ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Memories Of A Morning Light Angel

    ลำดับตอนที่ #6 : Memory Piece 6 Part Of Monica Mary

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 64


    Memory Piece 6 Part of Monica Mary

     ฉันตื่นมาในเช้าที่หนาวสุดขั้ว ยังดีที่เมื่อคืนจุดเตาผิงเอาไว้ไม่งั้นต้องหนาวจนไข้กลับอีกเป็นแน่

    โดยส่วนตัวฉันชอบความอบอุ่นของไฟจากเตาผิงมากกว่าความอุ่นของไอน้ำจากเครื่องปรับห้องอุ่น แม้ความสะดวกสบายจะต่างกันแต่กลิ่นไหม้อ่อนๆ นั้นทำให้นอนหลับสบาย ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันเสี่ยงมากแค่ไหนที่ให้คนตาบอดแบบฉันจุดไฟขึ้น แต่ฉันก็ระวังสุดๆ เลยล่ะค่ะ

    ที่จริงก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่บ้านหลังนี้ฉันอยู่ซะชินจนพูดได้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน ประมาณว่าหลับตายังรู้ ที่สำคัญฉันยังมีเพื่อนรักที่คอยเป็นหูเป็นตาอยู่ด้วยกันอีกตั้งสองคน เอ๊ย! สองตัวค่ะ ตัวหนึ่งเป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ชื่อลูอิส เป็นหมาที่ตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าฉันหรือคนทั่วไปอีก มันฉลาดราวมนุษย์และพึ่งพาได้ ถ้าไม่มีมันฉันคงต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากมากกว่าที่เป็นอยู่นี่หลายเท่าตัวเลยทีเดียว

    อีกตัวหนึ่ง...คิกๆ คือคิเรนะค่ะ แมวสาวตัวเล็กกว่าลูอิสหลายสิบเท่า ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าคิเรนะมีหน้าตาหรือสีขนเป็นยังไงเพราะมันเพิ่งจะมาเป็นสมาชิกในบ้านเมื่อสามปีก่อนนี่เอง แต่ถึงงั้นมันก็ฉลาดมากเหมือนกันนะ (พอๆ กันกับความซนเลยแหละ) เดิมทีฉันก็ชอบแมวอยู่แล้ว พอได้มาอยู่ด้วยกันก็เลยดีใจสุดๆ ไปเลย

    ฉันคือ โมนิก้า เมย์รี่ มีพ่อชื่อจัสติน แม่ชื่อซิลเวียร์ ตอนอายุได้ 12 ปีฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้สูญเสียพวกท่านและดวงตาทั้งคู่ไป ตอนแรกฉันเสียใจมาก เสียใจกับทุกๆ เรื่องที่ต้องเจอในเวลานั้น แต่แม่มักสอนว่าคนเราต้องเข้มแข็งกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เข้มแข็งและอ่อนโยน นั่นแหละแม่ของฉัน

    ส่วนพ่อจะสอนลูกสาวแบบลูกผู้ชายสุดๆ เขามักจะบอกเสมอว่าน้ำตาไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่สมองกับสองมือของเราเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ เพราะอย่างงั้นเวลาที่ฉันคิดถึงพวกท่านจนอยากจะร้องไห้ พอนึกถึงคำเหล่านั้นก็จะร้องไม่ออกทุกทีเลย

    ฉันอยู่บ้านหลังนี้ที่พ่อกับแม่ซื้อไว้เมื่อนานมาแล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในบ้าน คุณป้าที่อยู่ต่างประเทศเป็นคนรับผิดชอบ ความจริงคุณป้าอยากจะเอาฉันไปอยู่ด้วยแต่ฉันปฏิเสธไป อาจดูเอาแต่ใจแต่นั่นเป็นเพราะฉันไม่อยากจะรบกวนท่าน และฉันก็อยากจะอยู่ในที่ที่เป็นของตัวเองจริงๆ พ่อกับแม่รักที่นี่มาก ฉันจึงอยากจะรักษามันไว้

    ถึงจะตาบอดมา 10 ปีแล้ว แต่ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองมีความลำบากในการใช้ชีวิตแต่อย่างใด ทุกคนในหมู่บ้านแสงอรุณใจดีกับฉันมากจนหลายครั้งก็เกรงใจเหมือนกัน เพียงแต่เท่าที่จำความได้ทุกคนที่หมู่บ้านก็ใจดีแบบนี้กันอยู่แล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใครๆ ดีกับฉันนักก็คือเพราะฉันเป็นลูกของพ่อซึ่งเคยเป็นนายอำเภอของที่นี่ ชาวบ้านบอกว่าเรื่องที่พ่อทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นขอบคุณเท่าไหร่ก็คงไม่พอ หมู่บ้านแห่งนี้ฟื้นตัวได้อีกครั้งเพราะความเสียสละของพ่อ พวกเขาจึงเลือกที่จะดูแลฉันต่อเพื่อเป็นการขอบคุณ ฉันรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เกิดเป็นลูกของพวกท่านและก็อยากจะทำอะไรเพื่อดินแดนสวรรค์บนดินแห่งนี้บ้างแบบที่พ่อกับแม่เคยทำ

    เอาล่ะ...ได้เวลาลุกขึ้นจากเตียงนอนอันแสนอบอุ่นสักที ฉันรู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตที่มีอุณหภูมิร่างกายขดตัวอยู่ข้างๆ ควานมือแค่แป๊บเดียวก็ไปชนกับเส้นขนที่นุ่มยาว รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังอมยิ้มอยู่ แน่ล่ะ เพราะว่าลูอิสน่าจะเอาคิเรนะมานอนด้วย...จริงแฮะ

    ฉันหัวเราะในลำคอและลุกขึ้นโดยที่ปล่อยให้คู่รักเขาฝันถึงกันต่ออีกสักพักหนึ่งก่อนจะหยิบไม้คลำทางเพื่อเดินไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ

    23 ธันวาคม 1997

    หลังเสร็จเรียบร้อยฉันก็รู้ว่าสัตว์ทั้งสองได้ลุกขึ้นมาแล้ว หลักฐานก็คือเสียงของบางอย่างกระทบกับผนังบ้านดังคึ่กๆ กับเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งพวงเล็กและเสียงเห่าของลูอิส ซึ่งเสียงเหล่านี้คือเสียงวิ่งกระโดดถีบตัวกับผนังบ้านของคิเรนะ ส่วนลูอิสก็เห่าราวกับจะบอกแฟนสาวว่า 'หยุดเล่นได้แล้ว' ว่ากันตามตรง ฉันไม่เคยรู้และไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าแมวนั้นชอบวิ่งกระโดดถีบผนังบ้าน แต่คิเรนะก็จะทำอย่างนี้แทบทุกวัน มันต้องการจะบอกอะไรเรารึเปล่านะ ดื้อแต่เช้าเลยคิเรนะเนี่ย

    ฉันค่อยๆ เดินมาที่ตู้เย็นเพื่อเอาอาหารที่กินไม่หมดเมื่อวานมาอุ่นในไมโครเวฟเพื่อเป็นอาหารเช้า เมื่อได้ของที่ต้องการจึงนำมันใส่ตู้เล็กๆ นั่นก่อนกดตั้งเวลา

    ทำไมฉันที่ตาบอดถึงกดได้ถูกต้องนั้นฉันจะบอกให้ ที่จริงของแทบทุกอย่างในบ้านที่จำเป็นต้องใช้สายตามองเพื่อความถูกต้องเช่น ไมโครเวฟ โทรศัพท์ หรือวิทยุ หลังจากฉันประสบอุบัติเหตุได้สักพักน้าคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนที่ทำงานของพ่อก็ได้มาสำรวจดูบ้านและของเครื่องใช้ภายใน จากนั้นจึงทำสัญลักษณ์ต่างๆ ที่บอกถึงสิ่งนั้นๆ แต่ไม่ใช่อักษรเบลนะ เพราะฉันอ่านไม่เป็นหรอก มันแค่ไม้สลักเป็นตัวหนังสือ ถึงดูเหมือนไม่มีอะไรมากแต่ก็ทำให้คนตาบอดอย่างฉันสะดวกขึ้นเยอะเลย

    ระหว่างที่รอเบคอนร้อนฉันก็หยิบขนมปังถั่วแดงที่ได้มาจากลุงเกรย์เมื่อวานกินไปพลางๆ

    ขนมปังถั่วแดงเหรอ...? ลุคชอบมากเลยนี่นา

    เกือบเดือนแล้วที่ฉันไม่ได้เจอลุค สงสัยว่าป่านนี้อาจจะกลับไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ลากันเลย ไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงที่ฉันเกิดป่วยขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังเที่ยวกัน เขาอาจจะโกรธรึเปล่านะ เพราะถึงจะรีบยังไงอย่างน้อยก็น่าจะรอให้ฉันตื่นก่อนแล้วลากันให้เป็นเรื่องเป็นราวจะไม่ดีกว่าเหรอ หรือเวลาที่รู้จักกันมันน้อยไป...ไม่ไหวๆ นี่เรากำลังหงุดหงิดอยู่

    ฉันคิดและมั่นใจว่าลุคไม่ได้เป็นคนแบบที่อยู่ในสมองตอนนี้แน่นอน เดาว่าลุคต้องมีเหตุจำเป็นมากถึงต้องรีบขนาดนั้น ลุคเป็นคนดี ตอนที่ป่วยก็เพราะมีเขานี่แหละฉันถึงได้ดีขึ้นในวันเดียวกัน ที่รู้ก็เพราะเย็นวันนั้นพอรู้สึกตัวขึ้นมาก็มีผ้าขนหนูวางอยู่บนหน้าผาก เสื้อผ้าก็เปลี่ยนแล้ว ถึงจะอายมากแต่เขาก็ช่วยดูแลฉัน ถ้าไม่มีเขาป่านนี้ฉันอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ แย่มากเลยเรา ปล่อยให้ความขุ่นเคืองครอบงำจิตใจแล้วก็โกรธคนอื่นโดยไร้เหตุผล ไม่รู้ว่าตอนนี้ลุคเป็นยังไงบ้าง ถ้าสบายดีก็ดีสินะ ที่จริงอยากโทรฯไปหาเหมือนกันแต่มาคิดดู ฉันไม่มีเบอร์ฯลุคนี่นา

    อยากรู้ว่าลุคจะคิดถึงฉันบ้างมั้ย ถ้ามีบ้างก็ขอแค่เศษเสี้ยวของวินาทีก็พอที่จะนึกถึงฉันและหมู่บ้านของเรา แต่ถ้าถามว่าฉันคิดถึงลุครึเปล่า คุณก็คงรู้อยู่แล้วถึงเสียงในใจที่ยืดยาวขนาดนี้ ก็เป็นผู้หญิงนี่คะ จะพูดเรื่องอย่างนี้ตรงๆ ก็ดูยังไงอยู่

    ปี๊บๆ

    ไมโครเวฟเตือนแล้วก็ได้เวลาอาหารเช้าของฉันกับเพื่อนทั้งสอง ซึ่งพวกมันวิ่งมาทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของเครื่องอุ่นอาหารแสนร้อนนี่

    วันนี้หนาวมากจริงๆ น้า หิมะก็น่าจะตกด้วย หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ฉันที่ไม่ได้มีแผนจะออกไปไหนก็นำไหมพรมที่ยังทำค้างอยู่มาถักบนเก้าอี้โยกในห้องนั่งเล่น ตั้งใจจะทำหมวกกับเสื้อต่อหลังจากทำเสร็จไปแล้วสองอย่างคือถุงมือและผ้าพันคอ ถ้าอีกสองอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ขอตั้งชื่อเซ็ทว่า...ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ ถึงตั้งไปก็คงไม่มีใครมาสนใจหรอก

    ที่จริงแล้วตัวฉันเองผ่านความฝันมาหลากหลายตั้งแต่เด็ก เคยอยากเป็นทั้งจิตรกร ดารา ประธานาธิบดีหญิง นักบินอวกาศไปจนถึงเจ้าหญิง ความไร้เดียงสาของความเยาว์วัยทำให้ฉันสนุกสนานกับความฝันเหล่านั้น ซึ่งถึงแม้ตอนนี้จะไม่ฝันแบบนั้นแล้วด้วยปัจจัยหลายอย่าง แต่ฉันก็ไม่เคยคิดเสียใจที่ครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งตัวเองเคยมีความฝันเหล่านั้น เพราะฉันคิดว่าบางทีชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งความฝันนั้นก็น่าอัศจรรย์ใจไม่น้อยไปกว่าการได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลกเลยนะ

    สำหรับฉันซึ่งโตขึ้นมาหน่อยแล้วความฝันก็จะต่างจากตอนเด็ก ไม่อาจพูดได้ว่านิดหน่อยรึเปล่า แต่ฉันก็อยากจะเป็นดีไซน์เนอร์ อยากแต่งงานสักตอนอายุ 28 โดยมีลูกสองคน ผู้ชายเป็นพี่และมีน้องสาวที่อายุห่างกันสัก 5 ปี มีชีวิตอย่างง่ายๆ และอยู่จนเห็นหลานจูงมือกันกลับมาจากโรงเรียนก็พอใจแล้ว จากนั้นก็ลาโลกนี้ไปอย่างสงบ บางทีพ่อแม่ก็คงจะรอฉันอยู่บนฟ้าโน้นล่ะมั้ง

    รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าตัวเองนั่งยิ้มอยู่คนเดียว…

    ว่าแต่ใครกันน้า…ที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับคนตาบอดอย่างฉัน คงไม่มีใครอยากเพิ่มภาระให้ตัวเองขนาดนั้นหรอกมั้ง

    พอคิดได้แบบนั้นแล้วรอยยิ้มก็แห้งไปอย่างรวดเร็วเสมือนหยดน้ำท่ามกลางทะเลทราย

    "คิดอะไรอยู่เนี่ยเรา..."

    ระหว่างพึมพำกับตัวเองมือก็ถักไหมพรมต่อไป ลมหนาวพัดรุนแรงจนสามารถได้ยินได้จากเสียงที่มันกระทบหน้าต่าง ฉันคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อยในขณะที่บนตักมีคิเรนะที่แสนจะขี้อ้อนนอนหงายท้องเลียขนอยู่อย่างกับขัดขวางไม่อยากให้ฉันสนใจไหมพรมยังไงอย่างงั้นล่ะ ส่วนลูอิสก็นอนหมอบอยู่ข้างเก้าอี้โยก

    ลูอิส...

    จริงสินะ ความจริงชื่อเดิมของลุคคือลูอิสนี่ วันที่คิดชื่อ'ลุค'ให้เขา ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหลายอย่างในน้ำเสียงของลุค ทั้งดีใจทั้งไร้เดียงสาราวกับเด็กๆ เขาอายุเท่าไหร่กันนะ?

    คิดเรื่องลุคได้พักเดียวก็เอาอีกแล้ว ของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมาจากดวงตาที่มืดสนิท...

    ฉัน...

    คิดถึงลุคมากเลย

    หยุดน้ำตาไว้ไม่ได้แล้ว อยากได้ยินเสียงอันนุ่มนวลของเขา อยากได้กลิ่นกายที่สดชื่นราวกับฟ้าตอนหน้าร้อน อยากสัมผัสไออุ่นจากมือแสนอ่อนโยนและปลอดภัยนั่นอีกสักครั้ง ที่ผ่านมาเกือบเดือนขอยอมรับจากใจจริงว่าตัวเองหวังทุกเช้าหลังตื่นมาว่าจะได้ยินเสียงเคาะประตูของลุค หวังว่าจะเจอลุคอยู่ที่สะพาน

    ราวกับ...ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันมันกำลังรอทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นลุคอยู่ ความรู้สึกของฉันที่มีต่อลุคตอนนี้มันคืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะอายมากถ้าพูดออกมาก่อน...เพ้อเจ้ออีกแล้วเรา ฮ้าาา

    ฉันปาดน้ำตาทิ้งและถอนหายใจ ทำไมถึงง่วงแบบนี้น้า แปลกจัง ก็เพิ่งตื่นเอง

    คิดแบบนั้นได้ไม่นานก็เคลิ้มหลับไปทั้งที่หน้ายังรู้สึกตึงกับคราบน้ำตาแห่งความเอาแต่ใจอยู่ ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่ที่สำคัญจริงๆ คือตอนนี้ หลังจากรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกตัวขึ้นมา...

    ดวงตาที่น่าจะบอดไปนานแล้วกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ฉันจะมองเห็นได้ยังไง

    ความแปลกใจระคนดีใจคละคลุ้งอยู่ในหัวสมอง แต่เมื่ออิ่มเอมกับเรื่องน่าเหลือเชื่อนี่แล้วพอมองไปรอบๆ ความรู้สึกผิดหวังก็เข้าครอบงำในทันที

    แค่กำลังฝันอยู่เท่านั้นเอง

    ขณะนี้ฉันยืนอยู่ที่ลานกิจกรรมของหมู่บ้านซึ่งเป็นพื้นที่ที่กว้างและโล่งมาก ส่วนแสงแดดแรงกล้านี้มีฤดูร้อนเป็นเจ้าของแน่นอน เนี่ยแหละหลักฐานที่ทำให้รู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ เพราะเดือนธันวาคมไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ต้องหนาวไปหมด ต้องรีบหาที่หลบร่มเพื่อคลายร้อน

    ฉันวิ่งมาถึงด้านข้างของกำแพงอิฐสีขาวซึ่งจำได้ดีว่าเป็นของวัดแสงอรุณก่อนจะเดินเลาะมาจนในที่สุดก็ถึงหน้าประตูวัด ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเข้าออกผ่านประตูนี้เพื่อไปสักการบูชาองค์พระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นประเทศที่อยู่ในแถบยุโรป แต่ผู้คนที่นับถือศาสนาพุทธก็มีไม่น้อยเลยล่ะ

    แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจ เดินมาอีกนิดหน่อยและข้ามถนนหนึ่งครั้งก็ถึงซอยที่เป็นบ้านของฉัน

    ถ้าสิ่งที่เรียกว่าจินตนาการไม่มืดบอดไปพร้อมกันกับตาคู่นั้นของฉันล่ะก็ ขอเดาว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็น่าจะเจอตัวเองในอดีตก่อนที่จะตาบอดแน่

    เอี๊ยดดดด

    เสียงบานพับตะปูของประตูรั้วดังจนเสียวฟัน ดูเหมือนว่าพลังแห่งจินตนาการของฉันยังส่องสว่างอยู่นะ

    ที่นอนหมอบอยู่หน้าบ้านก็คือสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์สีขาวซึ่งตอนนี้ถ้าเทียบกับปัจจุบันแล้ว มันตัวเล็กกว่าหลายเท่าเลยล่ะ ใช่ มันคือลูอิสตอนเด็กนั่นเอง ส่วนเด็กผู้หญิงสวมชุดกระโปรงวันพีซสีแดงประดับลายสัตว์ไว้ผมบ็อบที่กำลังนั่งยองลูบหัวเจ้าลูอิสคนนั้นคือฉันเอง แล้วความทรงจำก็ได้หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วจนแทบนึกเรียบเรียงไม่ทัน มันมาพร้อมกับความรู้สึกคลื่นไส้ราวกับมีตะกั่วอยู่เต็มในกระเพาะ

    ฉันจำได้แม่นยำ วันนั้นหรือเหตุการณ์ที่กำลังฝันในตอนนี้ คือวันที่ฉันต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไปตลอดกาล

    ทำไมกัน ทำไมต้องฝันแบบนี้ เจอครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องมารีเพลย์ให้ดูซ้ำก็ได้ ฉันพยายามทำตัวเองให้ตื่นแต่ก็ไม่สำเร็จ ใครกันนะที่เป็นคนยัดเยียดความฝันให้แบบนี้

    แล้วไม่นานก็พบว่าบุคคลที่ฉันรักที่สุดในโลกสองคนได้เปิดประตูออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส เด็กสาวผมบ็อบยังหัวเราะหัวใคร่โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าวันนี้จะเป็นวันที่ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายโดยสิ้นเชิง

    "คุณพ่อเล่นเป็นเพื่อนหนูด้วยนะคะ" ฉันตอนเด็กพูดกับชายผมสั้นสีดำในชุดเสื้อลายสก็อตทับในด้วยเสื้อกล้ามสีขาวซึ่งเป็นชุดโปรดของเขา

    "ว้า...พ่อแก่แล้วนา ให้ไปเล่นอะไรแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นลมพอดี"

    พ่อพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นั่นคือใบหน้าอันแสนคิดถึงและโหยหา น้ำตาฉันไหลเมื่อเห็นภาพนั้น พอนึกย้อนกลับไป นั่นเป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุดเลย

    "ไม่เห็นเป็นไรเลยมีมี่ ปล่อยคนแก่เขาเถอะ หนูก็ยังมีแม่เล่นเป็นเพื่อนนา เอาอะไรล่ะ รถไฟเหาะ ไวกิ้ง ชิงช้าสวรรค์ ได้ทุกอย่างเลย แค่คิดแม่ก็ตื่นเต้นแล้ว"

    ใบหน้าแสนสวยของแม่ระบายด้วยความซุกซนราวกับเด็ก ฉันชอบแววตาที่เป็นประกายแบบนี้ของแม่ที่สุด

    มีหลายคนทักว่าหน้าฉันได้แม่มาเต็มๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้หน้าตาตัวเองเป็นยังไง เพียงแต่ตอนเด็กฉันว่าตัวเองหน้าตาเข้าขั้นขี้เหร่เลยทีเดียว

    แม่กับพ่อจูงมือลูกสาวคนนั้นคนละข้าง หน้าตาของเธอเต็มเปี่ยมด้วยความสุข พวกเขาทั้งหมดเดินไปขึ้นรถเก๋งสีดำ ฉันหลีกทางให้พลางมองตัวเองในตอนนั้นด้วยความคิดถึง เด็กน้อยที่เดินจนเกือบจะขึ้นรถแล้วหันกลับมาตะโกนบอกลูอิสด้วยเสียงเล็กๆ ว่าเดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก โดยที่หมาน้อยก็ลุกขึ้นเห่าและกระดิกหางรับก่อนที่จะกลับไปนอนเหงาหงอยอย่างเดิม มันคงคิดว่าช่วยไม่ได้ล่ะมั้ง

    น่าดีใจที่ความฝันดูเหมือนจะจบลงแค่ตรงนี้เพราะรอบตัวดำมืดไปหมด โดยส่วนตัวคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าความฝันยังดำเนินด้วยความเป็นจริงในอดีตนี้ต่อฉันคงต้องได้เห็นภาพที่ทำให้อาจเสียสติได้เมื่อตื่นมา

    แต่แล้วทุกอย่างก็สว่างขึ้น นี่ยังจะฝันต่ออีกหรือไงกัน

    ฉันพบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องโถงที่ยิ่งใหญ่อลังการและงดงามเป็นที่สุด ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้คิดไม่ออกเลยว่าจะหาคำอะไรมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพดี กระเบื้องสีอิฐสลักลวดลายสวยงาม เสาต้นใหญ่สีขาวมีรูปปั้นเด็กมีปีกขนนกเล็กๆ มองดูคล้ายคิวปิดติดรอบทุกต้น ด้านหน้าที่เป็นจุดเด่นของที่นี่คือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เท่าเรือเหาะตั้งอยู่หน้าคนที่ตัวใหญ่กว่าโต๊ะตัวนั้น เขาสูงมากจนคิดว่าไม่น่าจะมีใครสามารถมองเห็นหัวของเขาได้ แต่ถึงกระนั้นฉันยังมั่นใจว่าหัวเขายังไม่ทะลุเพดานโถง

    ที่นี่กว้างใหญ่มากจนเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเข้าแล้ว ที่นี่ไม่ใช่โลก ผู้คนคับคั่งของที่นี่บางคนก็เหมือนคนปกติทั่วไป

    แต่อีกพวกหนึ่งนี่สิ พระเจ้า!!!

    พวกนั้นมีปีกกันด้วย บางคนก็ร่อนอยู่บนอากาศ ถ้าให้แยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆ ล่ะก็ เท่าที่สังเกตดูจะมีอยู่สองแบบคือหนึ่ง พวกที่ใส่ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว ผิวขาวเหมือนมีแสงสว่างในตัวเอง หน้าตาดูสะอาดสะอ้านและมีนัยน์ตาสีฟ้าใส ส่วนอีกพวกหนึ่งดูตรงกันข้าม พวกเขามีร่างกายใหญ่โต เนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้าที่โผล่ออกมาจากฮู๊ดคลุมศีรษะสีแดงดำก็แลดูสกปรก พวกเขาเป็นใครกันนะ

    ผู้ที่ถูกคนชุดขาวพาไปดูเหมือนจะมีสีหน้าอันเป็นสุข ส่วนผู้ที่ถูกชายร่างโตพาไปนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนจะเป็นจะตาย ฉันงัดพลังแห่งจินตนาการออกมาใช้ในการเดาสภาพที่กำลังเจอนี้อีกครั้ง...

    อืม...คิดว่านี่คือสถานที่ตัดสินว่าวิญญาณคนที่ตายควรจะได้ไปไหน...คนชุดขาว น่าจะเป็นนางฟ้าไม่ก็ทูตสวรรค์ ส่วนคนตัวใหญ่เป็น...ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร แต่คิดว่าคงเดาไม่ผิดถ้ามันจะเป็นอะไรที่ตรงข้าม

    ฉันพบว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกตกใจเท่าไหร่นักหลังจากใช้สามัญสำนึกพิจารณา สถานการณ์ในตอนนี้ถึงมันจะละม้ายคล้ายคลึงกับความจริงมากๆ แต่สุดท้ายความฝันก็คือความฝัน ในความฝันคนเราสามารถจะทำหรือเห็นอะไรๆ ก็ได้อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการมากขนาดไหน

    แต่ที่น่าแปลกใจคือตัวฉันในตอนนี้เหมือนกำลังดูภาพวีดีโอที่ถ่ายเอาไว้ ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองให้มองไปในทิศทางที่ต้องการได้ มันเหมือนฉันกำลังใช้ดวงตาร่วมกับคนอื่น แค่ดวงตาเท่านั้น...แล้วตัวฉันก็เริ่มออกเดินโดยที่ไม่ได้คิดจะทำ ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน ทำได้มากสุดก็แค่มองไปทิศทางที่ร่างกายนี้กำลังมุ่งไปเท่านั้น แต่ฉันยินดีทำ เพราะคิดว่าน่าจะพบสิ่งที่ร่างนี้ต้องการจะเห็น และก็น่าจะรู้แล้วด้วย

    ฉันเดินฝ่าฝูงคนมากมายโดยมีเป้าหมายเป็นคนสวมชุดขาวผมยาวสีบลอนด์เงินที่กำลังพาใครไม่รู้สองคนเป็นชายและหญิงไปด้วยกัน ชายผมยาวเดินลิ่วเข้าไปยังช่องแคบๆ ทางด้านซ้ายของโต๊ะที่คนยักษ์สวมชุดคลุมสีน้ำเงินนั่งอยู่ ระหว่างที่กำลังติดตามนางฟ้าตนนั้น เสียงที่เข้มแข็งและทรงพลังอำนาจที่สุดตั้งแต่ที่ฉันเคยได้ยินมาในชีวิตก็ดังขึ้น

    "เจ้าก่อกรรมทำเข็ญไว้มากจนยากจะอภัยได้ เพราะฉะนั้นศาลมหาเทพจึงเห็นควรว่าเจ้าต้องไปชดใช้กรรมในนรกตลอดกาล..."

    ชายคนหนึ่งตะเบ็งส่งเสียงร้องโหยหวนเพียงไม่นานก็เงียบไป เป็นอีกครั้งที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเจ้าของร่างไม่ได้หันกลับไปมอง เขามัวแต่จ้องไปข้างหน้าที่ชายชุดขาวคนนั้นซึ่งตอนนี้กำลังจะพาชายหญิงคู่นั้นไปจนสุดกำแพงห้อง ฉันถูกพาเดินตามไป ภาพชายชุดขาวหายตัวไปพร้อมกับคนคู่นั้นปรากฏขึ้นต่อหน้า แต่ไม่มีเวลามากพอให้ตกใจ ฉันเองเมื่อได้ไปถึงจุดที่มีแผ่นหินทรงกลมที่เพิ่งจะสังเกตเห็นโดยที่ยังไม่ทันได้สำรวจรายละเอียด รอบตัวก็สว่างจ้าขึ้นจนปวดตา

    "ทำไมถึงไม่สร้างจุดข้ามมิติให้มันสะดวกสบายกว่านี้น้า"

    คำบ่นอุบระหว่างที่แสงกำลังจ้าเป็นเสียงที่ไพเราะราวกับร้องเพลง เดาว่าต้องเป็นของชายผมบลอนด์ชุดขาวแน่ ความสว่างที่สลายตัวไปจนหมดเผยให้เห็นบรรยากาศยามเย็นของสถานที่อันคุ้นตา เจ้าของร่างที่ฉันอาศัยดวงตาของเขาอยู่มองไปรอบๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้รู้ทันทีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

    แม้อาทิตย์จะเริ่มสลัว แต่ฉันยืนอยู่บนสะพานหน้าหมู่บ้านแสงอรุณไม่ผิดแน่

    บ้านเรือนทั้งหลายของชาวบ้านเริ่มเปิดไฟกันแล้ว ไฟถนนหน้าหมู่บ้านกับป้ายไฟก็เช่นกัน ฉันถูกบังคับให้หันกลับมามองผู้ชายเป้าหมายคนนั้นอีกที และเนื่องจากฉันเป็นคนช่างสังเกต เลยเกิดสงสัยขึ้นมาว่าคนทั้งคู่ที่ตามหลังของชายผมบลอนด์มาตลอดไม่คิดจะพูดอะไรเลยรึยังไงนะ ทั้งที่สีหน้าก็บ่งบอกถึงความสงสัยขนาดนั้น

    ชายชุดขาวหันหลังให้คนคู่นั้นเพื่อวาดสัญลักษณ์อะไรสักอย่างบนอากาศด้านหน้า เมื่อเสร็จเขายืนนิ่งเหมือนรอบางอย่าง แต่เวลาผ่านไปได้พักหนึ่งกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    แต่พริบตาก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อคนทั้งสองที่อยู่เลยจุดที่ฉันยืนอยู่ไปหน่อยหรือก็คือด้านหลังของชายชุดขาวก็เกิดอาการผิดปกติขึ้น! ผู้ชายผมสั้นดวงตาเหลือกขาว มือกุมท้องท่าทางทรมานได้ไม่ถึงสิบวินาทีร่างของเขาก็หายไป

    ไม่ใช่! มันไม่ได้หายไปเฉยๆ แต่สลายต่างหาก เหมือนกับค่อยๆ แตกสลาย

    ดูเหมือนชายชุดขาวจะรู้ตัวแล้ว เขาหันมาด้วยสีหน้าตกใจและหวาดกลัวสุดขีดพอๆ กับที่ฉันรู้สึก ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตอนนี้เอาซะเลย แต่เหมือนชายคนนั้นจะรู้ว่าต้องทำอะไร เขาพึมพำกับตัวเองอย่างรวดเร็ว ปีกสีขาวบริสุทธิ์กางพึ่บด้วยความเร็วสูง เขาหลับตาก่อนจะประกบมือทั้งสองข้าง จากนั้นแค่เสี้ยววินาทีปีกขนนกสีขาวก็สยายอยู่ที่หลังของหญิงสาวเช่นเดียวกัน ปีกคู่นั้นห่อหุ้มร่างของเธอไว้

    แต่สายไปเสียแล้ว ร่างเล็กบางแตกสลายไปในที่สุด เหลือเพียงปีกขนนกที่คลี่ออกอย่างงดงามเท่านั้น

    ฉันรู้สึกว่าตัวเองร้องไห้อยู่ในใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ความตกใจและเสียใจไม่ได้เกิดแค่กับฉัน ชายผมบลอนด์ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันทำให้เขาทรุดตัวลงกับพื้นสะพาน

    "แล้ววิญญาณของนายล่ะราล์ฟ"

    เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันและเจ้าของร่างนี้คิดแบบเดียวกันจึงหันไปมองผู้มาใหม่ เขามีเรือนผมสีดำเงายาวประบ่า สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเช่นเดียวกันกับชายชื่อราล์ฟและพาดวงวิญญาณของคนแก่มาด้วยหนึ่งคน

    "โทนี่ ฉันผิดไปแล้วๆ"

    ชายชื่อราล์ฟพูดซ้ำไปซ้ำมาและใช้กำปั้นตัวเองทุบสะพานอยู่อย่างนั้น ชายชื่อโทนี่ตกใจจนอึ้งนิ่งไป จนเหมือนได้สติคืนมาเขาจึงรีบไปห้ามราล์ฟที่กำลังฟูมฟาย

    "แกร่ายคาถาผิดใช่มั้ยๆ ซวยแล้ว วิญญาณดับไปแล้ว"

    โทนี่เขย่าที่บ่าสหายอย่างแรงจนสั่นไปทั้งคู่ แต่ราล์ฟไม่ทำอะไรนอกจากก้มหน้าร้องไห้

    "แกต้องถูกฝ่าบาทลงโทษ...นี่มันโทษร้ายแรงที่สุดบนสวรรค์ของเราเลยรู้มั้ย เรื่องง่ายๆ แค่นี้แกทำให้มันพลาดได้ยังไง!!!"

    โทนี่ตะโกนกึกก้องจนชายแก่ที่เขาพามาด้วยตกใจกระโดดถอยหลัง เป็นภาพที่ตลกเพียงแต่ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกแบบนั้น

    เท่าที่จับใจความได้ดูเหมือนว่าราล์ฟจะเสกอะไรบางอย่างผิดพลาดทำให้วิญญาณที่เขาพามาดับสูญ ซึ่งนั่นเป็นความผิดขั้นร้ายแรงที่สุดทำให้เขาต้องถูกลงโทษ

    รู้สึกอยากอาเจียน…นี่มันความฝันอะไรกันเนี่ย อยากตื่นเสียที เรื่องนี้มันเกินขอบเขตของจินตนาการเกินไป ถึงแม้เป็นแค่ความฝันก็ไม่อยากจะดูต่อแล้ว...แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เป็นผล ฉันไม่ยอมตื่นเลย

    "ขอโทษนะ แต่มันจำเป็นจริงๆ อีกแค่นิดเดียวทนหน่อยนะ"

    เสียงนุ่มนวลที่คุ้นๆ แต่กลับนึกไม่ออกว่าใครดังขึ้นในหัว ในน้ำเสียงนั้นมีความเศร้าใจราวกับเดาตอนจบของฝันนี้ได้

    "เราต้องทำอะไรสักอย่าง"

    โทนี่พูดหลังจากที่ควบคุมสติอารมณ์ได้แล้ว เขาประคองเพื่อนหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน แววตาของเขาแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าจนน่ากลัวก่อนหลับตาลงและขบฟันแน่น

    "เราต้องหาดวงวิญญาณมาแทนที่สองคนนั่น"

    ราล์ฟเบิกตาโพลงจนดูเหมือนลืมหายใจไปเลย เรื่องนี้มันเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหนกัน เรื่องการหาวิญญาณมาแทนที่เนี่ย...หรือว่า...

    "เราต้องฆ่าคนใช่มั้ย?"

    ราล์ฟถามด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องฉันรุนแรงขึ้นไปอีก มิหนำซ้ำที่หัวใจก็ยังรู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยของมีคมเล็กๆ นับไม่ถ้วน เพื่อปกปิดความผิดถึงกับต้องใช้การฆ่าคนเลยงั้นเหรอ? พวกเขาเป็นนางฟ้าไม่ใช่รึไง? พวกเขาต้องมาจากสวรรค์ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิของความดีปราศจากความบาปทั้งปวงสิ แต่นี่เขากำลังจะฆ่า...

    "อย่ากังวลเลย พวกเราแค่จะสร้างสถานการณ์เท่านั้น"

    ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะคิดว่าโทนี่พูดกับฉัน แต่ความจริงแล้วเขาพูดกับชายผมบลอนด์พลิ้วสลวยซึ่งตอนนี้น้ำตาเขาแห้งไปแล้ว เพียงแต่ความตกใจนั้นยังคงอยู่แม้สหายของเขาจะพูดแบบนั้นก็ตาม

    "แต่จะได้แน่เหรอ วิญญาณที่ไม่ได้ถูกตัดสินจากศาลฯเราจะรู้ได้ไงว่าจะขึ้นสวรรค์ได้ ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาฉันเคยได้ยินว่าจะถูกเพลิงแห่งสวรรค์คลอกจนดับสูญถ้าหากเข้าไปอย่างผิดกฎ"

    "เรื่องนั้นฉันรู้ดี ถ้าไม่แน่ใจฉันไม่พูดหรอก" โทนี่ว่าอย่างใจเย็น "มีคนคู่หนึ่งที่ฉันแน่ใจว่าพวกเขาเป็นคนดีมากเพราะมองพวกเขามาตั้งแต่เกิดแล้ว"

    ราล์ฟดูเหมือนไม่ได้ยินดีกับเรื่องที่ได้ยิน เขายังรู้สึกผิดและหวั่นวิตก ฉันคิดว่าเขากำลังลังเลใจที่จะก่อความผิดขึ้นมาอีก แต่สุดท้ายความขลาดกลัวที่จะยอมรับความผิดของเขามีน้ำหนักมากกว่า บวกกับคำพูดมั่นอกมั่นใจของสหายว่าจะสามารถช่วยเขาให้รอดได้ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักของการตัดสินใจได้อีกหลายตัน

    "คิดว่าเป็นการช่วยพวกเขาสิเพื่อนรัก จะมีอะไรรับประกันได้ว่าหัวใจอันเปี่ยมคุณธรรมของมนุษย์คนนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"

    โทนี่ยิ้มราวกับสิ่งที่กำลังจะทำเป็นเรื่องเล็กน้อยเหมือนตบยุง ฉันขยะแขยงหน้าเขาตอนนี้มากยิ่งกว่าสิ่งที่น่าขยะแขยงใดๆ ที่เคยเจอมาทั้งหมด

    "ถ้าปล่อยเขาไว้ต่อไปเขาอาจจะทำบาปจนไม่ได้ขึ้นสวรรค์ก็ได้ เราไม่ได้ทำอะไรผิดแถมยังได้ช่วยให้เขาอยู่ในสถานที่ที่มีความสุข เขาก็ช่วยนายให้พ้นผิด ถือซะว่าพึ่งพาอาศัยกันก็พอแล้ว"

    "แล้วสองคนนั้นล่ะ ถ้าเกิดฝ่าบาทรู้เข้า..."

    "ท่านจะรู้ก็เพราะนายมัวแต่พิรี้พิไรอยู่นี่ล่ะ"

    โทนี่ตัดบทด้วยความรำคาญ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนเขากำลังตื่นเต้นดีใจที่จะได้ฆ่าคน เพียงแต่อาศัยเหตุการณ์ความผิดพลาดนี้เป็นเครื่องมือ

    "แล้วคนที่นายว่าอยู่ไหนล่ะ"

    เสียงอันแสนไพเราะถามขึ้นระหว่างที่เพื่อนของเขาแหวกอากาศ(ฉันเห็นเป็นแบบนั้น)และบอกวิญญาณชายชราว่าให้เดินเข้าไป

    "พวกเขากำลังนั่งพาหนะที่เรียกว่ารถยนต์กลับมาที่นี่"

    โทนี่ไม่ได้ไปกับชายชรา เขาหันกลับมาสมทบกับเพื่อนที่ตอนนี้ไม่มีสีหน้าใดๆ ราวกับไร้ความรู้สึก

    "พวกเขาเป็นใคร?"

    ไม่เพียงแต่ราล์ฟเท่านั้น ฉันก็อยากรู้เช่นกัน

    "ครอบครัวเมย์รี่"

    ทั้งที่มีแค่การมองเห็นเท่านั้นที่ฉันเป็นเจ้าของแต่กลับรู้สึกชาไปทั้งตัว ภาพข้างหน้าเริ่มพร่าเรือนจากน้ำตาที่เอ่อล้น ความมืดปกคลุมรอบด้านอีกครั้ง สัมผัสที่ปลายเท้าหายไป ฉันกำลังลอยตัวงั้นหรือ ดูเหมือนสมองจะไม่สั่งการใดๆ แล้ว

    ฉันหลับตาลง...รู้สึกตัวอีกทีก็นั่งอยู่บนบางอย่างที่นุ่มและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วปานกลางค่อนข้างช้า เสียงเด็กผู้หญิงร้องเพลงไม่เป็นทำนองอยู่ทางซ้ายมือ ฉันลืมตาและสำรวจตัวเอง ร่างกายกลับคืนมาแล้ว แต่การที่ยังมองเห็นอยู่แสดงว่าตัวเองยังอยู่ในความฝัน

    เด็กหญิงที่ร้องเพลงอยู่ที่เบาะหลังคือตัวฉันตอนอายุ 12 ปี เสียงพ่อกับแม่คุยกันอย่างหวานซึ้งอยู่เบาะหน้า ฉันเรียกสติกลับคืนมาแล้วตะโกนสุดเสียงที่มี

    "คุณพ่อคะ!!!!!ระวัง!!!!"

    ไม่เป็นผล ไม่มีใครได้ยินเลย ฉันร้องไห้เหมือนคนบ้าและตะโกนต่อไปเหมือนคนบ้า

    แล้วชั่ววินาทีความรู้สึกวูบก็ถาโถมเข้ามา ฉันกระเด็นออกมาอยู่ห่างจากต้นไม้ต้นใหญ่ประมาณ 5 เมตรตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

    โครมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!!

    รถเก๋งสีดำเสียหลักชนกับต้นไม้นั่นเข้าอย่างจัง

    "กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    ฉันลืมตาขึ้น ตอนนี้มองไม่เห็นแล้ว น้ำตาไหลท่วมใบหน้าจากความเสียใจและหวาดกลัว เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่หยุดมันไว้

    ความอบอุ่นทั่วร่างกาย กลิ่นหอมสดชื่นราวท้องฟ้าหน้าร้อนและเสียงอันนุ่มนวล

    "เมย์ไม่ต้องกลัวนะ ลุคอยู่นี่แล้ว..."

    ทว่าเสียงอันแสนนุ่มนวลนี้สั่นเครือ...เขาก็ร้องไห้เช่นกัน

    ลุคกอดฉันไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่น รู้สึกดีมาก...แต่ความหวาดกลัวของฝันร้ายเมื่อครู่มันมีมากกว่า ฉันหยุดตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้

    "ลุคคะ…เมย์กลัว"

    ฉันสะอื้นพลางนึกถึงความฝันที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุดในชีวิตที่เพิ่งจะเกิดขึ้น

    "ห้ามคิดถึงมันอีกนะเมย์ ไม่เป็นไรนะ ลุคอยู่นี่แล้ว...ลุคขอโทษนะ..."

    เขาสะอื้น ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเหมือนกัน แต่มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่ต้องร้องไห้คนเดียวอีกต่อไป

    "ขอโทษในทุกๆ เรื่อง....



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×