ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Step into my World : The Truth of SATAN and The Lie of GOD

    ลำดับตอนที่ #23 : บทสุดท้ายขององค์หญิง The story of a morning light Angel : The Queen's Diary

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 56


     

    บทสุดท้ายขององค์หญิง The story of a morning light Angel : The Queen's Diary

    เอกสารในมือนี้ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับงบประมาณการฟื้นฟูประเทศของประเทศยากจนอย่างโซมาเลียและอื่นๆ ที่ถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เชื่อกันว่าเป็นวาระสุดท้ายของโลกจะผ่านไปกว่าสามทศวรรษแล้ว แต่กลุ่มประเทศเหล่านั้นกลับยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มร้อย

    บอกตามตรง บางทีฉันเองก็ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เวลานั้นโลกก็เกิดภัยพิบัติไปทั่วเหมือนกัน ความสูญเสียทั้งทรัพย์สินเงินทอง ร่างกาย และจิตใจนั้นก็มากมายไม่ต่างกัน แต่บางประเทศใช้เวลาเพียงไม่นานในการฟื้นฟู ส่วนหลายประเทศก็ยาวนานหลายสิบปีอย่างที่เห็น

    เรื่องนั้นจะว่าไม่เข้าใจเลยก็คงไม่มีใครเชื่อ เพราะเห็นๆ กันอยู่จากการจัดลำดับต่างๆ นาๆ ที่ดูเหมือนมนุษย์จะชื่นชอบกันนักหนา สิ่งใดๆ ที่อยู่อันดับหนึ่งจะต้องดีที่สุด ส่วนลำดับที่ลดหลั่นลงมาก็แสดงถึงคุณภาพหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ด้อยกว่าอันดับแรก

    เรื่องพวกนี้บางทีมันอาจจะกลายเป็นสัจธรรมของโลกไปแล้ว สัจธรรมที่เข้าใจง่ายๆ ได้ทันที แต่ฉันกลับไม่อยากเข้าใจมันแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นฉันจึงภูมิใจกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้มาก เพราะเป็นองค์กรที่พยายามจะปรับระดับของโลกใบนี้ให้เกิดความเท่าเทียม เป็นองค์กรที่พยายามจะทำลายสัจธรรมที่ดูเหมือนจะฝังรากลงไปในจิตใต้สำนึกของผู้คนส่วนใหญ่ไปแล้ว เพราะถ้าหากอยู่บนโลกนี้อย่างเท่าเทียมกันก็ไม่จำเป็นต้องจัดอันดับอะไรให้วุ่นวายอีกต่อไป เพียงแต่อีกใจหนึ่งของฉันก็ยังคงคิดสวนทางกันอยู่บ้างนิดหน่อยว่า ถ้าทุกคนบนโลกนี้มีความเสมอภาคกันหมดในแง่ของฐานะ ความสามารถ หรืออย่างอื่น ถ้าเป็นแบบนั้นได้จริงจะมีใครยอมก้มหัวให้กันหรือยอมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องบ้างหรือเปล่า พอมาถึงตรงนี้ก็ได้รู้ว่าความจองหองของคนเราต่างหากคือสิ่งที่คาดเดาหรือเข้าใจได้ยากที่สุด แต่ก็แค่คิดเท่านั้นแหละ ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ด้วย เพราะองค์กรที่มีผู้นำจิตใจโลเลมักจะล่มเร็วก็เป็นสัจธรรมเหมือนกัน

    "ชอบบ่นอะไรคนเดียวอยู่เรื่อยเลยนะจ๊ะสาวสวย"

    น้ำเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์แจ่มใสเต็มพิกัดลอยมาทันทีหลังประตูกระจกถูกเลื่อนไปจนสุด ฉันไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นจากเอกสารก็รู้ว่าเธอคนนั้นเป็นใครและใช้วิธีเดินแบบเขย่งๆ เข้ามาเหมือนที่เด็กๆ ชอบทำกัน

    "เย็นนี้มีปาร์ตี้เลี้ยงส่งเธอด้วยแหละ"

    ข่าวสารที่เธอคนนี้นำมาช่างน่ายินดีเหมาะกับรูปร่างหน้าตาอันแสนสดใสของเธอจริงน้า ฉันเซ็นเอกสารนั่นก่อนจะตอบเธอ

    "ปาร์ตี้เหรอ? เมื่อวานก็จัดไปแล้วนี่นา"

    "นั่นมันปาร์ตี้อย่างเป็นทางการน่าเบื่อจะตาย คราวนี้มีแค่เพื่อนๆ ที่สนิทกันจ้ะ เธอกลับยุโรปเที่ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ใช่ม้า เพราะงั้นมาเหอะ สนุกแน่"

    เพื่อนสาวผู้ชื่นชอบเรื่องสนุกสนานเป็นชีวิตจิตใจทำท่าเหมือนอยากจะกรี๊ดออกมา ผมสีบลอนด์ทองดัดอ่อนๆ มัดเป็นทรงทวินเทลสะบัดซ้ายขวาราวกับได้เจอนักร้องซุปเปอร์สตาร์ ตกลงเป็นงานของฉันใช่มั้ยเนี่ย

    "ก็ฉันตื่นเต้นแทนเธออ่ะ ต้องมานะ เพราะมีเซอร์ไพรส์ด้วย"

    "จริงเหรอ? งั้นโอเคจ้ะ"

    ขืนทำท่าคิดไม่ตกมีหวังเธอคนนี้จะตื้ออีกยาว เรื่องเซอร์ไพรส์ก็เป็นอะไรที่ฉันชอบอยู่แล้วจึงตอบตกลงเจ้าของสำเนียงอังกฤษอันแปร่งๆ ไป เธอกระโดดโหยงราวกับลืมไปว่าใส่มินิสเกิร์ตสั้นจู๋อยู่

    "งั้นทุ่มครึ่งเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ตรงข้ามกับคลับเดปเปนะจ๊ะท่าน ผอ.คนสวย"

    ฉันพยักหน้าและยิ้มส่งเพื่อนสาวจนเธอออกจากห้อง ไปเร็วมาเร็วตามวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นจริงๆ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามสินะ

    สองเดือนก่อนหลังจากหย่ากับสามีฉันบินมาที่ญี่ปุ่น มาอยู่โตเกียวได้เดือนหนึ่งเขาก็ขอร้องให้ช่วยทำงานให้หน่อย แน่นอนฉันตอบตกลงเพราะคนอย่างเขาใจไม่กว้างพอที่จะทำงานลักษณะนี้ แต่ก็เก่งพอจะประคองมันก่อนจะมาถึงมือฉันได้

    ถ้าเรื่องอื่นนอกจากรูปร่างหน้าตากับหัวธุรกิจเขาได้พ่อมาบ้างฉันก็คงทนเขาได้มากกว่านี้

    ยังไงก็แล้วแต่ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว

    มีสองสาเหตุที่ฉันต้องกลับยุโรปคือหนึ่ง ได้เวลาที่ฉันต้องเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่สำนักงานใหญ่ที่นั่น กับสอง มีคนคนหนึ่งบอกว่าจะคืนของที่ฉันคิดว่ามันหายไปแล้วให้ ซึ่งคนๆ นั้นก็เพิ่งโทรมาบอกเมื่อสามวันก่อนนี่เอง แน่นอน มันเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากสำหรับฉัน

    คิดนู่นคิดนี่แวบเดียวก็ทุ่มหนึ่งแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงถึงเวลานัด ฉันจัดการเก็บเอกสารกับข้าวของต่างๆ เข้าที่แล้วออกจากห้องเพื่อไปสู่สถานที่นัดหมาย

    ออกจากที่นั่นขับรถมาไม่ถึงห้านาทีก็ถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่ว่า แต่พูดก็พูดเถอะ จุดเด่นของร้านนี้คืออะไรกัน ทั้งๆ ที่ชื่อร้านก็มีแต่กลับถูกคลับที่อยู่ตรงข้ามใช้เป็นจุดสังเกตแทน อย่างนี้จะไปรอดไหมเนี่ย

    เข้ามาในร้านก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกประหลาดตรงไหน ไม่ต้องบอกก็รู้กันว่าที่นี่ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น แต่ที่แปลกประหลาดเอามากๆ เลยคือลูกค้าไปไหนกันหมด อย่าบอกนะว่าถูกความไม่ธรรมดาของบรรดาร้านรอบข้างในละแวกนี้กลืนหายไป

    พนักงานต้อนรับที่ขนาดฉันยังลืมเอ่ยถึงตั้งแต่หน้าร้านพาฉันมายังห้องหนึ่งซึ่งจากการตกแต่งระหว่างทางดูเหมือนจะเป็นห้องวีไอพี เมื่อพนักงานสาวในชุดกิโมโนเปิดประตูกระดาษให้ เพื่อนสาวผู้มีออร่าสดใสแผ่ออกมาเต็มเปี่ยมก็ยิ้มกว้าง

    "แล้วคนอื่นล่ะ?"

    "กำลังมาจ้า"

    ฉันยกนาฬิกาขึ้นดู อีกไม่กี่มิลลิเมตรเข็มยาวก็ชี้เลขหกแล้วนา แต่ยังไงพวกเขาก็ยังอุตส่าห์มานี่นะ เพราะงั้นแค่รอก็คงไม่เกินความสามารถหรอก แต่ถ้านั่งคุกเข่าบนเบาะที่ถึงจะนุ่มแบบนี้นานๆ ความสามารถนั้นอาจจะค่อยๆ ลดลงก็เป็นได้

    "นี่ ฉันถามตรงๆ เถอะ ที่ไม่มีคนเข้าร้านเลยเนี่ย เป็นเพราะเรื่องที่บอกว่าจะเซอร์ไพรส์อะไรนั่นรึเปล่า?"

    ถึงที่นี่จะดูธรรมดาแค่ไหนแต่ร้านค้าก็คือร้านค้า การที่ไร้ลูกค้าแม้แต่คนเดียวมันผิดธรรมชาติเสียยิ่งกว่าตำนานบาซิลิกซ์อีกนะ เศรษฐกิจตอนนี้ก็ไม่ได้ข่าวว่าย่ำแย่ตรงไหน...ใช่มั้ย?

    "เปล่าน้า เรื่องที่พวกเราจะเซอร์ไพรส์เธอไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน สงสัยการโฆษณาไม่ดีล่ะมั้ง ร้านเพิ่งเปิดไม่นานนี่นะ"

    ก่อนเปิดตัวอะไรสักอย่างมันต้องปล่อยข่าว แจกใบปลิว หรืออะไรก็ได้ให้คนรู้ว่าจะมีสิ่งๆ นี้เกิดขึ้นมาบนโลกแล้วไม่ใช่เหรอ? เป็นการตลาดพื้นๆ ที่ขนาดฉันยังรู้ น่าสงสัยจริงทำไมเจ้าของร้านนี้กลับไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ทำกันนะ

    ก่อนจะได้คิดอะไรต่อ บริกร...หญิง...? ที่ใส่กิโมโนแบบผู้ชายก็เลือนประตูกระดาษออก

    "จะสั่งอาหารเลยหรือเปล่าครับ คุณสุภาพสตรีทั้งสอง"

    ผู้ชายเหรอเนี่ย...ขนาดเสียงของเขาถ้าไม่ฟังดีๆ ก็อาจจะแยกเพศเขาไม่ออกก็ได้ ใบหน้ารูปไข่ขาวจั๊วะ ดวงตาโตสีเขียวสดใสกระพริบอยู่หลังกรอบแว่นตาทรงสี่เหลี่ยม จมูกเล็กๆ เชิดๆ ริมฝีปากชมพูจัดได้รูปราวกับถูกจรดด้วยปลายพู่กันของศิลปินเอกกำลังคลี่ยิ้มที่ทำเอาฉันเกือบจะอายส่งมาให้

    "ฉันว่าเราสั่งอาหารรอไว้เลยดีกว่า"

    ในขณะที่ฉันเหมือนกำลังจะนึกได้ว่าเคยเจอเขาที่ไหน เสียงสดใสก็ทำลายภาพที่กำลังจะปะติดปะต่อได้ของฉันละลายไปกับลม เด็กเสิร์ฟคนนั้นขยับแว่นตาด้วยนิ้วก้อยอย่างกรีดกรายก่อนเพื่อนสาวจะเริ่มสั่งรายการอาหาร

    ที่นี่คือญี่ปุ่น มีใครแปลกใจมั่งว่าฉันฟังออกได้ยังไงว่าเพื่อนสั่งอะไรบ้าง ฉันเป็นคนยุโรป แน่นอนว่าภาษาญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว ที่รู้นั่นก็เพราะเธอคนนี้สั่งรายการอาหารเป็นภาษาอังกฤษล้วนไง เด็กเสิร์ฟก็ไม่ได้ดูเหมือนจะมีปัญหาในการฟัง เขาจดขยุกขยิกลงบนอุปกรณ์ของตัวเองก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างเก็บซ่อนความลนลานไว้ได้เกือบจะมิด

    หญิงสาวตรงหน้าชวนคุยเรื่อยเปื่อย รู้สึกว่าใช้เวลาแค่แวบเดียวอาหารก็มาเสิร์ฟโดยบริกรคนเดิม ถ้าร้านนี้เจาะตลาดกลุ่มสาวๆ ญี่ปุ่นล่ะก็ บอกตามตรงว่าเวิร์คไม่น้อยล่ะ เพราะเคยได้ยินมาบ้างว่าสาวที่นี่คลั่งไคล้ผู้ชายหน้าหวานๆ ตัวเล็กๆ ฉันจินตนาการเอาว่าคงจะเป็นแบบเขาคนนี้

    อาหารหลายอย่างถูกวางตรงโต๊ะ มีทั้งของที่โด่งดังจนไม่ว่าใครก็รู้จักจนถึงของที่ฉันเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่ทั้งหมดนั่นยังไม่แปลกใจเท่ากับการยังมาไม่ถึงของเหล่าบุคคลที่นัดคนอื่นไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ ความรู้สึกตอนนี้อยากจะเป็นเข็มยาวนาฬิกาขึ้นมาตะหงิดๆ แฮะ

    "เอาน่า เธอก็ไม่ได้รีบไปไหนไม่ใช่เหรอ ดูสิ นั่นอะไรเอ่ย..."

    บริกรหน้าหวานยกจานสุดท้ายเข้ามาด้วยรอยยิ้ม มันมีขนาดใหญ่ไม่น้อยและถูกครอบด้วยฝาโลหะสีเงิน ซึ่งมันทำให้ไม่รู้ว่าภายในเป็นอะไร

    แต่ก่อนที่จะได้เปิดมัน เสียงกระจกแตกก็ทำเอาขวัญหนีดีฟ่อ แค่นั้นฟังเหมือนจะยังไม่ตื่นเต้นพอ ใครบางคนยังเอะอะโวยวายในแบบของมนุษย์ที่ต้องการหลบเลี่ยงจากสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าอันตราย

    "เลดี้ทั้งสองอยู่ในนี้..."

    ไม่ต้องทำหน้าตื่นขนาดนั้นก็พอจะเดาออกหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก

    "...ห้ามออกมานะครับ"

    ว่าแล้วชายหน้าสวยก็เดินออกไปอย่างเร่งร้อน

    "เฮ้ย! หยุดอยู่ตรงนั้นนะเว้ยเฮ้ย"

    เสียงบุคคลที่สี่ดังอยู่หน้าประตูกระดาษนี่เอง ไม่ต้องบอกก็รู้เลยล่ะว่าเขาไม่ได้มาดีแน่

    "เอาไงดีล่ะ น่ากลัวจัง"

    เพื่อนสาวกัดเล็บนิ้วโป้ง อาการนี้ของเธอจะแสดงเฉพาะเวลาที่หวาดกลัวบางอย่าง คำถามที่ว่า'นี่เรื่องเซอร์ไพรส์รึเปล่า?' หายไปในกระเพาะของฉันเมื่อเห็นภาพนั้น

    "เราหาที่หลบก่อนเถอะ"

    ฉันว่าก่อนจะจูงมือเธอออกไปจากห้องที่ไม่มีที่หลบอย่างห้องนี้ แต่สายไป แผ่นหลังผอมๆ ในชุดกิโมโนของชายหน้าหวานค่อยๆ ถอยมาหาพวกฉัน

    "อ้าวสาวๆ จะไปไหนกันจ๊ะ"

    เจ้าของเสียงบุคคลที่สี่ที่ฉันคงเรียกได้เต็มปากว่าเป็นโจรได้แล้วจ่อปืนกระบอกเล็กมาที่พวกเรา

    "กลับเข้าไปในห้องเดี๋ยวนี้!!!"

    โจรตะคอก ทำให้เราทั้งสามต้องถอยกลับเข้าไปตามคำสั่ง

    ที่จริงแล้วฉันเคยเรียนพวกศิลปะการต่อสู้มาบ้างเพื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้ เหรียญรับรองจากหน่วยรบพิเศษอเมริกาเป็นเครื่องยืนยันว่าถ้าเป็นผู้ชายธรรมดาๆ สักสี่ห้าคนก็หยุดฉันไม่อยู่ แต่นี่ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาๆ น่ะสิ

    ชายคนนี้สูงเกินเจ็ดฟุต หนำซ้ำกล้ามเนื้อยังเป็นมัดๆ ถ้านึกภาพตามไม่ออกก็ให้นึกถึงตัวละครของหนังซุปเปอร์ฮีโร่เมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ตัวเขียวๆ ใหญ่ๆ นั่นแหละ แถมข้างหลังโจรคนนั้นยังมีพวกที่รูปร่างพอๆ กันอยู่อีกคน

    "ดีมาก...เอาล่ะ ฉันรู้มาว่าวันนี้จะมีเซอร์ไพรส์อะไรกันที่นี่ และของสิ่งนั้นก็คือ ซูชิทองคำ"

    ก็พอรู้หรอกว่าคนรูปร่างแบบนี้ในญี่ปุ่นคงหายาก เพราะงั้นไม่ต้องบอกก็รู้อีกแหละว่าโจรคนนี้ต้องมาจากยุโรป พูดอังกฤษได้ใสแจ๋วขนาดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของภาษา...รู้สึกว่าตั้งแต่เข้าร้านมาจะยังไม่เจอเจ้าของประเทศนี้เลยนะ แล้วเรื่องซูชิทองคำนั่นมันอะไรกัน

    "อยู่นั่นล่ะสินะ"

    โจรชี้ข้ามเราไปที่จานใบใหญ่ที่มีฝาสีเงินครอบอยู่

    "มันเป็นของเลดี้คนนี้นะเว้ย อย่าได้คิดมาแตะ"

    ชายหน้าหวานไม่ปฏิเสธแถมยังโยนมาที่ฉันซะดื้อๆ เพื่อนสาวที่รับสีหน้าคำถามจากฉันยอมรับด้วยการพยักหน้างกๆ สรุปว่าเป็นอย่างที่โจรร่างยักษ์พูดมาไม่ผิดแน่

    "มาถึงขั้นนี้จะบอกว่าอย่าแตะงั้นเรอะ เอามันมา! ฉันเป็นโจรนะโว้ย!!"

    ไม่ต้องประกาศซะลั่นชาวบ้านเขาก็รู้กันหมดแล้ว โจรชี้ปืนขู่ชายหน้าหวานเป็นนัยว่าให้หยิบของข้างในออกมา

    "เออ ก็ได้ ขออนุญาตนะครับคุณผู้หญิง"

    เขาโค้งตัวอย่างอ่อนน้อมโดยมีความหมายอย่างที่บอก ฉันพยักหน้า นั่นคือของขวัญที่จะมาเซอร์ไพรส์ฉันสินะ ต้องขอโทษทุกคนด้วย

    "อย่าทำสิ่งที่ไม่งดงามอย่างการฆ่าพวกเรานะไอ้ยักษ์ถึก แกไม่พ้นมือตำรวจญี่ปุ่นแน่"

    หนุ่มแว่นหันไปพูดเย้ยๆ กับโจรโดยที่ยังไม่เปิดฝาใดๆ

    "เฮ้ยๆ ฉันไม่ฆ่าใครหรอก ฉันเป็นโจรที่มีคุณธรรมนะจะบอกให้"

    อยากถามโจรว่าที่พูดมาเนี่ยมั่นใจมากเลยสินะ ต้องเป็นบุญคุณไหมที่อุตส่าห์มีคุณธรรมประจำใจ

    "ไอ้โจรชั่ว ตำรวจญี่ปุ่นได้ล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ยอมมอบตัวซะ!"

    สิ้นคำประกาศจากเครื่องขยายเสียง กำแพงกระดาษของห้องนี้พังลงมาทั้งแถบด้วยเครื่องมืออะไรสักอย่าง สิ่งที่เห็นคือชายในเครื่องแบบสองคนจ่อปืนมาจากที่มุมเคาน์เตอร์หน้าร้าน โจรทั้งสองไม่ได้มีท่าทีกลัวเกรงแต่อย่างใด โจรคนหลังที่ไม่มีบทพูดตั้งแต่แรกรับคำสั่งจากโจรคนแรกอย่างรู้กัน เขาเข้ามาผลักชายร่างผอมจนกลิ้งเกินจำเป็นอย่างกับกำลังแสดง แล้วคว้าจานใบใหญ่ที่เป็นเป้าหมายนั่นไว้ อย่างที่สองคือข้อมือฉัน เพื่อนสาวตกใจเงียบๆ แต่ฉันไม่ยอมเป็นตัวประกันของใครหรอก

    ฉันเตะเข้าที่หน้าแข้งของโจรบี (คนแรกโจรเอละกัน) ด้วยปลายรองเท้าส้นสูงก่อนจะตวัดข้อมือตัวเองกลับพร้อมล็อคแขนโจรบีเพื่อจะหักกลับหลัง แต่ก็ต้องหยุดเมื่อโจรเอเข้ามาล็อคข้อมือฉันทั้งหมดด้วยมือข้างเดียว

    "สวย ดุ อืมๆ แบบนี้ฉันชอบว่ะ"

    ไม่รู้เหมือนกัน ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ชักแหม่งๆ แล้วสิ ประโยคของโจรเมื่อครู่ให้ความรู้สึกเหมือนตัวร้ายกระจอกๆ ในละครดาษๆ ยังไงไม่รู้ เรื่องแปลกๆ ก็มีอีกเยอะแยะ ตำรวจที่อยู่ตรงนั้นมาจากไหนทั้งที่ยังไม่ได้ยินเสียงไซเรน หรือวิธีปิดไซเรนเป็นการล้อมจับโจรแบบใหม่ที่ทำให้โจรไม่รู้ตัว? ถ้าอย่างนั้นสู้บุกเข้ามาเลยดีกว่ามั้ย ไม่ต้องประกาศว่าล้อมไว้แล้ว อีกอย่าง ปากก็บอกว่าเป็นตำรวจญี่ปุ่นแต่ประกาศเป็นอังกฤษล้วนเลยเชียว ฉันเกือบจะแน่ใจว่านี่เป็นการแสดงไปแล้วถ้าไม่เห็นใบหน้าที่น้ำตานองของเพื่อนสาว

    "พวกแกกล้าจับฉันเหรอฮะ! ฉันมีตัวประกันนะเว้ยเฮ้ย!"

    โจรเอลากฉันออกมายืนตรงหน้าพร้อมจี้ปืนมาที่ขมับ ตำรวจสองคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแสดงสีหน้าเจ็บใจได้ไม่เนียนเท่าไหร่โดยเฉพาะคนหน้าหนวด

    "หึๆ มีแต่พวกขี้ก้าง ไม่มีพวกสัตว์ประหลาดสุดโหดบ้างรึไงนะ"

    โจรเอคอมเม้นท์เหล่าตำรวจในเครื่องแบบสีน้ำเงินก่อนจะพูดกับฉัน

    "เอาล่ะแม่สาวตาโต เดินนำหน้าไป ถึงฉันจะไม่ฆ่าใคร แต่สวยๆ แบบนี้รู้นะว่าคนเลวอย่างพวกฉันจะเอาไปทำอะไร"

    อีกแล้ว ที่คำพูดของโจรนี่เหมือนท่องบทละคร แต่ถ้าคิดว่าเป็นคนเลวสมัครเล่นก็พออธิบายได้

    ฉันเดินนำโดยที่แขนโดนล็อคไว้ข้างหลังและมีอาวุธจ่อหัว แต่เดินได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงเพลงของการ์ตูนในตำนานสุดอมตะก็ดังขึ้นลั่นร้าน

    นี่ฉันฝันอยู่ใช่มั้ย?

    ระหว่างที่เพลงเล่นไป หญิงสาวอีกคนปรากฏตัวขึ้นมาในชุดคอสเพลย์ มวยสองก้อนบนหัวเป็นสีเหลืองสด ผมบนมวยปล่อยยาวจนถึงต้นขาพร้อมเสื้อแขนกุดรัดรูปสีขาวประดับด้วยโบว์ผีเสื้อสีแดงอันใหญ่ที่กลางอก บวกกับกระโปรงสีน้ำเงินจีบสั้นจู๋...

    นั่นมันชุดของเซเลอร์มูน!!!

    แล้วผู้แต่งคอสเพลย์นั่นก็เป็นผู้หญิงที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี แถมสนิทมากพอๆ กันกับเพื่อนสาวข้างหลัง

    "ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง!"

    นี่เป็นมุกที่ต้องฮารึเปล่าเนี่ย

    โจรร่างยักษ์ทั้งสองเมื่อเจอกับยัยเซเลอร์มูนก็ตกใจด้วยรอยยิ้มแถมเว่อร์เกินเหตุ ก่อนจะวางทุกอย่างในมือด้วยความถนุถนอมและวิ่งหนีไปทางตำรวจทั้งสอง ซึ่งหนีไม่รอดเพราะโดนจับอย่างง่ายดายแบบเว่อร์เกินเหตุอีกเช่นกัน

    "ก๊ากกกก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ"

    ไม่ว่าจะเป็นเซเลอร์มูน เด็กเสิร์ฟหน้าแว่น โจรและตำรวจอย่างละสอง หรือแม้แต่เพื่อนสาวที่ตอนแรกยังน้ำตาไหลอยู่ ทั้งหมดปล่อยก๊ากกันถ้วนหน้า ว่าง่ายๆ ก็คือมีฉันคนเดียวที่ฮาไม่ออก แต่ที่รู้คือเนี่ยแหละเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ยัยตัวแสบบอกเมื่อกลางวัน

    "เล่นอะไรเนี่ยแอนนี่ ลีอาห์ พวกเธอเล่นอะไรน่ะ"

    ฉันถามพร้อมถอนหายใจออกมา ให้ตาย ตกใจจริงๆ นะ

    "ก็เซอร์ไพรส์ไงจ๊ะ"

    ยัยเพื่อนตัวดีเดินเข้ามากอดเพราะกลัวว่าฉันอาจจะโกรธได้ แอนนี่ในชุดเซเลอร์ฯเดินเข้ามาด้วยใบหน้าซุกซนน่ารัก

    "ฮิๆ การแสดงของเราใช้ได้มั้ยจ๊ะ?"

    "เกือบถูกจับได้แน่ะน้องแอนนี่ ไอ้สองพี่น้องแสดงไม่ได้เรื่องเล้ย"

    ชายหน้าหวานเดินเข้ามาสมทบพร้อมแนะนำตัว

    "ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ผมจอห์น ไลท์ทรีครับ"

    เขาว่างั้น คิดแล้วว่าเคยเจอเขาที่ไหน ที่แท้ก็อดีตผู้อำนวยการไลท์ฟอร์ไลฟ์ คนต่อๆ มาที่เขาแนะนำก็เป็นชื่อที่เคยผ่านตามาแล้วทั้งนั้น

    "โจรคนที่พูดมากๆ ชื่อเทอร์รี่ คนที่โดนคุณเตะไปดอกนึงชื่อทอม ทั้งสองนามสกุล การ์ดเนอร์ครับ ส่วนตำรวจหน้าหนวดคือคุณริคาร์โด้ ซี สวอร์ด คนที่แห้งๆ นั่นชื่อหมาบ้าครับ"

    "หมาบ้านั่นมันแกแล้วจอห์น ผมเอ็ด เอ็ดเวิร์ด บราวน์"

    คนสุดท้ายคว้ามือฉันไปจูบที่หลังมือทำเอาสยิวเล็กน้อย

    "นี่ใครเป็นคนต้นคิดคะเนี่ย หัวใจจะวายให้ได้เลยนะคะเล่นแบบนี้"

    มือเล็กๆ ชูสูงกว่าคอที่ตกนิดเดียว

    "เค้าเอง...แฮะๆ"

    แม่ดาราแอนนี่นี่เอง

    "ขอโทษจ้า"

    "ไม่ได้โกรธซะหน่อย แต่ทีหลังเอาเป็นเซอร์ไพรส์ธรรมดาๆ ก็พอ"

    ตอนนี้หายตกใจแล้ว พอเป็นอย่างนั้นเรื่องเมื่อกี้ก็สนุกดี ไม่ล่ะ สนุกมากเลยแหละ

    "งั้นก็ต้องนี่เลยครับ แบบธรรมดาๆ ที่คุณขอ"

    โจรบีหรือคุณทอมยกจานที่ยังคงมีฝาสีเงินครอบอยู่ หวังว่ามันคงจะไม่ใช่ซูชิทองคำจริงๆ หรอกนะ

    "เปิดดูเอาเองดีกว่าครับ"

    คุณริคาร์โด้พูดด้วยรอยยิ้ม คนทั้งหมดสนับสนุนคำพูดนั่นด้วยการส่งเสียงเชียร์ ฉันไม่รังเกียจที่จะทำแบบนั้นจึงเปิดฝาออก

    "ว้าวววว..."

    "Happy birthday to you...Happy birthday to you...Happy birthday Happy birthday... Happy.birthday..to... you...."

    ฉันอธิษฐานหลังจากทุกๆ คนร้องเพลงนี้ให้ก่อนจะเป่าเทียนให้ดับ น้ำตาฉันคลอเบ้าทันทีที่ไฟเปิด

    "ไม่มีพวกเราเธอจะจำวันเกิดตัวเองได้มั้ยเนี่ย"

    ลีอาห์ยิ้มกว้างเห็นฟันขาว ความปลาบปลื้มทำเอาฉันพูดได้แต่คำขอบคุณจากใจจริง ก้อนเค้กสีขาวน้ำตาลตั้งอยู่ตรงหน้าก็ทำเอาปฏิกิริยาตอบสนองของฉันทื่อไปซะเฉยๆ ขอบคุณทุกคนจริงๆ เซอร์ไพรส์มากๆ เลย...เป็นวันเกิดที่มีความสุขมากจริงๆ

    หลังจากนั้นไม่กี่นาที เหล่าบุคคลที่ฉันรู้จักและสนิทสนมเท่าที่คิดออกก็ทยอยมากันเยอะแยะจนเกือบจะจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง ทุกคนอวยพรแต่สิ่งดีๆ และมอบของขวัญให้กับฉัน ซึ่งฉันก็ขอบคุณตอบกลับไปทุกคน.

    23 May 20xx ณ ร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งพังเป็นแถบของคุณจอห์น ไลท์ทรี.

     

     

    ปั่บ...

    "อ่านอันนี้ทีไรก็ยิ้มไม่หุบทุกทีจริงๆ เรา"

    ฉันพึมพัมเมื่อลองย้อนกลับมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเคยบันทึกลงไปด้วยปากกา มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เนิ่นนานนัก หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้หกเดือน ด้วยเหตุนั้นอากาศของเวลานี้จึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ประกอบกับยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะทำงาน ถ้าไม่ได้ติดฮีทเตอร์ ลมหายใจก็คงส่งควันขาวๆ ออกมากันเลยทีเดียว

    ฉันเก็บไดอารี่แห่งความสุขนั่นเอาไว้ในลิ้นชักเพื่อเตรียมตัวออกไปทักทายสิ่งที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า เขาจะมาทุกๆ เช้าวันละหนึ่งครั้ง ก่อนจะลากลับไปทุกๆ เย็น เขามอบความอบอุ่นให้แก่คนทั้งโลกมานานแสนนาน เขาทำให้สิ่งมีชีวิตใบเขียวเจริญเติบโตงดงาม แถมเป็นพลังงานให้เรามีไฟฟ้าใช้เพื่อความสะดวกสบายอีกด้วย อยากบอกว่าหลงรักเขาตั้งแต่แรกเห็นเลยล่ะ เนอะ

    หลังมั่นใจว่าป้องกันความเย็นให้กับร่างกายเต็มที่แล้ว ฉันจึงเกือบผลักประตูบ้านออกไป

    แต่อ๊ะ ฉันลืมบางอย่าง...

    ของที่ฉันเกือบลืมเอาไว้อยู่ภายในตู้อบ เมื่อฉันเปิดมันออก กลิ่นหอมหวามกระจายออกมาทันทีคล้ายเมล็ดต้อยติ่งที่ชุ่มน้ำ

    ฉันจัดสิ่งนั้นใส่กล่องกระดาษจนเต็มความจุ ปิดมัน และเมื่อมั่นใจว่าไม่ลืมอะไรแล้วก็ได้เวลาเปิดประตูสู่โลกกว้าง

    ลมหายใจของฤดูกาลเข้าจู่โจมทันทีอย่างไม่รอช้า ราวทหารกล้าพบข้าศึก

    5 นาฬิกา 56 นาที

    ใกล้แล้วล่ะ พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้เขาจะมาอรุณสวัสดิ์เราตอนหกโมงสิบนาที เวลาที่ใช้ในการเดินขึ้นไปถึงจุดชมเจ้าประจำของฉันในทุกเช้าใช้ประมาณเจ็ดนาที เพราะงั้นก็คงจะทันแบบไม่ขาดไม่เกิน

    ว่าถึงเรื่องความประทับใจในดวงอาทิตย์ ฉันมีมาตั้งแต่สมัยเด็ก พระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิวัยห้าขวบคือจุดเริ่มต้น

    แต่ฉันมีความลับจะบอก...

    นั่นเป็นความทรงจำเล็กๆ ที่ฉันได้เลือก...

    ความทรงจำที่ไม่ได้เลือกเป็นอะไรที่ไม่อยากพูดถึง แต่จะบอกให้ก็ได้...

    ฉันจำทุกๆ อย่างได้ดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน แต่ต่อไปนี้ฉันจะทิ้งมันทั้งหมด และเก็บไว้เพียงความทรงจำเดียว คือความทรงจำของ'โมนิก้า เมย์รี่'คนรักของลุค

    "อย่างนี้ดีไหม?"

    แสงสีส้มทองเรืองรองอยู่ไกลลิบ ความอบอุ่นที่เริ่มอาบโอบใบหน้าทำให้ฉันมีความสุขน้อยกว่าการปรากฏตัวของพวกเขาเพียงนิดเดียว

    (นี่เธอ ลืมตาซะที แมวนี่ขี้เกียจจริงน้า...)

    เสียงแหบห้าวดังขึ้นด้วยอาการแกล้งเอือมระอา เจ้าของเสียงเดินสี่ขาอย่างคล่องแคล้ว

    (ลุค~ ดูสิเจ้าคะ เจ้าลูอิสชอบว่าคิเรนะจังเลย เดี๋ยวงอนซะหรอก)

    เสียงซนๆ เล็กๆ สมตัวเป็นของแมวสาวสามสี

    "เอ้าๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ ดูซิ ใครมาถึงก่อนพวกเรา"

    เขาคนนั้นยิ้มอ่อนโยนพอกันกับโทนเสียงส่งมาให้ ก่อนจะเดินมาข้างๆ พร้อมสุนัขขาวตัวใหญ่และแมวตัวเล็กบนหัว ทันทีที่มาถึง ริมฝีปากนุ่มนวลอบอุ่นยิ่งกว่าสิ่งใดก็ประทับลงบนแก้มของฉัน

    "อรุณสวัสดิ์พะยะค่ะ องค์หญิงเมย์รี่ขององค์ชายลุค"

    เขาคนนั้นเปิดกล่องข้างตัวออกพร้อมหยิบขนมปังถั่วแดงมาก้อนหนึ่งเพื่อกัดหนึ่งคำ ไม่ต้องอธิบายใดๆ ฟังจากเสียงเคี้ยวก็รู้ว่าเขาเอร็ดอร่อยแค่ไหน

    ลุคพันผ้าไหมพรมสีน้ำเงินสดใสรอบลำคอพวกเรา ทำให้ตอนนี้ลมหายใจของเราราวกับเป็นหนึ่งเดียว

    ฉันสาบานกับจุมพิตแสนหวานนี้ว่า...

    จะรักเขาตลอดไป...

    โดยมีคู่รักต่างสายพันธุ์แสนน่ารักสองตัว ขนมปังถั่วแดง และอาทิตย์แรกอรุณเป็นพยาน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×