คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ราชินีเหมันต์ถือกำเนิด
ราชินีเหมันต์ถือกำเนิด
"พี่เรย์ ~"
เสียงเล็กดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง หลังจากสิ้นเสียงลากยาวสดใสก็เป็นเสียงรัวเคาะประตู
ปังๆๆๆๆ
"จะเจ็ดโมงแล้วนะ ลุกได้แล้วว~" เสียงเจื้อยแจ้วนี้คือนาฬิกาปลุกชั้นดีของเรย์ในทุกเช้า
"จ้า พี่ตื่นแล้ว เดี๋ยวลงไปนะ ขออาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยวเดียว" ผู้ที่ถูกปลุกจากห้วงนิทราใช้เวลา 20 นาทีในการจัดการกับตัวเอง
19 มีนาคม 2010 เวลา 7 นาฬิกา 15 นาที
เรย์มองออกไปนอกหน้าต่างบานโต วันนี้อากาศแจ่มใส อาจจะเป็นเพราะยังเช้าอยู่เขาเลยไม่รู้สึกร้อนมากนัก หลังจากชื่นชมบรรยากาศวันสุดท้ายของสัปดาห์แห่งการทำงานเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือสีดำซึ่งชาร์จแบตเตอรี่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เปิดประตู แล้วเดินลงบันไดสีขาวเพื่อไปสู่ห้องนั่งเล่น ที่นั่น กลิ่นหอมของกาแฟ ขนมปังปิ้งและไข่ดาว ทำให้เรย์รู้สึกว่าท้องร้องเสียงดังเหลือเกิน
ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงของโทรทัศน์ซึ่งเป็นรายการกอซซิบดาราดังจ๊อกแจ๊ก และตรงไปที่ต้นตอของกลิ่นหอมเพื่อเตรียมตัวจัดการกับมัน ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้มะฮอกกะนีขัดเงาวับพลางมองหาร่างเล็กของนาฬิกาปลุกเดินได้
"พี่เรย์อรุณสวัสดิ์"
เสียงเล็กดังแจ๋วมาจากด้านหลัง เจ้าของเสียงใสที่ราวกับนกนิสัยดื้อเดินตัวปลิวไปที่โซฟาหน้าทีวีซึ่งไม่ได้ไกลกับโต๊ะอาหารมากนัก
"ดีจ้า…"
ผู้เป็นพี่ชายตอบรับพร้อยส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม
นี่จะเป็นบทสนทนาแบบปกติไม่ได้เลยถ้าเขาไม่ได้อธิบายเรื่องเมื่อคืน
.
.
.
ย้อนกลับไปตอน 1 นาฬิกา
หลังจากกลับถึงบ้าน เรย์ที่ไม่เห็นร่างน้องสาวจึงขึ้นไปอาบน้ำบนห้องก่อนจะลงมาชั้นล่างอีกครั้งแต่ก็ยังไม่เห็นเงาของผู้ที่บอกว่าจะรอเขาจึงเปิดทีวีดู ประมาณ 5 นาที เสียงเล็กดังใสมาก่อนที่จะได้เห็นตัว ซึ่งเป็นนิสัยประจำของน้องซึ่งเรย์รู้ดี
"พี่เรย์ กลับมาแล้วหรอ?"
สาวน้อยนามแอนนี่ หรือ แอนนิต้า คารอล อยู่ในชุดนอนแขนยาวสีชมพูกับกางเกงขาสั้นเข้าชุด ร่างบางหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาเดียวกันกับพี่ชาย
"ทำไมกลับช้าอ่ะ หนูคอยตั้งนาน"
"พอดีเกิดอุบัติเหตุกับพี่อลิซน่ะ พี่เขาโดนรถเฉี่ยวพี่เลยพาไปโรงพยาบาล"
แอนนี่ทำหน้าเหวอซึ่งเป็นหน้าตาที่ตลกซะไม่มีในสายตาของเรย์
"ง่า...จริงอะ แล้วเป็นไรมากเปล่าคะเนี่ย พี่อลิซน่ะ"
"ไม่หรอก...แค่ถลอกนิดหน่อยเอง" เรย์โกหก
"ดีใจจังเลยที่ไม่เป็นไร" แอนนี่พูดพร้อมพ่นลมหายใจออกจมูกเล็กเชิ่ดตามความหมายที่บอก
"คนขับมันดันกินเหล้ามา พี่เลยเรียกตำรวจมาจัดการแล้ว" พี่ชายพูดเสริม
"แย่จริง...น่าโมโหจัง เดี๋ยวต้องโทรหาพี่อลิซหน่อยและ"
เรย์รีบห้ามแอนนี่โดยบอกเหตุผลว่านี่มันดึกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้เช้าดีกว่า
"จริงด้วยแฮะ" แอนนี่หัวเราะแหะๆ แล้วแลบลิ้นในความเปิ่นของตัวเอง
"พี่ง่วงแล้วขอไปนอนก่อนนะ อ้อ ขนมอยู่ในตู้เย็นนะ พี่ซื้อมาฝาก"
คำนั้นทำให้แอนนี่ตาโตเป็นประกายพร้อมเดินไปที่ตู้สีขาวที่ภายในมีกล่องโดนัทชิ้นโตรสหวานของโปรดราวกับโดนมนต์สะกด
"กินดึกๆ มันจะอ้วนนะ ระวังถ่ายแบบมาเห็นแต่พุงล่ะ" ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักและจัดแจงปิดทีวี
"พี่เรย์อ่ะ บ้า!"
"ราตรีสวัสดิ์จ้ะ เราก็รีบนอนนะ"
ผู้เป็นน้องสาวทำมือเหมือนการทำความเคารพของตำรวจ
"เจ้าค่ะ!!!"
.
.
.
กลับมาในตอนเช้าของวันนี้ เรย์ที่จัดการกับอาหารเช้าเสร็จแล้วมองดูนาฬิกาบนข้อมือ เวลา 7 โมง 25 นาที ยังไม่ถึงเวลาที่เขาต้องไปทำงาน จึงได้กดกาแฟจากเครื่องชงข้างตู้เย็นแล้วไปสมทบกับน้องสาวที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ก่อนแล้ว การลูบหัวกลมๆ ของแอนนี่คือสิ่งที่เรย์มักจะทำอยู่เสมอ
"ไม่มีงานหรือเราวันนี้"
"ตอนเช้าไม่มีค่ะ แต่ตอนบ่ายหนูต้องไปญี่ปุ่นอ่ะ ละครเรื่องใหม่หนูเล่นเป็นนางเอกคู่กับคุณสตีฟด้วยนะ"
นักแสดงคืออาชีพของสาวน้อย พักนี้เรย์มักจะเห็นน้องสาวของเขาตามนิตยสารหรือละครทีวี และเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเขาก็ได้ไปดูภาพยนตร์ที่แอนนี่แสดงเป็นนางเอกเรื่องแรก หลายเว็บในอินเตอร์เน็ตจัดอันดับความโด่งดังของดาราหน้าใหม่ ซึ่งแอนนี่ก็ไม่ได้ตกจากท๊อปไฟว์ เรียกได้ว่ากำลังดังเลยทีเดียว
การประสบความสำเร็จของเธอเป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่เรย์กลับไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่ เนื่องจากประสบการณ์ที่มากกว่าน้องสาวหลายปีจึงทำให้เขาออกจะมองวงการนี้ในแง่ลบ
"อะไร ไปอีกแล้วหรอ เพิ่งจะกลับมาเมื่อเดือนที่แล้วเอง"
เขาถามด้วยความไม่พอใจเท่าที่ควร ซึ่งแอนนี่ก็รับรู้
"แหมพี่เรย์...ก็โครงเรื่องมันเป็นแบบนั้นจะให้หนูทำไง "
เธอจึงพูดเบาๆ พร้อมส่งสายตาอ้อนราวกับลูกสุนัขขอออกไปเดินเล่น
"พี่เรย์ไปส่งหนูด้วยนะๆ" สาวน้อยบอกพี่ชายที่ยกกาแฟขึ้นดื่ม
"อืม...แต่ว่านาแอนนี่ พี่ขอพูดอะไรหน่อยสิ"
แอนนี่พยักหน้างกๆ
"พี่ว่างานแบบนี้มันไม่ค่อยจะมั่นคงอะไรเท่าไหร่นา วันหนึ่งก็ต้องมีคลื่นลูกใหม่มาแทนที่เรา ไหนจะยังสัญญากับค่าย 3 ปี 5 ปี ช่วงที่เขาไม่มีงานให้ก็แทบขยับไปไหนไม่ได้ ไหนจะต้องปิดข่าวนั่นข่าวนี่ ไหนจะข่าวเสียๆ หายๆ ที่บางทีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้..." เรย์พูดต่อเมื่อเห็นแอนนี่กำลังจะอ้าปากพูด
"มาช่วยงานบริษัทเราดีกว่ามั้ย? เป็นนายตัวเองมันจะไม่สบายใจกว่าเหรอ อยากทำอะไรก็ทำ ยิ่งตอนนี้พี่อลิซก็ป่วยอยู่ด้วย เริ่มจากงานเลขาก่อนก็ได้"
เมื่อฟังจบแอนนี่ทำหน้าบู้
"แต่หนูไม่ชอบงานบริหารอ่ะพี่เรย์"
"ก็เข้าใจนะว่าเรากำลังสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ ตอนที่เรามาบอกพี่ว่าได้เป็นดาราพี่ก็ขัดใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เราฝันตั้งแต่เด็ก"
เรย์ลูบผมยาวตรงสีดำแสนนุ่มมืออย่างเอ็นดูก่อนจะเอนหัวกลมของน้องสาวให้นอนตรงตัก
"แต่สักวันเราก็ต้องโตซักทีนะแอนนี่ คนเราทำแต่สิ่งที่ชอบไม่ได้หรอก โลกเรามันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ไอ้พี่มันก็อายุเยอะขึ้นทุกวันแต่บริษัทก็ต้องเปิดต่อไป ถ้าหมดพี่ไปใครจะรับช่วงต่อถ้าไม่ใช่เรา"
"โหย...ดูเขาพูดเข้าดิ พูดเป็นคนแก่ไปได้" แอนนี่ทำหน้าซุกซนพร้อมกับเอามือมาบีบจมูกโด่งของพี่ชาย "หนู เข้าใจค่ะพี่เรย์ แต่ขอเวลาหนูหน่อยนะ ให้หนูเก็บเกี่ยวอะไรหลายๆ อย่างจากวงการนี้ได้ก่อนแล้วหนูจะทำตามที่พี่เรยต้องการ แต่นี่นะ..."
"อะไรเหรอ?"
"ถ้าพี่เรย์แต่งงานแล้วมีลูก พี่เรย์ก็ให้ลูกดูแลบริษัทก็ได้นี่นา ใช่มั้ย?"
เรย์เคาะหน้าผากน้องสาว
"นี่เข้าใจพี่จริงรึเปล่าเนี่ย ฮึๆ"
แววตาซนของแอนนี่ไม่ต่างอะไรกับลูกหมาตัวเล็กๆ เรย์หัวเราะพลางใช้นิ้วสางผมยาวของเธอเล่น
"ล้อเล่นน่า ฮิๆ แต่ว่าเรื่องหาแฟนสักคนหนูพูดจริงนา ปีนี้พี่เรย์ 35 แล้วใช่ป่ะ หนูยังไม่เคยเห็นพี่มีใครเลย"
"..."
"ตัดใจจากพี่อลิซเถอะค่ะ พี่เขาแต่งงานแล้วนา ถึงหนูจะชอบพี่เขามากๆ ก็เหอะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้"
เรย์คิดว่าที่แอนนี่พูดมาก็ไม่ได้ผิดอะไร เขาเข้าใจได้ แต่เรื่องให้กลับไปมีความคิดแบบน้องชายกับคนที่เคยรักเสมือนหญิงสาวคงไม่ง่ายนักสำหรับเขาที่ทดลองทำมาแล้วเกือบทศวรรษ
"หนูแนะนำเพื่อนหนูให้เอาป่ะ น่ารักทั้งนั้นเลยนะถึงจะไม่เท่าพี่อลิซก็เหอะ"
แอนนี่พูดโดยฉายแววซุกซนออกมาเต็มเปี่ยม เธอจึงโดนพี่ชายลงโทษโดยการยีผมให้ยุ่งอย่างมันเขี้ยว
"กรี๊ด"
"หาของตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ"
"อย่างหนูไม่ต้องหาหรอกค่า แค่อยู่เฉยๆ หนุ่มๆ ก็เข้ามาต่อแถวให้เลือกนับไม่ถ้วนแล้วล่ะ"
"พูดแบบนี้ไงมันถึงเป็นข่าวเป็นคราว"
เเอนนี่ยันตัวลุกจากตักของเรย์
"หนูก็พูดเล่นเเค่กับพี่เรย์เท่านั้นแหละค่า"
ว่าแล้วเธอก็ใช้มือดึงแก้มพี่ชายทั้งสองข้างจนยืด ซึ่งทำให้หน้าตาของเรย์ตลก
"ฮิๆ ตอนบ่ายโมงหนูไปหาพี่ที่บริษัทนะคะ"
"จ้า จริงสิ แล้วคราวนี้ไปนานมั้ย?"
"ประมาณ 2 เดือนค่ะ"
"อืมๆ ที่จริงวันนี้พี่อลิซชวนพวกเราสองคนไปกินข้าวเย็นที่บ้านน่ะ อย่างนี้เราก็ไปไม่ได้แล้วสิเนี่ย"
"จริงอ่ะ? โหยแย่จัง เดี๋ยวต้องโทรไปขอโทษพี่อลิซซะหน่อยแล้ว หนูติดงานจริงๆ"
"ไม่ต้องโทรก็ได้ ไว้ไปหาพี่เขาทีเดียวเลย"
ระหว่างที่ฟังเสียงราวกับนกผสมแฮมส์เตอร์บ่นนี่บ่นนั่น เรย์สังเกตเห็นนิตยสารเล่มหนึ่งซึ่งบนหน้าปกมีหญิงสาวร่างเล็กสวมบิกินี่สีเขียวกำลังโพสท่าสวยงาม เขาจำแววตาแสนซนนั้นได้ดี
"ไปถ่ายมาตอนไหนเนี่ย?"
เขาถามน้องสาวโดยแสร้งแสดงความไม่พอใจให้ปรากฎบนน้ำเสียง ถึงกระนั้นแอนนี่ก็รู้จึงแกล้งแหย่พี่ชายกลับ
"เซ็กซี่ใช่ม้า...ถ่ายเมื่ออาทิตย์ก่อนเองค่ะ"
"ไม่อ่ะ ไม่เห็นสวยเลย ทีหลังไม่ต้องไปถ่ายนะ อายเค้า" เรย์พูดโกหก ที่จริงเเล้วเขาก็กำลังชื่นชมอยู่ไม่น้อยจึงพลิกหน้าต่อๆไปเผื่อจะมีรูปน้องสาวอีก
"ใช่ซี้...ไม่มีใครสวยเท่าพี่อลิซของพี่เรย์หรอก" แอนนี่ใส่น้ำเสียงน้อยใจเล็กๆ
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะ" เรย์แก้ตัว หลังจากเห็นรูปน้องสาวลงอยู่อีกหกเจ็ดหน้าเขาปิดหนังสือ
"เจ็ดโมงโมงสี่สิบละ พี่ไปนะแอนนี่"
น้องสาวตอบรับด้วยยิ้มยิงฟันขาวพร้อมเดินไปหยิบเสื้อสูทสีดำและกุญแจรถที่แขวนไว้ให้พี่ชาย
"ขอบใจจ้ะ"
"ขับรถดีๆ นะคะ แล้วเจอกันค่ะ"
"จ้า"
เขาตอบและเดินออกไป
ด้วยอากาศตอนนี้สามารถพูดได้ว่าร้อนมากแล้ว แสงแดดแรงกล้าสาดส่องตึกรางบ้านช่องจนเรย์อดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่อยู่ภายในจะได้รับอิทธิพลความร้อนแรงนี่รึเปล่า
สิ่งที่กวนใจชายหนุ่มไม่ได้มีแค่อุณหภูมิที่สูงเกือบ 40 องศา เพราะข่าวของบรรดาเหล่าผู้บริหารประเทศคืออีกหนึ่งความรำคาญใจ พวกเขาหาเรื่องหาราวสุมไฟเผากันไม่เว้นแต่ละวันโดยไม่สนใจปัญหาเรื่องของโลกร้อน ล่าสุดฝ่ายค้านยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจตัวนายกรัฐมนตรี มีไม้เด็ดที่หลักฐานการทุตจริตต่างๆ นานา
ในฐานะที่เรย์ค่อนข้างจะไม่เกี่ยวกับแวดวงทางนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถือหางฝ่ายใดเป็นพิเศษ ความคิดที่ว่าหน้าไหนก็เหมือนกันหมด เก่งแต่ปากกับเรื่องใต้โต๊ะจึงเป็นทัศนคติที่เขามีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ยาเสพติดก็ยังคงเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง ประชาชนมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ และปัญหาอีกร้อยแปดพันเก้า ประเทศถูกเปลี่ยนขั้วบริหารอยู่หลายรอบ แต่ที่กล่าวข้างต้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับการแก้ไขเท่าที่ควร
กว่าสองทศวรรษที่เรย์เห็นภาพที่พวกเขาเหล่านั้นเลือกจะใช้เวลาแต่ละวันไปเพื่อทะเลาะกัน สุดท้ายไม่ว่าใครจะชนะเวรกรรมก็ดูเหมือนจะตกเป็นของประชาชนตาดำๆ ทั้งประเทศที่ต้องเสียภาษีให้เหล่าแร้งกาที่จ้องแต่จะจิกกัดกันเอง เขาคิดชั่งใจอยู่หลายครั้งว่าถ้าหากคนพวกนี้ตายจริงๆ เขาจะทำใจดีใช้ความสามารถพิเศษของตัวเองช่วยคืนชีพให้ได้รึเปล่า เพราะถ้ามีชีวิตอยู่แล้วทำให้สังคมตกต่ำลง สู้ปล่อยให้ตายตามปกติแล้วทำเป็นว่าเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างการชุบชีวิตคนตายไม่มีบนโลกดีกว่า...
สุดท้าย เรย์สบถในความคิดตัวเองเพราะไม่รู้จะคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้ทำไม
"ปวดหัวจัง" เขาพึมพำ
อากาศที่ร้อนจัดทำให้เรย์รีบเดินเข้าตัวบริษัทเพื่อจะได้เข้ามาตากแอร์ เขาไม่ผิดหวัง อากาศข้างในนั้นแสนเย็นสบาย
การตกแต่งภายในของคารอลคอร์ปเปอร์เรชั่นนั้นไม่เหมือนกับสถานที่ทำงาน มันออกจะคล้ายกับโรงแรมมากกว่า ทั้งโคมไฟระย้าหรูหราที่ให้แสงสีส้มอ่อน เคาน์เตอร์ติดต่อสอบถามเป็นไม้เงาวับที่ด้านในมีพนักงานสาวสวยสองคนประจำอยู่ ผนังด้านหลังของพวกเธอมีโลโก้ของบริษัทเป็นรูปตัว C สีเงินตัวใหญ่ อยู่เฉียงตัดกับรูปลูกโลกที่อยู่ทางขวาล่าง ใต้โลโก้ติดตัวอักษรสีเงินที่เขียนว่า 'Carol Corporation' เรย์มุ่งหน้าสู่ประตูลิฟท์เพื่อให้มันพาไปห้องทำงานซึ่งอยู่ชั้น 9
ระหว่างทาง พนักงานทุกคนที่อยู่แถวนั้นทักทายเขาในยามเช้า ประธานหนุ่มทักตอบอย่างมารยาทดีและบอกให้ทุกคนตั้งใจทำงาน
"ถ้าปีนี้ไปได้สวยจะให้งบไปเที่ยวฝ่ายละล้านห้า!"
สิ้นเสียงประธานใหญ่เสียงเฮก็ดังลั่นชั้น เรย์ชอบที่จะเห็นพนักงานของเขาทำงานอย่างมีความสุข หลังจากไดัเห็นบรรยากาศตอนเช้าของคนวัยทำงานคึกคักแล้ว เขาก็ก้าวขาขึ้นลิฟต์ไป
ที่ชั้น9 น่าแปลกที่ความรู้สึกเย็นวาบอย่างประหลาดพัดใส่หน้าเรย์ เขารู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่อยู่ที่ชั้นล่างแต่ไม่ได้สนใจอะไร หรืออาจเป็นเพราะรู้คำตอบอยู่แล้ว
ในชั้นนี้นอกจากจะเป็นที่ตั้งของห้องทำงานของประธานใหญ่แล้ว ยังมีแผนกอื่นๆ อีกสองแผนกด้วยกัน ประกอบด้วยแผนกวิจัยเทคโนโลยีกับฝ่ายคอลเซ็นเตอร์ที่ทำหน้าที่ติดต่อลูกค้าต่างประเทศไปในตัว เรย์ที่มุ่งหน้าสู่ห้องทำงานรู้สึกได้ถึงอากาศที่เย็นลงทุกขณะ นั่นทำให้เขาสังเกตว่าที่โต๊ะทำงานของเลขาหน้าห้องตัวเองมีกระเป๋าสีส้มอ่อนวางอยู่ปะปนกับเอกสารและคอมพิวเตอร์
"อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณคารอล" เสียงนุ่มหวานราวกับขนมมาชเมลโลทักเขาจากด้านหลัง เรย์หันกลับไปหาต้นเสียงก็แปลกใจนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเกินความคาดหมาย เขาดีใจที่ใบหน้างดงามส่งยิ้มหวานมาให้
"พี่อลิซ...มาทำไมกันครับ ผมอุตส่าห์บอกว่าให้พักผ่อน"
"ดิฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะ คุณคารอลกำหนดการวันนี้..." เลขาสาวเตรียมทำหน้าที่โดยการยกอุปกรณ์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทขึ้นตรวจสอบ
"ช่างก่อนเถอะครับ พี่ไปรอผมในห้องนะ เดี๋ยวผมขอชงกาแฟก่อน"
เรย์ขัดด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย อลิซทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะอาสาชงกาแฟให้ แต่เธอถูกปฏิเสธ
"ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่ครับ รอผมแป๊บนะ"
อลิซตอบรับพร้อมเดินเข้าไปในห้อง
ใช้เวลาไม่นานนัก เรย์ผลักประตูเข้ามา เขาถือถ้วยกาแฟหอมกรุ่นมาด้วย
"นั่งก่อนซิครับ" เขาบอกสาวสวยที่ยืนอยู่หลังโซฟารับแขกในห้อง
สำหรับอลิซ ถ้าในห้องนี้ไม่มีโต๊ะที่มีคอมพิวเตอร์และเอกสารต่างๆ กับชั้นที่มีแฟ้มสันหนาวางเรียงรายกันอยู่ล่ะก็คงดูไม่ออกว่าเป็นห้องทำงาน ผนังที่ทาด้วยสีฟ้าอ่อนติดวอลเปเปอร์ลายลูกนก โซฟาสีน้ำเงินสดใส ตู้โชว์สีขาวฟ้าน่ารัก ที่มีรางวัลต่างๆ เต็มตู้ ผนังด้านหลังติดมู่ลี่รูปดาวหลากสีสันซึ่งถ้าชักเปิดออกมาจะเผยให้เห็นกระจกใสทั้งผนังสำหรับชมวิวทิวทัศน์ อลิซชอบห้องนี้มาก เพราะนอกจากทุกอย่างจะดูน่ารักสดใสแล้วเธอยังมีความทรงจำที่สุดแสนประทับใจที่นี่อีกด้วย
เลขาสาวนั่งลง เรย์วางกาแฟไว้ใกล้คอมพิวเตอร์ก่อนเดินกลับไปที่โซฟา
"พวกพนักงานไม่ตกใจแย่หรือครับที่เห็นพี่มาทำงาน"
เขาทิ้งตัวนั่งลงตามอลิซ เรื่องที่เรย์พูดทำให้อลิซนึกถึงเมื่อวาน
อันที่จริงเมื่อเช้าเธอถูกหลายคนถามด้วยความตกใจประมาณว่ามาทำงานได้ยังไงในเมื่อถูกรถชนขนาดนั้น เธอจำไม่ได้ว่าขนาดไหน แต่ภาพที่พวกเธอทั้งหลายเห็นคงจะรุนแรงมากทีเดียว
"ไม่หรอกค่ะ" อลิซตอบตรงข้ามกับความจริง
"แล้วหลังจากที่พี่กลับมา...รู้สึกยังไงบ้างครับ"
เลขาสาวไม่เข้าใจว่าเจ้านายต้องการพูดอะไรกันแน่เธอจึงได้แต่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานอีกครั้ง จากคำถามของเจ้านาย อลิซพบว่าในชีวิตของตนยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
"อืม...ใช่ พี่คงยังไม่รู้ตัวหรอก ก็เวลายังไม่ถึงวันเองนี่เนอะ" เรย์ยิ้ม
แต่อลิซกลับยิ่งสงสัยมากขึ้นเท่านั้น จะเออออห่อหมกตามเห็นทีคงจะไม่เนียน เธอจึงตัดใจถาม
"คุณคารอล หมายถึงอะไรกันคะ?"
เขายิ้มกว้างขึ้น
"พี่อาจจะไม่เชื่อก็ได้ ว่าที่จริงแล้วพี่อลิซก็มี 'สิ่งพิเศษ' แบบที่ผมมีเหมือนกันครับ"
ดวงตาสีน้ำตาลหวานฉ่ำเบิกกว้างจนเห็นเป็นทรงกลมอย่างชัดเจน ความตกใจทำให้อลิซรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าซีดลง
"เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะคุณคารอล" เธอพยายามตอบอย่างสุภาพหลังจัดการกระบวนการทางความคิดได้
"จริงๆ นะครับ พี่สามารถคืนชีวิตให้กับคนที่ตายไปแล้วได้เหมือนผม"
อลิซไม่ปฏิเสธแถมยังเชื่อเต็มร้อยสำหรับเรื่องที่เจ้านายของเธอมีพลังบางอย่างที่สามารถทำให้คนตายคืนชีพได้ แต่เรื่องที่บอกว่าเธอนั้นก็มีพลังแบบเดียวกัน ถึงจะเป็นคำพูดจากคนที่เชื่อถือได้ก็ตามแต่อลิซกลับเชื่อไม่ลง เพราะเธอแน่ใจว่าถ้าตัวเองมีความสามารถแบบนั้นคงไม่ปล่อยให้ผู้ที่รักที่สุดจากโลกนี้ไปถึงสามคนอย่างแน่นอน
"ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับพี่อลิซ สิ่งนั้นมีมาตั้งแต่เกิดก็จริง แต่เราจะไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้เลย..."
เรย์สุดลมหายใจเข้า อลิซรอฟังคำตอบ
"...ต้องตายก่อนครั้งหนึ่งแล้วถูกคืนชีพขึ้นมาครับ พลังจึงจะปรากฎ"
เมื่อได้ฟังเงื่อนไขของพลัง หญิงสาวดูเหมือนจะสงบใจลงได้
"ถ้าอย่างนั้น...เมื่อวานที่คุณบอกว่า 'พวกเราจะชุบชีวิตให้ทุกคนที่ตาย' หมายความว่า นอกจากดิฉันกับคุณคารอลก็ยังมีคนอีกใช่มั้ยคะ?"
เรย์หัวเราะคิก ซึ่งในสายตาอลิซแล้วช่างเป็นกิริยาที่แสนน่ารัก
"ถูกครับ ผมได้ตั้งองค์กรสำหรับผู้ที่มี 'สิ่งนี้' ขึ้นมาโดยเฉพาะเลยครับ"
ในหัวของอลิซเริ่มหมุนติ้ว นั่นอาจจะเป็นเพราะได้รับรู้ถึงเรื่องเหนือจินตนาการไปหลายขุม ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เธอก็ต้องยอมรับว่ามันคือความจริง
"มูลนิธิ 'ไลท์ฟอร์ไลฟ์' พี่อลิซน่าจะเคยได้ยินชื่อนี้นะครับ"
เรย์พูดด้วยน้ำเสียงสบาย หากแต่มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับผู้ฟัง เพราะเท่าที่หญิงสาวรู้ มันคือองค์กรระดับโลกที่คอยช่วยเหลือสนับสนุนประเทศยากจนและยังไม่พัฒนา เธอเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผู้ก่อตั้งอยู่ตรงหน้านี่เอง
"เป็นอะไรรึเปล่าครับพี่อลิซ? หน้าซีดจัง" เรย์ถามหลังจากสังเกตเห็นสีหน้าของพี่สาว
"เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันแค่รู้สึกอึ้งกับเรื่องพวกนี้มากเท่านั้นเอง...ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีอยู่จริงบนโลกนี้"
เรย์หัวเราะเป็นการใหญ่จนทำให้อลิซอดขำตามไม่ได้
"ดิฉันจะคืนชีพมนุษย์ เหมือนที่คุณคารอลทำ...ได้จริงๆ หรือคะ?"
"ครับ และไม่ใช่แต่คนอื่นนะ ต่อไปนี้ตัวพี่เองก็จะไม่มีวันตายอีกต่อไป ไว้มีโอกาสเหมาะๆ ผมจะพาพี่ไปทดสอบสิ่งนั้นของพี่นะ"
อลิซตอบรับ ความจริงเธอยังมีคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกยังไม่อยากจะเอ่ยปากถามอะไรต่อเพราะร่างบางของเธอกำลังสั่นอย่างไร้สาเหตุ
"พี่อลิซครับ"
เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้น อลิซขานรับ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อใบหน้าของชายที่อยู่ตรงหน้าถูกระบายด้วยสีแห่งความหนักใจ
แต่ก็คิดนิดหน่อยว่าเป็นสีหน้าที่แสร้งทำ
"คุณคารอล...เป็นอะไรรึเปล่าคะ?"
"ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้ผมควรจะบอกพี่ดีมั้ย"
"เอ๋?"
เรย์มอนด์แสดงความลังเลอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะพูดออกมา และอลิซเองก็แน่ใจร้อยเปอร์เซนต์ของความคิดที่ว่าสีหน้าหนักใจตรงหน้าเป็นเพียงแค่การแสดง
"เริ่มไงดีล่ะ...การทำงานของพวกเราที่จริงมันมีอุปสรรคอยู่อย่างหนึ่งครับ"
อลิซเชื่อว่ามันคงเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการอีกเป็นแน่
"พี่อลิซเชื่อเรื่องยมทูตอยู่ในนรกกับนางฟ้าอยู่บนสวรรค์รึเปล่าครับ?"
คราวนี้เธอไม่รู้สึกตกใจเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องที่คาดไว้แล้ว
"คนตายจะกลายเป็นวิญญาณ ชีวิตหลังความตายของคนเราแตกต่างกันไป ซึ่งยมทูตจะทำหน้าที่นำพาดวงวิญญาณไปยังสถานที่ที่ใช้พิพากษาวิญญาณดวงนั้นๆ ก่อนจะถูกพาไปในที่ที่ถูกตัดสิน..."
เรย์รู้สึกขำที่สาวสวยตรงหน้ามีสีหน้าตื่นเต้นมากกว่าตกใจ
"ที่ที่ถูกตัดสิน?"
อลิซนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังจากสถานที่ที่เธอไปทุกวันอาทิตย์จากศาสนาที่ตัวเองนับถือ
"ครับ ทำดีสุดๆ ก็อาจจะได้ขึ้นสวรรค์ ทำเลวก็ตกนรก ส่วนพวกกลางๆ ก็ส่งมาเกิดอีกครั้งที่โลก...แค่อาจจะนะครับอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นรึเปล่าผมไม่รู้ แต่ที่แน่นอนก็คือพวกเขาเหล่านั้นมีอยู่จริงครับ พวกทูตแห่งนรกและสวรรค์"
"แล้วอุปสรรคที่ว่าคืออะไรเหรอคะ?"
"คือพวกเขาสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าวันๆ หนึ่งจะมีคนตายเท่าไหร่และที่ไหนบนโลก แต่พอถึงเวลาที่จะมารับวิญญาณไปกลับไม่มีหรือเป็นวิญญาณดวงอื่น...มันน่าแปลกสำหรับพวกเขาจริงๆ ใช่มั้ยล่ะครับ?"
"งั้นที่เราทำอยู่นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือคะคุณคารอล"
คำถามนี้ของอลิซทำให้เรย์ชะงักงันเหมือนเครื่องปั่นที่ถูกถอดปลั๊ก เขาไม่คิดว่าจะเจอคำถามที่ราวกับถูกจับได้ว่าโกหกเช่นนี้ แต่ไม่กี่วินาทีเรย์ส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ
"จริงอยู่ ถ้ามองจากมุมของพวกเขาเราอาจจะผิด แต่ที่นี่โลกครับ โลกของคน มนุษย์พยายามดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ พยายามเพื่อที่จะมีวันพรุ่งนี้ มนุษย์มีสิ่งที่ฝัน มีสิ่งที่รัก คนที่รัก คนที่อยากดูแล มีสิ่งที่อยากทำอีกมากมาย แต่ความตายพรากมนุษย์ส่วนใหญ่ไปจากสิ่งเหล่านั้น..."
อลิซเงียบ
"...ทุกวันนี้พวกเราใช้ชีวิตกันแบบเร่งรีบเพราะคิดกันว่าจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แบบนั้นมันยุติธรรมแล้วหรือครับ สิ่งพิเศษที่ผมหรือพี่อลิซมี ก็มีไว้เพื่อซับพอร์ตพวกเขาให้ได้สัมผัสถึงสิ่งสวยงามบนโลกนี้ไงครับ...เท่านั้นเอง คนที่รักกันไม่ต้องจากกัน สิ่งที่ฝันไว้จะเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ พวกที่คิดจะฆ่าจะแกงกันเมื่อรู้ว่าฆ่าไปก็ไม่ตายก็ไม่รู้จะทำยังไงก็คงจะกลับตัว แบบนี้ไม่ดีหรือครับ?"
อลิซยังรู้สึกขัดเล็กน้อย แต่ที่เรย์พูดมาก็ไม่ผิด หญิงสาวคงจะขอไม่ออกความเห็นในเรื่องนี้เวลานี้
"เรื่องน่าเศร้าอย่างความตาย ผมจะเป็นคนจบมันเองครับ"
ก๊อกๆๆ
เสียงประตูดังขึ้น เรย์เอ่ยเชิญแขกเข้ามาในห้องราวกับรู้อยู่แล้ว
ประตูที่เปิดกว้างเผยให้เห็นหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีม่วงปักลูกไม้สีขาวที่ผ่าลึกจนเห็นร่องอกขาวอวบอูมดูเซ็กซี่ กระโปรงผ้าซีฟองลูกไม้สีขาวสั้นจู๋เผยผิวขาวใสที่หลุดจากการห่อหุ้มของท๊อปบูทดำ ใบหน้าขาวผ่องเข้ากันดีกับผมทรงบ๊อบเทสีกาแฟม็อคค่า ขนตางอนยาวประดับบนกรอบดวงตาสีฟ้าที่ราวกับสามารถทำให้ผู้คนที่ถูกมองกลายเป็นหินได้ในพริบตา เรียวปากอวบอิ่มชมพูนู้ดดูมันวาวด้วยลิปกรอส ทั้งหมดทั้งมวลของหญิงสาวคนนี้ในความรู้สึกของอลิซ เธอเป็นคนที่สวยสง่าแต่ก็ให้อิมเมจหญิงลึกลับเข้าถึงยากพอกัน
"นั่งก่อนสเตฟานี่"
เรย์เชิญหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างมารยาทดี
อลิซรู้จักเธอคนนี้ หรือ สเตฟานี่ คารอล ดี เธอคือหนึ่งในผู้บริหารของคารอลคอร์ปฯที่คุมบริษัทในสายงานเกี่ยวกับการผลิตโทรศัพท์มือถือ บริษัทของเธอทำกำไรให้คารอลคอร์ปฯมากที่สุดใน 12 บริษัทเครือคารอลกรุ๊ป
แต่ถึงสเตฟานี่คนนี้จะใช้นามสกุลคารอล เธอก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเรย์มอนด์แต่อย่างใด อลิซทำงานที่นี่ตั้งแต่ยุคของประธานใหญ่ อัลเบิร์ต คารอล พ่อของเรย์มอนด์และแอนนิต้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อ สเตฟานี่ แม้แต่ครั้งเดียว
"คนนี้เหรอเรย์?" เสียงเนิบนาบถามขึ้น
"ใช่...ยอดเลยว่ามั้ย?"
"ก็โอเค แต่เรย์ บอกเลยนะ บีไม่ใช่ครูที่ดีหรอก"
ความรู้สึกกดดันจนคลื่นไส้เข้าโจมตีอลิซ เธอจะรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสเตฟานี่ ซึ่งเธอก็ไม่ทราบสาเหตุ อลิซคิดว่าร่างกายตนเองราวกับปฏิเสธทุกอย่างของผู้หญิงคนนี้และคงจะเป็นแบบนี้ไปตลอด
"จะไหวเหรอเรย์...เธอคนนี้ บีว่าบอบบางไปนะ" สเตฟานี่เอ่ยพลางมองหญิงสาวด้วยหางตาอันคมกริบ
เป็นครั้งแรกที่อลิซได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้านายหนุ่มกับหญิงสาวคนนี้ หากไม่ต้องอดทนกับความปั่นป่วนในกระเพาะอลิซคงนึกสงสัยในคำเรียกแทนตัวของแขกสาว
"ไม่เอาน่าสเตฟานี่ อย่าแกล้งเลขาคนเก่งของเรย์สิ"
สาวสุดเปรี้ยวกอดอกและสะบัดหน้าอันงดงามไปทางอื่น ที่น่าแปลกคือความกดดันจนแทบอาเจียนของอลิซได้หายไปจนหมด
"พี่อลิซครับ อย่างที่พี่รู้ นี่คือสเตฟานี่ เธอก็เป็นหนึ่งในคนที่มี 'สิ่งพิเศษ' เช่นเดียวกันครับ"
ม่านตาอลิซเบิกเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
"ผมเรียกเธอมาเพื่อเป็นเทรนเนอร์ ให้พี่ใช้ 'สิ่งพิเศษ' ของพี่เป็นน่ะครับ"
อลิซแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แม้เธอจะเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เธออยากบอกกับเจ้านายหนุ่มเหลือเกินว่าเธอไม่ถูกชะตากับผู้หญิงนาม สเตฟานี่ สักเท่าไหร่
"พี่อลิซครับ ผมจะถามอะไรพี่อย่าง แต่ก่อนหน้านั้นผมขอเล่าอะไรให้พี่ฟังก่อน"
หญิงสาวพยักหน้าตอบรับหลังกลืนบางอย่างลงคอ
"การปฏิบัติงานของพวกเรานั้นเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ผมไม่เคยคิดเสียใจหรือรู้สึกผิดเมื่อทำลงไป แต่สำหรับพวกยมทูตหรือนางฟ้า การคืนชีพให้มนุษย์เป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุด ในตอนนี้เรายังสามารถตบตาพวกเขาด้วยวิธีการของเราได้อยู่ แต่ไม่นาน พวกเขาต้องรู้ตัวแน่..."
เรย์หันไปมองสเตฟานี่ที่ยังนั่งกอดอกอยู่ เขาจ้องไปที่นัยน์ตาสีฟ้าสดใสที่ไม่ยอมจ้องตอบมา
"...ถึงเวลานั้น พี่อลิซกลัวที่จะรับมือกับพวกเขารึเปล่าครับ?"
แววตาของอลิซหวั่นไหวเล็กน้อยแต่เพียงไม่นานก็มั่นคงขึ้นมาเหมือนตัดสินใจทุ่มทรัพย์ซื้อสินค้าราคาแพงหูฉี่ได้ เรย์ค่อนข้างมั่นใจว่าคำตอบของเธอคงไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้ แต่เขาต้องการความแน่ใจที่รับรู้ได้ด้วยหูทั้งสองข้าง
"ผมพูดได้ไม่เต็มปากว่ามันจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง และถ้ามันสุดๆ จริงๆ พวกเราอาจจะต้องเผชิญหน้าและต้องขัดขวางพวกเขา ถ้าพี่อลิซบอกว่าไม่ ผมก็จะไม่บังคับหรอก..."
"แต่มันก็ยังไม่เกิดอะไรไม่ใช่หรือคะ?"
เธอขัด
"ถ้าคุณคารอลทำมาได้ตั้งนาน ดิฉันก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"
อลิซแปลกใจตัวเองนิดหน่อย ทั้งที่ในความคิดของเธอ เรื่องที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เธอไม่ได้รู้สึกขลาดกลัวและที่พูดก็พูดจากใจจริง
"หรือถ้ามันจะเกิดขึ้น ดิฉันก็จะขอร่วมด้วยในฐานะผู้ใต้บัญชาของคุณคารอล"
สเตฟานี่พ่นลมหายใจออกทางจมูก เรย์ส่งยิ้มหวานให้อลิซซึ่งทำให้เธอเขินเล็กน้อย
"โชคดีของผมจริงๆ นะเนี่ยที่ได้มีพี่อลิซอยู่เคียงข้าง ขอบคุณนะครับพี่ ผมพูดได้เต็มปากว่าที่เราทำอยู่นี่เป็นความชอบธรรมอย่างแท้จริงบนโลกของเรา"
ขณะที่ชายหนุ่มยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สาวสวยผมบ๊อบก็ยืนขึ้น แววตาอ่อนโยนที่เธอมองอลิซ ทำให้อลิซแปลกใจปนงงงัน
"ยินดีต้อนรับนะคะคุณแกรนด์สโตน"
เธอช่างเป็นคนที่อ่านยากจริงๆ ในความคิดอลิซ
"วันไหนคุณว่างล่ะ?" เสียงเนิบเซ็กซี่ชัดใสถามขึ้น
"วันอาทิตย์นี้ก็ได้ค่ะ" อลิซก็ตกลงทั้งที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะได้เจอกับอะไรบ้าง
ชายหนุ่มมองทั้งสองสาวคุยกัน เขาแอบดีใจเล็กๆ ที่พวกเธอนั้นน่าจะเข้ากันได้ดี
วันนี้เรย์รู้สึกแฮปปี้มากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีสาวสวยถึงสองคนอยู่ในห้องทำงานของเขาอีก เขาคิดว่าคงน่าอิจฉาไม่น้อยหากมองจากสายตาของคนนอก ถึงเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับสเตฟานี่แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอเป็นคนที่สวยเซ็กซี่และมีเสน่ห์ล้นเหลือ ส่วนอลิซก็พูดได้เลยว่าความสวยของเธอนั้น ระดับดาราดังบางคนยังต้องชิดซ้าย วันนี้เธอสวมชุดแขนตุ๊กตาสีส้มขาว กระโปรงยาวสีครีมพิมพ์ลายดอกไม้ดอกโต ผมสีน้ำตาลทองยาวสลวยดัดเป็นลอน ประดับด้วยที่คาดผมลายดอกไม้น่ารัก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลหวานช่ำ ถ้าให้เรย์เป็นคนเปรียบก็คงเหมือนกับได้กินผลไม้ฤดูร้อนลูกโต เรียวปากบางแดงเป็นธรรมชาติ ผิวขาวอมชมพูแลดูนุ่มนิ่ม อลิซเป็นคนที่เพอร์เฟคจนบางทีเรย์ก็คิดเล่นๆ ว่าเธออาจจะไม่ใช่คนบนโลกมนุษย์ก็เป็นได้
"ตกลงค่ะ วันอาทิตย์ตอน9โมงเช้า...ยังไงเดี๋ยวฉันจะโทรหาคุณอีกทีนะ ลาก่อนเรย์ บีไปละ"
ยังไม่ทันจะมีฝ่ายใดตอบเส้นแสงสีแสบตาเข้าม้วนพันรอบกายหญิงสาวผมบ๊อบ ไม่ถึงสองวินาทีเธอก็หายไป ทิ้งให้อลิซตื่นตะลึงอยู่ครู่ใหญ่
"สเตฟานี่นิแย่จังเลย ห้องนี้มันมีกล้องซีซีทีวีอยู่นา"
ความคิดเห็น