คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : บทพิเศษ สู่จุดเริ่มต้น และ บทส่งท้าย ชื่อของฉันคือ อลิซ แกรนด์สโตน
บทพิเศษ สู่จุดเริ่มต้น
เสียงเครื่องมือที่มองดูภายนอกคล้ายกับอุปกรณ์จากโลกอนาคตกำลังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ควันอุ่นจากเครื่องทำความร้อนลอยฉุยออกมาอย่างขะมักเขม้นภายในห้องขนาดกว้างหลายสิบตารางเมตรซึ่งไม่มีสีอื่นใดเจือปนอยู่ในความขาวสะอาด แสงจากหลอดแอลอีดีจากรอบทิศยิ่งเสริมให้สถานที่แห่งนี้ขาวจัดราวกับห้องวิจัยชีวะที่ไม่มีที่เหลือให้สำหรับสิ่งแปลกปลอม
จากความสว่างที่มากจนเรียกได้ว่าเกินไปส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นถูกขยายออก ด้วยเหตุนั้น หญิงสาวนางหนึ่งจึงนั่งอ่านหนังสืออยู่ในนี้มากกว่าสามชั่วโมงแล้ว
หญิงสาวผู้มีร่างกายเพรียวบางไม่ได้เป็นผู้เดียวที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่ยังมีบุคคลอีก 9 รวมอยู่ด้วย
เพียงแต่นอกจากหญิงสาวแล้ว พวกเขาและเธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง โดยมีอุปกรณ์ที่เป็นต้นกำเนิดแห่งเสียงทั้งหมดประจำอยู่แต่ละเตียง
ใบหน้ายามหลับของคนทั้ง 9 กว่าครึ่งถูกครอบด้วยที่ครอบใสเพื่อพยุงลมหายใจ ท้องแขนของแต่ละคนถูกเข็มเจาะและยึดติดด้วยสายยางหลากหลายสาย บนหน้าผากและขมับของคนทั้งหมดถูกสติ๊กเกอร์รูปวงกลมแปะอยู่หลายดวง โดยที่กึ่งกลางสติ๊กเกอร์ถูกเชื่อมด้วยสายไฟขนาดเล็กที่โยงเชื่อมกับเครื่องจักรบนเพดาน แต่ที่ดูเหมือนจะมีสายยางร้อยติดกับร่างกายมากเป็นพิเศษคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งถูกพบว่าตั้งครรภ์
[ตรวจพบการสั่นสะเทือนของคลื่นสมอง ระดับสติสัมปชัญญะที่วัดได้มีค่าสูงสุดที่ 0.97%]
หญิงสาววางหนังสือเล่มบางลงกับโต๊ะก่อนจะยืนขึ้น
"จะมาแล้วสินะ…"
เสียงสวยพึมพำก่อนจะหยิบยางที่วางอยู่ใกล้กันขึ้นมารัดผมยาวสีอัลมอนด์ ดวงตาคู่สวยจับจ้องตัวเลขบนหน้าปัดของเครื่องที่อยู่สูงขึ้นไปบนเพดาน
[ระดับสติสัมปชัญญะที่วัดได้มีค่าสูงสุดที่ 29.52%]
เสียงของเครื่องจักรดังย้ำอีกครั้ง คราวนี้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าที่สะสวยไม่ต่างจากเนื้อเสียง เธอยังคงเฝ้ามองตัวเลขบนหน้าปัดที่ค่าของมันกำลังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
[ระดับสติสัมปชัญญะที่วัดได้ล่าสุดมีค่าสูงสุดที่ 99.46%...100%...]
ร่างทั้ง 9 บนเตียงกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกันราวกับได้นัดหมายกันไว้แล้วล่วงหน้า แม้ว่าหญิงสาวผู้เฝ้ามองจะคาดอาการของทุกคนไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เธอก็อดสะดุ้งจนเท้าลอยจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
[กระบวนการคืนกลับ สมบูรณ์แล้ว]
เสียงเครื่องจักรดังก้องภายในห้อง หญิงสาวผมสีอัลมอนด์รวบหางม้าพาร่างอรชรของเธอไปยังเตียงที่มีตัวเลข 1 กำกับไว้
"ยินดีต้อนรับกลับโลกของเราค่ะ ทัชออฟก็อดทุกคน" เสียงสวยกล่าว เพียงแต่ดวงตาสีเขียวของเธอจับจ้องอยู่ที่ร่างยักษ์บนเตียงที่มีเลขกำกับเป็นเลข 1 ของเหลวใสไหลเริ่มเอ่อท่วมดวงตาคู่สวย ชายร่างยักษ์ที่ลุกขึ้นนั่งมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มและอาการหอบเล็กน้อย
"ผมก็อยู่ตรงนี้แล้วไงคุณ จะร้องทำไมเนี่ย ไม่เข้าใจผู้หญิงจริงๆ"
หญิงสาวกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อรอยยิ้มอ่อนแรงลอยอยู่ตรงหน้า เธอร้องไห้โฮราวเด็กน้อย พลางพึมพัมประโยคที่ชายหนุ่มจับใจความไม่ออกว่าเป็นอะไรออกมา ชายหนุ่มทำเพียงแค่หัวเราะเบาบาง
"คุณมาเรีย...ผมกลับมาแล้ว"
"คุณ...ฮึก...ทอม..ตาบ้า...ฮึก"
มาเรีย เพอเพิ่ลเพิล ปาดน้ำตาทิ้งด้วยมือทั้งสอง เธอพยายามควบคุมตัวเองให้ได้ซึ่งก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน วิธีที่เธอใช้คือ เข้าไปจุมพิตและสวมกอด ทอม การ์ดเนอร์ จนพอใจ
บัดนี้ เหล่า ทัช ออฟ ก็อด ทั้งหมด ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพียงแต่ในฐานะมนุษย์เดินดินธรรมดา หากไล่ตั้งแต่เตียงที่ 1 จนถึงเตียงที่ 9 ลำดับจะเป็นดังนี้ ทอม การ์ดเนอร์ ลีอาห์ ดิซอน ริคาร์โด้ ซี สวอร์ด แอนนิต้า คารอล เอ็ดเวิร์ด บราวน์ จอห์น ไลท์ทรี อลิซ แกรนด์สโตน และปิดท้ายด้วย สเตฟานี่ คารอล ซึ่งทุกคน อยู่ในชุดผูกคล้ายของผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่มีสีขาวทั้งเสื้อและกางเกงทรงกระบอก
"คุณเพอเพิ้ลเพิล...ที่นี่ที่ไหน"
หญิงสาว ณ เตียงที่ 9 ถามอย่างอ่อนแรง เธอปัดเส้นผมสีกาแฟที่ปรกหน้าอยู่ออก มาเรียมองสเตฟานี่ด้วยแววตาสงสัยคละคาดการณ์ไว้แล้ว
"แม้แต่คุณก็ยังไม่รู้หรือเนี่ย...." มาเรียเอ่ย "ที่นี่คือห้องหนึ่งในแล็ปลับของคารอลคอร์ปเปอเรชั่นค่ะ มีใครรู้บ้างว่ามีที่แบบนี้อยู่ คุณเรย์มอนด์เก็บที่แบบนี้เอาไว้เป็นความลับคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว"
หญิงสาวถาม แต่เธอค่อนข้างแน่ใจอยู่แล้วว่ามีใครบ้าง สายตาเธอจึงเลื่อนไปยังชายหน้าสวยบนเตียงหมายเลข 7 และชายร่างยักษ์ตรงหน้า ซึ่งทั้งสองก็ยอมรับว่าพวกเขารู้จักที่นี่
"คุณไลท์ทรี นี่มันเรื่องอะไรกัน"
สเตฟานี่หันควับอย่างขอคำอธิบาย จอห์น ไลท์ทรี ที่ถูกตั้งคำถามพยายามสูดหายใจให้ลึกที่สุดราวกับนักกีฬาที่เพิ่งแข่งจบ แต่ก่อนเขาจะได้ตอบอะไร บุคคล 9 คนในชุดกาวด์ขาวสะอาดก็ผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามายังห้องนี้
"ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยกันนักหรอกค่ะ พวกคุณยังจำเป็นต้องพักผ่อนอีกมาก เอาไว้ 1 อาทิตย์หลังจากนี้เราค่อยคุยกันดีไหมคะ เพราะแน่ใจว่าไม่ว่าจะดิฉันหรือพวกคุณเอง เราต่างก็มีคำถามมากมายจะถามกัน"
มาเรียกล่าวด้วยรอยแย้มยิ้มที่ยังไม่คลาย ทว่าเมื่อจบประโยคได้ไม่ถึง 3 วินาที เจ้าหน้าที่ที่เข้าประจำเตียงที่ 8 ซึ่งเป็นเตียงของ อลิซ แกรนด์สโตน ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ
"คุณอลิซ ไม่เป็นไรนะครับ ผมคงจับแขนคุณแรงไปหน่อย เจ็บมากเลยหรือครับ"
เจ้าหน้าที่ปล่อยลำแขนที่ผอมของอลิซที่กำลังทำกายภาพอย่างเบามือที่สุด เจ้าของร่างบางและเรือนผมสีน้ำตาลตอนนี้มีน้ำใสเอ่อท่วมดวงตากลมโต ทว่าใบหน้ากลับตั้งตรงไปข้างหน้าราวกับไร้ความรู้สึก
"อลิซซัง..." ลีอาห์พึมพำอยู่บนเตียงที่ 2 เธอทำสีหน้าราวกับอยากจะร้องไห้ตามหญิงสาวคนแรกไป
สเตฟานี่มองอลิซอย่างเข้าใจ เธอรู้ว่าสิ่งที่ทำให้อลิซร้องไห้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ได้มาจากความเจ็บปวดจากร่างกาย เพียงแต่สเตฟานี่เองก็ทำได้เพียงมองภาพนั้นอย่างเงียบๆ ไร้การปลอบประโลม เพราะเรื่องจริงคือร่างกายเธออ่อนล้าจากสงครามจนแม้จะลุกยืนยังทำได้ลำบาก
"คุณอลิซ เป็นอะไรรึเปล่าคะ" มาเรียเดินไปยังเตียงของอลิซ แต่แม้เธอจะถามย้ำอีกครั้ง หญิงสาวบนเตียงกลับไม่มีคำตอบใดๆ หลุดมาจากปาก เธอยังคงใบหน้างดงามที่เรียบเฉยเอาไว้ได้อย่างคงที่ ส่วนดวงตากลับมีน้ำตาไหลพรากลงมาอย่างต่อเนื่องจนน่ากลัวว่าน้ำทั้งหมดในร่างกายอาจถูกใช้เพื่อการณ์นี้ มาเรียที่เหมือนจะเข้าใจบางอย่างกระซิบกับเจ้าหน้าที่ว่าทำตามหน้าที่ต่อไป
"อีกอาทิตย์เจอกันค่ะ ถึงตอนนั้นพวกคุณคงพร้อมเล่าทุกอย่างให้ดิฉันฟังแล้ว บายค่ะคุณทอม"
ความร่าเริงที่แฝงอยู่ของมาเรียถูกรังสีความเศร้าโศกของอลิซกลบมิด ด้วยเหตุนั้นเธอจึงเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าจริงจัง
เวลา 2 ทุ่มของวันเดียวกัน มาเรียที่เสร็จจากการรับประทานอาหารเย็นกับลูกค้ารายใหญ่ ได้กลับมายังห้องทำงานของตนในคารอลคอร์ปเปอเรชั่นเพื่อจัดการงานที่เหลือค้างอยู่บางส่วนให้เสร็จ แต่เมื่อเธอเข้ามาก็พบว่ามีผู้นั่งรออยู่บนโซฟารับแขก ในส่วนรับรองของห้องแล้ว
"ดิฉันรออีกตั้ง 7 วันไม่ไหวหรอกค่ะ"
ผู้ที่รออยู่เอ่ย มาเรียไม่แปลกใจ เธอแขวนเสื้อนอกไว้ที่ราวไม้ขัดเงาหน้าประตู พร้อมยิ้มรับแขกสาว
"คุณสเตฟานี่…ดิฉันก็คิดอยู่แล้วล่ะค่ะ"
เจ้าของห้องกล่าวด้วยรอยยิ้มงดงาม เธอเดินไปนั่งยังโซฟาตัวตรงกันข้ามกับที่สเตฟานี่นั่งไขว่ห้างอยู่ โดยมีโต๊ะแก้วคั่นกลางระหว่างหญิงทั้งสอง
"เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณกันแน่คะ ที่คุณเรย์บอกดิฉันในงาน...ศพ ของคุณทอม ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่ดิฉันจะเข้าใจได้เลยใช่ไหมคะ?"
มาเรียเอ่ยเริ่มหลังจากทั้งคู่เงียบกันอยู่พักหนึ่ง แต่สเตฟานี่กลับเงียบ แววจากดวงตาสีฟ้าสดใสเคลื่อนไหวเล็กน้องอย่างลังเล นั่นทำให้มาเรียต้องพูดเสริม
"ดิฉันรู้แล้วนะคะว่าพวกคุณเป็นใคร ก่อนหน้านี้พวกคุณมีความสามารถพิเศษที่จะช่วยคืนชีพให้คนตายได้ และนอกจากมนุษย์ก็ยังมียมทูต นางฟ้า มีสวรรค์ มีนรก ในเอกสารลับของแล็ป X มีบันทึกไว้ทุกอย่างแหละค่ะ เพราะงั้นเล่ามาได้เลย"
สเตฟานี่มองมาเรียด้วยสายตาที่ราวกับอยากถามว่า ‘จริงเหรอ?’ เพียงแต่เธอที่ไม่พูดประโยคคำถามนั้นออกมา เอ่ยอีกอย่างด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเล็กน้อย
"พวกเราทำสงครามกับพวกเขามาค่ะ"
เธอกล่าวสั้นๆ แต่ก็ทำให้มาเรียอึ้งได้ไม่น้อย
"เอ่อ...หมายถึงคล้ายๆ กับที่ทหารอเมริกาทำกับผู้ก่อการร้ายในอิรักหรือเปล่าคะ? ขอโทษนะ คือว่าอ่านจากแค่ในบันทึกมันไม่เห็นภาพหรอก"
"ถ้าจะทำให้คุณนึกภาพตามได้ก็ประมาณนั้น"
สเตฟานี่ตอบ มาเรียอึ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับรู้ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา
"แล้วจุดประสงค์ที่ต้องทำสงครามคืออะไรคะ ในบันทึกไม่เห็นมีท่อนที่บอกว่าต้องทำสงครามอะไรแบบนั้นเลย"
สาวผมบ็อบเทขมวดคิ้วเมื่อเจอคำถามนี้ แต่เธอก็ตอบผู้อยากรู้คำตอบ แม้จะพูดออกมาได้ยากเย็นเล็กน้อย
"มีแค่เรื่องนั้น...ที่เราเองก็ยังไม่แน่ใจ..."
"คำตอบของคุณไม่สมกับเป็น สเตฟานี่ คารอล เลยนะ แต่ดิฉันเองก็ใช่ว่าจะเดาไม่ออก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร สินสงครามก็ล้วนแต่เป็นของที่ต้องมีผู้ปกป้องและผู้แย่งชิง ดิฉันคิดว่าพวกคุณไม่ได้เป็นฝ่ายปกป้องหรอกใช่ไหมคะ"
สเตฟานี่ไม่ได้ตอบคำถามหญิงสาว มาเรียเองก็ไม่ได้คาดคั้น ทั้งสองเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่จนพระจันทร์สีนวลคล้ายกับลอยมายังกึ่งกลางของราตรีที่มีดาวระยิบระยับนับล้านดวงเป็นบริวาร หญิงสาวผู้มีผมสั้นมองดูสิ่งเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเธอจะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งสงครามบนชั้นบรรยากาศ การข้ามมิติไปยังสวรรค์ และความจริงในอดีตทั้งหมดที่ถูกเปิดเผยโดยซาตาน มาเรียไม่มีคำถามใดระหว่างที่กำลังรับฟัง เธอแค่พยักหน้ารับรู้บางครั้งบางคราว เพราะเกือบ 90% เป็นสิ่งที่เธอจินตนาการไม่ออก
"พอฟังคุณเล่า ทำให้ดิฉันอยากจะเลิกนับถือศาสนาที่นับถืออยู่ซะเดี๋ยวนี้เลย"
มาเรียพูดเคล้าหัวเราะและยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ สเตฟานี่เองจิบเพียงน้ำเปล่าที่แม่บ้านเดินเข้ามาเสิร์ฟระหว่างที่เธอเล่า
"แล็ปลับของคารอลคืออะไรกันแน่คะ ทำไมเรย์ถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ดิฉันฟัง"
สเตฟานี่ยิงคำถามทันทีหลังจากที่รู้ว่าสาวผู้นำคารอลคอร์ปเปอเรชั่นคนปัจจุบันไม่มีคำถามใดๆ กับเธอแล้ว
"แล็ปลับก็ตามชื่อนั่นแหละค่ะ มีไว้สำหรับวิจัยวิทยาการที่เผยแพร่สู่สาธารณะชนไม่ได้ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิทยาการที่ล้ำหน้าโลกในยุคปัจจุบันไปราวห้าสิบปี รู้หรือเปล่าคะ ตอนนี้พวกเราเริ่มทดลองการข้ามหรือการย้อนเวลากันแล้ว แต่เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะค่ะ อันที่จริงเอง ร่างของพวกทัช ออฟ ก็อด ทั้งหมดก็เป็น 1 ในวิทยาการของแล็ปนี้นะ"
มาเรียตอบ เธอและสเตฟานี่สบตากัน แน่นอน ดวงตาสีฟ้าฉายแววฉงนอยู่เกินครึ่ง
"พวก...เรา...?"
"ค่ะ หากว่ากันง่ายๆ ก็ไม่ต่างจากโคลนนิ่ง เพียงแต่เราได้ฝังเซลล์พิเศษไว้ตามอวัยวะส่วนต่างๆ เพื่อให้มันเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมน่ะค่ะ...พูดซะเป็นการเป็นงาน หวังว่าคุณคงจะตามทันนะ"
ผู้อธิบายยิ้มหวาน ผู้ที่ยิ้มไม่ออกเพราะความไม่เข้าใจก็ยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไป
"เพิ่มประสิทธิภาพของอะไรคะ?"
ประธานสาวยื่นหน้าพร้อมหรี่เสียงสวยให้เบาลงอย่างสำคัญ
"ดิฉันจะพูดง่ายๆ เลยก็แล้วกํน...ตอนนี้คารอลทำให้มนุษย์เราสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้แล้ว"
สเตฟานี่ตะลึงงันกับคำตอบไปชั่วครู่ แต่เธอก็กลับมาทำสีหน้าปกติได้อย่างรวดเร็ว
"ตอนนี้ความไม่แก่ ไม่ตายก็เป็นแค่เรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องแก้ไขอยู่อีกเยอะเหมือนกัน..."
"ขอขัดหน่อยเถอะค่ะ ถ้าพวกดิฉันมีร่างสำหรอง ของเรย์เองก็น่าจะมีไม่ใช่หรือคะ? ร่างของเขาอยู่ไหนคะ?"
เสียงเนิบเงียบลงราวหลายวินาธีกว่าผู้ถูกถามจะตอบรับ วึ่งด้วยรอยยิ้มงดงามก่อนเป็นอันดับแรก
"ไม่มีหรอกค่ะ แต่ดิฉันก็พอเข้าใจนะ เพราะถ้าเรื่องที่คุณเล่าให้ดิฉันฟังเป็นเรื่องจริง คุณแน่ใจหรือคะว่าคุณเรย์มอนด์ยังจะอยากมีชีวิตไปพร้อมกันกับพวกคุณอยู่อีก...แต่ถ้าจะให้ลงไปในรายละเอียดลึกๆ ดิฉันกลับไม่ค่อยเข้าใจความคิดเขามากเท่าไหร่ที่ทำแบบนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแสดงเป็นตัวร้ายต่อหน้าพวกคุณ คุณสเตฟานี่ ถามตัวเองเถอะว่าเข้าใจการกระทำของชายร่วมสกุลหรือเปล่า"
อาจเป็นเพราะความคิดที่ว่าเรื่องบางอย่างกำลังจะจบลงอย่างงดงาม รอยยิ้มแสนสุขจึงเปื้อนอยู่บนใบหน้าของมาเรียจนกระทั่งตอนนี้ สเตฟานี่ครุ่นคิดบางอย่างด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางยกแก้วมาตินี่ขึ้นจิบ เพียงครู่เดียว มุมของเรียวปากอวบสวยเชิดขึ้น
"อย่างนี้เองเหรอ..."
ร่างบางลุกขึ้นไปยังผนังกระจก น่าแปลกที่เส้นผมสีกาแฟนมกลับปลิวสะบัดอย่างอ่อนช้อยราวกับสายลมอ่อนโยนยามเย็นพัดผ่าน ดวงตาคมลิ้มเลียวิวทิวทัศน์อันงดงาม เพียงแต่สิ่งที่เธอเห็นไม่ได้เป็นภาพเหล่านั้น ฟันขาวเผยออกมากว้างขึ้นจนกลายเป็นเสียงหัวเราะบางเบา ภาพรอยยิ้มแรกของคู่สนทนาทำให้มาเรียใจชื้นขึ้น เธอจึงเล่าเรื่องต่อไปทันที
"ยังมีอีกเรื่องที่คุณต้องรู้ไว้นะคุณสเตฟานี่"
หญิงสาวที่คงพอใจกับสีสันเมืองใหญ่แล้วหันกลับมา คิ้วเรียวสวยมุ่นหากันเล็กน้อย ก่อนเธอจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม
"คุณอลิซตั้งครรภ์ได้ 1 เดือนแล้วนะคะ"
คลื่นเสียงที่ส่งมาทำให้สเตฟานี่หุบยิ้ม เธอตั้งคำถามกับสิ่งที่ได้ยิน ด้วยความคิดที่ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
"ดิฉันเองก็สงสัย เพราะนี่เป็นร่างที่สดใหม่และยังไม่เคยนำออกจากแล็ปแม้แต่ครั้งเดียว แต่พอมาฟังเรื่องที่คุณเล่าวันนี้ ดิฉันเองก็เลิกแปลกใจ เพราะถ้าว่ากันถึงเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ฝั่งคุณมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าลิบลับเลยค่ะ"
"คุณกำลังจะบอกว่าอาจเป็เพราะการ’กลับมา’ของพวกเรา สามารถเชื่อมต่อกับร่างในอดีตได้หรือคะ?"
"สำหรับเรื่องนั้นคุณคงต้องไปวิเคราะห์กันเอาเองแล้วล่ะค่ะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่สันทัดเรื่องที่ไร้การอ้างอิงจากวิทยาศาสตร์…" มาเรียหัวเราะน้อยๆ พอเป็นพิธี "…ที่สำคัญ คุณอยากรู้ไหมคะ ว่าเด็กในท้องเป็นลูกใคร"
สเตฟานี่เกิดสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมหญิงสาวต้องทำน้ำเสียงราวกับกำลังจะพูดเรื่องสำคัญ ในเมื่อบุคคลที่ 3 ที่กำลังพูดถึงก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว การที่ภรรยาตั้งครรภ์ก็ต้องเป็นเพราะสามีอย่างแน่นอน
"คุณอลิซเป็นคนอ่อนหวานเรียบร้อยราวกับเจ้าหญิง เราก็รู้เรื่องนั้นดี แต่ดิฉันจะบอกว่าคุณคิดผิดเรื่องเด็กในท้องของเธอค่ะ"
สเตฟานี่เอียงคอเล็กน้อยโดยที่เธอเองก็ไม่ได้รู้ตัวกับกิริยานั้น
"พ่อของเด็กในท้องคือคุณเรย์มอนด์ค่ะ"
คำตอบทำให้หญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะหลังจากที่ไม่กี่ชั่วโมงมานี้ก็เป็นอยู่หลายครั้ง เพื่อป้องกันการขอทวนคำตอบซึ่งต้องมีแน่นอนสำหรับผู้ที่เชื่อสิ่งที่ได้ยินไม่ลง มาเรียจึงเสริม
"DNA ของเด็กตรงกับคุณเรย์มอนด์แค่คนเดียวค่ะ ตอนที่รู้ ดิฉันเองก็มีปฏิกิริยาคล้ายๆ กับคุณ แต่เรื่องนี้ดิฉันที่ไม่ค่อยรู้จักคุณอลิซดีจะไปพูดกับเธอตรงๆ ก็ลำบากใจ ถ้ายังไงดิฉันขอร้องให้คุณช่วยไปบอกเธอได้ไหมคะ แต่ไม่แน่ บางทีเธออาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก"
ตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ที่สเตฟานี่อ้าปากค้างเป็นรูปวงรีเล็กๆ พร้อมนัยน์ตาสีฟ้าที่ตะลึงงัน ทว่าครู่เดียวหลังจัดการกระบวนการทางความคิด เธอก็กลับเป็นปกติแล้วนิ่งเงียบไป สิ่งที่เธอพอทำได้ในอารมณ์สับสนเล็กน้อยในตอนนี้ มีเพียงนั่งทอดสายตาออกไปยังสีมืดของราตรี
แต่แล้วความปกติของเมืองใหญ่ก็ทำให้เธอได้พบกับสิ่งที่ผิดปกติ
"คุณมาเรีย..."
"คะ?"
"ก่อนที่พวกดิฉันจะไปทำสงคราม...จำได้ว่าทั่วโลกเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เลยนี่คะ...แต่เท่าที่ดูตอนนี้ พวกตึกหรือถนนก็แลปกติดี..."
สเตฟานี่เปลี่ยนจุดสนใจมายังคู่สนทนาตามเดิมหลังจากจับผิดความเสียหายของสิ่งก่อสร้างหลังเกิดภัยพิบัติ ซึ่งที่เธอเข้าใจเอาว่าน่าจะเกิดขึ้นเพียงไม่นานก่อนเธอจะบุกไปยังดินแดนนิรันดร์
"อ๋อ เรื่องนั้นเอง..." มาเรียหลับตาลงระหว่างที่วางแก้วก้านยาวลงบนโต๊ะตามเดิม "หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาสิบปีแล้วค่ะ ที่ที่คุณยืนอยู่ตอนนี้ คือวันที่ 18 สิงหาคม ปี 2020 ค่ะ"
เป็นอีกครั้งที่สเตฟานี่เหวอ เมื่อสิ่งที่ได้ยินขัดกับเรื่องที่เธอเชื่อ
"บ้าน่า...ก็เพิ่งเมื่อวานเองไม่ใช่เหรอที่เราไปรบกับพวกนางฟ้า...ไม่สิ มันจะเป็นไปได้ยังไง ระยะเวลาสิบปีคนเราก็ต้องแก่ลงบ้าง แต่นี่คุณเองก็ยังเหมือนกับคนเดิมที่เคยเจอในงานศพคุณทอมเลยนี่"
สาวผมบ็อบงัดเหตุผลที่น่าจะทำให้มาเรียเอ่ยออกมาว่าพูดเล่นให้ได้ แต่ประธานสาวกลับหัวเราะร่า
"ดิฉันพูดจริงๆ นะคะ เชื่อเถอะ ดิฉันจะโกหกคุณเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร ส่วนเรื่องที่หน้ายังไม่เหี่ยว ก็เป็นเพราะวิทยาการของคารอลนี่แหละค่ะ"
มาเรียยังคงขบขันต่อไป เพียงแต่สเตฟานี่กลับไม่มีเสียงใดลอดออกมาราวกับลำคอของเธอจุกความว่างเปล่า
"แต่ถ้าคุณเชื่อไม่ลงจริงๆ ขอแนะนำให้แตะที่ผนังกระจกนั่น 2 ครั้งค่ะ"
ว่าจบ สเตฟานี่มองมาเรียแวบหนึ่งด้วยแววตาสงสัย แต่เธอก็ทำตามที่ได้ยิน
พริบตา ความใสของกระจกมีตัวหนังสือสีขาวพุ่งออกมาจากจุดที่ถูกมือเรียวสัมผัส สเตฟานี่ถอยหลังออกมาเพื่อดูภาพรวม
บัดนี้กระจกที่เคยใสกลับมีตัวอักษรต่างๆ มากมาย พร้อมทั้งเคอร์เซอร์ที่ชี้ไปยังสิ่งก่อสร้างต่างๆ พร้อมทั้งบอกรายละเอียดของจุดนั้น สเตฟานี่มองไปทางเส้นตรงสีขาวที่ชี้ตำแหน่งของสนามบิน เพียงแค่นั้นข้อมูลต่างๆ ก็ถูกขยายออกมา ทั้งระยะทางที่จะไปถึง เที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสาร เหนือจากนั้นขึ้นไปยังแผ่นฟ้าสีมืด บอกตำแหน่งของกลุ่มดาวพร้อมชื่อและระยะทางจากโลกถึงดาวดวงนั้น และอื่นๆ อีกมากมาย ตรงส่วนที่ใกล้กับดวงจันทร์บอกอุณหภูมิในขณะนี้ ซึ่งตัวเลข 35 องศาเซลเซียส นั้นค่อนข้างจะอบอ้าว แต่ไม่มีผลต่อห้องที่เปิดแอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำ
หญิงสาวทั้งสอง มองสิ่งที่ฉายอยู่บนผนังกระจกด้วยอาการแตกต่างกัน
"เทคโนโลยีนี้...เคยเห็นแต่รุ่นทดสอบ..."
สเตฟานี่พูดคำต่อไปไม่ออก แต่ดวงตาสีฟ้ากวาดมองบนจออย่างชื่นชมและน่าทึ่ง
"ตอนนี้กลายเป็นของสามัญประจำบ้านไปแล้วล่ะค่ะ สิ่งที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกเห็นทีจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีนี่แหละ ตัวดิฉันเองเมื่อสิบปีที่แล้วก็นึกภาพวันนี้ไม่ออกเหมือนกัน แต่ทั้งหมดก็เป็นอย่างที่เห็น"
มาเรียทำเสียงซุกซน ก่อนจะสั่งให้จอขนาดยักษ์แสดงส่วนของปฏิทิน
สิ่งที่ปรากฏหลังคำสั่งคือ ช่องสี่เหลี่ยมสีขาวที่มีตัวเลขกำกับ ช่องที่แตกต่างจากพวกคือช่องที่มีสีน้ำเงิน ซึ่งอยู่ที่ช่องของเลข 18 สเตฟานี่มองบนหัวของปฏิทินก็พบว่า มันมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า เดือนสิงหาคม ปี 2020 พร้อมทั้งยังมีตารางการทำงานของมาเรียอยู่เต็มเอียดทั้งเดือน
"บอกแล้ว ดิฉันจะโกหกคุณไปเพื่ออะไร"
เธอปิดท้ายด้วยรอยยิ้มงดงาม
บทส่งท้าย ชื่อของฉันคือ อลิซ แกรนด์สโตน
...
ทั้งหมดนั้น คือสิ่งที่คุณสเตฟานี่เล่าให้ฉันฟังหลังจากที่เธอหมุนตามโลกปัจจุบันได้ทัน เธอเป็นบุคคลที่มีความเยี่ยมยอด จึงใช้เวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่ราวกับอยู่อีกโลกหนึ่งได้ในเวลาเพียงไม่นาน ฉันเองไม่เก่งขนาดนั้น จึงใช้เวลาหลายเดือน จนเด็กที่อยู่ในท้องคลอดออกมา ฉันจึงตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ปรับไป
หลังจาก‘กลับมา’ ฉันพักพื้นอยู่ในแล็ปลับของคารอลคอร์ปเปอเรชั่นนาน 3 เดือน สิ่งที่อยู่ในครรภ์เติบโตจนท้องฉันราวกับโดนเป่าอากาศเข้าไป
เพียงแต่ทารกในท้องไม่ได้เกิดขึ้นกับชายคนที่ฉันแต่งงานด้วย นั่นทำให้เมื่อร่างกายตัวเองพักฟื้นจนสมบูรณ์ ฉันจึงจำเป็นต้องบอกความจริงกับผู้เป็นสามีเพื่อเป็นการให้เกียรติ ส่วนผลลัพธ์หลังบอกความจริงจะเป็นอย่างไร คนผิดอย่างฉันก็จำเป็นต้องรับมันให้ได้
"ดิฉันเสียใจค่ะคุณอลิซ แต่คุณเจฟฟรีย์สามีคุณเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2014 แล้ว"
นั่นเป็นคำกล่าวของคุณมาเรีย เธอพูดเนิบๆ คล้ายแบบเสียงของคุณสเตฟานี่ แต่ไม่ว่าเสียงจะเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้ความรู้สึกผิดที่ฉันมีต่อเขาผู้จากไปลดน้อยลง
สิ่งที่รู้จากคุณมาเรียมีอีกอย่างคือที่อยู่ของบ้านหลังหนึ่ง ฉันได้ไปที่นั่น โดยที่ช่วงบ่ายนิดๆ ยังไม่พบกับผู้ใด จนเกือบ 5 โมงเย็น เจ้าของบ้านก็เปิดประตูบ้านเข้ามา
"แม่...นั่น...คุณแม่ใช่ไหมคะ..."
เด็กสาวที่ปัจจุบันอายุได้ 17 ปี กล่าวเสียงเครือ กระเป๋าที่เธอถืออยู่ในมืออันอ่อนแรงร่วงหล่น
"เดซี่...แม่กลับมาแล้ว..."
น้ำตาฉันคลอเบ้าเมื่อได้เห็นใบหน้าแสนน่ารักของลูกสาว หลังวางกรอบรูปลงที่เดิม ฉันโผกอดคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต เรากอดกันไป ร้องไห้กันไปด้วยความรู้สึกที่มากกว่าคำว่าคิดถึง มากเกินจะมีคำใดอธิบายความรู้สึกทั้งหมดได้
"เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่คะ"
เดซี่ถามหลังจากเธอยกถาดใส่แก้วน้ำผลไม้มา 2 ใบ ก่อนจะนั่งลงข้างฉันและดึงมือไปกุมเอาไว้ แต่บอกตามตรง ฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากจุดไหนดี
"สิ่งที่แม่เป็น น้ามาเรียบอกหนูหมดแล้ว ตอนแรกหนูก็ตกใจเพราะไม่เคยคิดว่าของแบบนั้นจะมีจริงๆ แต่พอมาตอนนี้ก็เฉยๆ ที่หนูถาม หมายถึงที่ท้องของแม่ต่างหาก"
ลูกสาวที่ดวงตายังคงบวมๆ แดงๆ อยู่เจาะจงโดยเฉพาะ เพียงแต่เธอกลับยิ้มหวานและแนบหูไว้กับครรภ์อายุ 5 เดือนของฉัน
"จากนี้แม่จะไม่ขอปิดบังอะไรลูกอีกแล้ว...แม่ท้องกับอาเรย์จ้ะ"
เมื่อได้ยิน นัยน์ตาสีฟ้าที่คล้ายกับของเจฟฟรีย์เบิกขึ้นเล็กน้อย จากการที่เลี้ยงเขามา 7 ปีเต็มทำให้ฉันรู้ว่าสิ่งที่แฝงอยู่ในนั้นมีเพียงความตกใจที่ได้ยินเรื่องผิดคาด ไม่มีความขุ่นข้องที่ผู้ที่กำลังจะเกิดมาเป็นน้อง ไม่ได้เกิดจากพ่อของตัวเอง
"หนูจะโกรธเพราะเรื่องแบบนั้นทำไมคะ ถึงโกรธไปเด็กในท้องก็ยังอยู่ หนูเข้าใจแม่นะคะ อาเรย์เองก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ที่สำคัญคือเด็กที่กำลังจะเกิดมานั้นเป็นน้องของหนู หนูคิดว่าพ่อเองคงดีใจ ที่คนที่จะมาดูแลแม่ต่อจากเขาเป็นอาเรย์..."
สาวน้อยชะงักไปชั่วครู่พร้อมหันรีหันขวางราวกับกระต่าย
"...ว่าแต่ แล้วนี่อาเรย์ไม่ได้มาด้วยเหรอคะ ไม่ได้เจอนานแล้ว"
คำถามนี้ทำให้ฉันใจหาย น้ำตาที่ตอนแรกแห้งไปเริ่มคลอขึ้นมาอีกครั้ง นั่นพลอยทำให้เดซี่ที่เห็นภาพนั้นเกิดใจเสียไปด้วย
"แม่...เป็นอะไรไปคะ...?"
"อาเรย์...เขาสละชีวิต...ให้พวกแม่ได้กลับมา...จ้ะ...เขา..."
ฉันพยายามจะพูดต่อ แต่ลำบากเหลือเกิน เมื่อนึกถึงถึงเรื่องที่เขาคนนั้นทำ
"หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณแม่...หนูขอโทษ พักผ่อนเถอะค่ะ"
ฉันกลืนน้ำตาพลางพยักหน้า น่าสงสารสาวน้อยตรงหน้า ที่ฉันทำให้เธอกำลังจะร้องไห้ตามไปด้วย
ราว 6 โมงเย็น ฉันที่สภาพจิตใจเป็นปกติแล้ว ได้เดินชมรอบบ้านใหม่ตามคำชวนของลูกสาวแสนสวย
บ้านหลังนี้มี 2 ชั้นและกว้างใหญ่ มีห้องต่างๆ ให้ใช้สอยมากมาย เดซี่บอกว่า หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ได้ 2 ปี เจฟก็ซื้อที่ดินที่นี่และปลูกบ้านหลังนี้ขึ้นมา อันที่จริงไม่ต้องมีใครบอกฉันเองก็พอเดาออก การตกแต่งบ้านที่เห็นก็เป็นสไตล์ที่เขาชอบจริงๆ
แม้ออกมาภายนอกตัวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้รอบรั้วที่บานสะพรั่ง จะโรงกระจกที่ปลูกผักสวนครัว ทั้งหมด เคยเป็นเรื่องที่ฉันเคยพูดกับเขาว่าอยากจะมีเมื่อนานมาแล้ว
ถัดไปจากนั้นนิดหน่อย ในส่วนที่อยู่เกือบหลังบ้าน มีเนินดินที่มีไม้กางเขนสีขาวอยู่บนยอด รอบเนินนั่นประดับประดาด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาวสะอาดซึ่งเป็นดอกไม้โปรด...ของผู้ที่ถูกฝังอยู่ใต้เนินดินนั่น
"คุณพ่อคะ...คุณแม่กลับมาแล้วนะคะ"
เดซี่ที่เป็นคนจูงมือฉันมาอยู่หน้าสุสานของเจฟเอ่ยอย่างแจ่มใส แม้ว่าฉันเองจะอยากทำแบบนั้นบ้าง อยากแจ่มใสแบบลูกสาวตัวเองบ้าง แต่กลับทำไม่ได้ รูปที่อยู่บนกางเขนทำเอาฉันน้ำตาซึม รอยยิ้มที่เผยฟันขาวเรียงสวย ใบหน้าคมตามแบบคนยุโรป สิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดอารมณ์เศร้า ในชนิดที่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูก
"คุณคะ...ฉันไม่รู้ว่าถ้าคุณมีชีวิตอยู่จะว่ายังไง ไม่รู้ว่าคุณจะอภัยให้ฉันไหม แต่ฉันอยาก...จะ...ขอโทษคุณจาก...ใจจริง...ในทุกเรื่อง..."
คำพูดที่อยากบอกมีเพียงเท่านี้...
แม้ว่าเราจะแต่งงานกันมา 9 ปี แต่ฉันไม่อาจพูดได้ว่าความผูกพันของเรา...ไม่สิ...ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขานั้นเรียกว่าความรักหรือเปล่า...
ฉันรู้ว่าความรู้สึกที่เขามีกับฉัน เป็นความรักอันบริสุทธิ์ที่สามีคนหนึ่งจะมีให้กับภรรยา แต่ฉันเอง กลับไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบนั้นตอบกลับไป เฉกเช่นที่ผู้เป็นภรรยาควรจะมีหรือไม่
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ฉันยังคงคิดว่าเจฟยังคงเป็นชายที่วิเศษที่สุดอยู่ดี ความผูกพันนั้นก็แนบแน่นยิ่งกว่าผู้ใด นอกเหนือจากเดซี่
"หลับฝันดีนะคะคุณ"
สายลมในยามเย็นพัดโชยเอากลิ่นสดชื่นของฤดูกาลมาให้สูดเต็มปอด ก่อนที่ฉันจะหันหลังกลับ
เย็นวันนั้น ฉันและเดซี่ทำอาหารด้วยกัน ฉันมองการเติบโตของลูกสาวด้วยความปลาบปลื้มใจอย่างที่สุด เราทำกับข้าวหลายอย่างจนเมื่อวางลงบนโต๊ะ เรากลับไม่รู้ว่าจะจัดการมันหมดได้อย่างไรแค่ 2 คน
"ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ เดี๋ยวเราแบ่งไว้แค่พอกิน นอกนั้นหนูขอเอาไปให้ป้าๆ พี่ๆ แม่บ้านนะคะ"
"จ้ะ"
ความใจดีของลูกสาวไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ รวมอยู่ในความปลาบปลื้มใจในความเติบโตของตัวเธอ
ค่ำวันนี้เราสองแม่ลูกทานอาหารเย็นด้วยกัน เดซี่เล่าความเป็นไปของโลกระหว่างที่ฉันหลับอยู่ ว่ากันตามตรงฉันเองก็พยายามจะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมรอบตัวให้ได้เร็วๆ แต่โต๊ะกินข้าวที่มีวีดีโอของฉัน และเจฟที่อุ้มเดซี่ตอน 7 ขวบอยู่ในนั้น ก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้ผลิตเป็นใคร
ข่าวสารใหญ่ๆ ของโลกนั้น เดซี่เล่าให้ฉันฟังพร้อมวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ ไม่ว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา การเสด็จสวรรคตของประมุขประเทศต่างๆ หรือแม้แต่เรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ตั้งใจฟังเต็มที่
"เรื่องไกลตัวแบบนั้นช่างก่อนเถอะจ้ะ ว่าแต่เดซี่เถอะ มีแฟนหรือยัง"
เมื่อฉันเปลี่ยนประเด็นขณะที่นำเนื้อชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เด็กน้อยตรงหน้าทำหน้ายุ่งซุกซนที่ทำให้นึกถึงน้องแอนนี่หรือคุณลีอาห์
"เพิ่งเลิกกันไปเมื่อปีที่แล้วค่ะ ทำไมผู้ชายส่วนใหญ่ถึงมีแต่คนแบบนั้นก็ไม่รู้ค่ะคุณแม่ หนูอยากแต่งงานกับคนอย่างคุณพ่อ ไม่ก็อาเรย์ แต่ตอนนี้ผู้ชายแบบนั้นแทบสูญพันธ์ไปแล้ว"
ฉันยิ้ม พลางแนะนำให้สาวน้อยรู้จักเลือกคนซึ่งดูเหมือนจะไม่ต้องแนะนำอะไรมาก เธอก็เข้าใจ
ทานเสร็จเราสองคนก็ล้างจานกันเอง นั่งดูโทรทัศน์ที่รูปร่างเปลี่ยนไปจากที่ตัวเองคุ้นเคยมากพอดู
"ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณแม่ ฮิๆ"
จนเมื่อเวลาเข้านอนมาถึง สาวน้อยพูดแบบนั้นโดยกอดฉันซะแน่นพร้อมหอมอีกหลายฟอด เธอบอกว่าอยากนอนกอดแม่ตัวเองทั้งคืนให้หายคิดถึง ฉันเองมีความรู้สึกแบบนั้นรุนแรงกว่าลูกสาว จึงไม่ได้ปฏิเสธอะไร
ฉันถูกขอให้เล่านิทานให้ฟัง แต่เล่าไปถึงแค่ซินเดอเรลล่าถูกทำลายชุดไปงานเต้นรำ เจ้าหญิงน้อยๆ ก็ปล่อยเสียงกรนบางเบาออกมา คงเหนื่อยมากเลยสินะลูก ไปเรียนกลับมาก็ร้องไห้เสียบ่อน้ำตาแทบแห้ง แม่ขอโทษจริงๆ
ฉันจูบหน้าผากหอมๆ ของเจ้าลูกแมวน้อยที่ยังไม่หย่านม เอนตัวลงเพื่อที่จะให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนเช่นกัน จากนั้น ก็หลับตาอย่างช้าๆ ก่อนความมืด จะเป็นสิ่งเดียวที่มองเห็นได้
ร่างกายของคนเราจะได้พักผ่อนในขณะที่นอนหลับ แต่ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วนที่ยังทำงาน ไม่ว่าจะเป็น ปอด หัวใจ หรือสมอง ซึ่งหากพูดถึงมันในขณะนี้ ความรู้ที่เคยได้เรียนเกี่ยวกับมันมาก็ค่อนข้างจะเลือนหายไปบ้างแล้ว แต่แน่นอน ใครๆ ก็รู้ว่า สิ่งที่ทำให้เกิดภาพความฝัน ก็คือมันนั่นเอง
พูดเหมือนรู้ตัว แต่เรื่องต่อไปนี้ทั้งหมดคือความฝัน...
จะพูดแบบนั้นเลยก็ไม่ถูกนัก อันที่จริงมันเป็นเหตุการณที่เคยผ่านมาแล้ว แต่ ณ วันนี้ ไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งใดดลบันดาลให้ภาพเหล่านั้นปรากฏอีกครั้งในรูปแบบของความฝัน
จุดเริ่มต้นของความฝันเป็นอะไรที่ยากจะจำ แต่มันเป็นเหตุการณ์หลังงานศพคุณทอม
"อย่าลืมนะครับ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะเป็นคนที่ปกป้องอาจารย์เอง..."
ชายตรงหน้ายิ้มไร้เดียงสา
"...ผมรักอาจารย์ครับ"
ก่อนร่มสีขาวจะถูกกางออก วินาทีนั้น ร่างโปร่งหายวับ เหลือไว้เพียงคลื่นลมบางเบา ที่ดูเหมือนจะถูกบรรยากาศยามสลัวกลืนหายไป
จากเนินดินใต้ต้นแอปเปิ้ลที่เป็นจุดเด่น ฉันเดินมาอีกนิดหน่อยก็จะถึงถนนใหญ่ ฉันตั้งใจว่าจะนั่งแท็กซี่กลับเอง เพราะเกรงใจสามีหากต้องโทรฯให้เขาขับรถมารับ ซึ่งระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เห็นพาหนะสีดำแถบเหลือง รถเก๋งคันที่คุ้นเคย และเป็นคันเดียวกับที่ฉันโดยสารมางานศพเมื่อเช้า ก็มาจอดตรงหน้าราวกับดักรออยู่นานแล้ว
"ขึ้นรถครับ พี่อลิซ"
"คะ...คุณคารอล?"
น่าแปลก...ชายคนที่เคยมองตาพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้ฉันในเวลานี้กลับไม่มี คุณคารอลบอกประโยคนั้นกับฉันด้วยน้ำเสียงที่ออกจะแข็งกร้าวหลังกระจกเปิดออก ฉันใจไม่ดีกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนยังไม่พอ ตอนนี้ คุณคารอลยังไม่มองหน้าฉันเลย...ฉัน...ทำอะไรให้เขาไม่สบายใจหรือเปล่านะ?
"ผมนึกว่าพี่กลับไปแล้ว"
เมื่อรถแล่นออกไปได้ชั่วครู่คุณคารอลก็เริ่มขึ้น คำพูดของเขาแม้จะเป็นประโยคบอกเล่า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นประโยคคำถามได้เหมือนกัน
"เอ่อ...พอดี...ดิฉันมีธุระต่อนิดหน่อยน่ะค่ะ"
ฟังจากน้ำเสียงที่ต่างจากเดิมของคุณคารอลแล้ว ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะบอกความจริง ความจริงที่ว่าฉันถูกอดีตองค์ชายแห่งสวรรค์ขอร้องให้กระทำการบางอย่าง
"งั้นเหรอครับ..."
เป็นคำพูดที่นุ่มนวล แต่กลับเย็นเยือกราวกับไอแห่งฤดูหนาว ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไร คุณคารอลก็เบรกรถกะทันหันที่ถ้าฉันจำชื่อไม่ผิดน่าจะเรียกว่าเป็นการดริฟ ยางหลังส่งเสียงเสียดหูก่อนรถจะหยุดในเวลาถัดมา
"คุณคารอลทำอะไรคะ!!!"
ฉันตวาด เพราะสิ่งที่เขาคนนี้ทำไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยแก่ชีวิตเอาเสียเลย ฉันไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขามากขึ้นทุกที ราวกับมีผีร้ายสิงร่างของเขาอยู่
"ไม่ว่ามันจะพูดอะไร ผมขอบอกไว้เลยว่ามันพูดโกหก"
เขาพูดระหว่างที่ก้มหน้า สองมือจับพวงมาลัย สถานที่ในตอนนี้ เป็นลานจอดรถของโรงแรมหรูที่ฉันผ่านทุกวันแต่ไม่เคยได้เข้าไปใช้บริการ
"อะ...อะไรกันคะ...คุณคารอล เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันคะ"
"เลิกตีหน้าซื่อได้แล้วครับพี่ ไอ้ลูอิสมันมาขอร้องให้พี่ทำอะไรให้มันล่ะครับ...ผมจะบอกว่า ไม่ว่าพี่จะรับปากหรือไม่...มันไม่ทำตามที่มันสัญญาหรอก"
ในเมื่อความจริงปิดไม่มิด มันไม่มีประโยชน์ที่จะโกหกต่อไป
"องค์ชายลูอิส...ขอให้ดิฉันเป็นผู้คืนชีพคนที่เขารักค่ะ... "
"คนอย่างมันมีคนที่รักด้วยหรอครับ! หัดคิดหน่อยสิพี่อลิซ!!!"
ชายตรงหน้า...ตวาดใส่ฉัน...ครั้งแรก...
"พวกมันเคยทำอะไรกับเราไว้บ้างพี่ก็รู้! แล้วนี่ยังโง่ไปรับปากมันอีก อะไรที่ทำให้พี่คิดว่ามันจะทำตามที่พูดครับ"
คุณคารอลลดเสียงลง แต่ก็ยังคงความแข็งกร้าว ฉัน...ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งตัวแข็งอยู่อย่างนั้น กระเป๋าไหมพรมเป็นสิ่งเดียวที่เสมือนเกราะป้องกันฉันจากเขา...ที่ฉันไม่รู้จัก
"ดิฉันก็ไม่รู้...แต่ดิฉันเป็นคนสอนวิชาให้แก่องค์ชายตั้งแต่เล็ก...ดิฉันรู้จักเขาดี"
"พี่คิดแบบนั้นหรือครับ เพราะพี่เป็นอาจารย์ก็เลยจะทำตามสัญญา ทั้งที่แม้แต่บ้านที่มันซุกหัวมาตั้งนานมันกำลังจะใช้พวกเราทำลาย...เยี่ยมเลยครับพี่อลิซ...หะๆ"
ถ้าพูดเรื่องนี้ออกมาฉันเองก็หาข้อแย้งไม่ได้ แต่ถ้าถามความรู้สึกตัวเอง รอยยิ้มขององค์ชายที่เผยออกมาตลอดเวลาที่เขาพูดกับฉันนั้น ออกมาจากใจจริงๆ
"หรือแม้แต่พ่อของมันเอง มันก็ยังวางแผนฆ่าซะซับซ้อน...หึ แต่ไม่ว่าพี่จะรับปากอะไรกับมันเอาไว้ ผมก็จะฆ่ามันทุกคน ทั้งซาตาน ทั้งพระเจ้า หรือไอ้องค์ชายตกกระป๋อง"
สิ่งที่คุณคารอลพูดทำให้ใจฉันหาย ตอนนี้ตัวตนของเขาคืออะไรกันแน่ เขาพูดอยู่เสมอไม่ใช่รึไง ว่าคุณธรรมของเขาไม่มีการตัดชีวิต แต่เป็นการคืนชีวิต...
"คุณธรรมมันไม่จำเป็นสำหรับคนต่ำช้าหรอก ผมเลือกนะครับพี่อลิซ พี่ล่ะเลือกหรือเปล่า"
ไม่ว่าจะพูดอะไรไปตอนนี้ ฉันรู้ดีว่าคุณคารอลไม่มีทางเชื่อ แต่ฉันก็จะขอพูด อย่างน้อยขอให้มีอะไรไปสะกิดความเป็นคนเดิมของเขาให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แค่เสี้ยววินาทีก็ยังดี
"แต่องค์ชายบอกว่า...เขารักดิฉัน เขาจะปกป้องดิฉันเองนะคะ!"
คุณคารอลหันควับ แม้ในห้องโดยสารจะมืดสลัว แต่แววตาที่ไม่อ่อนโยนเกมือนเดิมนั้นฉันเห็นมันชัดเจนเสียยิ่งกว่าแสงไฟจากจอ LED ขนาดเล็ก นัยน์ตาสีดำ...อันแสนเย็นชา...ที่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตัวเองจะได้สัมผัสมันจากชายคนนี้
"อ๋อ...งั้นหรือครับ ถ้าอย่างงั้นพี่รู้ใช่ไหม ว่าผมก็รักพี่ไม่แพ้ใครๆ"
ฉันไม่ตอบเพราะเราทั้งคู่รู้เรื่องนั้นดี แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาพูดในเวลาแบบนี้ วินาทีนั้นเอง เขาเปิดประตูรถออก หัวใจฉันเต้นตุบอย่างหวาดกลัว ร่างกายสั่น แขนขาไร้เรียวแรง พริบตาประตูฝั่งฉันก็ได้เปิดออก วินาทีเดียวกันแขนฉันถูกกระชากให้ออกมาจากรถอย่างรุนแรงจนเจ็บแปลบ
"คะ...คุณคารอล...โอ้ย จะพาดิฉันไปไหนคะ"
"มาดูกันว่าคนที่บอกปาวๆ ว่ารักพี่นั้น สามารถทำอะไรกับพี่ได้บ้าง"
เขาลากฉันไปด้วยแรงมหาศาล ทิศที่มุ่งไปเข้าสู่ตัวโรงแรม ในโถงล็อบบี้แม้จะงดงามสมกับเป็นระดับ 5 ดาว แต่ฉันไม่ได้อยู่ในความรู้สึกที่อยากชื่นชมเลยแม้แต่น้อย
ผู้คนค่อนข้างมากกำลังมองฉันที่ถูกฉุดกระชาก อยากจะร้องให้ช่วยเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดไม่ออก...น้ำตาที่ไหลรินมีความเจ็บปวดทางกายเพียง 5% เป็นสาเหตุ นอกนั้นเป็นความเจ็บปวดทางจิตใจล้วนๆ
ทำไมคนที่บอกว่ารักฉันต้องทำแบบนี้...
"ก็อย่างที่ผมบอก แค่พูดใครก็พูดได้"
ชายตรงหน้าเอ่ย ก่อนจะผลักฉันลงบนเตียงกว้าง
"ยะ...อย่าทำ...อะ...อะไรดิฉันเลย...ค่ะ คุณคารอล"
เมื่อได้ยินประโยคนั้น คนที่ฉันเอ่ยชื่อชะงักเล็กน้อย อาจเป็นเพราะดวงตาที่พร่าจากของเหลวและแสงไฟที่ถูกหรี่เหลือเพียงแสงสลัว ทำให้ฉันเห็นใบหน้าเย็นชากลายเป็นเศร้าโศกอย่างที่สุด เพิ่งมาแน่ใจว่าสายตาตัวเองไม่ได้มองผิด ก็เมื่อเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ที่สื่อไปทางนั้นเช่นกัน
"ขอโทษครับพี่อลิซ พี่จำเป็นต้องรับรู้ถึงความโหดร้าย ของการไว้ใจคน..."
เสียงนุ่มต่ำกลับเป็นแบบที่คุ้นเคย แต่แล้วร่างเพรียวที่เปลือยท่อนบนก็โถมลงมาบนร่างของฉัน...ขัดขืนไม่ได้...จูบของคุณคารอลนุ่มนวล หอมหวาน ใจฉันเต้นระรัวเมื่อชุดกำลังถูกเปลื้องทีละชิ้นๆ จนไม่เหลือสิ่งปกปิดร่างกาย ทว่าอ้อมแขนอันแข็งแกร่งและรูปร่างที่ราวกับรูปสลักก็กอดฉันไว้อย่างอบอุ่นจนไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกตอนนี้คืออะไรกันแน่ ระหว่างทุกข์ หรือสุข
คืนนั้นทั้งคืนคุณคารอลราวกับสัตว์ร้าย เพียงแต่ฉันเองกลับรับสัตว์ร้ายตนนั้นได้ด้วยจิตใจที่ระทึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต หากเรียกว่าเป็นความตื่นเต้นก็คงจะไม่ผิดเท่าใดนัก
ตัวฉัน...โดยเนื้อแท้แล้ว...อาจเป็นคนบาปหนาอย่างถึงที่สุดก็เป็นได้
"พี่อลิซ ผมขอโทษนะครับ..."
เวลาตี 3
เรย์มอนด์ คารอลที่รู้จักกลับมาแล้ว ใบหน้าฉันตึงด้วยคราบน้ำตาจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างกายอ่อนเพลียเกินกว่าจะลุกไหว อีกทั้งยังคงร้อนผ่าวไปทุกสัดส่วน
"พี่กลับบ้านไหวไหมครับ เดี๋ยวผมไปส่ง..."
แม้แต่เปล่งเสียงก็ยังทำไม่ได้ ฉันนอนนิ่งอยู่บนเตียงนุ่ม โคมไฟหรูหราที่เปล่งแสงสลัวนั้นจ้าเสียเหลือเกิน ชายคนที่พาฉันมายังสถานที่แห่งนี้ถอนใจเบา ก่อนจะกลับมานอนลงบนเตียงพร้อมโอบกอดฉันจากด้านหลัง
"พี่อลิซ ไม่มีใครรักพี่มากไปกว่าผมอีกแล้ว พี่ต้องอยู่ข้างผมนะ อย่าไปเชื่อใจเขาคนนั้น แม้ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม"
ฉันไม่ตอบอะไร ไม่มีความหมายใดอีกแล้วหากจะตอบ ณ เวลานั้น ฉันรู้เพียงแค่นั้น
........
....
..
.
หลังลืมตา แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามายังห้องที่เต็มไปด้วยความมืดคือภาพที่เห็น ร่างอุ่นๆ ที่โอบฉันอยู่ตอนนี้คือสาวน้อยผู้เป็นบุตรี และเวลานี้ คือห้วงเวลาแห่งความเป็นจริง
เวลาผ่านไปเกือบขวบปี ก่อนวันคลอดลูกชายเพียง 1 คืน ฉันฝันอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เคยประสบ
"สวัสดีครับอาจารย์"
เขาว่าพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสาที่ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาที่สมกับเป็นองค์ชายแห่งสรวงสวรรค์ เพียงแต่สิ่งที่ราวกับเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวอันได้แก่ผ้าพันคอและถุงมือสีน้ำเงินสดใส บัดนี้ ไม่ได้อยู่บนร่างเขาแล้ว
"องค์ชายลูอิส..."
"ผมมาทวงสัญญาครับ"
อารมณ์ในน้ำเสียงของชายตรงหน้าบ่งบอกถึงความยินดีและสนุกสนาน เขายิ้มตลอดเวลาที่สนทนากับฉัน และนั่นทำให้ฉันได้รู้ว่า เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะการประมวลผลของสมองขณะหลับ แต่เป็นเพราะสิ่งที่เคยได้รับมาเมื่อนานมาแล้ว
"แต่ไม่ต้องรีบหรอกครับ อาจารย์รู้ไหมครับ เราอยู่ที่ไหนกัน"
ฉันหันไปรอบๆ ตามสัญชาติญาณของผู้ที่ถูกตั้งคำถาม หากพูดกันถึงจุดใหญ่ที่สุดก็คงจะเป็นช่วงเวลา ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเช้าตรู่ เพราะพระอาทิตย์กำลังผุดขึ้นมาจากร่องภูเขาที่อยู่ไกลลิบ ส่วนที่ที่เราทั้งคู่ยืนอยู่เป็นผาหินเล็กๆ มองลงไปก็พบกับสิ่งปลูกสร้างที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเรียงรายกันเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ แต่ทั้งหมดนั่นก็ช่วยบอกอะไรไม่ได้แก่ผู้ที่เพิ่งมาสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก
"ไม่แปลกหรอกครับ ที่นี่ถูกลบไปจากแผนที่ของโลกมนุษย์ไปเมื่อนานมาแล้ว ส่วนชื่อของมันคือหมู่บ้านแสงอรุณครับ"
องค์ชายกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนสุข ก่อนเขาจะหันกลับมา
"เปลี่ยนใจดีกว่า ผมอยากให้อาจารย์ได้พักผ่อนก่อนที่จะให้กำเนิดทารกในวันพรุ่งนี้ เพราะงั้น ผมขอ’สิ่งนั้น’ด้วยครับ"
ฉันรู้ความหมายของสิ่งที่ได้ยินทุกคำ จึงทาบมือไปที่อกด้านซ้าย ก่อนจะค่อยๆ ถอนออกมา วัตถุทรงกลมสีชมพูสว่างจ้าลอยอยู่บนฝ่ามือของฉันที่ยื่นไปข้างหน้า องค์ชายรับลูกบอลแสงอย่างถนุถนอมด้วยมือขาวที่ไม่ได้เห็นมานาน
"เมย์...ลุครักเมย์นะ"
ว่าจบ องค์ชายจุมพิตลงบนบอลอันสว่างไสว อักขระสีชมพูระเบิดออกมาหมุนรอบบอลนั้นราวกับวงแหวนดาวเสาร์ ก่อนจะระเบิดเป็นวงกว้างและหายไปไม่ต่างกับการเล่นมายากล
"เรียบร้อยครับ...ขอบคุณมากมายเลย อาจารย์เอลิเซีย"
องค์ชายยิ้มกว้าง ความจริงก็มีเรื่องอยากถามอยู่เหมือนกัน แต่องค์ชายกลับเป็นคนเอ่ยออกมาเอง
"พ่อให้ผมมาตอนนี่เขาแทงเข้าที่หน้าอกผมในสงครามครั้งนั้น ตอนนั้นผมสับสนเหลือเกิน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเข้าใจได้แล้ว เพียงแต่ถ้าให้ผมอธิบายความเข้าใจนั้นเป็นคำพูด เห็นทีคงจะยากอยู่"
เมื่อเขาเสริมเช่นนั้น คำถามที่ฉันอยากจะถามก็หมดลงทันที
"ผมว่าผมไปดีกว่า รบกวนอาจารย์ตั้งแต่เด็กยันโตเลยผม ขอบคุณอีกครั้งนะครับ แม้จะรู้ว่าน้อยไปแต่ผมก็ทำได้แค่นี้จริงๆ"
"ไม่หรอกค่ะ...หม่อมฉันต่างหากที่ต้องขอบพระทัย ที่ช่วยพวกหม่อมฉันจนสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนทุกวันนี้...หม่อมฉันยังไม่ได้ตอบแทนอะไรองค์ชายเลย"
"อาจารย์คิดแบบนั้นจริงหรือครับ?"
องค์ชายถามกลับด้วยรอยยิ้ม ฉันเองไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยินเท่าใดนักจึงพยักหน้ายอมรับ
"ผิดครับ เรย์ต่างหาก ที่เป็นคนช่วยพวกอาจารย์...ตั้งแต่แรกแล้ว"
มือทั้งสองของฉันถูกคว้าไปกุม รอยยิ้มอ่อยโยนตรงหน้าไม่ได้ทำให้ความสงสัยจางหายไปเท่าใดนัก
"น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่แล้ว เพราะผมมั่นใจว่าหมอนั่นต้องเป็นพ่อที่ดีได้ ฮึ อยากจะขอบคุณเขาอยู่เหมือนกันแฮะ แต่ก็ช่างเถอะ"
ชายหนุ่มตรงหน้าปล่อยมือฉันอย่างนุ่มนวล
"ผมไปจริงๆ แล้วครับอาจารย์ ขอให้มีชีวิตที่ดีและมีความสุขนะครับ เด็กคนที่จะเกิดมา คงจะเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อมีอาจารย์เป็นแม่ ลาก่อนครับ ถ้าโชคดี เราอาจได้เจอกัน"
ร่างขององค์ชายที่ไม่ปล่อยให้ฉันพูดแทรกค่อยๆ เปล่งแสงสว่างขึ้น ในตอนแรกฉันคิดว่าเขากำลังจะหายไป แต่ไม่ใช่ เมื่อแสงสว่างค่อยๆ จางลง ร่างที่เคยเป็นชายหนุ่มกลับกลายเป็นร่างของหญิงสาว
"องค์ราชินี...?"
"เราขอบใจท่านมาก ท่านเอลิเซีย แต่ต่อไปนี้ขอให้เรียกเราในชื่อใหม่เถิด..."
"ชื่อใหม่?"
"โมนิก้า เมย์รี่...นั่นคือเรา"
ใบหน้าที่ทั้งน่ารักราวดอกไม้และงดงามราวแก้วเจียระไนยกยิ้มอ่อนหวาน...ฉันบอกความรู้สึกในขณะนี้ของตัวเองไม่ถูกเอาเสียเลย
"ได้เวลาของเราแล้วเช่นกัน...เราเองก็ขออวยพรให้บุตรของท่านเป็นเด็กที่คงอยู่ในคุณความดี และอัจฉริยะหาผู้ใดเปรียบ..."
ร่างสง่างามค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่รอบนี้ทุกอย่างค่อยๆ สลายเป็นละอองแสงไป รวมถึงต้นไม้ใบหญ้ารอบตัวของฉันเอง
เมื่อลืมตาตื่น ความเจ็บปวดรุนแรงเข้าโจมตีที่ครรภ์ของฉันอย่างร้ายกาจ
"ชื่อแรกเอาเป็นลูอิส ชื่อกลางก็เรย์มอนด์พ่อของเขา และนามสกุลก็ใช้แกรนด์สโตน แบบนี้ดีไหมคะ"
เพิ่งจะเคยเห็นคุณสเตฟานี่มีอาการตื่นเต้นเอามากๆ ก็วันนี้เอง เธอมองดวงใจอีกดวงที่อยู่ในห่อผ้าขนหนูขาวสะอาดอย่างไม่ยอมวางตา
"เป็นชื่อที่ดีมากเลยค่ะคุณสเตฟานี่ ขอบคุณมากเลยนะคะ"
"แหม...ขอบคงขอบคุณอะไรกันคะ อ๊ะๆ แอนนี่ เธอเห็นไหม เมื่อกี้หลานยิ้มให้ฉันด้วยนะ"
หลังลูอิสเกิดมาได้ราว 6 ชั่วโมง นอกจากคุณสเตฟานี่แล้ว น้องแอนนี่ก็เป็นอีกคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องนี้ได้ น้ำเสียงและบุคลิกอันแสนสดใสที่ฉันคุ้นเคย ยังคงติดอยู่ที่เธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
"ใครบอกลูอิสยิ้มให้พี่ เขายิ้มให้หนูต่างหาก พี่สเตฟานี่อย่ามั่ว ขอร้องๆ"
น้องแอนนี่เถียงพี่สาวทั้งที่ดวงตาอันหวานเยิ้มส่งมาที่เจ้าตัวน้อยที่ไม่ได้ยิ้มให้ใครแต่อย่างใด ลูอิสเพียงแค่หลับปุ๋ยและทำปากขมุบขมิบเท่านั้น
"ก็เธอเบียดฉันเข้ามานะยะ..."
"เอ่อ...คุณอลิซต้องการการพักผ่อนอีกมากนะครับ"
คุณหมอที่คุณมาเรียจ้างให้มาดูแลฉันเป็นพิเศษกล่าวหลังเปิดประตูห้องเข้ามา และนั่นทำให้สองสาวต้องล่าถอยกลับไปอย่างเงียบๆ แต่พวกเธอยังคงแยกเขี้ยวใส่กันอย่างไม่ยอมลดละ
"พักผ่อนเยอะๆ นะคะพี่อลิซ เดี๋ยวตอนบ่ายหนูทำอาหารบำรุงสูตรพิเศษมาให้ทาน บ้ายบายนะลูอิสหลานน้า"
แอนนี่ยิ้มซุกซน คุณสเตฟานี่ก็ส่งจูบให้หลานตัวเองเช่นกัน ฉันหัวเราะกับความเห่อหลานของทั้งคู่ ที่บอกได้คำเดียวว่าเป็นเอามาก
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว คุณหมอก็ได้ตรวจอาการทั่วไป หลังจากนั้นก็ได้เวลาที่ฉันจะได้พักผ่อน อีก 1 สัปดาห์ฉันถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้
ลูอิส เรย์มอนด์ แกรนด์สโตน เกิดมาด้วยน้ำหนัก 4300 กรัม เรียกได้ว่าสมบูรณ์แข็งแรงมากที่เดียว แถมยังร้องเสียงดังเสียยิ่งกว่าคราวที่คลอดเดซี่ สงสัยโตมาจะต้องเป็นเด็กที่ซนมากแน่ๆ
ช่วงที่ฉันพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมฉันและลูกชายตัวน้อย ทั้งพนักงานที่สนิทกันที่ตอนนี้พวกเธอทั้งหลายดูจะมีอายุมากขึ้นเยอะ คุณมาเรีย ทัช อ็อฟ ก็อด ทั้ง 7 ไม่ต้องพูดถึง 3 สาว เดซี่ น้องแอนนี่และคุณสเตฟานี่ ซึ่งมาทุกวันวันละหลายรอบ ทุกคนซื้อของรับขวัญให้กับลูอิสจนฉันต้องให้เดซี่ทยอยขนหลับเอาไปไว้ที่บ้านเนื่องจากหากเก็บไว้ที่ห้องคนไข้ฉันเองก็อาจจะไม่มีเตียงไว้สำหรับนอนก็เป็นได้
ฉันมารู้ทีหลังว่าตอนนี้ไม่มีกลุ่มคนที่เรียกว่า ทัช อ็อฟ ก็อด แล้ว พวกเขาทั้งหมดลาออกจากการเป็นผู้บริหารองค์กร ไลท์ ฟอร์ ไลฟ์ ด้วยเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคน แต่มูลนิธินั้นก็ยังคงเป็นองค์กรที่ช่วยปรับระดับความเหลื่อมล้ำของโลกต่อไปภายใต้การบริหารของคุณมาเรีย เธอช่างเป็นผู้หญิงที่เก่งรอบด้านจริงๆ
จากวันที่ลูอิสเกิดจนถึงตอนนี้ วันเวลาผ่านไปรวดเร็วเสียยิ่งกว่านักกรีฑาที่จ้องทำลายสถิติโลก แต่ความจริงก็คือตอนนี้ลูอิสอายุได้ 25 ปีแล้ว
"คุณแม่ ผมมีอะไรมาอวด"
ชายร่างสูงเปิดประตูบ้านที่ทำจากไม้เข้ามา ใบหน้าที่ไม่ต่างกันกับพ่อของเขายกยิ้มในความหมายของคนที่มีความสุข
"นี่โมนิก้าครับ โมนิก้า เมย์รี่ คนรักของผมเอง"
เด็กสาวที่ลูกชายพามาทำให้ฉันตะลึง เธอคนนี้คืออดีตองค์ราชินี อีกทั้งยังเป็นคนรักขององค์ชายลูอิส...แต่ฉันจะพูดเรื่องพวกนั้นออกไปได้อย่างไร ว่ากันตามตรง ฉันพูดอะไรไม่ออกเลยต่างหาก
"สวัสดีค่ะคุณแม่ โมนิก้า เมย์รี่ ค่ะ เขียนเหมือน แมรี่ แต่อ่านว่า เมย์รี่ ค่ะ เรียกว่าเมย์เฉยๆ ก็ได้"
หญิงสาวที่มีรูปหน้างดงามดั่งได้รับพรประทานจากเบื้องบนทักฉันอย่างมีความนอบน้อม
นั่นเป็นวันแรกที่เราได้พบกัน ฉันบอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกอีกแล้ว รู้เพียงแต่ว่า สิ่งที่เคยได้ให้คำสัญญากับองค์ชายเอาไว้ ได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว
ลูอิสและโมนิก้าคบหาดูใจกันได้ 5 ปี ก็ตกลงแต่งงานกัน พวกเขามีลูกสาว โดยให้ชื่อว่า ทริคซี่ และใช้นามสกุล แกรนด์สโตน
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบเรียบนัก ลูอิสและโมนิก้าหย่ากันหลังจากที่ทริคซี่อายุได้ 2 ขวบเศษ ฉันพยายามไกล่เกลี่ยดูแล้ว แต่เรื่องของชีวิตคู่ แม้จะเป็นลูก คนเป็นแม่จะไปยุ่งมากก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก
"ลูอิสเป็นคนที่เก่งมากค่ะคุณอลิซ อาจเรียกได้ว่าอัจฉริยะด้วยซ้ำ ในช่วง 3 ปีที่ฉันสอนเขานี้ เขาพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว โครงการของคารอลตอนนี้หลายโครงการเป็นความคิดของเขา ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ"
คุณมาเรียที่เป็นคนเสนอตัวรับหน้าที่ฝึกฝนผู้นำคารอลคอร์ปเปอเรชั่นคนต่อไปกล่าว เมื่อวันที่เธอมาเยี่ยมฉันและทริคซี่ ที่บ้านหลังใหม่ที่ลูอิสเป็นคนซื้อ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดของผู้เป็นมารดา
"พูดเหมือนชม แต่จริงๆแล้วมีเรื่องที่คุณยังต้องรู้เอาไว้นะคุณอลิซ ดิฉันขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน ลูอิสเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงมากถึงมากที่สุด เขาเป็นคนที่มีความคิดค่อนข้างที่จะเอนเอียงไปในทางน่ากลัวอยู่ไม่น้อย ถ้าให้เปรียบง่ายๆ แม้แต่จักรวาล ถ้าเขาอยากจะครอบครองขึ้นมา เขาก็จะหาวิธีให้ได้มาจนได้ คุณอาจจะโกรธก็ได้ แต่ดิฉันพูดเรื่องจริง"
ลูกชายที่ตัวเองเลี้ยงมาทั้งชีวิตเป็นคนแบบไหนใช่ว่าฉันจะไม่รู้ แต่คนที่มีความคิดความอ่านระดับนั้นคงจะยากที่จะมีผู้ใดไปเปลี่ยนมันได้ บางทีโมนิก้าเองก็อาจจะรู้จุดนั้นของสามีเหมือนกันเลยรับไม่ไหว แม้จะมีลูกสาวที่น่ารักเป็นโซ่ทองแล้วก็ตาม
"ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าเพื่อคนที่เขารักแล้วเขาจะเป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว คุณโชคดีมากคุณอลิซ ที่มีลูกชายแบบเขา เขาเองก็โชคดีที่แม่แบบคุณ"
คุณมาเรียพูดหลังยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ
"สำหรับเรื่องคารอลคอร์ป ดิฉันเองก็คงจะต้องวางมือแล้ว...ลูอิสทำให้ดิฉันได้พักเร็วขึ้นหลายปีเลยล่ะค่ะ"
หลังจากวันนั้นเพียงไม่นาน ลูอิส แกรนด์สโตน ใช้เวลาเพียงปีครึ่งก็สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งประธานใหญ่ได้ ในขณะที่ลูกสาวของเขาเพิ่งจะมีอายุเพียง 5 ขวบเศษ
เรื่องราวหลังจากนั้นยังคงเป็นสิ่งที่ฉันเองก็ยังไม่อาจรู้ แม้จะมีวิทยาการที่ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ตราบนานเท่านานได้แล้ว แต่ฉันเลือกที่จะปฏิเสธมัน ซึ่งความเห็นนั้น ทำให้ฉันกับลูอิสทะเลาะกันครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก
"แม่ครับ แม่จะทิ้งผมไปจริงๆ เหรอ แม่ไม่คิดถึงหลานของแม่หรือครับ ทริคซี่ เขาต้องการมีย่านะครับ เขารักย่าของเขามาก...แม่ไม่รู้เหรอครับ"
"แม่รู้ลูอิส แต่แม่ขอคืนร่างกลับสู่ธรรมชาติดีกว่า เรายืมใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมชาติมาทั้งชีวิตแล้ว จะเห็นแก่ตัวไปตลอดได้อย่างไร"
ชายหนุ่มตรงหน้าไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เขาไม่สะอื้น แต่ก็ทำให้รู้ว่าคำพูดของฉันคงเสียดแทงหัวใจเขามากทีเดียว
"นั่นมันความคิดเก่าเกรอะกรังแล้วครับคุณแม่ ความคิดของคุณแม่ไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่รู้ว่าตัวเองป่วยแต่ไม่ไปหาหมอเพื่อรักษา ทั้งๆ ที่ทุกอย่างก็พร้อม การทรมานตัวเองมันบาปนะครับแม่"
"ลูอิส ลูกจะพูดอะไรแม่ก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก ปล่อยแม่ไปเถอะ"
ลูกชายของฉันมองหน้าแม่ของตนอย่างหมดหวัง เขาก้มหน้าลง และเดินออกจากบ้านไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
สิ่งที่เรียกว่าเวลา นอกจากเป็นสิ่งล้ำค่าให้มนุษย์สามารถเก็บเกี่ยวทุกสรรพสิ่งใส่ตัวได้แล้ว ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถเยียวยาหรือกลั่นกรองความคิดความเข้าใจได้
หลังจากลูอิสยอมรับสิ่งที่ฉันคิดได้ เขาเข้ามาขอโทษทั้งน้ำตา พร้อมทั้งสัญญาว่าจะไม่บังคับให้ฉันทำอะไรอีกต่อไป
บัดนี้ ฉัน อลิซ แกรนด์สโตนวัย 73 ปี ขออยู่เฝ้ามองการเติบโตของโลกใบนี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
THE END
...
ความคิดเห็น