คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Memory Piece 3
Memory Piece 3
สัตว์ร่างยักษ์ย่างกรายเข้ามา ขนของมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์จนเป็นสีส้ม
(หวัดดี)
ผู้ที่ใช้จิตสื่อสารมาคือเจ้าหมอนี่เอง
(ขอนั่งด้วยคนนะ)
ก่อนหน้านี้ไม่เห็นว่าจะพูดอะไร ทีตอนนี้ล่ะพูดปร๋อเชียว ถ้าสุนัขพูดได้ก็น่าจะบอกกันบ้างดิ
(ไอ้สุนัขของนาย เรียกง่ายๆ ว่าหมาก็ได้)
เจ้าลูอิสทำน้ำเสียงอวดดีเล็กๆ
(แล้วที่จริงไม่ใช่พวกเราพูดได้หรอกนะ แต่เป็นนายต่างหากที่เข้าใจหมาอย่างฉัน)
ก็ถูกแฮะ ถ้าเอาเข้าจริงผมสามารถพูดได้ทุกๆ ภาษาบนโลกใบนี้เลยแหละ การที่โกหกเมย์รี่ไปว่าเป็นคนต่างประเทศนั้นเธอไม่คิดสงสัยเลยรึไงนะ ว่าทำไมผมถึงพูดภาษาเธอได้ชัดเจน
"แล้วมีอะไรกับฉันล่ะ" ผมพูดก่อนจะส่งขนมปังชิ้นโตเข้าปากและหยิบก้อนใหม่ออกมาจากในกล่องที่วางอยู่ข้างตัว
(นายไม่ใช่มนุษย์แล้วนายเป็นใคร)
เสียงแหบห้าวดังขึ้นอยู่ในหัว ที่จริงไม่ค่อยจะชอบวิธีการสื่อสารกันแบบนี้เท่าไหร่แต่มันก็ช่วยไม่ได้
"ฉันเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ พูดถึงนายนี่ก็เก่งนะที่รู้ว่าฉันไม่ใช่มนุษย์"
(ก็กลิ่นนายมันไม่เหมือนชาวบ้านเขานี่ และพอเห็นนายบินขึ้นมาบนนี้เลยแน่ใจ)
อ๋อ...งั้นเองเหรอ รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกจะจมูกดีกันจริงๆ นะ
ผมพ่นลมหายใจออกยาวๆ และหันหน้ากลับไปมองดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้เหลือให้เห็นเพียงเสี้ยวเดียว ท้องฟ้าที่อยู่ทิศตรงข้ามเองก็เริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มแล้ว
(ถ้านายเป็นคนของสวรรค์จริง ฉันขอร้องอะไรสักอย่างได้รึเปล่า?)
คิดไว้แล้วล่ะ เพราะการที่หมาธรรมดาอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงบนยอดเขานี่คงไม่ได้แค่จะมาถามว่า'นายเป็นใคร?'หรอก เอาเป็นว่าฟังเขาไว้หน่อยก็แล้วกัน
(นายช่วยรักษาตาของ โมนิก้า เมย์รี่ ได้มั้ย?)
ประโยคคำถามนี้ทำให้อึ้งกันไปเลยทีเดียว ผมเหลียวหน้ากลับไปมองเจ้าหมาที่มีชื่อเดียวกันโดยกะจะแฝงความนัยเป็นประโยคคำถามกลับไปประมาณว่า'นายล้อเล่นสินะ' แต่ก็ต้องหยุดกลางคัน เพราะถึงสีหน้าของมันจะไม่ค่อยเปลี่ยนแต่ผมก็รู้ว่ามันระบายด้วยสีแห่งความหนักใจ อันที่จริงแล้วตัวผมนั้นไม่ค่อยชอบเห็นสีหน้าของคนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่กำลังมีปัญหาอยู่หรอก เพราะถึงผมจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่และรู้ว่าตัวเองจะต้องลำบากทีหลัง แต่การบอกปฏิเสธนั้นผมทำมันน้อยพอๆ กับยิ้มจริงใจนั่นแหละ ก็มันเห็นๆ กันอยู่ตรงหน้า จะทำตัวเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างหน้าตาเฉยได้ยังไง แต่ทุกอย่างมันต้องมีขอบเขต คงรู้กันใช่มั้ย
"ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้าเกิดให้ความช่วยเหลือมนุษย์ในลักษณะนั้นฉันต้องโดนพ่อเล่นแน่"
ผมพูดด้วยความรู้สึกที่ราวกับจะบอกว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ ซึ่งเจ้าหมาร่างยักษ์ก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ
"เธอตาบอดนานรึยัง"
(อืม ตอนอายุแค่ 12 น่ะ จนถึงตอนนี้ก็เป็นปีที่ 10 แล้ว)
เจ้าลูอิสพูดด้วยสีหน้ากับน้ำเสียงเศร้าๆ พอทีเหอะน่า ถ้าช่วยได้ฉันช่วยไปแล้ว
สำหรับผมแค่ 10 ปีไม่ได้เนิ่นนานอะไรนัก แต่สำหรับชีวิตอันแสนสั้นของมนุษย์ เวลาขนาดนั้นถือเป็นช่วงชีวิตหนึ่งเลยก็ว่าได้ การที่หญิงสาวคนหนึ่งต้องใช้ช่วงชีวิตนี้อย่างยากลำบากเพราะมองอะไรไม่เห็น ความรู้สึกจะเป็นเช่นไรผมเหมือนจะพยายามทำความเข้าใจได้แล้วแต่ไม่อยากคิดถึงมันอีก เพราะผมอาจจะหมดความอดทนในการที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือก็จะทำให้ผมลำบากอย่างแน่นอน ถ้านึกภาพตามไม่ออกก็ลองนึกถึงอาจารย์ที่มีลูกศิษย์หัวทึบดูก็จะเข้าใจ
"ความสามารถของมนุษย์ทำอะไรไม่ได้เหรอ?"
คับคล้ายคับคลาว่าเคยได้อ่านเรื่องราวของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า'แพทย์'ที่ทำหน้าที่รักษาอาการผิดปกติต่างๆ ให้กับมนุษย์ด้วยกันในหนังสือมาบ้าง ผมจึงถาม
(มันก็ได้แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก พวกเราเป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีปัญญามีเงินไปรักษาหรอก)
ดูเหมือนสิ่งที่เรียกว่า'เงิน'จะเป็นสิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างสำหรับมนุษย์ เท่าที่รู้มันไว้ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของ
ขณะนี้ท้องฟ้าได้เป็นสีน้ำเงินเข้มจนทั่วแล้ว แสงไฟดวงเล็กๆ จากบรรดาบ้านน้อยใหญ่สว่างขึ้นจากที่มืดราวกับแมลงในนรก
(ขอโทษทีที่ถามอะไรแปลกๆ ฉันแค่อยากจะให้เธอกลับมามองเห็นอีกครั้งน่ะ รู้รึเปล่าว่าเธอชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นมากที่สุดเลย)
เจ้าลูอิสพูดก่อนที่จะลุกขึ้น ขนสีขาวปลอดของมันพลิ้วตามสายลมอ่อนๆ ต้องไปรับเมย์รี่คือสิ่งที่มันบอกผม เพราะเธอได้ไปกินข้าวเย็นกับพวกลุงๆ ป้าๆ ชาวไร่ที่ฟาร์มท้ายหมู่บ้าน จังหวะที่มันก้าวออกไปราวกับว่ากำลังทิ้งสิ่งติดค้างอะไรสักอย่างในใจผม บางสิ่งบางอย่าง ที่คงละลายไปกับลมเย็นบาดผิวไปแล้ว
"ฉันขอไปด้วยสิ"
หมายักษ์ที่ออกวิ่งไปได้ไม่ถึงสิบก้าวหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับกำลังมองสิ่งที่ไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้เลย
(ก็ได้)
มันตอบแบบไม่ได้หันมามองหน้าผม ท่าทางแลเท่ห์เกินหมาไปรึเปล่านาย แน่อยู่แล้วเรื่องนี้ผมพูดอยู่ในใจ
เขาลูกนี้ถึงจะไม่สูงมากแต่ถ้าจะเดินลงไปให้ถึงตีนเขาก็คงต้องใช้เวลานานอยู่ ไหนจะต้องอ้อมจากหลังวัดมาเพื่อเข้าตัวหมู่บ้านอีก อยากจะถามเจ้าหมาตัวนี้จริงๆ ว่าทำไมถึงมีความพยายามในการมาที่นี่นัก อย่าบอกนะว่ามาเที่ยวเฉยๆ
(ว่างั้นก็ได้ ฉันชอบมาเดทกับแฟนที่นี่บ่อยๆ น่ะ)
ไอ้'แฟน'นี่คืออะไรไม่ทราบ แต่ก็ช่างเหอะขี้เกียจจะสนใจ
นี่ก็มืดแล้ว การทำเรื่องอะไรๆ ที่ต้องหลบสายตาชาวบ้านชาวเมืองเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสะดวก ผมจึงอาสาพาเจ้าลูอิสบินลงไปข้างล่างเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดิน ซึ่งมันก็ตอบตกลง
หลังจากสยายปีกขาวผมก็เข้าไปอุ้มตัวมัน ใช้ความพยายามอยู่นานจนในที่สุดก็รู้ว่ากำลังแค่ระดับมนุษย์ไม่สามารถยกมันขึ้นได้ เพราะธรรมดาแค่เจ้าลูอิสยืนสี่ขามันก็สูงเท่าเอวผมแล้ว ไม่ต้องนึกเลยว่าถ้ามันยืนสองขาได้มันจะสูงเท่าไหร่
ผมใช้กำลังระดับนางฟ้าเพื่อยกมัน ขนของเจ้านี่นุ่มอย่างที่คิดจริงๆ แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย ทำให้รู้เลยว่ามันได้รับการดูแลอย่างดี
"จะไปล่ะนะ"
เจ้าลูอิสตอบรับด้วยการเห่าเสียงดัง เจ้าบ้าเอ๊ย! เดี๋ยวใครเขาก็มาเห็นกันพอดี
ไม่มีความกลัวบนสีหน้ามันแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังแลสนุกและตื่นเต้นที่จะได้บินบนอากาศ นี่แกเป็นหมาจริงรึอยากจะถามอีกที แต่ก็แค่ความอยากเท่านั้นแหละ เพราะในที่สุดผมก็กระโดดออกไปจากยอดเขาที่เรายืนอยู่โดยไม่พูดอะไร
(ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อีกแปดร้อยเมตร)
ผมบินด้วยความเร็วไม่มาก เมื่อใกล้ถึงก็ร่อนลงยังต้นไม้ใกล้ๆ เพื่อจัดการเก็บปีกก่อนจะกระโดดลงมาพร้อมกับเจ้าลูอิส
ไม่ไกลจากต้นไม้ที่ลงมีกลุ่มชาวบ้านสิบกว่าคนตั้งวงพูดคุยเฮฮากันอยู่ กลิ่นหอมหลายกลิ่นที่สูดอยู่นี่น่าจะเป็นกลิ่นของสิ่งที่เรียกว่า'อาหาร' เมื่อเห็นผมกับลูอิส ลุงคนหนึ่งในวงนั้นก็เรียกให้ไปร่วมด้วย ผมยิ้มฝืนๆ และตอบปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวล แต่เจ้าสัตว์ยักษ์กลับวิ่งไปตามคำชวน ลุงคนนั้นวางจานตรงหน้าเจ้าลูอิสที่ตอนนี้แลบลิ้นแผล็บๆ อย่างประจบประแจงพลางมองตามชิ้นสีน้ำตาลเข้มชิ้นโตซึ่งแลนดิ้งลงสู่จานแล้วเรียบร้อย อาจจะด้วยธรรมชาติของหมา เจ้าลูอิสจึงไม่รีรอที่จะจัดการกับมัน
นี่...จุดประสงค์นายคือจะมารับเจ้านายกลับบ้านไม่ใช่รึไง
"เธอมาแล้วหรือจ๊ะ ลูอิส"
เสียงใสที่เริ่มจะคุ้นเคยดังขึ้น จะแปลกใจหรือไม่แปลกใจดี แต่เสียงตุ้บๆ มันรัวที่หน้าอกผมอย่างรุนแรง ร่างบางค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าจากวงล้อมของพวกชาวบ้าน ดวงตากลมโตอันเป็นจุดเด่นมองเหม่อไปที่ไหนไม่รู้เหมือนเคย
หลังจากนั้นไม่นานลุงอีกคนหนึ่งลุกตามขึ้นมา เขาเอามือป้องที่ปากและกระซิบกระซาบกับเมย์รี่ แน่นอนว่าคงไม่ใช่เรื่องที่อยากให้ผมได้ยิน แต่ก็นะ...ผมไม่ใช่มนุษย์ ระดับความไวของประสาทส่วนต่างๆ จึงอยู่ในระดับเทพ และนี่คือสิ่งที่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
"หนูมีมี่รู้จักพ่อหนุ่มที่มากับเจ้าลูอิสด้วยเหรอ?"
"เขาเป็นแค่นักท่องเที่ยวเองค่ะลุง และก็เป็นคนดีด้วยนะคะ ไม่งั้นลูอิสก็เห่าแล้ว จริงมั้ยคะ"
"ลุงไม่รู้หรอก แต่หนูก็ระวังหน่อยนะ ตาเรายิ่งมองไม่เห็นอยู่"
ลุงคนนั้นเหลือบตามองมา เมื่อเห็นผมยิ้มให้เขาก็ยิ้มตอบกลับก่อนจะหันไปพูดเบาๆ ข้างหูเมย์รี่แทนโดยไม่ป้องปาก
"ถ้าไม่มีเจ้าลูอิสลุงไม่ปล่อยให้กลับกับเขาแน่"
"หนูจะเชื่อฟังนะคะ ลุงโบนส์"
เจอยิ้มหวานปิดท้ายขนาดนั้นต่อให้เป็นยมทูตก็คงปล่อยตัวไปอย่างง่ายดาย หญิงสาวเดินออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าทิ้งสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยไว้กับลุงผู้หวังดี ส่วนเจ้าลูอิสก็รีบคาบเนื้อชิ้นสุดท้ายและรีบเดินออกมาอย่างคล่องแคล้วผิดกับขนาดตัว มันเดินมาขวางหน้าเจ้านายที่กำลังใช้ไม้เท้าคลำทาง
"ขอบใจจ้ะ"
เมย์รี่ปีนขึ้นไปนั่งบนหลังของหมายักษ์ซึ่งเดินมาสมทบกับผมที่เดินออกมาอยู่ก่อนแล้ว
"คุณลูอิสหาที่พักอยู่หรือคะ"
ที่พัก...? อ้อ...บ้าน
"อ๋อใช่ครับ"
"ที่จริงหมู่บ้านนี้ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหรอกค่ะ เลยไม่ค่อยจะมีบ้านว่างๆ ให้เช่า"
สาวตาโตพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เส้นผมดำของเธอส่งกลิ่นหอมสดชื่นแม้แค่เพียงลมพัดเบาๆ
"เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะ คืนนี้คุณลูอิสพักที่บ้านฉันก่อน ถ้าไม่รังเกียจล่ะนะคะ บ้านฉันมีสองห้องนอนพอดีเลย"
"ผมน่ะไม่รังเกียจอะไรหรอกครับ แต่คุณจะไม่ฟังลุงคนนั้นไว้หน่อยเหรอ?"
เมย์รี่ถึงกับเหวอเลยทีเดียว ดวงตาเธอเบิกกว้างมากกว่าเดิม เรียวปากเล็กๆ อ้าหวอจนคนเห็นอดขำไม่ได้ และไม่ใช่การแกล้งขำจริงๆ นะ
"คุณลูอิสได้ยินด้วยเหรอคะ?"
ในเมื่อเธอถามโดยไร้ความเสแสร้ง ผมก็จะขอตอบตรงๆ เป็นการตอบแทน มีน้อยคนนักที่จะได้รับคำตอบจากใจจริงของผม
"ครับ ปล่อยให้คนที่เรารักไปกับคนแปลกหน้าที่ไม่น่าไว้ใจ ถ้าไม่มีความคิดแบบนั้นสิครับแปลกกว่า"
เมย์รี่เอียงคอเล็กน้อยราวกับกำลังคิดว่าจะใช้วันหยุดไปเที่ยวที่ไหนดี
"งั้นฉันก็คงเป็นคนที่แปลกสำหรับคุณลูอิสเลยแหละค่ะ เพราะฉันไม่เคยคิดว่าคุณเป็นคนที่ไม่หน้าไว้ใจแม้แต่นิดเดียว"
บอกตามตรง ถ้าผมได้รับการแต่งตั้งเป็นพระเจ้าตอนนี้ยังไม่อึ้งเท่านี้เลย อะไรคือสิ่งที่ทำให้เธอมีความเชื่อแบบนั้นนะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่มีตัวตนผมก็อยากจะขอบคุณสิ่งนั้นจริงๆ
ไม่รู้ทำไมผมถึงกำลังดีใจมากขนาดนี้ ทั้งที่มันเป็นแค่บทสนทนาเล็กๆ แต่หัวใจกลับเต้นรัว
ใช่ ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่ามันคือหัวใจ รู้ตัวตั้งแต่แรก หลอกตัวเองอยู่นานเหมือนกันนะเรา
"เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?"
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะสงสัย เพราะคู่สนทนาเกิดเงียบไปกลางคัน แต่ไม่ได้เงียบแบบไร้ความหมาย ผมรวบรวมความกล้าทั้งที่ปกติไม่ต้องใช้เวลาขนาดนี้
"เมย์..."
หญิงสาวแสนสวยชะงักงันชั่วครู่คล้ายกับถูกสะกิด
"...คะ?"
"ผมขอเรียกคุณว่า'เมย์ 'นะ แล้วเมย์เรียกผมว่า'ลูซ'ได้มั้ย?"
ความกล้าทั้งหมดรวมเป็นคำพูดนี้ อัจฉริยะก็ไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างหรอกเชื่อสิ
เมย์ยิ้มไร้เดียงสาก่อนเสียงใสของเธอจะทำให้หัวใจของผมชุ่มฉ่ำไปด้วยความยินดีอีกครั้ง
"ก็เมย์บอกลูซตั้งแต่แรกแล้วไงว่าเรียกเมย์ว่า'เมย์ 'เฉยๆ ได้ จำได้รึเปล่า ตอนที่ลูซถามทางไปวัดกับเมย์น่ะ"
สิ่งที่ตราตรึงอยู่ในความคิด ใครอยากปฏิเสธมั่งว่ามันเป็นอะไรที่ลืมยาก
ตอนนั้นไม่ลืมและตอนนี้ผมก็กำลังดีใจสุดๆ ไม่เถียงว่าดูเหมือนจะพูดอะไรซ้ำไปซ้ำมาแต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ความดีใจในตอนนี้ผมคิดว่ามันน่าจะมากที่สุดในชีวิตแล้ว ดีใจมากกว่าตอนที่เหล่านางฟ้าปกป้องสวรรค์จากการก่อกบฏและรุกรานของลูซิเฟอร์ได้ซะอีก
"เพียงแต่เมย์ว่า'ลูซ'ก็ฟังดูดีนะ แต่ความหมายมันแปลว่า'พ่ายแพ้'น่ะ เมย์ว่าไม่ค่อยดีหรอก"
ผมออกมาจากภวังค์ทันที อยากรู้จังว่าชื่อไหนถึงจะเท่และมีความหมายดีๆ เพราะอันที่จริง 'ลูซ' ก็เป็นแค่ชื่อที่คิดขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้รู้ความหมายอะไรกับเขาหรอก เห็นอย่างนี้จริงๆ แล้วผมก็ห่วงเรื่องความเท่เหมือนกันนา
"งั้น...เอาเป็น'ลุค'ดีมั้ย น่าจะความหมายเดียวกันกับ'ลัค'ที่แปลว่าโชคดี และถ้าใส่ 'X' หลัง 'LU' แทน 'KE' ก็มีความหมายว่าแสงสว่างด้วย"
โอ้! เจ๋งดีแฮะ เท่ดีด้วย อยากมอบตำแหน่งอัจฉริยะให้เมย์เลยแหละ การสนทนานี้แม้แต่เจ้าลูอิสก็พลอยลุ้นไปกับผม
ต่อไปนี้ฉันก็จะไม่มีชื่อซ้ำกับนายแล้วนะ 'ลูอิส'
หมายักษ์พ่นลมทางจมูกราวกับจะบอกว่าดีใจด้วยอย่างเชิดๆ และหันกลับไปมองทางเดินต่อ เจ้านายคนสวยยิ้มกว้างเมื่อผมบอกโอเค ดูเหมือนเธอจะภูมิใจนิดหน่อยที่ผมใช้ชื่อที่ตัวเองคิดขึ้น แต่ก็ไม่ตำหนิเธอหรอกนะ เพราะมันดีจริงๆ นี่
ขอบคุณนะเมย์ ลุคจะจำความดีใจและความอบอุ่นตอนนี้ไปตราบนานเท่านานเลย
พวกเราเลี้ยวขวาเข้าซอยที่เป็นที่ตั้งบ้านของเมย์ เจ้าลูอิสยังคงทำหน้าที่พาหนะให้เจ้านายของมันโดยไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อย
"แล้วคืนนี้ลุคจะพักบ้านเมย์มั้ย?"
เสียงใสถามขึ้น ถ้าได้ฟังทุกวันคงเป็นอีกเรื่องที่ผมจะดีใจ
"ลุคไม่รบกวนหรอก รอให้เราสนิทกันมากกว่านี้ดีกว่า"
สีหน้ากังวลใจปรากฏบนใบหน้าขาวผ่องนิดหน่อย
"ลุคนอนที่ไหนก็ได้ เมย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ"
สาวสวยพยักหน้าเข้าใจทั้งที่จริงคงไม่อยากเข้าใจเท่าไหร่ เพราะคนขี้เป็นห่วงอย่างเธอรู้ว่าตอนนี้อากาศนั้นเย็นแค่ไหน ผมจึงให้ความมั่นใจกับเธอไปว่าหาที่พักได้แล้ว
สุดท้ายก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ผมก้มตัวไปเปิดรั้ว เจ้าลูอิสที่มีเมย์ขี่บนหลังเดินเข้าบ้านอย่างรู้หน้าที่ ผมกล่าวลาเพื่อนคนใหม่และตั้งใจจะยืนรอจนกว่าแผ่นหลังน้อยๆ จะหายไป เธอลงจากหลังของเจ้าลูอิสเพื่อกล่าวลาผมเช่นกัน
"ไม่เป็นไรเมย์ รีบเข้าบ้านเถอะ"
ผมพูดด้วยความเป็นห่วง
"เปล่าจ้ะ เมย์จะถามลุคว่าพรุ่งนี้ไปตลาดกันมั้ย?"
ตลาดที่มีขนมปังถั่วแดงสินะ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปอยู่แล้ว
"งั้นเดี๋ยวลุคมารับเมย์ที่นี่นะ"
"จ้ะ หกโมงเนอะ"
ผมตอบตกลงและบอกให้เมย์รีบเข้าบ้าน ซึ่งเธอก็ยิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะหันหลังเข้าไป
แผ่นหลังของเธอเล็กบางราวกับเป็นแผ่นหลังที่ผมเคยสัมผัสเมื่อยังไม่ประสีประสากับอะไร แผ่นหลังของผู้หญิงที่ให้กำเนิดผมมา เพียงแต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว
เมื่อประตูสีชมพูอ่อนปิดลง ผมกระโดดไปที่หลังคาบ้านของเมย์ ต้องระวังเรื่องการลงเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง เมื่อทำสำเร็จผมจึงเอนตัวลงกับหลังคาที่ลาดชันเล็กน้อย หวังว่าจะไม่มีใครเห็นนะ
เนื่องจากไม่เคยได้ไปไหนเลยเพิ่งจะเคยได้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนของโลกมนุษย์ก็วันนี้เอง แผ่นฟ้าสีน้ำเงินเข้มแสนกว้างไกลประดับด้วยจุดระยิบระยับนับไม่ถ้วน ที่เด่นสุดคือดาวสีเงินที่ดวงใหญ่กว่าเพื่อน รู้สึกจะมีชื่อว่า'ดวงจันทร์' ถึงแม้มันจะดวงเล็กกว่าพระอาทิตย์แต่ความงดงามผมให้เต็มสิบทั้งคู่ ส่วนถ้าถามว่ากับโมนิก้า เมย์รี่อย่างไหนงดงามกว่ากัน สมมติว่าผมประเมินคะแนนคนๆ นั้นไม่ได้คุณจะคิดยังไง
อยากรู้จริงๆ ว่าพ่อซึ่งเป็นคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมานั้นเคยมองพวกมันจากมุมนี้รึเปล่า แต่ก็อย่างว่า เพราะไม่เคยมองดูจากมุมไหนเขาถึงคิดแผนการที่จะทำลายสิ่งเหล่านี้ให้สิ้นซาก เมื่อก่อนผมคงจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับแผนการนั้นได้แต่เดี๋ยวนี้คงไม่ใช่แล้ว
ที่นี่ ที่โลกมนุษย์แห่งนี้ หากไม่ใช่คนมองอะไรมุมเดียวก็จะรู้ว่ามันก็มีด้านที่น่าประทับใจ ซึ่งก็เหมือนกับทุกสิ่งที่มีทั้งด้านบวกและลบ เพียงแต่ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้กับเหล่าไม้แก่ผู้มีความคิดดัดยาก เอาเป็นว่าไว้วันไหนจะลองพาพ่อมาดูซะหน่อยว่าสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมันสวยงามขนาดไหน...ถ้าเขาอยากจะมาล่ะนะ…
ผมนอนมองฟ้าแล้วลองมาคิดๆ ดู ผมเพิ่งจะมาโลกมนุษย์แค่สองรอบแต่กลับได้รู้จักสิ่งใหม่ๆ เยอะแยะ หลายสิ่งหลายอย่างที่ดี ไม่ใช่เพราะความแปลกใหม่ของสิ่งที่ได้เจอจึงคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี มันไม่ใช่แบบนั้น แต่เพราะอะไรผมก็อธิบายไม่ได้
ในตอนนี้ผมกำลังปลื้มอกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูกกับมิตรภาพใหม่ที่ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เคยมีในประวัติที่ไหนมีมาก่อน นางฟ้ากับมนุษย์งั้นเหรอ…
ฮึ ก็แปลกดี
บนสวรรค์ผมมีคนที่เรียกได้เต็มปากว่าเพื่อนอยู่สองคน คนแรกคือ มิคาเอล ที่เป็นจอมทัพของทัพนางฟ้า กับ นาตาลี ที่เป็นมือขวาของพ่อ
พูดถึงนาตาลี เธอก็มีเพศหญิงเหมือนกับเมย์ ถ้าลองมาเปรียบเทียบสองคนนี้ดู ระหว่าง นาตาลี กับ เมย์ ผมเรียกพวกเธอว่าเพื่อนเหมือนกัน แต่ว่าความรู้สึกที่มีให้ทั้งคู่กลับต่างกัน
มาลองนึกย้อนกลับไปเมื่อหลายล้านปีก่อนที่โลกจะถูกสร้างขึ้น ตอนที่ผมได้พบกับนาตาลีครั้งแรก เธอนั้นก็เป็นคนที่สวยมากคนหนึ่ง นิสัยก็ดี ร่าเริง แต่จำได้ว่าหัวใจของผมไม่ได้เต้นแรง ผมไม่ได้คิดแต่เรื่องของเธออยู่ตลอดเวลา แน่ใจว่าไม่ได้ดีใจอะไรมากมายเมื่อเธอทำอะไรให้ ไม่ได้รู้สึกดีเมื่อได้เห็นหน้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมเกลียดเธอนะ ก็ดีใจที่มีเพื่อนดีๆ อย่างเธอ แต่ไม่มากเท่าตอนได้รู้จักกับ โมนิก้า เมย์รี่
หรืออาจเป็นเพราะเมย์ตาบอดมองอะไรไม่เห็นผมจึงให้ความรู้สึกดีๆ กับเธอมากกว่า
ไม่หรอก คนอย่างผมไม่ได้มีความรู้สึกให้ใครๆ เพราะความสงสาร ตัวเมย์เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูด
มันอะไรกันนะ ผมล่ะอยากจะรู้
ว่ากันตามจริง ผมว่าผมรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงต่อเมย์ แต่แค่พูดวนไปวนมาและไม่ยอมรับแค่นั้น
อะไรที่ทำให้เมย์แตกต่างกับนาตาลีน่ะเหรอ?
นั่นก็เป็นเพราะ...
ผมหลงรักเมย์เข้าไปแล้วยังไงล่ะ…
ไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าความรักระหว่างหนุ่มสาวเป็นยังไงหรอก เพียงแต่แค่กำลังไม่แน่ใจ เพราะตั้งแต่เกิดผมก็เพิ่งจะเคยมีความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก วันที่เจอเมย์วันแรกนั้นก็รู้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับหัวใจของผม ตอนที่เจอกันจิตใต้สำนึกก็ภาวนาว่าอยากให้เราได้มีเวลาอีกหน่อยก็ยังดี ตอนที่จากกันมันก็ภาวนาอยากให้เวลาที่เราได้เจอกันอีกหมุนมาเร็วๆ หัวใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงใบหน้าของเธอ ยิ่งถ้านึกถึงตอนเธอยิ้มเป็นประกายก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นอีก อาการแบบนี้ใครเคยเป็นก็ช่วยบอกทีว่าใช่อาการของคนที่มีความรักหรือเปล่า...
ถ้าใช่ล่ะก็ ความรักนี่ก็ร้ายใช่เล่นนะ
รู้ตัวอีกทีก็นอนยิ้มอยู่คนเดียวแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมหลุดจากวังวนความคิดต่างๆ นาๆ ก็คือสัตว์สี่ขาตัวเล็กตัวหนึ่ง เพราะความมืดเลยทำให้มองเห็นมันได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เพราะแสงจันทร์เลยพอดูออกว่ามันมีสีขาวเป็นหลักโดยที่ลำตัวประกอบด้วยสีน้ำตาลและดำ มันมีหูใหญ่ไม่ได้เข้ากันกับใบหน้าที่แหลมเล็ก สัตว์ตัวนั้นเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ
"เมี้ยว…"
ฟังจากเสียงแลจะเป็นสัตว์ที่ซุกซนมากทีเดียว มันใช้หัวถูกับมือที่ผมยื่นออกไปหาก่อนจะดมเล็กน้อย
"ตัวอะไรรึเราน่ะ" ผมถามด้วยเสียงที่ดังพอๆ กับลมที่พัดใบไม้
(พูดภาษาแมวได้ด้วย!?!)
แมวสินะ เจ้าแมวแลดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด นี่ ก่อนที่จะวิ่งหนีไปช่วยแนะนำตัวเองก่อนได้รึเปล่า?
(บะ...บ้า ถ้าจะหนี คะ...ใครจะมัวมาแนะนำตัวกันเล่า)
แมวน้อยโก่งตัวและทำขนพองๆ คิดจะทำอะไรเนี่ยตลกจัง
(นายเป็นใคร?)
อา...เจอคำถามนี้สองรอบในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมอธิบายให้เจ้าแมวฟังว่ามาที่นี่ทำไม แมวน้อยก็เลิกทำขนพอง
(เหรอ?)
มันตอบและยกขาหน้าขึ้นมาเกาที่หลังหู ขยายความคำที่เหมือนกับเป็นประโยคคำถามนั่นทีเถอะ
"แล้วเราล่ะชื่ออะไร?"
(คิเรนะเจ้าค่ะ…)
ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่ท่าทางแบบนั้นกำลังเขินใช่มั้ยเนี่ย
"ชื่อน่ารักดี ใครตั้งให้เราเหรอ?"
พอผมพูดมันก็ยิ่งบิดหน้าบิดหลังไปกันใหญ่ นี่ผมไปพูดอะไรสะกิดต่อมเขินอายของเจ้าแมวตัวนี้กันนะ
(มะ…มีมี่ตั้งให้เจ้าค่ะ)
เอ๋...ใช่เมย์รี่รึเปล่า?
(ใช่เจ้าค่ะ ก็คิเรนะเป็นแมวของมีมี่นี่เจ้าคะ)
อืมๆ นอกจากหมาแล้วเมย์ก็มีแมวอีกตัว ว่าแล้วมันก็เดินเลียบๆ เคียงๆ มาหาผมที่ลุกขึ้นนั่งและก็กระโดดขึ้นตัก
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นก็หมายความว่าพวกเราสามคน ทั้งผม เจ้าลูอิสแล้วก็คิเรนะ ต่างก็มีแม่ผู้ตั้งชื่อให้คนเดียวกันน่ะสิ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกแฮะ
"แล้วทำไมไม่ไปนอนในบ้านล่ะ แมวไม่ต้องนอนงั้นเหรอ?"
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ยังเพลิดเพลินกับการลูบขนนุ่มๆ ของเจ้าแมวอยู่ ซึ่งมันครางราวกับว่าชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแมวนี่ขี้อ้อนแบบนี้หมดทุกตัวรึเปล่าน้า...แต่ไม่ได้รังเกียจนะ กลับคิดว่าน่ารักซะอีกถ้าใครจะมีนิสัยขี้อ้อนนิดๆ ซึ่งผมก็หวังอยากจะให้เมย์เป็นแบบนี้บ้าง
(คิเรนะไม่อยากเจอหน้าลูอิสน่ะเจ้าค่ะเลยไม่อยากเข้าบ้าน ลุครำคาญหรือเจ้าคะ?)
เสียงแหลมก้องอยู่ในหัว ส่วนร่างเล็กนอนตีหางใส่ผมเล่น
"เปล่าซะหน่อย แล้วเจ้าลูอิสมันไปทำอะไรให้ล่ะ"
(อย่าไปพูดถึงเลยเจ้าค่ะ)
ผมไม่ได้ทำอะไรผิดใช่เปล่า ท่าทางเหมือนจะงอนผมแทนเจ้าหมาขาวนั่นซะแล้ว
แต่ถึงคิเรนะจะบอกแบบนั้น นาทีต่อมามันกลับเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นยันจบ สรุปแล้ว ต้นเหตุที่ทำให้สัตว์ทั้งสองทะเลาะกันดูเหมือนจะเป็นตัวผมเอง
"งั้นที่ลูอิสบอกกับฉันว่ามาเดทกับแฟนที่เขาหลังวัดนี่หมายถึงคิเรนะเหรอ?"
ไม่อยากเห็นใครผิดใจกันเพราะตัวเองผมจึงได้อธิบายให้คิเรนะฟังถึงตอนที่พาเจ้าลูอิสบินลงไปข้างล่าง
(ลุคไม่ต้องมารับผิดแทนเจ้าหมานั่นเลย)
มันลุกขึ้นและกระโดดลงจากตัก เสียงกรุ๊งกริ๊งทำให้ผมสังเกตเห็นปลอกคอสีชมพูสดใสแบบเดียวกันกับเจ้าลูอิสเพียงแต่เล็กกว่า น้ำเสียงของแมวน้อยแลโกรธมากเหมือนกัน
(ถ้าลูอิสบอกกับลุคแบบนั้นก็แสดงว่าเขาลืมคิเรนะแล้วล่ะเจ้าค่ะ ลุคไม่ผิดซะหน่อย...)
หลังจากนั้นแมวน้อยก็เงียบไปพักใหญ่ แต่ผมดูออกว่ามันมีอะไรจะพูดอีก
(ลูอิสบอกกับลุคว่ามาเดทกับแฟนเหรอเจ้าคะ?)
เจ้าแมวที่กลับสู่โหมดเขินอีกครั้งส่งผลให้จมูกของมันมีสีชมพูที่เข้มขึ้น ผมก็บอกคิเรนะไปว่าใช่ ถึงจะไม่รู้ความหมายของคำว่า'แฟน'ก็เถอะ
(ก็หมายถึงคนสองคนที่รักกันยังไงล่ะเจ้าคะ เขาจะเรียกอีกฝ่ายว่า'แฟน')
แมวน้อยบิดไปบิดมาเหมือนคันอะไรสักอย่าง นี่แม่คุณ ระวังอย่าให้หัวทิ่มหลังคาล่ะ
(ลุคบ้า! โกรธแล้ว เข้าบ้านดีกว่า)
โธ่เอ้ยทำเป็นอ้าง รู้ทันหรอกน่า
"หายโกรธลูอิสมันแล้วเหรอ?"
(ปะ..เปล่า ซะหน่อย แต่คิเรนะหนาวต่างหาก แล้วก็งอนลุคด้วย ไม่ใช่ว่าทำเป็นอ้างเพื่อจะไปหาลูอิสนะเจ้าคะ และก็ไม่ได้ดีใจที่ลูอิสเรียกคิเรนะว่าแฟนด้วย)
ในเมโมรี่ตัวเองจำได้ว่ายังไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นเลยนะ แต่ก็ช่างเถอะ ผมเข้าใจเรื่องที่คนเราชอบทำเป็นอ้างนู้นนี่ดี แต่แค่แปลกใจ นึกไม่ถึงว่ามันจะติดมาถึงสัตว์ด้วย ขำๆ ดี
แมวน้อยกระโดดลงจากหลังคาไปเกาะที่ต้นไม้หลังบ้านก่อนจะหายตัวลงไป
พูดถึงคิเรนะมันก็เป็นสัตว์ที่ซุกซนอย่างที่คิดจริงๆ คงเป็นจอมยุ่งในบ้านเลยผมว่า แล้วอย่างนี้เมย์จะรับมือไหวมั้ยเนี่ย
คืนนี้...ผมเพิ่งจะเข้าใจความหมายของคำว่า'แฟน'
ถ้าหมายถึงคนสองคนที่ต้องรักกันจริงๆ ผมก็เรียกเมย์ว่าแฟนไม่ได้ เพราะสิ่งที่ชัดเจนอย่างเดียวคือผมรู้ว่าตัวเองรักเมย์ แต่นอกนั้นอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะยังคลุมเครืออยู่ เมย์ไม่รู้ว่าผมรักเธอเพราะผมยังไม่ได้พูดออกไป ผมไม่รู้ว่าเมย์รักผมรึเปล่า ก็ไม่ค่อยชอบอะไรที่คลุมเครือแบบนี้หรอก แต่มันก็พูดลำบาก ความสัมพันธ์ของผมกับเธอต่อไปจะเป็นยังไง ดูเหมือนจะมีแต่กระแสที่มั่นคงและซื่อตรงที่สุดที่ชื่อว่าเวลาเท่านั้นแหละที่รู้
ถึงผมจะไม่จำเป็นต้องนอนแต่ก็จะขอส่งท้ายให้กับค่ำคืนที่แสนจะเงียบสงบนี้ด้วยการอธิษฐาน
บางคนอาจสงสัยว่าผมจะอธิษฐานกับอะไรในเมื่อคนส่วนใหญ่จะอธิษฐานกับพระเจ้าหรือก็คือพ่อผมเอง ถ้าถามแบบนั้นถึงจะเป็นอัจฉริยะแต่ผมก็คงหาคำตอบที่สมเหตุสมผลมาตอบไม่ได้หรอก แล้วเรื่องแบบนี้มันก็เกี่ยวกับความเชื่อล้วนๆ ด้วย
โชคดีที่ถึงจะไม่รู้ก็ไม่ได้เป็นปัญหา เรื่องที่ผมจะอธิษฐานก็คือขอให้หญิงสาวที่อยู่ใต้หลังคาบ้านหลังนี้นอนหลับฝันดี ขอให้ใบหน้าที่งดงามราวดวงจันทร์ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่เป็นประกายราวพระอาทิตย์ในทุกๆ วัน ขอให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเธอในทุกๆ ก้าวของเส้นทางที่เธอเลือกเดิน
ส่วนหน้าที่ของผมคือสัญญากับตัวเองว่าจะคอยเป็นดวงตาให้เธอเมื่อเธอต้องการ โมนิก้า เมย์รี่...
ความคิดเห็น