอภาวนาขออย่าให้คำตอบเป็นอย่างที่คิด แต่ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้

    "พวกเขาตายแล้ว ที่เห็นอยู่นี่คือวิญญาณ"

    อลิซปิดปากทันทีหลังได้ยินคำตอบ ร่างเล็กๆ ของเธอกระตุกไม่เป็นจังหวะ

    "พวกหนูไม่ได้อยู่บนรถคันนั้นนี่นา"

    ดูเหมือนจะมีคนสังเกตเห็นทั้งสองสาว ผู้ที่ถามสเตฟานี่เป็นชายชราที่ยืนอยู่ใกล้พวกเธอที่สุด

    "คุณตาคะ เกิดอะไรขึ้น?" สเตฟานี่โค้งตัวถามอย่างให้เกียรติ ภาพนั้นราวกับเธอคือองค์ราชินีอันสูงส่งผู้เป็นที่รักใคร่ของชาวเมือง

    "รถประจำทางที่ตานั่งมามันเกิดยางแตกแล้วพลิกคว่ำน่ะสิ เท่าที่ดูน่าจะตายยกคันล่ะนะ ถ้านี่คือความตายจริงไอ้ตัวตาเองไม่เป็นไรหรอก จะสงสารก็แต่พวกเด็กๆ กับพวกที่ยังหนุ่มยังสาว ชีวิตยังเดินมาไม่ถึงครึ่งแต่ก็ต้องตายซะแล้ว พวกหนูล่ะ เป็นอะไรตาย?"

    ดวงตาภายใต้หนังตาหย่อนคล้อยกลอกสลับไปมาระหว่างสเตฟานี่กับอลิซ สาวสวยผมม้าอึกอัก ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากปล่อยคำตอบสเตฟานี่ก็เอ่ยเริ่มด้วยเสียงที่ดังพอจะได้ยินทุกคน

    "ใจเย็นไว้ก่อนค่ะทุกคน"

    เสียงก่อนหน้านี้ทุกเสียงเงียบกริบลง สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่หญิงสาวในชุดนักกีฬาเทนนิส

    "ดิฉันจะพาทุกคนออกไปจากที่นี่เอง"

    อลิซคิดว่าจู่ๆ เข้าเรื่องเลยก็ดีอยู่ แต่ถ้าไม่อธิบายรายละเอียดก็อาจจะมีคนไม่เห็นด้วย แต่อลิซก็ต้องคิดผิดเพราะทุกคนดีใจจนร้องไชโยเสียงดัง

    "หนูเอ๋ย จะพาพวกเราไปจากที่นี่ได้ยังไง พวกเราตายไปแล้ว หรือว่าพวกหนูเป็นภูติสวรรค์งั้นเรอะ"

    ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกับสอนเด็กไร้เดียงสาที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าเวทย์มนตร์นั้นมีจริง

    สิ้นเสียงชายชรา เสียงโห่ก้องด้วยความดีใจเริ่มหายไปทีละเสียงจนเงียบกริบอีกครั้ง

    "ดิฉันพูดจริง แต่ไม่ง้อให้ใครเชื่อ เอาเป็นว่าใครยังไม่อยากตายก็ตามดิฉันมา ใครปลงกับชีวิตก็รอยมทูตมาลากคอลงนรกไปละกัน"

    สมเป็นสเตฟานี่ คำพูดเธอไม่ค่อยรักษาน้ำใจใครแต่ก็น่าเชื่อถือ เธอสามารถพูดโน้มน้าวใจผู้อื่นได้โดยไม่ต้องมีประโยคร้องขอสักคำ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

    ผู้คนเริ่มหันรีหันขวางปรึกษาคนที่ตนรู้จัก สเตฟานี่ยืนกอดอกเชิดหน้าระหว่างรอคำตอบ ส่วนอลิซที่เริ่มเข้าใจบทบาทของหน้าที่ใหม่ทีละน้อยก็ยังคงยืนอยู่ข้างสาวสวยเพื่อสังเกตทุกอย่างซึ่งเป็นงานถนัดของเธอ

    "พวกเราตกลงค่ะ"

    หญิงรูปร่างซูบสูงราวแผ่นไม้กระดานเอ่ยขึ้นท่ามกลางสีหน้าที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสนับสนุนความเห็นนั้นของทุกคน

    แต่ทว่า...

    โครมมมมมม!!!!!!!

    เกิดเสียงที่เพียงได้ยินก็แทบเดาได้เลยว่าไม่ใช่เสียงที่ชวนให้บรรยากาศรื่นรมย์ ตามด้วยเสียงของเศษแก้วที่แตกกระจายลงพื้น ต้นเสียงอยู่ภายในทางเดินยาวที่สเตฟานี่และอลิซใช้เป็นทางวิ่งออกมายังโถงนี้ ถัดจากเสียงโครมครามของวัตถุคือเสียงลากฝีเท้าอันใหญ่โตกับเสียงกึกสั้นของรองเท้าส้นสูงที่ได้ยินชัดขึ้นทุกขณะ

    อลิซที่ในสมองคาดทุกสิ่งในแง่ร้ายใช้สายตาชำเลืองไปที่สเตฟานี่อย่างขอคำตอบ และเธอก็ต้องหวาดกลัวเมื่อใบหน้าสวยสง่ากลับซีดไร้เลือด ดวงตาคู่โตสีฟ้าจ้องค้างไปยังต้นเสียงของสิ่งที่เธอกำลังสงสัย

    "พวกมันทำลายมิตินี้เข้ามา พวกยมทูต!"

     หลังประกาศสิ่งอันเหนือความคาดหมายสเตฟานี่หันมากระซิบกับอลิซเพื่อมอบหมายให้เธอเป็นผู้นำวิญญาณทุกดวงกลับออกไปโดยชี้ไปยังทางเดินแคบฝั่งตรงข้ามของทางที่พวกเธอวิ่งออกมา

    "เร็วเข้าคุณแกรนด์สโตน!"

    เธอพูดอย่างรีบร้อน

    ผู้หญิงที่ราวกับคุมทุกอย่างไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวกลับแสดงความไม่มั่นคงออกมาถึงเพียงนี้ เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ สิ่งในตัวสเตฟานี่ที่อลิซได้เห็นเป็นครั้งแรก

    ท่ามกลางเสียงแซแซ่ดของผู้คนที่เริ่มวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ และเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา อลิซตะโกนสุดเสียงเพื่อทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

    เหล่าดวงวิญญาณเริ่มหันหลังกลับตามแผ่นหลังบางไปยังทางเดินที่รออยู่ อลิซหันมาชำเลืองสเตฟานี่อีกรอบด้วยความเป็นห่วง เธอบอกกับอลิซไว้ว่าจะเป็นคนถ่วงเวลาให้ ซึ่งอลิซทำได้แค่เชื่อใจและทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้เท่านั้น ขณะที่เธอกำลังชื่นใจรอยยิ้มที่สเตฟานี่ส่งมา ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างและไปหยุดอยู่ที่ร่างสองร่างซึ่งคลุมหัวด้วยฮู๊ดสีแดงเพลิง

    "วิธีการของตาลุงน่ะชั่วร้ายก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับอะนะว่ามันได้ผล"

    ร่างเล็กออกความเห็น เธอผู้นั้นแหงนหน้าและยิ้มมุมปากให้กับชายร่างยักษ์ที่มาด้วยกัน ซึ่งเขาพักแขนทั้งสองข้างอยู่บนอาวุธยาวที่พาดอยู่บนไหล่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม

    "นี่เหรอโบล์ตตัวการของเรื่อง คิดไว้ว่าจะเป็นตัวผู้ที่แลเถื่อนๆ ซะอีก นี่กลับเป็นสาวสวยซะได้"

    เสียงเล็กสั่นกระเส่าช่วงท้ายประโยค

    แม้จะอยู่ค่อนข้างห่างแต่เส้นขนในตัวอลิซลุกเกรียว แรงกดดันมหาศาลที่ต่างจากของสเตฟานี่ จิตสังหารของสองคนนี้ทำให้พลังของสเตฟานี่ไม่ต่างจากตัวอ่อนของแมลง

    สาวผมบ๊อบจ้องเขม็งไปที่ยมทูตทั้งสอง ฟันบนและล่างขบกันจนเกิดเสียง

    "ไม่เอาน่าคริส เราต้องจับพวกมันไปแบบเป็นๆ นา"

    โบล์ตพูดปรามด้วยเสียงแหลมเล็กที่ไม่เข้ากับขนาดตัว เขาจับอาวุธที่พาดแขนอยู่ชูขึ้นและกระแทกปลายด้ามที่มีโซ่ติดลงพื้น ซึ่งนั่นทำให้กระจกที่อยู่รอบตัวเขาแตกกระจาย เคียวด้ามยาวนั้นเมื่อตั้งขึ้นมันสูงราว 3 เมตร

    ความแตกตื่นเริ่มขึ้นทันทีที่ทุกคนเดาออกว่าสองคนนี้คือใคร ผู้คนต่างวิ่งกรูกันเข้าไปในทางเดินที่เหลืออยู่โดยมีอลิซเป็นผู้นำทาง

    "เร็วโบล์ต ยัยผมยาวจะหนีไปแล้ว!"

    สิ้นเสียงเล็กแห้ง โบล์ตพาร่างยักษ์ของตัวเองบินไปด้วยปีกขนนกขาวบริสุทธิ์ โดยพุ่งไปยังตำแหน่งของทางเดินฝั่งตรงข้ามที่อลิซกำลังจะเข้าไป

    ทว่า

    เขาทะยานไปได้ไม่กี่หลาก็ต้องชะงักและกระโดดถอยหลังออกมา เมื่อกลุ่มแสงรูปร่างเรียวยาวบินตัดหน้าเขาไปและปักที่ผนังราวกับเล่นเกมปาลูกดอก สิ่งนั้นมีลักษณะเป็นดาบเล่มยาวสว่างจ้า

    เมื่อเห็นเช่นนั้นยมทูตทั้งสองตกใจเล็กน้อย

    "อย่าหวังจะได้ขัดขวางคุณธรรมของเราเลย เจ้าคนโฉดที่ฆ่าคนเป็นผักปลา"

    รอยยิ้มงดงามปรากฏบนหน้าขาวผ่องที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ โบล์ตหัวเราะอย่างดูแคลนในลำคอและเลิกติดตามอลิซซึ่งตอนนี้พาเหล่าดวงวิญญาณหายเข้าไปในซอกทางเดิน ก่อนช่องนั้นจะขมวดตัวเองและถูกปิดผนึกด้วยคาถาของสเตฟานี่

    "แหม อย่างนี้เธอก็ไม่มีทางออกแล้วล่ะสิ จะยอมมอบตัวก็ไม่บอก" คริสถลกฮู๊ดออกเผยให้เห็นผมสีทรายที่หยาบกร้านราวไม้กวาด "แต่ไม่ว่ายังไงก็ขอกรีดหน้าสวยเว่อร์ของเธอก่อนละกัน"

    ดาบรูปร่างพิลึกพิลั่นถูกชักออกมาจากเอวบางทั้งซ้ายขวาของยมทูตสาว สเตฟานี่ได้ยินเสียงกระทืบเท้าดัง ปึง จากขวามือของเธอ ทันไดนั้นท่อนไม้แทงขึ้นมาจากพื้นด้านหลัง สเตฟานี่ซึ่งรู้อยู่แล้วกระโดดขึ้นกลางอากาศสูงเหนือพื้นกว่า 5 เมตร ทว่า เหนือศีรษะเธอเพียงไม่ถึงฟุต มีคริสซึ่งกำลังเงื้อดาบคู่เพื่อรอฟาดฟัน

    พริบตา คมดาบถูกสะบั้นลงมายังร่างของสเตฟานี่ เพียงแต่เธอทานได้ด้วยดาบแสงเรียวยาวในที่เสกขึ้นในมือ

    โบล์ตที่ฉีกยิ้มราวกับหื่นกระหายอยู่ด้านล่างเตรียมรอรับเหยื่อที่ร่วงหล่นลงมาด้วยเคียวด้ามยาวที่เงื้อจนสุดแขน หากแต่พริบตานั้นเอง ริมฝีปากเอิบอิ่มขยับขึ้นลง กระจกนับร้อยนับพันบานแตกเพล้งกลายเป็นเศษแก้วสะท้อนแสงจำนวนนับไม่ถ้วน

    "โว้ว งดงามอลังการสุดๆ!!!"

    คริสตะโกนลั่นพร้อมยิ้มยิงฟันกับภาพที่เห็น

    เศษกระจกที่แตกนั้นไม่ได้ร่วงหล่นลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงโลก มันลอยค้างอยู่ในอากาศชั่วครู่ก่อนแปรสภาพตัวเองเป็นผีเสื้อเปล่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วน

    ฝูงผีเสื้อแสงเข้าปกคลุมร่างสเตฟานี่ผู้เสกพวกมันจนเห็นเป็นเพียงสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายก้อนหินยาวเปล่งแสง ราวสามวินาทีมันสลายตัวหายไปพร้อมร่างเล็กของหญิงสาว

    ผีเสื้อจำนวนหนึ่งบินโฉบตัดผ่านหน้ายมทูตหนุ่มไปยังมุมของห้องโถง พวกมันบินวนจนมีรูปร่างคล้ายพายุงวงช้างก่อนจะสลายตัวในเวลาต่อมาและปรากฏเป็นร่างกายอันเซ็กซี่ของสาวผมบ๊อบ

    ราวกับรู้หน้าที่ ฝูงผีเสื้อแสงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม สองในสามบินพุ่งทะยานด้วยความเร็วผิดวิสัยผีเสื้อเข้าม้วนพัวพันยมทูตทั้งสอง ซึ่งพวกเขาฟาดฟัดฝูงผีเสื้อด้วยอาวุธประจำกาย แต่ด้วยจำนวนที่มากเกินกำจัด ร่างของพวกเขาจึงถูกกลืนจมลงไปในพริบตา

    ผีเสื้อแสงอีกกลุ่มบินพุ่งตรงเข้ายังกำแพงหินที่ตอนนี้ไร้กระจก พวกมันพุ่งชนจนเกิดรูขนาดพอดีกับการที่ร่างสเตฟานี่พอจะลอดไปได้

    "สำเร็จแล้วนะ คุณแกรนด์สโตน"

    สเตฟานี่พึมพำหลังจากที่รับรู้ได้ว่าอลิซพาวิญญาณทั้งหมดออกไปจากมิติแห่งนี้ได้แล้ว เธอนึกชื่นชมอลิซจากใจจริง เพราะสำหรับอลิซการใช้พลังนี้ถือว่าเป็นครั้งแรก และก็เจอดีตั้งแต่ครั้งแรกเช่นกัน แต่เธอกลับเยือกเย็นพอที่จะคุมสถานการณ์ภายในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ได้

    สเตฟานี่วิ่งด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ไปยังช่องมิติที่ถูกเจาะไว้ แต่ก็ต้องกระโดดหลบฉากออกมาเพราะมวลน้ำแรงดันสูงปะทุขึ้นมาจากพื้นด้านหน้าเธอราวกับน้ำพุ

    "โบล์ต ยัยผมยาวหนีไปแล้วนะยะ ทำอะไรสักอย่างซิ!!"

    คริสออกคำสั่งดังมาจากฝั่งตรงข้ามของฝูงผีเสื้อที่ม้วนพันอยู่ ซึ่งทำให้สเตฟานี่นิ่วหน้าเล็กน้อย

    "จะให้ทำอะไรเล่า ก็เห็นอยู่ว่ายัยนี่เคี้ยวยากแค่ไหน"

    เสียงสบายๆ ของโบล์ตมาจากที่เดียวกัน สเตฟานี่อยู่ห่างจากยมทูตทั้งสองค่อนข้างไกลจึงพอมีเวลาคิดวิธีที่จะหนีออกจากมิตินี้ยังไงพอสมควรก่อนที่จะถูกรุกมาอีกครั้ง

    อันที่จริงสเตฟานี่ไม่ใช่คนที่จะหันหลังหนีอะไร แต่สายตาอันเฉียบคมของเธอก็รู้ว่าเมื่อใดที่กำลังเผชิญกับเรื่องเกินกำลัง มัวแต่ฝืนไปก็จะมีแต่เสีย

    "จะสั่งอะไรใครแต่ละทีก็บอกวิธีการมาด้วยสิเธอ ไม่ใช่ว่าสักแต่จะว่าสั่งแล้วก็รอดูผลลัพธ์อย่างเดียว"

    "เธอสอนฉันเหรอโบล์ต?"

    คริสถามเสียงเย็น ใบหน้าเริ่มแสดงเค้าแห่งโทสะ

    "แนวทางต่างหากเล่า แนวทาง เราต่างก็กุมอำนาจระดับสูงของนรกเอาไว้ การปฏิบัติตนในฐานะผู้บังคับบัญชายังไงให้ลูกน้องไม่เอาไปนินทาลับหลังก็น่าจะรู้ไว้นะเธอ ฉันว่า"

    เสียงเล็กไม่เข้ากับขนาดตัวยังคงสาธยายอย่างสบายอารมณ์ สถานการณ์ที่มีช่องโหว่ แถมระยะห่างก็มากพอที่จะทำให้สเตฟานี่อาศัยจังหวะนี้เสกช่องทางหนีออกจากที่นี่ขึ้นมาใหม่ หลังจากที่เก่าที่คาถาผีเสื้อของเธอเจาะไว้ถูกปิดผนึกด้วยพืชไม้เลื้อยสีเขียวคล้ำ

    สเตฟานี่ออกตัวพริบตาที่ทุกอย่างพร้อม แต่แล้วเธอก็ต้องเจ็บปวดที่ศีรษะอย่างรุนแรงเพราะแรงดึงของบางอย่างกับเส้นผม

    "ไม่ว่าจะที่ไหนผู้ชายก็แพ้ผู้หญิงสวยทั้งนั้นล่ะว้า ทำเป็นพูดดี"

    เสียงเล็กๆ แห้งๆ ของคริสดังมาจากด้านหลังของหญิงสาว เธอหงายหลังจากมือซึ่งกำลังจิกกระชากผม

    "บ้าจริง!"

    สเตฟานี่กัดฟันกรอดพร้อมเสกดาบแสงหันหลังกลับไปฟันผู้ที่ทึ้งศีรษะตัวเอง

    ยังไม่ทันจะได้หันกลับไป ร่างบางเซ็กซี่แข็งทื่อ แขนทั้งสองกางออกระดับเดียวกับหัวไหล่ ต้นอ่อนของไม้ยืนต้นแทงยอดออกมาจากพื้นด้านหลังเธอ มันเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมเลื้อยพันร่างสเตฟานี่เอาไว้

    เพียงไม่นานมันผนึกร่างเหยื่อคล้ายกับเป็นไม้กางเขนโดยสมบูรณ์

    คริสอมยิ้มและปล่อยมือจากเส้นผมสีกาแฟนม ลมหอบหายใจน่ารังเกียจรดใบหน้าสเตฟานี่เมื่อคริสยื่นหน้าเข้าไปจนจมูกแทบชนกัน

    "มิชชั่นคอมพลีท..."

    คริสพ่นเสียงออกจมูก สเตฟานี่จ้องอย่างท้าทายกับยมทูตสาว

    "เห็นป่ะ เธอเร็วที่สุดในนรกก็จัดการเองไปตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องละ" โบล์ตเดินมาสมทบกับสหายและกล่าวชื่นชมกับคาถาของตัวเอง "เจ๋งแฮะ รู้สึกน่าเสียดายที่อัจฉริยะตายไปจริงๆ ก็เวลาใช้คาถาของเขานี่ล่ะ"

    ยมทูตหนุ่มยืนเท้าสะเอวและเปลี่ยนมาเป็นกอดอก แม้ฮู๊ดจะยังคลุมที่หัวเขาอยู่แต่สเตฟานี่เห็นลูกตาดำกลอกขึ้นอย่างครุ่นคิด ร่างกายที่ใหญ่เกินมนุษย์บดบังแสงอันน้อยนิดที่ส่องมาหาร่างที่ถูกตรึงด้วยกางเขน อาจเพราะเหตุนี้ทำให้คริสต้องเดินเข้ามาใกล้ และนั่นทำให้สเตฟานี่รู้ว่ายมทูตสาวสูงเพียงต้นคอเธอเท่านั้น

    "พูดถึงสำนวนนั่นแล้ว ก่อนจะถูกพาตัวไป ฉันถามอะไรนิดสิ เจ้าลูซิเฟอร์"

    คำนามท้ายประโยคทำให้สเตฟานี่หันควับจ้องหน้าโบล์ตซึ่งยิ้มกริ่ม

    "อา...สงสัยจะจริง พวกมันจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ฉันไม่ตอบคำถามเธอหรอก เธอต้องตอบฉันมาว่าทำไมเธอถึงมีคุณสมบัติของแสงเหมือนคนใหญ่คนโตของสวรรค์ได้ หือ?"

    โบล์ตค้อมตัวก้มลงพร้อมยื่นหน้าเข้าใกล้สเตฟานี่ เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งราวกับจะกวนประสาทหญิงสาวซึ่งสับสนกับสิ่งที่ยมทูตพูดจนไม่สามารถหาคำตอบได้เธอจึงหันหน้าหนี ภายในใจคิดว่าตัวเองนั้นคงไม่รอด

    "ท่าทางอย่างยัยนี่เหมือนคนตอบอะไรง่ายๆ รึไงโบล์ต จัดการเลยสิ เสียเวลาเปล่าๆ"

    ครั้งนี้โบล์ตทำตามโดยทันที เขายื่นฝ่ามืออันใหญ่โตเตรียมจะคว้าคอหญิงสาว เธอหลับตาปี๋อยู่บนกางเขนไม้เลื้อย

    "เรย์...บีขอโทษ..."

    ปัง! ปัง! ปัง!

    "อั่ก!"

    สิ้นเสียงแสดงถึงความเจ็บปวดของโบล์ต ไม้เลื้อยที่พันธนาการร่างสเตฟานี่นั้นหดตัวถอยกลับ ท่ามกลางความตกใจของคริสที่จู่ๆสหายหนุ่มล้มลงและคาถาที่กำลังจะคลาย เสียงลั่นของกระบอกปืนก็ได้ดังขึ้นอีกนัด

    ปัง!

    คริสล้มลงอีกคน รอยแผลใต้หัวเข่าของเธอมีควันดำโชยออกมา

    "คริส คาถาฉันถูกย้อนเวลา จัดการมันหน่อย ฉันโดนยิงที่ข้อมือ!"

    ยมทูตสาวลุกขึ้นยืนและเสกมีดเงินเล่มเล็กออกมาตามคำขอของโบล์ต

    แต่สายไปเสียแล้ว

    สเตฟานี่อันเป็นอิสระจากพันธนาการกระโดดกลับหลังข้ามดาบแสงนับสิบเล่มลอยเวิ้งอยู่ด้านหน้า ก่อนจะทำให้มันทะยานใส่ยมทูตทั้งสองจนเกิดเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว

    คริสลากโบล์ตพุ่งโจนออกมาจากกลุ่มควันที่ลอยโขมงก่อนกระโดดลงอย่างทุลักทุเลตรงพื้นฝั่งตรงข้าม ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด ระหว่างที่เธอกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นคำตอบก็ลอยมาในรูปของเสียง

    "การทำให้เลดี้เจ็บไม่ว่าจะกายหรือใจมันไม่งดงามเลยนะเรย์ มันไม่ใช่วิถีของลูกผู้ชายอย่างเราๆ รู้ป่าว?"

    เสียงแรกหวานคล้ายหญิงสาวออกอาการไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก

    "ไม่ว่าวิธีการจะเป็นยังไง ถ้าเพื่อความถูกต้องล่ะงดงามเสมอแหละ ใช่มะทอม"

    เสียงที่สองเข้มและทุ้มต่ำนุ่มหู

    "จะเถียงกันทำไมวะ จะงดงามหรือห่วยแตก ขอให้รอดมาได้ก็พอและ"

    เสียงที่สาม เข้ม แมน ตามแบบฉบับของชายที่เจริญเต็มวัย ซึ่งทั้งสามเสียงส่งผลให้รอยยิ้มโล่งใจของสเตฟานี่ผุดขึ้นจางๆ ราวกับอ่อนกำลังเต็มที่

    "เรย์ คุณไลท์ทรี คุณการ์ดเนอร์"

    เมื่อสถานการณ์พลิกกลับ สเตฟานี่ถึงกับเข่าอ่อนแรง บุรุษเจ้าของเรือนผมดำสนิทประคองเธอให้นั่งลงอย่างนิ่มนวล

    "สเตฟานี่ พักก่อนนะ พวกเราจัดการต่อเอง"

    เรย์กระซิบอย่างอ่อนโยนกับหญิงสาวที่น้ำตาเริ่มไหล อีกสองคนที่เหลือตามหลังเรย์ มายืนอยู่ตรงที่แสงสว่างส่องถึงใกล้ๆ กัน

    "นั่นเหรอยมทูต? น่าทึ่งแฮะ"

    ชายผมดำเหลือบน้ำเงินยาวตรงถึงกลางหลังทำปากหวอ ดวงตากลมโตที่เบิกโพลงอยู่หลังกรอบแว่นตาทำให้จอห์น ไลท์ทรี แทบไม่เหลือเค้าโครงของบุรุษเพศ

    "จะรอดมั้ยล่ะนั่น โดนไป 3 ดอก ไหนบอกว่าคุณธรรมของนายไม่ใช่การตัดชีวิต แต่เป็นการให้ชีวิตไง"

    ทอม การ์ดเนอร์ ผู้มีความสูงกว่า 7 ฟุต ขยับหมวกไหมพรมสีเกรย์สโม๊ค และหันไปพูดกับชายซึ่งลุกขึ้นยืนแล้ว

    "ฉันไม่เล็งหัวก็บุญเท่าไหร่ละ จะขอบคุณก็ไม่รังเกียจหรอกนะ คุณๆ ยมทูต"

    เรย์กลั้นหัวเราะเย้ยหยั่นอย่างออกนอกหน้า ยมทูตทั้งสองยืนขึ้นอย่างคล่องแคล้ว โบล์ตใช้กำปั้นทุบพื้นจนสั่นอย่างรู้สึกได้

    "หึ นึกว่าจะเจ็บกว่านี้ซะอีก ไอ้พลังเหยาะแหยะของนายน่ะ"

    ยมทูตทั้งสองยิ้ม มองดูก็รู้ว่าพวกเขาพูดจริง กระสุนแสงสีดำของเรย์ทำอะไรพวกเขาไม่ได้

    "เรย์ บีขอโทษ เป็นเพราะบีระเบิดมวลพลังพวกมันเลยจับได้"

    สเตฟานี่ขมวดคิ้วสำนึกผิด แต่ชายหนุ่มได้ฟังก็ทำเพียงแค่หัวเราะเบาๆ

    "นั่นก็เพราะสเตฟานี่ต้องการจะฝึกพี่อลิซตามที่เรย์ขอ ไม่ต้องกังวล จะเร็วจะช้าก็ต้องเกิดอยู่ดีสเตฟานี่ ไม่มีใครโทษสเตฟานี่หรอกนะ อย่าโทษตัวเองเลย เรย์บอกเสมอใช่มั้ยว่าสิ่งที่พวกเราทำนี่แหละความถูกต้อง"

    เรย์พูดอย่างอ่อนโยน ทว่าถัดมาน้ำเสียงเขาแข็งกร้าวขึ้นพร้อมมองยมทูตด้วยหางตาโดยลอดไรผมดำที่ปรกลง

    "ยมทูต พวกแกต้องหายไป เพื่อความถูกต้องของโลกใบนี้"

    "อย่างพวกแกแค่เจอกับเจ้ามิคกี้คราวโน้นยังหนีตายแตกกระเจิงออกมา ฉันไม่รู้ว่าพวกแกเกิดขึ้นมาใหม่ได้ยังไงแต่พวกแกจะเอาอะไรมาฆ่าฉัน พวกฉันเก่งกว่าพวกนางฟ้าหลายขุมเชียวนะขอบอก"

    ยมทูตหนุ่มไม่ยี่หระกับจิตสังหารที่อัดแน่นอยู่เต็มมิติแห่งนี้ คริสแสยะยิ้มน่าเกลียดพลางหักนิ้วมือดังกร๊อบๆ

    "พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่จำเป็นต้องเสวนาให้มากความ เรามาก็เพื่อกำจัดความชั่วช้า ก็แค่นั้น"

    ปืนโบราณดำเงาปรากฏขึ้นในมือที่ยกสูงหลังเรย์พูดจบ นิ้วชี้เหนี่ยวไกรัวถี่ไม่เว้นช่วง กระสุนดำกระหน่ำไปยังยมทูตทั้งสองซึ่งหลบฉากกันไปคนละทาง

    "จอห์น พาสเตฟานี่หลบไป ทอม จัดการยมทูตผู้ชาย ฉันจะจัดการยัยยมทูตผู้หญิงเอง"

    ทอมรับคำสั่งและกระโดดตามโบล์ตไปทันที

    ควันที่ลอยคละคลุ้งทำให้จอห์นเดินถอยมายังจุดที่สเตฟานี่นั่งเปลี้ยอยู่ เรย์พุ่งตัวราวกับมีไอพ่นติดอยู่ที่รองเท้าไปยังทิศที่คริสหลบฉาก จอห์นทัดเส้นผมยาวไว้ข้างใบหูพร้อมประคองสเตฟานี่ลุกขึ้น

    "ดิฉันไม่เป็นไรแล้วคุณไลท์ทรี ฉันจะไปช่วยเรย์"

    มีแสงสะท้อนจากแว่นของชายหน้าสวย เขาทำหน้าหนักใจท่ามกลางเสียงโครมครามของการโจมตี

    "ผมก็ไม่ได้อยากขัดหรอกนะ แต่ผมไม่อยากโดนเรย์มันบ่นเอาน่ะสิครับ"

    "ไม่เป็นไร ไว้ดิฉันจะพูดกับเขาเอง คุณเปิดประตูมิติคอยไว้ดีกว่า ดิฉันคิดว่าพวกเราน่าจะหนี...ถ้าทำได้นะ"

    "พวกเขาเก่งขนาดนั้นเลยหรือครับ?"

    "ใช่ค่ะ รีบทำตามที่ดิฉันบอกเถอะ ดิฉันไปล่ะ คุณไลท์ทรี เสร็จเมื่อไหร่ก็เรียกพวกเราเลยนะ"

    ดาบแสงถูกเสกขึ้นในมือทั้งสองของสาวสวย ก่อนเธอจะกระโจนหายไปในกลุ่มควันที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะจางลงง่ายๆ

    "เฮ้อ...เอาล่ะ" จอห์นยักไหล่ เรียวปากชมพูใสขยับอย่างรวดเร็ว แว่นตาเขาเอียงนิดหน่อย มือเรียวสวยชูนิ้วชี้ขวาขึ้น ไม่กี่วินาทีแสงสีชมพูปรากฏสว่างจากปลายเล็บของเขา

    .

    .

    พลั่ก!!!

    กำปั้นโตกระแทกเข้าที่กล้ามท้องแข็งแกร่ง ซิกซ์แพ็คภายใต้ผิวดำแดงยุบลงเล็กน้อย

    ปั่ก!!!

    หมัดที่สวมแหวนวงโตพุ่งด้วยความหนักแน่นไปยังใบหน้าเข้ม ผิวขาวของทอมเริ่มแดงก่ำ ผมหยักศกระต้นคอของเขาสะบัดตามแรงเหวี่ยงของใบหน้า ท่อนขาขวาของเขาเหวี่ยงฟาดไปยังสีข้างของร่างบึกบึนของโบล์ตจนเซ ภาพการต่อสู้ของทั้งคู่ไม่ต่างกับผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้โบราณสองสำนักมาห่ำหั่นกันเองเพื่อชิงความสุดยอด เลือดที่มุมปากทอมไหลย้อย นั่นทำให้ยมทูตหนุ่มบ้าคลั่งคล้ายโรคจิต ดวงตาปูดโปนของเขาที่ถลึงออกมาช่วยเสริมให้ใบหน้าดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

    "ยมทูตนี่แรงเยอะอย่างนี้ทุกคนรึเปล่า?"

    ทอมถามพร้อมหัวเราะชอบใจหลังจากที่ทั้งคู่ต่างกระโดดถอยออกมาเพื่อทิ้งระยะห่าง ยมทูตไม่ตอบคำถาม เขายื่นมือขวาออกข้างลำตัว ร่างที่เปลือยท่อนบนทำให้ทอมเห็นจังหวะที่อกล่ำเต้นขึ้นลง

    ทันใดนั้นเคียวด้ามยาวอาวุธของโบล์ตลอยหวือมาเข้าอุ้งมือเจ้าของที่รอรับอยู่แล้ว ไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่อาวุธอยู่ในมือ ยมทูตขว้างมันมาข้างหน้าตรงจุดที่ทอมยืนอยู่ ส่งผลให้เขาต้องกระโจนหลบออกมาด้านข้าง แต่ที่นั่นมีไม้เลื้อยที่ขมวดตัวม้วนพันกันจนมีปลายแหลมไล่ตามร่างทอม ซึ่งน่าจะโดนมันแทงทะลุอกในไม่ช้า

    "บัดซบ!" ทอมสบถออกมาหลังจากที่ปลายแหลมดั่งมีดของไม้เลื้อยคาถาของโบล์ตอยู่ห่างจากอกเพียงหนึ่งนิ้ว

    แต่ทันใดนั้นเอง ปลายของไม้เลื้อยกลับกลายเป็นดอกไม้สีชมพูดอกโตคล้ายดอกลิลลี่งอกขึ้นมาทำให้มันไม่สามารถแทงทะลุร่างทอมไปได้เมื่อพุ่งสัมผัสหน้าอก

    "คาถานายนี่มันช่างน่าเกลียดจริงๆ ยมทูต รสนิยมแย่พอๆ กับหน้าตาเลย"

    ความหวานคล้ายหญิงสาวของสุ่มเสียงดังขึ้นด้านหลังของทอม ร่างเพรียวในเชิ๊ตขาวปรากฏมาให้เห็นแทบจะพร้อมกับเสียง

    "พอดีเสกประตูมิติไว้แล้วมันว่างอ่ะ เลยมาพิศดูของอะไรน่าเกลียดๆ หน่อย"

    ชายหน้าสวยแจกแจงอย่างเกินจำเป็น ทอมหัวเราะ หึ กับเพื่อนของเขา ผมยาวดำจนถึงกลางหลังพลิ้วลู่ลมงดงาม

    "ทอม ฉันน่ะนะ พอเห็นคนที่หน้าตาอัปลักษณ์ สายตาแย่ๆ ของฉันไม่รู้ทำไมมันถึงได้เห็นชัดขึ้นมา"

    จอห์นพูดพลางหลับตาราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต ทอมผู้เป็นเพื่อนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็พลอยขมวดคิ้วเนื่องจากไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน

    ระหว่างนั้นโบล์ตเห็นว่าเป็นทีเผลอจึงร่ายคาถากางเขนซึ่งเคยใช้กับสเตฟานี่มาแล้วใส่ศัตรูทั้งสอง แต่ก็ต้องตกใจเพราะคาถาที่ควรจะเกิดจากด้านหลังของเป้าหมายกลับเกิดขึ้นด้านหลังของผู้ร่ายเสียเอง ทำให้เขาต้องกระโดดหลบรากไม้ที่แทงยอดขึ้นมา

    "พอสายตามองเห็นได้เหมือนคนปกติ การใส่แว่นตาเอาไว้มันมีแต่จะปวดตา ทอม ฉันน่ะงดงาม แต่สัญญากับฉันเรื่องนึงได้มั้ย?"

    จอห์นยังคงพูดอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะยกมือขึ้นจับขาแว่นตา ทอมมองสหายที่หลับตาพริ้มด้วยความสงสัยว่าเขาอยากจะบอกอะไรกันแน่

    "พูดอะไรอ้อมค้อมวะจอห์น จะทำอะไรก็รีบทำเหอะคาถา 'พื้นที่' ของนายจะถูกจับไต๋เอา"

    "ไม่ๆ สำหรับฉันการถอดแว่นตามันเรื่องใหญ่มากนะ ฉันต้องขอให้นายสัญญาก่อน"

    "อืม...อะไรล่ะ"

    แม้จะเป็นการตอบแบบตัดรำคาญแต่จอห์นกลับพอใจราวกับรออยู่แล้ว

    "อย่าเกลียด หรือขยะแขยงฉันตอนถอดแว่นเลยนะ ฉันมีนิสัยว่าต้องจัดการกับความอัปลักษณ์ที่ขวางหูขวางตาน่ะ"

    นิ้วมือจอห์นคีบแว่นออกจากใบหน้าสวย เพียงไม่กี่วินาที ม่านตาทอมและโบล์ตเบิกกว้างอย่างพร้อมเพรียงราวกับไม่อยากยอมรับในสิ่งที่เห็น

    .

    .

    ปัง! ปัง!

    เรย์ยังคงสาดส่งกระสุนดำไปยังยมทูตสาวราวขับไล่ผีร้าย แต่เป้าหมายกระโดดม้วนหลังกลางอากาศหลบอย่างงดงามพร้อมซัดมีดเล่มเล็กลงมายังชายหนุ่ม ทว่ามันกลับถูกดูดกลืนด้วยอณูแสงสว่างที่เกลาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

    "ยังมีหน้ามาพูดถึงความถูกต้องอีกนะพวกเธอน่ะ การเผาป่าเพื่อไล่ต้อนช้างตัวเดียวมันไม่ใช่การกระทำที่หน้าด้านหน้าทนไปหน่อยเรอะ จะเขลาปัญญาแค่ไหนก็อย่าให้คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรต้องพลอยรับกรรมไปด้วยสิ"

    เรย์จับจ้องร่างเล็กที่ร่อนลงมาและกัดฟันอย่างคับแค้นก่อนจะเสริม

    "ภัยธรรมชาติต่างๆ แผ่นดินไหวที่เฮติ นั่นก็ฝีมือพวกเธอด้วยใช่มั้ย"

    ใบหน้าโศกเศร้าของเพื่อนมนุษย์ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศยากจนอย่างเฮติทำให้เรย์เจ็บปวดใจทุกครั้งที่นึกถึง ในครั้งนั้นมีจำนวนคนเสียชีวิตมากเกินกว่าที่พวกเรย์จะช่วยให้ทันได้ทั้งหมด ความรู้สึกผิดและความรู้สึกเหมือนคนไร้ความรับผิดชอบเกาะกินจิตใจเขามากที่สุดตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมาและไม่เคยจะหายไป เรย์ขบกรามแน่น สายตาอาฆาตแค้นมุ่งไปยังยมทูตสาว

    เขาโยนปืนในมือทั้งคู่ขึ้นฟ้า ทั้งสองกระบอกถูกพัวพันด้วยแสงเส้นยาวดำสนิทหลายเส้น มันม้วนตัวพันกันไปมาด้วยความเร็วเกินกว่าจะนับจำนวนรอบต่อวินาทีได้ด้วยตาเปล่า ไม่กี่อึดใจใยแสงสีทะมึนสลายตัว สิ่งที่ตกลงมาหลังจากนั้นคืออาวุธทรงกระบอกสีดำเงามีขนาดเท่าท่อน้ำเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 8 นิ้ว ยาวเมตรครึ่ง เรย์รับมันและประคองด้วยวงแขนไว้ก่อนจะเหนี่ยวไกที่ด้ามจับทันที

    ส่วนปลายของอาวุธใหม่เริ่มหมุนเร็วขึ้นๆ เป้าหมายคือยมทูตคริส

    ทั่ดๆๆๆๆ

    ห่ากระสุนดำนับพันนัดพุ่งตรงไปยังยมทูตสาวหลังเสียงเครื่องมือสังหารเริ่มทำงาน ยมทูตม้วนตัวหลบฉากพร้อมวิ่งด้วยความเร็วสูงก่อนจะกระโจนขึ้นฟ้าด้วยปีกสีขาว ตามด้วยลูกกระสุนที่ไล่ตามติดหลังไม่ห่างเท่าใดนัก

    "เรื่องโลกของแกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง พวกเราที่รู้ได้ถึงเวลาตายของพวกมนุษย์ก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกันเวลาที่เกิดภัยพิบัติเช่นนั้น แต่ช่างมันฉันไม่สน มนุษย์อย่างพวกแกลงนรกไปให้หมดซะก็ดี"

    คริสท้าทาย สิ้นเสียงแหบเล็กเพียงอึดใจ คลื่นซึนามิสูงราวหลายสิบเมตรโถมเข้าใส่ชายซึ่งยังคงรัวปืนกลใส่เธอ ทว่า ทันทีที่คลื่นยักษ์กำลังจะซัดร่างเรย์มันกลับสว่างจ้าแปรสภาพสสารของตัวเองและแตกตัวเป็นผีเสื้อแสงนับล้านตัว

    "ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่พูดว่า'เจ็บปวด'ให้ขายขี้หน้าหรอกนะ"

    ประกายของดาบแสงเล่มยาวทำให้คริสชักดาบเงินของตัวเองมาคั่นการสะบั้นไว้ได้ทัน แต่ว่าดาบแสงในมืออีกข้างของสาวสวยผมบ๊อบได้เสียบแทงสีข้างของคริสกลางอากาศ พร้อมกับรอยยิ้มราวปิศาจร้ายของผู้เป็นเจ้าของ

    .

    .

    "ธรรมมะย่อมชนะอธรรมอยู่แล้น"

    จอห์นพูดโดยเลียนแบบเสียงของเด็ก ร่างเปลือยท่อนบนของชายหน้าสวยดูผอมบางผิดคาดในสายตาทอม มืออันอ่อนช้อยแบขึ้นบนความว่างเปล่าเพียงสองวินาทีแว่นตากรอบขาวก็ได้ปรากฏขึ้นบนนั้น เขาสวมมันด้วยนิ้วมือและท่วงท่าอันกรีดกราย

    "สัญญาแล้วน้า...ฮิ"

    ใบหน้าสวยหันไปพูดกับเพื่อนสนิทร่างบึ้กที่อ้าปากค้างและดวงตาที่เหมือนกับนับนกบนท้องฟ้า ก่อนจะยิ้มหวานให้กับร่างซึ่งนั่งคอตกพิงกำแพงมิติ

    ร่างกายใหญ่ยักษ์เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์เพียงแต่มันไร้เลือด ระหว่างนั้นจอห์นหาเสื้อยืดไม่ทราบที่มามาสวมภายในพริบตา

    โครมมม!!!!!!!!!!

    เสียงนี้ทำให้ทอมเรียกสติที่ดูเหมือนจะหลุดลอยไปไกลกับภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีกลับมาได้ ร่างบางราวแผ่นกระดานที่ซีดขาวกระตุกเช่นกันกับเสียงนั่น

    "โบล์ตๆๆๆ เกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ย อุ๊บ!"

    คริสเจ็บปวดกับเนื้อส่วนเอวของตัวเองซึ่งแหว่งหายไป แต่เธอยังเขย่าร่างของสหายที่ยังคงนั่งก้มหน้าแน่นิ่ง

    "แหม คุณสเตฟานี่เล่นแรงจังเลยนะครับ ดูสิ เอวสวยๆ ของยมทูตเลดี้เสียหมดเลย"

    จอห์นจริตจะก้านและส่งยิ้มอย่างไม่มีวันหมดให้กับเรย์และสเตฟานี่ซึ่งเดินออกมาจากควันที่เริ่มจางลง

    "แล้วนายเปลี่ยนเสื้อตอนไหนวะจอห์น อย่าบอกนะ..."

    เรย์ที่แบกปืนกลซึ่งเป็นอาวุธหนักของกองกำลังทหารไว้ที่หลังขมวดคิ้วพร้อมจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีเขียวผ่านกรอบแว่นที่พริ้มสวยจากรอยยิ้มหวานของจอห์นก่อนจะถอนใจยาวและพูดยิ้มๆ อย่างรำลึก

    "อย่าใช้ต่อหน้าฉันเชียวนะ ฉันยังอยากกินข้าวอร่อยอยู่น่ะ" เรย์หัวเราะร่วน ซึ่งก็ทำให้ทุกคนหัวเราะตามยกเว้นทอมที่เพียงแค่ยิ้มแห้งๆ

    ณ ขณะนี้ร่างของมนุษย์สี่คนล้อมยมทูตทั้งสองที่ราวกับจนตรอกเอาไว้ คริสกัดฟันและจ้องหน้าทุกคนอย่างไม่กลัวเกรงแม้จะยังเจ็บปวดแผลมากก็ตาม

    เวลานี้ ภายในมิติแห่งนี้แทบไม่เหลือเค้าเดิมของไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า กำแพงที่ดูขรุขระคล้ายผาหินมีรอยไหม้หลายจุดและเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ ที่พื้นมีไฟลุกไหม้หลายแห่ง แต่ว่าผีเสื้อแสงนับพันตัวบินเอื่อยเฉื่อยหยอกล้อกันเล่นซึ่งไม่ได้เข้ากับบรรยากาศหรือสถานการณ์แม้แต่น้อย ผีเสื้อกลุ่มหนึ่งบินวนเป็นวงกลมอยู่หน้าช่องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดเท่าประตูบานเล็ก ภายในดูเหมือนจะมืดสนิท ภายใต้กรอบไฟสีม่วงขุ่นที่ไม่สว่างเท่าไหร่นัก

    "เอาไงกับพวกมันดี"

    หญิงสาวเจ้าของน้ำเสียงเนิบนาบแต่ทรงเสน่ห์เอ่ยพลางยกมือเรียวงามกอดอก เธอปรายตามองยมทูตอย่างเหยียดหยามราวกับกำลังมองสิ่งอุจาดลูกตา

    "ฆ่าเลยเหอะ พวกมันอันตราย ก็เห็นๆ กันอยู่"

    ทอมออกความเห็นและหันมองทุกคนเพื่อขอเสียงสนับสนุน

    "ทอม การตัดชีวิตมันสวนทางกับคุณธรรมของพวกเรา ไม่ว่ายังไงการฆ่าก็เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด เราไม่ใช่พวกมันซะหน่อย"

    หางตาเรย์เหลือบไปยังยมทูตที่ร่างสั่นเทาแวบหนึ่ง

    "พวกเราควรจะทำกับพวกเธอยังไงดี ยมทูต กลับกัน ถ้าเป็นพวกแกคงลากเราลงบึงไฟนรกแล้วสินะ"

    เรย์หยอก เขายิ้มและนั่งยองลงตรงหน้ายมทูต แต่ก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ดีๆ คริสกลับแสยะยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะได้ถามสาเหตุ เสียงคล้ายปรบมือก็ดังขึ้นด้านหลังทุกคน

    "อื้มๆๆ คุณธรรมงั้นเหรอ แหม พวกเธอจะเท่กันไปถึงไหน"

    ร่างกายกำยำอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อไม่ต่างกับยมทูตชาย ท่อนแขนยกขึ้นในลักษณะคนปรบมือ แท้จริงแล้วเสียงนั่นมาจาชายคนนี้

    ผู้มาใหม่เดินลากเท้าใกล้พวกเรย์มากขึ้นเรื่อยๆ ผมสั้นแต่งทรงตั้งขึ้นรับกับใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้านต่างจากยมทูตที่พวกเรย์เพิ่งจะเอาชนะมาลิบลับ

    "อ๋อ นั่นลูกน้องฉันเอง ไม่สิ เรียกว่าอะไรนะ ภาษาพวกเธอ ดอบ..เพล.เก็งเกอร์..สิเนอะ อา...ใช่ นั่น ดอบเพลเก็งเกอร์ของลูกน้องฉันเอง"

    ทั้งสี่รับรู้ถึงอันตรายจากชายคนนี้ได้ทันทีแม้แต่เรย์ จิตสังหารที่เหนือกว่าใครที่เคยเจอมาก็อยู่ในระดับมหาศาล เผลอๆ อาจจะรุนแรงกว่าชายผมบลอนด์ที่ชอบโกหกแต่ทำได้ห่วยคนนั้น

    "ก็นะ ถ้าเปิดตัวไม่เท่สาวๆ จะกรี๊ดได้ไง ฉันก็ไม่ได้ใจดำพอที่จะเมินแม่สาวผีเสื้อนางนั้นซะด้วยสิ"

    เสียงเข้มดังจากปากที่ยกยิ้ม กล้ามเนื้อที่เชื่อว่าแม้จะเอาของทุกคนในนี้มารวมกันก็ยังมีมวลไม่เท่าเริ่มขยับมาใกล้มากขึ้น

    "ทุกคนหนี!!! หนีไปที่ประตูด้านโน้นเร็วเข้า!!!!"

    การตัดสินใจนี้เป็นวิธีรอดทางเดียวที่คิดออก เรย์ตะโกนสุดเสียง ทุกคนทำตามแทบจะทันที ภาพร่างของยมทูตทั้งสองที่ระเบิดกลายเป็นควันสีแดงผ่านสายตาของจอห์นไปเพียงแวบเดียวซึ่งเขารู้ว่าไม่ใช่เวลาจะมาสนใจ

    ขณะที่เสียงฝีเท้าเล็กควบด้วยความถี่เร็ว พื้นของมิติสั่นไหวรอบหนึ่ง ของเหลวสีเพลิงปะทุขึ้นมาจากพื้นหลายจุด ตำแหน่งของพวกมันคลาดเคลื่อนกับร่างสี่ร่างที่วิ่งหนีเพียงไม่กี่เซนติเมตร พวกเขาสัมผัสความร้อนราวหลายร้อยองศาจากเสาเพลิงนั้นได้ และไม่อาจจะจินตนาการถึงถ้าหากมันสัมผัสโดนโดยตรงกับร่างกาย

    บึ้มๆๆๆๆ

    เสาเพลิงยังคงปะทุขึ้นมาและยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

    ใกล้แล้ว

    ประตูมิติเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น

    ขาของมนุษย์ทั้งสี่ยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อพาชีวิตตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือเจ้าแห่งนรก

    สเตฟานี่ซึ่งตามเรย์อยู่เหลียวหลังกลับไปเพื่อมองดูสิ่งที่เธอไม่ปรารถนาจะเห็นมัน

    แต่กลับไม่เป็นดั่งที่เธอหวัง

    ร่างยักษ์กำลังพาตัวเองร่อนมาด้วยปีกขนนกขาวปลอดด้วยความเร็วที่น่าพรั่นพรึง ทำให้สาวผมบ๊อบตัดสินใจเบรคตัวเองก่อนจะร่ายคาถา

    "คุณสเตฟานี่!"

    ทอมและจอห์นที่ตอนแรกตามหลังเธออยู่เรียกเธอพร้อมกัน ก่อนที่พวกเขากำลังจะพาตัวเองย้อนกลับมาเพื่อสนับสนุนแต่หญิงสาวตวาดด้วยเสียงน่ากลัว

    "พวกคุณวิ่งไปต่อสิ ดิฉันเสกเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก!"

    ทั้งทอมและจอห์นเชื่อฟังโดยไม่หยุดคิด พวกเขาวิ่งไปต่อและตามหลังด้วยสเตฟานี่ที่เริ่มออกวิ่ง

    เพียงคล้อยหลัง ดาบแสงนับพันนับหมื่นปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันตกลงมาราวห่าฝนใส่ร่างที่ร่อนมาด้วยปีกขนนก

    "หึๆๆ"

    ยมบาลหัวเราะครึ้ม เสาเพลิงที่ก่อนหน้านี้ปะทุขึ้นเป็นเส้นตรงเพียงอย่างเดียวต่างพร้อมใจกันวาดเป็นเส้นโค้งราวกับมีชีวิต มันดิ้นสะบัดทำลายดาบคาถาของสเตฟานี่จนแทบไม่เหลือหรอ

    หญิงสาวรับรู้ได้ว่าฝีเท้ามหึมาหยุดลงชั่วครู่ ก่อนเสียง ตึง ของการกระทืบพื้นจะดังขึ้นอีกครั้ง

    "ไม่นะ!!!!!"

    ความตกใจและความกลัวกลั่นกรองออกมาเป็นเสียงแตกพร่า ร่างเซ็กซี่ของสเตฟานี่หยุดกึก แขนทั้งสองข้างกางออกทั้งที่ไม่ต้องการ เครื่องหมายบวกสีเพลิงผุดขึ้นกลางแผ่นหลังเล็ก มันยืดตัวออกกลายเป็นกางเขนเพลิงตรึงร่างหญิงสาวเอาไว้

    บัดนี้ เสาเพลิงนับร้อยเคลื่อนตัวไปผนวกรวมกัน พริบตา มันกลายสภาพเป็นลูกไฟยักษ์ขนาดเท่าสนามฟุตบอล

    ยมบาลผู้ยิ้มอย่างนักรบกำชัยโบกวาดท่อนแขนราวออกคำสั่ง ลูกอุกกาบาตยักษ์เคลื่อนตรงไปยังเป้าหมายซึ่งถูกตรึงอยู่ทันที

    "ฉันจะให้เธอได้ชมภาพอันงดงามก่อนตาย แต่แผนการล้างโลกของพี่ชาย พวกมนุษย์คงเจออะไรที่ยิ่งกว่านี้อีกนะ"

    ร่างที่พันธนาการอยู่กับกางเขนเพลิงถูกทำให้หมุนกลับด้าน ดวงตาสีฟ้าสะท้อนเพียงภาพของลูกไฟยักษ์ที่กำลังจะเผาผลาญเธอในไม่ช้า

    เสียงทุ้มต่ำตะโกนเรียกหญิงสาวจากด้านหลังที่คงไกลเกินกว่าจะพาเธอรอดพ้นไปได้ สเตฟานี่หลับตาลงพร้อมตั้งสมาธิเพื่อฟังเสียงชายที่เธอรักเรียกชื่อเธอให้เต็มที่ครั้งสุดท้าย

    "เรย์!!!!!!!!!!!!!!"

    น่าแปลกที่เสียงของทอมกับจอห์นดังขึ้นขนาบสองหูสเตฟานี่ ร่างเล็กร่วงลงพื้นจากคาถาที่ถูกคลาย แพขนตาเผยอขึ้นอย่างงุนงง

    ภาพสุดท้ายที่ทุกคนเห็นคือเรือนผมดำที่สะท้อนแสงสีส้มกับแผ่นหลังกว้างโดยมีเพลิงมรณะเป็นแบ็คกราวด์ ก่อนจะเป็นภาพของทุกอย่างที่บิดเบี้ยว

    "เรย์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

    เสียงเนิบแผดดังลั่นภายในความมืด แค่เพียงอึดใจ แสงสว่างจากหลอดนีออนได้ส่องกระทบร่างทั้งสามที่ตอนนี้ ได้มาอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม้ขัดเงาเป็นธีมหลัก

    "ทุกคนปลอดภัยดีใช่มั้ยคะ?"

    อลิซเอ่ยขึ้นอย่างโล่งใจและร้อนรนโดยที่ยังไม่ได้สังเกตถึงบางอย่าง เธอเดินเข้ามาหาพวกสเตฟานี่อย่างเร่งร้อนจนแทบสะดุดขาตัวเอง

    แม้ความรู้สึกแรกจะยังไม่เฉลียวใจถึงสิ่งร้ายๆ แต่การได้เห็นน้ำตาของสเตฟานี่ทำให้อลิซไม่อยากแม้แต่จะถามเรื่องความจริง

    ทำไมกลับมาสามคน?

    ทั้งที่ความจริงต้องเป็นสี่

    นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตกลอกไปมาอย่างรวดเร็วด้วยความหวังที่จะได้ร่างของเจ้านายและน้องชายผู้แสนดีของเธอ แม้จะต้องการปฏิเสธความจริงนี้ แต่หัวใจของอลิซกลับเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก

    ความจริงที่ว่า ในที่นี้ไร้ร่างของ เรย์มอนด์ คารอล

    ของเหลวอุ่นใสเอ่อท่วมดวงตาหวานฉ่ำ เสียงหวานนุ่มกรีดร้องราวกับคับแค้นความจริงที่เกิดขึ้นจนอยากผ่ามันให้เป็นเสี่ยง

    "คุณอลิซ ใจเย็นๆ ครับ เรย์ช่วยพวกเราเอาไว้ ผมเสียใจ พวกเราเสียใจ"

    ชายหน้าสวยรุดตัวเข้าไปกุมมือและโอบกอดอลิซอย่างปลอบขวัญ แต่ดูเหมือนเขาจะทำไม่สำเร็จ ร่างน้อยในชุดกีฬากระตุกจนน่ากลัว เสียงโฮร้องไห้ก็ดังจนน่าเป็นห่วง สเตฟานี่ซึ่งนั่งเข่าอ่อนอยู่บนพรมข้างโซฟาก็ร้องไห้ในระดับที่ไม่ต่างกัน

    ทอมทรุดตัวนั่งลงบนโซฟานุ่มหน้าทีวี เขาก้มหน้ากุมขมับ บ่ากว้างกระตุกเป็นช่วงๆ จอห์นที่แม้จะดูนุ่มนิ่มคล้ายหญิงสาวไปซะทุกส่วนกลับเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดในเวลานี้ แต่กระนั้นดวงตากลมโตก็ปรากฏเรื่อแดง เขาพูดอะไรต่อไม่ออกเพราะน้ำตาก็จุกอยู่ที่คอเขาเช่นกัน

    ในช่วงค่ำ แม้จะใกล้หนึ่งทุ่มแล้วแต่ท้องฟ้าดูเหมือนจะยังไม่พร้อมสำหรับความมืด ภายในบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ของเรย์มอนด์ คนทั้งสี่แม้จะไม่มีน้ำตาแห่งความสูญเสียกันแล้วแต่ทุกคนก็ยังคงนั่งนิ่งเงียบ จอห์นเป็นคนเริ่มเปล่งเสียงออกมาก่อนเมื่อเขารู้ว่าสมเหตุสมกาลเทศะดีแล้ว

    "ทุกคนครับ เรย์ได้บอกกับผมและทอมไว้ ถึงสิ่งที่ต้องทำหลังจากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น"

    จุดสนใจมุ่งมาที่จอห์น เขาเดินมายืนอยู่ตรงหน้าทีวีพอดี

    "ทีแรกผมกับทอมก็ไม่เชื่อและปฏิเสธ แต่เรื่องที่เรย์บอกมันกลับเกิดขึ้นจริงๆ..."

    "เขาพูดว่าอะไรคะ?"

    ดวงตาสเตฟานี่แดงและบวม เธอคงยังอยากจะร้องไห้อยู่ แต่แรงที่จะทำเช่นนั้นหมดลงตั้งนานแล้ว

    "การประชุม 'ทัชออฟก็อด' เขามอบหน้าที่ให้คุณเป็นประธานแทน รวมถึงตำแหน่งประธานของคารอลคอร์ปฯ ด้วย"

    ทอมเป็นผู้อธิบายต่อ สเตฟานี่นั่งฟังนิ่งจนพูดได้ว่าเกินเหตุด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ออก ซึ่งนั่นทำให้เธอราวกับแผ่กัมมันตภาพรังสีที่แสนอันตรายจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ออกมา

    "เขาบอกกับคุณสองคนแบบนั้นสินะ..."

    ไม่มีใครตอบ แต่ทุกคนรู้สึกได้ถึงบางอย่างในเสียงราบเรียบนั่น สเตฟานี่ยืนขึ้น อลิซที่นั่งอย่างเรียบร้อยบนเก้าอี้ไม้ หันมองเธอด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นแม่

    "คุณการ์ดเนอร์ ติดต่อ 'ทัชออฟก็อด' ทุกคนด้วยค่ะ เราจะเริ่มประชุมทันทีที่พร้อม"

    ว่าแล้วเธอก็หันไปที่ชายหน้าสวยที่แว่นของเขาสะท้อนกับแสงไฟในห้อง

    "ส่วนคุณเตรียมวาระนะคะ คุณไลท์ทรี"

    แม้จะเป็นการฝืนยิ้มแต่จอห์นก็ใจชื้นขึ้นไม่น้อยที่เห็นมันบนใบหน้างดงาม เขาตอบรับตามนั้น

    ถึงจอห์นจะสัมผัสถึงความเข้มแข็งจากตัวสเตฟานี่ได้แล้ว แต่เซนส์แห่งความเป็นชายของเขากลับรับรู้ว่าสเตฟานี่ยังมีบางอย่างที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยออกมาทั้งหมด เขาซึ่งรู้วิธีแก้จึงเรียกทอมผู้เป็นเพื่อนให้ออกไปข้างนอกด้วยกัน ทอมทำหน้างงๆ แต่ก็ตามไปอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

    "เข้าใจผู้หญิงดีจังนะคะ แต่ยังไงก็ขอบคุณค่ะ"

    สเตฟานี่พูดยิ้มๆ จอห์นรับคำขอบคุณด้วยการโค้งตัวเล็กน้อยก่อนจะทัดผมดำยาวไว้ข้างหู

    "ก็ผู้ชายนี่ครับ ลูกผู้ชายที่แท้จริงน่ะ เข้าใจเลดี้ทุกเรื่องแหละ"

    จอห์นยิ้มหวานน่ารักแจกสองสาวก่อนดันหลังทอมที่ขนาดไม่ต่างกับเตียงบิ๊กไซส์ให้เดินไปข้างหน้า ซึ่งเขาดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจบทสนทนานี้

    ทันทีที่ประตูบ้านปิดลงชายหนุ่มทั้งสองก็ถอนหายใจยาวเหยียดโดยที่ไม่ได้นัดกัน

    พวกเขาพูดไม่ออกอย่างคนทั่วไปที่จะพูดกับญาติมิตรผู้จากไปกับผู้ยิ่งใหญ่อย่างเรย์ว่า 'หลับให้สบายนะ' ได้ แต่เชื่อสิ ในหัวใจของทั้งสอง ถ้ามีโอกาสก็อาจจะพูดอะไรที่ธรรมดากว่านั้นก็เป็นได้

    19 นาฬิกา 24 นาที

    วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2010

    โลกที่ไร้เธอยังคงต้องหมุนต่อไป



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×