คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : บทสุดท้ายขององค์หญิง The story of a morning light Angel : The Queen's Diary
บทสุดท้ายขององค์หญิง The story of a morning light Angel : The Queen's Diary
เอกสารในมือนี้ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับงบประมาณการฟื้นฟูประเทศของประเทศยากจนอย่างโซมาเลียและอื่นๆ ที่ถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เชื่อกันว่าเป็นวาระสุดท้ายของโลกจะผ่านไปกว่าสามทศวรรษแล้ว แต่กลุ่มประเทศเหล่านั้นกลับยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มร้อย
บอกตามตรง บางทีฉันเองก็ไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เวลานั้นโลกก็เกิดภัยพิบัติไปทั่วเหมือนกัน ความสูญเสียทั้งทรัพย์สินเงินทอง ร่างกาย และจิตใจนั้นก็มากมายไม่ต่างกัน แต่บางประเทศใช้เวลาเพียงไม่นานในการฟื้นฟู ส่วนหลายประเทศก็ยาวนานหลายสิบปีอย่างที่เห็น
เรื่องนั้นจะว่าไม่เข้าใจเลยก็คงไม่มีใครเชื่อ เพราะเห็นๆ กันอยู่จากการจัดลำดับต่างๆ นาๆ ที่ดูเหมือนมนุษย์จะชื่นชอบกันนักหนา สิ่งใดๆ ที่อยู่อันดับหนึ่งจะต้องดีที่สุด ส่วนลำดับที่ลดหลั่นลงมาก็แสดงถึงคุณภาพหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ด้อยกว่าอันดับแรก
เรื่องพวกนี้บางทีมันอาจจะกลายเป็นสัจธรรมของโลกไปแล้ว สัจธรรมที่เข้าใจง่ายๆ ได้ทันที แต่ฉันกลับไม่อยากเข้าใจมันแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นฉันจึงภูมิใจกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้มาก เพราะเป็นองค์กรที่พยายามจะปรับระดับของโลกใบนี้ให้เกิดความเท่าเทียม เป็นองค์กรที่พยายามจะทำลายสัจธรรมที่ดูเหมือนจะฝังรากลงไปในจิตใต้สำนึกของผู้คนส่วนใหญ่ไปแล้ว เพราะถ้าหากอยู่บนโลกนี้อย่างเท่าเทียมกันก็ไม่จำเป็นต้องจัดอันดับอะไรให้วุ่นวายอีกต่อไป เพียงแต่อีกใจหนึ่งของฉันก็ยังคงคิดสวนทางกันอยู่บ้างนิดหน่อยว่า ถ้าทุกคนบนโลกนี้มีความเสมอภาคกันหมดในแง่ของฐานะ ความสามารถ หรืออย่างอื่น ถ้าเป็นแบบนั้นได้จริงจะมีใครยอมก้มหัวให้กันหรือยอมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องบ้างหรือเปล่า พอมาถึงตรงนี้ก็ได้รู้ว่าความจองหองของคนเราต่างหากคือสิ่งที่คาดเดาหรือเข้าใจได้ยากที่สุด แต่ก็แค่คิดเท่านั้นแหละ ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ด้วย เพราะองค์กรที่มีผู้นำจิตใจโลเลมักจะล่มเร็วก็เป็นสัจธรรมเหมือนกัน
"ชอบบ่นอะไรคนเดียวอยู่เรื่อยเลยนะจ๊ะสาวสวย"
น้ำเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์แจ่มใสเต็มพิกัดลอยมาทันทีหลังประตูกระจกถูกเลื่อนไปจนสุด ฉันไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นจากเอกสารก็รู้ว่าเธอคนนั้นเป็นใครและใช้วิธีเดินแบบเขย่งๆ เข้ามาเหมือนที่เด็กๆ ชอบทำกัน
"เย็นนี้มีปาร์ตี้เลี้ยงส่งเธอด้วยแหละ"
ข่าวสารที่เธอคนนี้นำมาช่างน่ายินดีเหมาะกับรูปร่างหน้าตาอันแสนสดใสของเธอจริงน้า ฉันเซ็นเอกสารนั่นก่อนจะตอบเธอ
"ปาร์ตี้เหรอ? เมื่อวานก็จัดไปแล้วนี่นา"
"นั่นมันปาร์ตี้อย่างเป็นทางการน่าเบื่อจะตาย คราวนี้มีแค่เพื่อนๆ ที่สนิทกันจ้ะ เธอกลับยุโรปเที่ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ใช่ม้า เพราะงั้นมาเหอะ สนุกแน่"
เพื่อนสาวผู้ชื่นชอบเรื่องสนุกสนานเป็นชีวิตจิตใจทำท่าเหมือนอยากจะกรี๊ดออกมา ผมสีบลอนด์ทองดัดอ่อนๆ มัดเป็นทรงทวินเทลสะบัดซ้ายขวาราวกับได้เจอนักร้องซุปเปอร์สตาร์ ตกลงเป็นงานของฉันใช่มั้ยเนี่ย
"ก็ฉันตื่นเต้นแทนเธออ่ะ ต้องมานะ เพราะมีเซอร์ไพรส์ด้วย"
"จริงเหรอ? งั้นโอเคจ้ะ"
ขืนทำท่าคิดไม่ตกมีหวังเธอคนนี้จะตื้ออีกยาว เรื่องเซอร์ไพรส์ก็เป็นอะไรที่ฉันชอบอยู่แล้วจึงตอบตกลงเจ้าของสำเนียงอังกฤษอันแปร่งๆ ไป เธอกระโดดโหยงราวกับลืมไปว่าใส่มินิสเกิร์ตสั้นจู๋อยู่
"งั้นทุ่มครึ่งเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ตรงข้ามกับคลับเดปเปนะจ๊ะท่าน ผอ.คนสวย"
ฉันพยักหน้าและยิ้มส่งเพื่อนสาวจนเธอออกจากห้อง ไปเร็วมาเร็วตามวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นจริงๆ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามสินะ
สองเดือนก่อนหลังจากหย่ากับสามีฉันบินมาที่ญี่ปุ่น มาอยู่โตเกียวได้เดือนหนึ่งเขาก็ขอร้องให้ช่วยทำงานให้หน่อย แน่นอนฉันตอบตกลงเพราะคนอย่างเขาใจไม่กว้างพอที่จะทำงานลักษณะนี้ แต่ก็เก่งพอจะประคองมันก่อนจะมาถึงมือฉันได้
ถ้าเรื่องอื่นนอกจากรูปร่างหน้าตากับหัวธุรกิจเขาได้พ่อมาบ้างฉันก็คงทนเขาได้มากกว่านี้
ยังไงก็แล้วแต่ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว
มีสองสาเหตุที่ฉันต้องกลับยุโรปคือหนึ่ง ได้เวลาที่ฉันต้องเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่สำนักงานใหญ่ที่นั่น กับสอง มีคนคนหนึ่งบอกว่าจะคืนของที่ฉันคิดว่ามันหายไปแล้วให้ ซึ่งคนๆ นั้นก็เพิ่งโทรมาบอกเมื่อสามวันก่อนนี่เอง แน่นอน มันเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากสำหรับฉัน
คิดนู่นคิดนี่แวบเดียวก็ทุ่มหนึ่งแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงถึงเวลานัด ฉันจัดการเก็บเอกสารกับข้าวของต่างๆ เข้าที่แล้วออกจากห้องเพื่อไปสู่สถานที่นัดหมาย
ออกจากที่นั่นขับรถมาไม่ถึงห้านาทีก็ถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่ว่า แต่พูดก็พูดเถอะ จุดเด่นของร้านนี้คืออะไรกัน ทั้งๆ ที่ชื่อร้านก็มีแต่กลับถูกคลับที่อยู่ตรงข้ามใช้เป็นจุดสังเกตแทน อย่างนี้จะไปรอดไหมเนี่ย
เข้ามาในร้านก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกประหลาดตรงไหน ไม่ต้องบอกก็รู้กันว่าที่นี่ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น แต่ที่แปลกประหลาดเอามากๆ เลยคือลูกค้าไปไหนกันหมด อย่าบอกนะว่าถูกความไม่ธรรมดาของบรรดาร้านรอบข้างในละแวกนี้กลืนหายไป
พนักงานต้อนรับที่ขนาดฉันยังลืมเอ่ยถึงตั้งแต่หน้าร้านพาฉันมายังห้องหนึ่งซึ่งจากการตกแต่งระหว่างทางดูเหมือนจะเป็นห้องวีไอพี เมื่อพนักงานสาวในชุดกิโมโนเปิดประตูกระดาษให้ เพื่อนสาวผู้มีออร่าสดใสแผ่ออกมาเต็มเปี่ยมก็ยิ้มกว้าง
"แล้วคนอื่นล่ะ?"
"กำลังมาจ้า"
ฉันยกนาฬิกาขึ้นดู อีกไม่กี่มิลลิเมตรเข็มยาวก็ชี้เลขหกแล้วนา แต่ยังไงพวกเขาก็ยังอุตส่าห์มานี่นะ เพราะงั้นแค่รอก็คงไม่เกินความสามารถหรอก แต่ถ้านั่งคุกเข่าบนเบาะที่ถึงจะนุ่มแบบนี้นานๆ ความสามารถนั้นอาจจะค่อยๆ ลดลงก็เป็นได้
"นี่ ฉันถามตรงๆ เถอะ ที่ไม่มีคนเข้าร้านเลยเนี่ย เป็นเพราะเรื่องที่บอกว่าจะเซอร์ไพรส์อะไรนั่นรึเปล่า?"
ถึงที่นี่จะดูธรรมดาแค่ไหนแต่ร้านค้าก็คือร้านค้า การที่ไร้ลูกค้าแม้แต่คนเดียวมันผิดธรรมชาติเสียยิ่งกว่าตำนานบาซิลิกซ์อีกนะ เศรษฐกิจตอนนี้ก็ไม่ได้ข่าวว่าย่ำแย่ตรงไหน...ใช่มั้ย?
"เปล่าน้า เรื่องที่พวกเราจะเซอร์ไพรส์เธอไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน สงสัยการโฆษณาไม่ดีล่ะมั้ง ร้านเพิ่งเปิดไม่นานนี่นะ"
ก่อนเปิดตัวอะไรสักอย่างมันต้องปล่อยข่าว แจกใบปลิว หรืออะไรก็ได้ให้คนรู้ว่าจะมีสิ่งๆ นี้เกิดขึ้นมาบนโลกแล้วไม่ใช่เหรอ? เป็นการตลาดพื้นๆ ที่ขนาดฉันยังรู้ น่าสงสัยจริงทำไมเจ้าของร้านนี้กลับไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ทำกันนะ
ก่อนจะได้คิดอะไรต่อ บริกร...หญิง...? ที่ใส่กิโมโนแบบผู้ชายก็เลือนประตูกระดาษออก
"จะสั่งอาหารเลยหรือเปล่าครับ คุณสุภาพสตรีทั้งสอง"
ผู้ชายเหรอเนี่ย...ขนาดเสียงของเขาถ้าไม่ฟังดีๆ ก็อาจจะแยกเพศเขาไม่ออกก็ได้ ใบหน้ารูปไข่ขาวจั๊วะ ดวงตาโตสีเขียวสดใสกระพริบอยู่หลังกรอบแว่นตาทรงสี่เหลี่ยม จมูกเล็กๆ เชิดๆ ริมฝีปากชมพูจัดได้รูปราวกับถูกจรดด้วยปลายพู่กันของศิลปินเอกกำลังคลี่ยิ้มที่ทำเอาฉันเกือบจะอายส่งมาให้
"ฉันว่าเราสั่งอาหารรอไว้เลยดีกว่า"
ในขณะที่ฉันเหมือนกำลังจะนึกได้ว่าเคยเจอเขาที่ไหน เสียงสดใสก็ทำลายภาพที่กำลังจะปะติดปะต่อได้ของฉันละลายไปกับลม เด็กเสิร์ฟคนนั้นขยับแว่นตาด้วยนิ้วก้อยอย่างกรีดกรายก่อนเพื่อนสาวจะเริ่มสั่งรายการอาหาร
ที่นี่คือญี่ปุ่น มีใครแปลกใจมั่งว่าฉันฟังออกได้ยังไงว่าเพื่อนสั่งอะไรบ้าง ฉันเป็นคนยุโรป แน่นอนว่าภาษาญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว ที่รู้นั่นก็เพราะเธอคนนี้สั่งรายการอาหารเป็นภาษาอังกฤษล้วนไง เด็กเสิร์ฟก็ไม่ได้ดูเหมือนจะมีปัญหาในการฟัง เขาจดขยุกขยิกลงบนอุปกรณ์ของตัวเองก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างเก็บซ่อนความลนลานไว้ได้เกือบจะมิด
หญิงสาวตรงหน้าชวนคุยเรื่อยเปื่อย รู้สึกว่าใช้เวลาแค่แวบเดียวอาหารก็มาเสิร์ฟโดยบริกรคนเดิม ถ้าร้านนี้เจาะตลาดกลุ่มสาวๆ ญี่ปุ่นล่ะก็ บอกตามตรงว่าเวิร์คไม่น้อยล่ะ เพราะเคยได้ยินมาบ้างว่าสาวที่นี่คลั่งไคล้ผู้ชายหน้าหวานๆ ตัวเล็กๆ ฉันจินตนาการเอาว่าคงจะเป็นแบบเขาคนนี้
อาหารหลายอย่างถูกวางตรงโต๊ะ มีทั้งของที่โด่งดังจนไม่ว่าใครก็รู้จักจนถึงของที่ฉันเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่ทั้งหมดนั่นยังไม่แปลกใจเท่ากับการยังมาไม่ถึงของเหล่าบุคคลที่นัดคนอื่นไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ ความรู้สึกตอนนี้อยากจะเป็นเข็มยาวนาฬิกาขึ้นมาตะหงิดๆ แฮะ
"เอาน่า เธอก็ไม่ได้รีบไปไหนไม่ใช่เหรอ ดูสิ นั่นอะไรเอ่ย..."
บริกรหน้าหวานยกจานสุดท้ายเข้ามาด้วยรอยยิ้ม มันมีขนาดใหญ่ไม่น้อยและถูกครอบด้วยฝาโลหะสีเงิน ซึ่งมันทำให้ไม่รู้ว่าภายในเป็นอะไร
แต่ก่อนที่จะได้เปิดมัน เสียงกระจกแตกก็ทำเอาขวัญหนีดีฟ่อ แค่นั้นฟังเหมือนจะยังไม่ตื่นเต้นพอ ใครบางคนยังเอะอะโวยวายในแบบของมนุษย์ที่ต้องการหลบเลี่ยงจากสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าอันตราย
"เลดี้ทั้งสองอยู่ในนี้..."
ไม่ต้องทำหน้าตื่นขนาดนั้นก็พอจะเดาออกหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก
"...ห้ามออกมานะครับ"
ว่าแล้วชายหน้าสวยก็เดินออกไปอย่างเร่งร้อน
"เฮ้ย! หยุดอยู่ตรงนั้นนะเว้ยเฮ้ย"
เสียงบุคคลที่สี่ดังอยู่หน้าประตูกระดาษนี่เอง ไม่ต้องบอกก็รู้เลยล่ะว่าเขาไม่ได้มาดีแน่
"เอาไงดีล่ะ น่ากลัวจัง"
เพื่อนสาวกัดเล็บนิ้วโป้ง อาการนี้ของเธอจะแสดงเฉพาะเวลาที่หวาดกลัวบางอย่าง คำถามที่ว่า'นี่เรื่องเซอร์ไพรส์รึเปล่า?' หายไปในกระเพาะของฉันเมื่อเห็นภาพนั้น
"เราหาที่หลบก่อนเถอะ"
ฉันว่าก่อนจะจูงมือเธอออกไปจากห้องที่ไม่มีที่หลบอย่างห้องนี้ แต่สายไป แผ่นหลังผอมๆ ในชุดกิโมโนของชายหน้าหวานค่อยๆ ถอยมาหาพวกฉัน
"อ้าวสาวๆ จะไปไหนกันจ๊ะ"
เจ้าของเสียงบุคคลที่สี่ที่ฉันคงเรียกได้เต็มปากว่าเป็นโจรได้แล้วจ่อปืนกระบอกเล็กมาที่พวกเรา
"กลับเข้าไปในห้องเดี๋ยวนี้!!!"
โจรตะคอก ทำให้เราทั้งสามต้องถอยกลับเข้าไปตามคำสั่ง
ที่จริงแล้วฉันเคยเรียนพวกศิลปะการต่อสู้มาบ้างเพื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้ เหรียญรับรองจากหน่วยรบพิเศษอเมริกาเป็นเครื่องยืนยันว่าถ้าเป็นผู้ชายธรรมดาๆ สักสี่ห้าคนก็หยุดฉันไม่อยู่ แต่นี่ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาๆ น่ะสิ
ชายคนนี้สูงเกินเจ็ดฟุต หนำซ้ำกล้ามเนื้อยังเป็นมัดๆ ถ้านึกภาพตามไม่ออกก็ให้นึกถึงตัวละครของหนังซุปเปอร์ฮีโร่เมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ตัวเขียวๆ ใหญ่ๆ นั่นแหละ แถมข้างหลังโจรคนนั้นยังมีพวกที่รูปร่างพอๆ กันอยู่อีกคน
"ดีมาก...เอาล่ะ ฉันรู้มาว่าวันนี้จะมีเซอร์ไพรส์อะไรกันที่นี่ และของสิ่งนั้นก็คือ ซูชิทองคำ"
ก็พอรู้หรอกว่าคนรูปร่างแบบนี้ในญี่ปุ่นคงหายาก เพราะงั้นไม่ต้องบอกก็รู้อีกแหละว่าโจรคนนี้ต้องมาจากยุโรป พูดอังกฤษได้ใสแจ๋วขนาดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของภาษา...รู้สึกว่าตั้งแต่เข้าร้านมาจะยังไม่เจอเจ้าของประเทศนี้เลยนะ แล้วเรื่องซูชิทองคำนั่นมันอะไรกัน
"อยู่นั่นล่ะสินะ"
โจรชี้ข้ามเราไปที่จานใบใหญ่ที่มีฝาสีเงินครอบอยู่
"มันเป็นของเลดี้คนนี้นะเว้ย อย่าได้คิดมาแตะ"
ชายหน้าหวานไม่ปฏิเสธแถมยังโยนมาที่ฉันซะดื้อๆ เพื่อนสาวที่รับสีหน้าคำถามจากฉันยอมรับด้วยการพยักหน้างกๆ สรุปว่าเป็นอย่างที่โจรร่างยักษ์พูดมาไม่ผิดแน่
"มาถึงขั้นนี้จะบอกว่าอย่าแตะงั้นเรอะ เอามันมา! ฉันเป็นโจรนะโว้ย!!"
ไม่ต้องประกาศซะลั่นชาวบ้านเขาก็รู้กันหมดแล้ว โจรชี้ปืนขู่ชายหน้าหวานเป็นนัยว่าให้หยิบของข้างในออกมา
"เออ ก็ได้ ขออนุญาตนะครับคุณผู้หญิง"
เขาโค้งตัวอย่างอ่อนน้อมโดยมีความหมายอย่างที่บอก ฉันพยักหน้า นั่นคือของขวัญที่จะมาเซอร์ไพรส์ฉันสินะ ต้องขอโทษทุกคนด้วย
"อย่าทำสิ่งที่ไม่งดงามอย่างการฆ่าพวกเรานะไอ้ยักษ์ถึก แกไม่พ้นมือตำรวจญี่ปุ่นแน่"
หนุ่มแว่นหันไปพูดเย้ยๆ กับโจรโดยที่ยังไม่เปิดฝาใดๆ
"เฮ้ยๆ ฉันไม่ฆ่าใครหรอก ฉันเป็นโจรที่มีคุณธรรมนะจะบอกให้"
อยากถามโจรว่าที่พูดมาเนี่ยมั่นใจมากเลยสินะ ต้องเป็นบุญคุณไหมที่อุตส่าห์มีคุณธรรมประจำใจ
"ไอ้โจรชั่ว ตำรวจญี่ปุ่นได้ล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ยอมมอบตัวซะ!"
สิ้นคำประกาศจากเครื่องขยายเสียง กำแพงกระดาษของห้องนี้พังลงมาทั้งแถบด้วยเครื่องมืออะไรสักอย่าง สิ่งที่เห็นคือชายในเครื่องแบบสองคนจ่อปืนมาจากที่มุมเคาน์เตอร์หน้าร้าน โจรทั้งสองไม่ได้มีท่าทีกลัวเกรงแต่อย่างใด โจรคนหลังที่ไม่มีบทพูดตั้งแต่แรกรับคำสั่งจากโจรคนแรกอย่างรู้กัน เขาเข้ามาผลักชายร่างผอมจนกลิ้งเกินจำเป็นอย่างกับกำลังแสดง แล้วคว้าจานใบใหญ่ที่เป็นเป้าหมายนั่นไว้ อย่างที่สองคือข้อมือฉัน เพื่อนสาวตกใจเงียบๆ แต่ฉันไม่ยอมเป็นตัวประกันของใครหรอก
ฉันเตะเข้าที่หน้าแข้งของโจรบี (คนแรกโจรเอละกัน) ด้วยปลายรองเท้าส้นสูงก่อนจะตวัดข้อมือตัวเองกลับพร้อมล็อคแขนโจรบีเพื่อจะหักกลับหลัง แต่ก็ต้องหยุดเมื่อโจรเอเข้ามาล็อคข้อมือฉันทั้งหมดด้วยมือข้างเดียว
"สวย ดุ อืมๆ แบบนี้ฉันชอบว่ะ"
ไม่รู้เหมือนกัน ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ชักแหม่งๆ แล้วสิ ประโยคของโจรเมื่อครู่ให้ความรู้สึกเหมือนตัวร้ายกระจอกๆ ในละครดาษๆ ยังไงไม่รู้ เรื่องแปลกๆ ก็มีอีกเยอะแยะ ตำรวจที่อยู่ตรงนั้นมาจากไหนทั้งที่ยังไม่ได้ยินเสียงไซเรน หรือวิธีปิดไซเรนเป็นการล้อมจับโจรแบบใหม่ที่ทำให้โจรไม่รู้ตัว? ถ้าอย่างนั้นสู้บุกเข้ามาเลยดีกว่ามั้ย ไม่ต้องประกาศว่าล้อมไว้แล้ว อีกอย่าง ปากก็บอกว่าเป็นตำรวจญี่ปุ่นแต่ประกาศเป็นอังกฤษล้วนเลยเชียว ฉันเกือบจะแน่ใจว่านี่เป็นการแสดงไปแล้วถ้าไม่เห็นใบหน้าที่น้ำตานองของเพื่อนสาว
"พวกแกกล้าจับฉันเหรอฮะ! ฉันมีตัวประกันนะเว้ยเฮ้ย!"
โจรเอลากฉันออกมายืนตรงหน้าพร้อมจี้ปืนมาที่ขมับ ตำรวจสองคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแสดงสีหน้าเจ็บใจได้ไม่เนียนเท่าไหร่โดยเฉพาะคนหน้าหนวด
"หึๆ มีแต่พวกขี้ก้าง ไม่มีพวกสัตว์ประหลาดสุดโหดบ้างรึไงนะ"
โจรเอคอมเม้นท์เหล่าตำรวจในเครื่องแบบสีน้ำเงินก่อนจะพูดกับฉัน
"เอาล่ะแม่สาวตาโต เดินนำหน้าไป ถึงฉันจะไม่ฆ่าใคร แต่สวยๆ แบบนี้รู้นะว่าคนเลวอย่างพวกฉันจะเอาไปทำอะไร"
อีกแล้ว ที่คำพูดของโจรนี่เหมือนท่องบทละคร แต่ถ้าคิดว่าเป็นคนเลวสมัครเล่นก็พออธิบายได้
ฉันเดินนำโดยที่แขนโดนล็อคไว้ข้างหลังและมีอาวุธจ่อหัว แต่เดินได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงเพลงของการ์ตูนในตำนานสุดอมตะก็ดังขึ้นลั่นร้าน
นี่ฉันฝันอยู่ใช่มั้ย?
ระหว่างที่เพลงเล่นไป หญิงสาวอีกคนปรากฏตัวขึ้นมาในชุดคอสเพลย์ มวยสองก้อนบนหัวเป็นสีเหลืองสด ผมบนมวยปล่อยยาวจนถึงต้นขาพร้อมเสื้อแขนกุดรัดรูปสีขาวประดับด้วยโบว์ผีเสื้อสีแดงอันใหญ่ที่กลางอก บวกกับกระโปรงสีน้ำเงินจีบสั้นจู๋...
นั่นมันชุดของเซเลอร์มูน!!!
แล้วผู้แต่งคอสเพลย์นั่นก็เป็นผู้หญิงที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี แถมสนิทมากพอๆ กันกับเพื่อนสาวข้างหลัง
"ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง!"
นี่เป็นมุกที่ต้องฮารึเปล่าเนี่ย
โจรร่างยักษ์ทั้งสองเมื่อเจอกับยัยเซเลอร์มูนก็ตกใจด้วยรอยยิ้มแถมเว่อร์เกินเหตุ ก่อนจะวางทุกอย่างในมือด้วยความถนุถนอมและวิ่งหนีไปทางตำรวจทั้งสอง ซึ่งหนีไม่รอดเพราะโดนจับอย่างง่ายดายแบบเว่อร์เกินเหตุอีกเช่นกัน
"ก๊ากกกก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ"
ไม่ว่าจะเป็นเซเลอร์มูน เด็กเสิร์ฟหน้าแว่น โจรและตำรวจอย่างละสอง หรือแม้แต่เพื่อนสาวที่ตอนแรกยังน้ำตาไหลอยู่ ทั้งหมดปล่อยก๊ากกันถ้วนหน้า ว่าง่ายๆ ก็คือมีฉันคนเดียวที่ฮาไม่ออก แต่ที่รู้คือเนี่ยแหละเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ยัยตัวแสบบอกเมื่อกลางวัน
"เล่นอะไรเนี่ยแอนนี่ ลีอาห์ พวกเธอเล่นอะไรน่ะ"
ฉันถามพร้อมถอนหายใจออกมา ให้ตาย ตกใจจริงๆ นะ
"ก็เซอร์ไพรส์ไงจ๊ะ"
ยัยเพื่อนตัวดีเดินเข้ามากอดเพราะกลัวว่าฉันอาจจะโกรธได้ แอนนี่ในชุดเซเลอร์ฯเดินเข้ามาด้วยใบหน้าซุกซนน่ารัก
"ฮิๆ การแสดงของเราใช้ได้มั้ยจ๊ะ?"
"เกือบถูกจับได้แน่ะน้องแอนนี่ ไอ้สองพี่น้องแสดงไม่ได้เรื่องเล้ย"
ชายหน้าหวานเดินเข้ามาสมทบพร้อมแนะนำตัว
"ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ผมจอห์น ไลท์ทรีครับ"
เขาว่างั้น คิดแล้วว่าเคยเจอเขาที่ไหน ที่แท้ก็อดีตผู้อำนวยการไลท์ฟอร์ไลฟ์ คนต่อๆ มาที่เขาแนะนำก็เป็นชื่อที่เคยผ่านตามาแล้วทั้งนั้น
"โจรคนที่พูดมากๆ ชื่อเทอร์รี่ คนที่โดนคุณเตะไปดอกนึงชื่อทอม ทั้งสองนามสกุล การ์ดเนอร์ครับ ส่วนตำรวจหน้าหนวดคือคุณริคาร์โด้ ซี สวอร์ด คนที่แห้งๆ นั่นชื่อหมาบ้าครับ"
"หมาบ้านั่นมันแกแล้วจอห์น ผมเอ็ด เอ็ดเวิร์ด บราวน์"
คนสุดท้ายคว้ามือฉันไปจูบที่หลังมือทำเอาสยิวเล็กน้อย
"นี่ใครเป็นคนต้นคิดคะเนี่ย หัวใจจะวายให้ได้เลยนะคะเล่นแบบนี้"
มือเล็กๆ ชูสูงกว่าคอที่ตกนิดเดียว
"เค้าเอง...แฮะๆ"
แม่ดาราแอนนี่นี่เอง
"ขอโทษจ้า"
"ไม่ได้โกรธซะหน่อย แต่ทีหลังเอาเป็นเซอร์ไพรส์ธรรมดาๆ ก็พอ"
ตอนนี้หายตกใจแล้ว พอเป็นอย่างนั้นเรื่องเมื่อกี้ก็สนุกดี ไม่ล่ะ สนุกมากเลยแหละ
"งั้นก็ต้องนี่เลยครับ แบบธรรมดาๆ ที่คุณขอ"
โจรบีหรือคุณทอมยกจานที่ยังคงมีฝาสีเงินครอบอยู่ หวังว่ามันคงจะไม่ใช่ซูชิทองคำจริงๆ หรอกนะ
"เปิดดูเอาเองดีกว่าครับ"
คุณริคาร์โด้พูดด้วยรอยยิ้ม คนทั้งหมดสนับสนุนคำพูดนั่นด้วยการส่งเสียงเชียร์ ฉันไม่รังเกียจที่จะทำแบบนั้นจึงเปิดฝาออก
"ว้าวววว..."
"♪Happy birthday to you...♪Happy birthday to you...♪Happy birthday Happy birthday...♪ Happy.birthday..to... you....♪"
ฉันอธิษฐานหลังจากทุกๆ คนร้องเพลงนี้ให้ก่อนจะเป่าเทียนให้ดับ น้ำตาฉันคลอเบ้าทันทีที่ไฟเปิด
"ไม่มีพวกเราเธอจะจำวันเกิดตัวเองได้มั้ยเนี่ย"
ลีอาห์ยิ้มกว้างเห็นฟันขาว ความปลาบปลื้มทำเอาฉันพูดได้แต่คำขอบคุณจากใจจริง ก้อนเค้กสีขาวน้ำตาลตั้งอยู่ตรงหน้าก็ทำเอาปฏิกิริยาตอบสนองของฉันทื่อไปซะเฉยๆ ขอบคุณทุกคนจริงๆ เซอร์ไพรส์มากๆ เลย...เป็นวันเกิดที่มีความสุขมากจริงๆ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เหล่าบุคคลที่ฉันรู้จักและสนิทสนมเท่าที่คิดออกก็ทยอยมากันเยอะแยะจนเกือบจะจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง ทุกคนอวยพรแต่สิ่งดีๆ และมอบของขวัญให้กับฉัน ซึ่งฉันก็ขอบคุณตอบกลับไปทุกคน.
23 May 20xx ณ ร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งพังเป็นแถบของคุณจอห์น ไลท์ทรี.
ปั่บ...
"อ่านอันนี้ทีไรก็ยิ้มไม่หุบทุกทีจริงๆ เรา"
ฉันพึมพัมเมื่อลองย้อนกลับมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเคยบันทึกลงไปด้วยปากกา มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่เนิ่นนานนัก หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้หกเดือน ด้วยเหตุนั้นอากาศของเวลานี้จึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ประกอบกับยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะทำงาน ถ้าไม่ได้ติดฮีทเตอร์ ลมหายใจก็คงส่งควันขาวๆ ออกมากันเลยทีเดียว
ฉันเก็บไดอารี่แห่งความสุขนั่นเอาไว้ในลิ้นชักเพื่อเตรียมตัวออกไปทักทายสิ่งที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า เขาจะมาทุกๆ เช้าวันละหนึ่งครั้ง ก่อนจะลากลับไปทุกๆ เย็น เขามอบความอบอุ่นให้แก่คนทั้งโลกมานานแสนนาน เขาทำให้สิ่งมีชีวิตใบเขียวเจริญเติบโตงดงาม แถมเป็นพลังงานให้เรามีไฟฟ้าใช้เพื่อความสะดวกสบายอีกด้วย อยากบอกว่าหลงรักเขาตั้งแต่แรกเห็นเลยล่ะ เนอะ
หลังมั่นใจว่าป้องกันความเย็นให้กับร่างกายเต็มที่แล้ว ฉันจึงเกือบผลักประตูบ้านออกไป
แต่อ๊ะ ฉันลืมบางอย่าง...
ของที่ฉันเกือบลืมเอาไว้อยู่ภายในตู้อบ เมื่อฉันเปิดมันออก กลิ่นหอมหวามกระจายออกมาทันทีคล้ายเมล็ดต้อยติ่งที่ชุ่มน้ำ
ฉันจัดสิ่งนั้นใส่กล่องกระดาษจนเต็มความจุ ปิดมัน และเมื่อมั่นใจว่าไม่ลืมอะไรแล้วก็ได้เวลาเปิดประตูสู่โลกกว้าง
ลมหายใจของฤดูกาลเข้าจู่โจมทันทีอย่างไม่รอช้า ราวทหารกล้าพบข้าศึก
5 นาฬิกา 56 นาที
ใกล้แล้วล่ะ พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้เขาจะมาอรุณสวัสดิ์เราตอนหกโมงสิบนาที เวลาที่ใช้ในการเดินขึ้นไปถึงจุดชมเจ้าประจำของฉันในทุกเช้าใช้ประมาณเจ็ดนาที เพราะงั้นก็คงจะทันแบบไม่ขาดไม่เกิน
ว่าถึงเรื่องความประทับใจในดวงอาทิตย์ ฉันมีมาตั้งแต่สมัยเด็ก พระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิวัยห้าขวบคือจุดเริ่มต้น
แต่ฉันมีความลับจะบอก...
นั่นเป็นความทรงจำเล็กๆ ที่ฉันได้เลือก...
ความทรงจำที่ไม่ได้เลือกเป็นอะไรที่ไม่อยากพูดถึง แต่จะบอกให้ก็ได้...
ฉันจำทุกๆ อย่างได้ดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน แต่ต่อไปนี้ฉันจะทิ้งมันทั้งหมด และเก็บไว้เพียงความทรงจำเดียว คือความทรงจำของ'โมนิก้า เมย์รี่'คนรักของลุค
"อย่างนี้ดีไหม?"
แสงสีส้มทองเรืองรองอยู่ไกลลิบ ความอบอุ่นที่เริ่มอาบโอบใบหน้าทำให้ฉันมีความสุขน้อยกว่าการปรากฏตัวของพวกเขาเพียงนิดเดียว
(นี่เธอ ลืมตาซะที แมวนี่ขี้เกียจจริงน้า...)
เสียงแหบห้าวดังขึ้นด้วยอาการแกล้งเอือมระอา เจ้าของเสียงเดินสี่ขาอย่างคล่องแคล้ว
(ลุค~ ดูสิเจ้าคะ เจ้าลูอิสชอบว่าคิเรนะจังเลย เดี๋ยวงอนซะหรอก)
เสียงซนๆ เล็กๆ สมตัวเป็นของแมวสาวสามสี
"เอ้าๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ ดูซิ ใครมาถึงก่อนพวกเรา"
เขาคนนั้นยิ้มอ่อนโยนพอกันกับโทนเสียงส่งมาให้ ก่อนจะเดินมาข้างๆ พร้อมสุนัขขาวตัวใหญ่และแมวตัวเล็กบนหัว ทันทีที่มาถึง ริมฝีปากนุ่มนวลอบอุ่นยิ่งกว่าสิ่งใดก็ประทับลงบนแก้มของฉัน
"อรุณสวัสดิ์พะยะค่ะ องค์หญิงเมย์รี่ขององค์ชายลุค"
เขาคนนั้นเปิดกล่องข้างตัวออกพร้อมหยิบขนมปังถั่วแดงมาก้อนหนึ่งเพื่อกัดหนึ่งคำ ไม่ต้องอธิบายใดๆ ฟังจากเสียงเคี้ยวก็รู้ว่าเขาเอร็ดอร่อยแค่ไหน
ลุคพันผ้าไหมพรมสีน้ำเงินสดใสรอบลำคอพวกเรา ทำให้ตอนนี้ลมหายใจของเราราวกับเป็นหนึ่งเดียว
ฉันสาบานกับจุมพิตแสนหวานนี้ว่า...
จะรักเขาตลอดไป...
โดยมีคู่รักต่างสายพันธุ์แสนน่ารักสองตัว ขนมปังถั่วแดง และอาทิตย์แรกอรุณเป็นพยาน
ความคิดเห็น